การมีลูกยาก
เรื่องเกี่ยวกับการมีลูกยังไม่จบเพราะมีข้อกังขาค้างคาใน twitter@dungtrin อยู่ฉะนั้น ก็ขอต่อเรื่องลูกอีกสักสัปดาห์นะครับคราวนี้เปลี่ยนประเด็นมาเป็นเลี้ยงลูกอย่างไรจึงจะให้ทั้งเขาและเราเจริญสติได้ก่อนอื่นต้องมองว่าเด็กจะเกิดมาเป็นอย่างไรหน้าตาและบุคลิกลักษณะออกแนวไหนไม่ใช่เอาพ่อแม่มาคำนวณแบบบวกกันแล้วหารสองการจะเป็นคนขึ้นมาคนหนึ่งต้องอาศัยกรรมของสามฝ่ายมาเป็นตัวแปรทั้งกรรมของฝ่ายสามี ฝ่ายภรรยา และฝ่ายลูกพระพุทธเจ้าตรัสว่าทุกคนมีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ทุกคนมีกรรมเป็นแดนเกิดฉะนั้น ตัวแปรสำคัญจึงไม่ใช่กรรมของพ่อแม่แต่เป็นกรรมของลูกถ้าไม่มีกรรมของลูกเป็นตัวตั้งแม้มีแดนเกิดรอท่าอยู่ก็ได้แต่เป็นหมันเปล่าเชื้อไขฝั่งพ่อ และเชื้อไขฝั่งแม่ เมื่อมารวมกันแล้วอย่างมากก็พอบอกได้นิดหน่อยว่าลูกมีความโน้มเอียงจะเป็นอย่างไรเช่น น่าจะรูปงาม น่าจะฉลาด น่าจะสูงใหญ่ ฯลฯแต่ความน่าจะเป็นทั้งหลายมีสิทธิ์ถูกล้มโต๊ะลูกเกิดมาอาจแตกต่างจากพ่อแม่เป็นคนละเรื่องโดยไม่จำเป็นต้องมีคำอธิบายที่น่าพอใจแบบวิทยาศาสตร์แม้แต่พี่น้องคลานตามกันมาบางบ้านก็ไม่ได้คล้ายกันเลยเรียกว่าแตกต่างกันราวมาจากคนละพ่อคนละแม่ความแตกต่างบรรดามีที่ยากจะควบคุมหรือพยากรณ์นั้น ขอให้ช่างไว้ก่อนลองมาดูกรณีตัวอย่างของการคุมได้ ทำนายได้เช่น กรณีศึกษาของชาวฮังกาเรียนนายหนึ่งมีชื่อว่า ลาสโล โพลการ์ (László Polgár)เขามีชื่อเสียงขึ้นมาจากการเขียนหนังสือเล่มหนึ่งคือ "Bring up Genius!" หรือ "เลี้ยงดูอัจฉริยะ!"วาทะเด่นประจำหนังสือ ได้แก่"Geniuses are made, not born"หรือ "อัจฉริยะมาจากการสร้าง ไม่ใช่เป็นกันแต่เกิด"หนังสือทำนองนี้มีอยู่มากตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันแต่ความโดดเด่นของ "เลี้ยงดูอัจฉริยะ!" ก็คือผู้เขียนประกาศหาภรรยาผ่านหนังสือสเปคคือใครก็ตามที่เห็นพ้องร่วมกับเขาว่าจะมีลูกด้วยกันเพื่อพิสูจน์ว่าอัจฉริยะเป็นสิ่งที่สร้างกันได้ไม่ใช่คอยให้ความบังเอิญเป็นผู้สร้างอย่างเก้อเปล่าลูกที่เกิดกับคนแบบเขา เลี้ยงดูแบบเขาจะต้องเป็นบทพิสูจน์ให้โลกรู้ว่าสิ่งที่เขาเขียนในหนังสือเป็นของจริง!เห็นได้ชัดว่าลาสโลปฏิเสธเรื่องพรสวรรค์จากพระเจ้าแล้วก็ไม่เชื่อเรื่องบุญทำกรรมแต่งใดๆทั้งสิ้นและความเชื่อของเขาก็นำไปสู่การเดิมพันอันยิ่งใหญ่คือจะเอาตัวเองเข้าสู่การ "ทดลองเพื่อพิสูจน์ความจริง"ให้เห็นว่าการเลี้ยงดูอย่างใกล้ชิดและมีคุณภาพพอจะนำไปสู่การประสบความสำเร็จในชีวิตเด็กได้โดยตัดองค์ประกอบอื่นไปทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นเรื่องพันธุกรรมหรืออะไรที่เชื่อสืบๆกันมาจากหลักการ ความเชื่ออันนำไปสู่การประกาศหาภรรยาลาสโลพบกับสาวรัสเซียนคนหนึ่งมีนามว่า "คลาร่า" (Klara) เป็นครูโรงเรียนมัธยมทั้งคู่แต่งงานและเห็นเป็นเอกฉันท์ว่าการศึกษาในระบบไม่เพียงพอต่อการสร้างอัจฉริยะการให้ลูกเรียนที่บ้านแบบ "โฮมสกูล" (homeschool) อันมีพ่อแม่ทุ่มเทให้เท่านั้นคือคำตอบลูกคนแรกของพวกเขาชื่อ "ซูซาน" (Susan)เมื่อเธอแสดงความสนใจหมากรุกแค่นิดเดียวลาสโลก็จัดคอร์สสอนหมากรุกให้เธอทันทีเพราะเขาเป็นนักหมากรุกฝีมือปานกลางอยู่แล้วผลคือซูซานชนะเลิศการแข่งขันระดับอายุต่ำกว่า ๑๑ด้วยการชนะคู่แข่งสิบคนรวดตั้งแต่อยู่ในวัยเพียง ๔ ขวบ!การประสบความสำเร็จจากลูกคนแรกยังอาจเรียกได้ว่า "บังเอิญ"แต่ลาสโลมีลูกสาวตามมาอีกสองคนและเขาใช้วิธีเอากระดานและตัวหมากรุกนั่นเองล่อตาล่อใจลูกสาวทุกคนด้วยวิธีเดียวกันสอนพวกเธอเต็มที่เหมือนๆกันซึ่งบรรยากาศแบบพี่ๆน้องๆที่สนุกกับการตั้งเป้าว่าจะเอาชนะกันนั้นเป็นเรื่องปกติอยู่แล้วยิ่งเมื่อมาอยู่ในบ้านของลาสโลที่ให้ความสำคัญกับการเล่นหมากรุกผลคือลูกสาวของเขาเก่งหมากรุกด้วยกันทุกคนคำว่า "เก่ง" ยังอาจจะทำให้คุณเห็นภาพไม่ชัดมาฟังสิ่งที่ประวัติศาสตร์หมากรุกจารึกไว้อย่างนี้ครับ ลูกสาวคนรองที่ชื่อ "โซเฟีย" (Sofia)เอาชนะการแข่งขันที่มีนักหมากรุกระดับโลกเข้าร่วมด้วยการชนะทั้งหมด เสมอแค่กระดานเดียวในวัยเพียง ๑๔ ปี!และที่น่ากลัวที่สุดเห็นจะได้แก่ลูกสาวคนสุดท้องนาม "จูดิท" (Judit)ที่เล่นหมากรุกเอาชนะพ่อได้ตั้งแต่อยู่ในวัยเพียง ๕ ขวบและกลายเป็นแกรนด์มาสเตอร์อายุน้อยที่สุดในโลกด้วยวัย ๑๕ ปี มีนักหมากรุกช่วยกันจำความจริงเป็นจำนวนไม่รู้กี่ล้านคนและจำกันแม่นเสียยิ่งกว่าพบเด็กอัจฉริยะจบปริญญาตรีตอนอายุ ๑๐ ขวบเสียอีก!แกรนด์มาสเตอร์ไม่ใช่จะเป็นกันง่ายๆนะครับโลกนี้มีคนเล่นหมากรุกเป็นอยู่ประมาณ ๖๐๐ ล้านคนแต่มีแกรนด์มาสเตอร์เพียงราวพันคนเท่านั้นลองคิดดูแล้วกันว่าด้วยอายุระดับเด็กมัธยมจูดิท โพลการ์ ประสบความสำเร็จระดับไหนแล้ว?ถึงปัจจุบันสามสาวตระกูลโพลการ์ก็ยังคงเขย่าโลกหมากรุกอยู่ไม่หยุดพวกเธอนำเกียรติยศชื่อเสียงมาสู่วงศ์ตระกูลเพียงใดก็ขอให้ดูได้จากในกูเกิ้ลถ้าสืบหาคำว่า "Polgar"คุณจะพบแต่เรื่องราวของพวกเธอที่กลายเป็นตำนานยิ่งใหญ่เพราะเป็นชนวนสำคัญให้ "กีฬาของผู้ชาย"กลายเป็นสนามแข่งขันทางปัญญาที่เพศหญิงก็มีสิทธิ์เข้าร่วมด้วยอย่างเสมอภาคสรุปคือลาสโลประสบความสำเร็จในการเลี้ยงลูกให้เป็น "อัจฉริยะในทางใดทางหนึ่ง"ตามที่ได้ลั่นวาจาไว้จริงๆและความสำเร็จที่ยืนยันคำพูดของเขาก็ไม่มีทางอื่นให้คิดมากไปกว่าที่่ว่า"ถ้าเลี้ยงเป็น ลูกก็ยิ่งใหญ่ในทางใดทางหนึ่งได้แน่ๆ"ว่ากันว่ากรณีศึกษาของลาสโลล้มล้างความเชื่อของหลายคนเกี่ยวกับการได้ความสามารถมาจากสวรรค์หรือกระทั่งความสามารถอันเกิดจากกรรมเก่าและหันเหไปสู่ความเชื่อว่าชีวิตลิขิตได้ด้วยความทุ่มเททั้งจากฝ่ายเลี้ยงดู และจากฝ่ายถูกเลี้ยงดูไม่มีอะไรอื่นเป็นปัจจัยสำคัญนอกเหนือไปกว่านี้อย่างไรก็ตาม กรณีศึกษาของลาสโลนั้นแม้ให้คำตอบเกี่ยวกับการสร้างอัจฉริยะแต่ก็ไม่ได้ให้คำตอบหลายต่อหลายข้อโดยเฉพาะที่เกี่ยวกับความไม่เสมอภาคในการเกิดมาเช่น ลาสโลคงอธิบายไม่ได้ว่าทำไมซูซานลูกสาวคนโตจึงมีบทบาทใหญ่ในวงการหมากรุกโตขึ้นเป็นถึงเจ้าของสถาบันหมากรุกระดับโลกเพราะอะไรโซเฟียลูกสาวคนกลางจึงสวยกว่าพี่และน้องใครต่อใครก็ชมอย่างนี้ พูดอย่างนี้เป็นเสียงเดียวกันและอะไรเป็นเหตุให้จูดิทลูกสาวคนเล็กฉลาดที่สุดขนาดที่ว่ากันว่าไม่เคยมีและเผลอๆอาจจะไม่มีผู้หญิงคนไหนในโลกหมากรุกที่ฉลาดได้เท่าเธออีกตอนเด็กๆขนาดเธอถูกปลุกขึ้นจากนิทราในช่วงค่ำกำลังสะลึมสะลือครึ่งหลับครึ่งตื่นยังช่วยแก้ปัญหายากๆบนกระดานให้พี่สาวกับคุณครูของพี่สาวที่ไม่ง่วงสักนิดได้!ลองมามองกรณีของสามสาวกันใหม่ด้วยภาพความเข้าใจตามแนวกรรมวิบากเราจะเห็นคำอธิบายที่สมบูรณ์แบบอันอาจนำมาประยุกต์กับการเลี้ยงลูกให้เจริญสติได้และคุณอาจเล็งผลเลิศกับการเป็นพ่อแม่ตัวอย่างที่ไม่ใช่แค่ช่วยให้ลูกโตขึ้นเป็นอัจฉริยะเหมือนพ่อแม่ทั่วไปแต่หมายสูงได้ถึงขั้นช่วยให้ลูกโตขึ้นเป็นอริยะเลยยังไหว!เมื่อมองแบบสืบสาวด้วยตาเปล่าเราจะพบว่าลาสโลเหมือนเป็น "ต้นตอ"ของความสำเร็จที่ไม่บังเอิญจึงต้องเริ่มมองรายละเอียดกันจากลาสโลเป็นอันดับแรกสิ่งที่ลาสโลทำนั้น แจกแจงเป็นข้อสำคัญได้ดังนี้๑) ทำตัวเป็นแดนเกิดที่แน่นอนคนทั่วไปทำตัวเป็นแดนเกิดแบบสุ่มกล่าวคือจับคู่กันครองเรือนมีเพศสัมพันธ์กันตามธรรมชาติแล้วรอว่าเมื่อไรฝ่ายภรรยาจะติดลูกในขณะที่ลาสโลตั้งหลักจากการประกาศหาเมียอย่างมีจุดมุ่งหมายโดยตีฆ้องร้องป่าวบอกโลกว่าตนกับว่าที่ภรรยาจะปั้นเด็กอัจฉริยะขึ้นมากับมือต้องสังเกตด้วยว่าลาสโลมีศักยภาพที่มีสิทธิ์ทำได้จริงเพราะเขาเองเป็นผู้มีความสนใจอย่างยิ่งยวดศึกษามานานว่าเหล่าอัจฉริยะของโลกเกิดขึ้นมาได้อย่างไร มีสิ่งใดเป็นปัจจัยในวัยเด็กลาสโลมีความหลงใหลข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการสร้างเด็กอัจฉริยะขนาดมุ่งมั่นจะอุทิศชีวิตตนเองให้กับการทดลองนี่เป็นปัจจัยฝ่ายพ่อเมื่อมาบวกกับปัจจัยฝ่ายแม่คือเห็นด้วยและอยากร่วมโครงการกับลาสโลขนาดยอมมาแต่งงานกับลาสโลได้กับทั้งตั้งใจใช้ความเป็นครูของตนสอนลูกให้เรียนหนังสือที่บ้านรวมแล้วจึงได้แดนเกิดที่ตั้งมั่นอันมีความแน่นอนที่จะดึงดูดคนมีบุญบนเส้นทางสู่ความเป็นอัจฉริยะให้มาเกิดด้วย๒) ทำตัวเป็นผู้สนับสนุนที่แน่นอนพ่อแม่ทั่วไปอยากให้ลูกเป็นคนเก่งตามแฟชั่นเช่น สมัยก่อนถ้าลูกได้เป็นหมอก็จะเป็นหน้าเป็นตามาถึงพ่อแม่แล้วพ่อแม่ก็ฝากผีฝากไข้ได้สนิทใจจึงมีการตั้งเข็มให้ลูกว่าโตขึ้นต้องเป็นหมอโดยไม่สนใจว่าลูกจะหัวเร็วหรือหัวช้าอย่างไรแต่สมัยนี้ค่านิยมแบบวัตถุแรงขึ้นเห็นลูกคนอื่นเอาดีเอาดังกับการเป็นดาราเด็กง่ายๆหาเงินเข้าบ้านช่วยพ่อแม่ได้ง่ายๆตั้งแต่ยังเยาว์วัยก็พยายามพาลูกไปประกวดประขันตามงานต่างๆด้วยความหวังว่าสักวันจะเจอแมวมองหรือไม่ถ้าช้านักไม่ทันใจก็พาลูกตรงดิ่งไปหาแมวมองด้วยตนเองกันเลยทีเดียวเชียวการพยายามผลักดันเต็มที่ในทำนองนี้แอบแฝงความอยากได้หน้าตาหรือกระทั่งความร่ำรวยให้ตนเองไม่ได้จัดเข้าข่ายความเป็น "ผู้สนับสนุน" ที่ดีเลยพ่อแม่ที่ทำตัวเป็นผู้สนับสนุนที่ดีนั้นคือพวกที่เห็นลูกสนใจสิ่งใดๆในทางดีก็ตามจะช่วยเติมเต็มความสนใจในสิ่งนั้นๆให้ลูกแบบไม่ต้องเกี่ยงงอน ไม่ต้องเกี่ยงเงินกับทั้งมีความคงเส้นคงวาไม่ใช่ทำเสียงอ้อแอ้เอ๊ออ๊าให้ลูกเกิดกำลังใจแป๊บๆแล้วไม่ทุ่มตัวเข้าไปช่วยกรุยทางให้ลูกเลยปล่อยให้ความสนใจของลูกมอดดับไปอย่างรวดเร็วสำหรับลาสโล เริ่มต้นขึ้นมาก็ไม่ได้กะเกณฑ์ว่าลูกจะต้องเก่งหมากรุก เขาแค่ทำตามหลักการสร้างเด็กอัจฉริยะซึ่งได้ศึกษามานั่นคือเห็นเด็กสนใจสิ่งใด ก็ป้อนสิ่งนั้นให้กับเด็กเต็มเหนี่ยวชนิดอุทิศเวลาของตนเองมอบให้แล้วกระบวนการเรียนรู้และพัฒนาจะตามมาเองที่ลูกๆของเขามาสนใจหมากรุกก็เพราะเขาเล่นหมากรุกอยู่ก่อนจึงมีอุปกรณ์และหนังสือหมากรุกวางอยู่ในบ้านเยอะเมื่อเด็กเห็นหมากรุกก่อนก็ถูกกระตุ้นให้สนใจหมากรุกก่อนเป็นธรรมดาและเมื่ออัดฉีดหมากรุกเข้าสู่เด็กอย่างต่อเนื่องไม่หยุดเด็กย่อมแตกฉานหมากรุกอย่างรวดเร็วที่คนส่วนใหญ่ตกตะลึงทึ่งอึ้งงงก็เพราะเหตุผลเดียวคือคนส่วนใหญ่ไม่เลี้ยงลูกอย่างนี้จึงนานๆทีมีให้เห็นอย่างนี้๓) ทำตัวเป็นแบบอย่างที่แน่นอนเด็กจะจำคำกระทบใจที่พ่อแม่สอนสั้นๆและจะทำตัวตามที่พ่อแม่ประพฤติปฏิบัติให้เห็นในระยะยาวข้อเท็จจริงนี้ทำให้เรารู้ว่าการเลี้ยงลูกนั้นไม่ใช่เรื่องของการเอาแต่คาดหวังให้ลูกเป็นดังใจก่อนอื่นใดต้องทำตัวเองให้เป็นสิ่งที่คุณคาดหวังจะเห็นในลูกต่างหากสามสาวโพลการ์ไม่ใช่เด็กคิดมาก ไม่มีความเก็บกดไม่มีความผิดปกติทางจิต แถมอ่อนโยน เป็นมิตรง่ายแต่งงานมีครอบครัว และเลี้ยงลูกได้ดีกันทุกคนชีวิตพวกเธอไม่ได้สมบูรณ์แบบขึ้นจากความบังเอิญพ่อแม่ของพวกเธอมีสิทธิ์อ้างความดีความชอบไปเต็มๆเพราะพวกเธอโตขึ้นมาในบ้าน ไม่ใช่ที่โรงเรียนจึงไม่มีสิ่งแวดล้อมอื่นมาเป็นปัจจัยสำคัญกว่าพ่อแม่แน่ๆตั้งแต่พวกเธอเป็นเป้าความสนใจของสื่อต่างๆเมื่อมีการพยายามคุ้ยแคะเกี่ยวกับความสัมพันธ์ในครอบครัวเสียงสรรเสริญพ่อแม่เท่านั้นที่หลุดจากปากของพวกเธอนี่สะท้อนชัดว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างในบ้านของครอบครัวโพลการ์ลาสโลและคลาร่าไม่ใช่แค่ครูสอนหมากรุกแต่พวกเขายังเป็นแบบอย่าง เป็นแม่พิมพ์ชีวิตให้ลูกๆด้วยสรุปให้สั้นที่สุด คือไม่สำคัญว่าคุณจะเชื่อเรื่องภพภูมิและกรรมวิบากหรือไม่ถ้าคุณทำตัวเป็นแดนเกิดที่แน่นอนก็จะดึงดูดเอาคนที่คู่ควรกับแดนเกิดนั้นๆมาอยู่ด้วยถ้าคุณทำตัวเป็นผู้สนับสนุนที่แน่นอนลูกที่เกิดกับคุณจะแตกฉานอยู่บนเส้นทางที่เขาคู่ควรและถ้าคุณทำตัวเป็นแบบอย่างที่แน่นอนเขาจะเป็นคนดีแม้แทบไม่ได้รับโอวาทจากคุณเลยสักคำสุดท้ายคุณจะรู้สึกภาคภูมิใจที่ได้ปั้นชีวิตดีๆขึ้นมาด้วยมือตัวเองแม้ลูกจะเก่งกว่าก็ไม่ทำให้คุณรู้สึกด้อยลงตรงข้าม คุณอาจเกิดประสบการณ์ทางความรู้สึกคล้ายได้ขยายขอบเขตตนเองด้วยชีวิตใหม่ที่ยกระดับขึ้นเหนือเพดานจำกัดของชีวิตเก่าเพราะสังคมจะให้ความสำคัญว่าหน้าตาของลูกน้อยก็คือหน้าตาของผู้ทำให้เขามาเกิดอย่างคุณนั่นเองลูกวิเศษได้แค่ไหน คุณก็วิเศษได้แค่นั้นในฐานะที่สร้างสิ่งวิเศษขึ้นในโลกได้เหมือนเช่นที่ลาสโลไม่เคยเสียใจที่ตัวเองฉลาดน้อยกว่าลูกสาวคนสุดท้องวัย ๕ ขวบเขาปีติลิงโลดด้วยซ้ำที่แพ้หมากรุกเธอได้จะมีพ่อแม่สักกี่คนในโลกที่สร้างลูกให้เก่งกว่าตัวเองได้ภายในเวลาเพียง ๕ ปีนับจากศูนย์?!?นั่นคือกรณีศึกษาที่จับต้องได้แบบโลกๆคราวนี้มาว่าถึงเรื่องของเรากันถ้าอยากมีลูกในแบบที่เจริญสติได้ต้องทำอย่างไร?ประการแรก คุณต้องทำตัวเป็นแดนเกิดที่แน่นอนหมายความว่า คุณจะต้องเป็นนักเจริญสติด้วยตัวเองก่อนกับทั้งตั้งใจไว้ก่อนลูกเกิดด้วยว่าเด็กคนใดมาเกิดกับคุณก็ตามก็จะเลี้ยงดูเขาให้โตขึ้นมาบนเส้นทางนักเจริญสติถ้าคู่ครองของคุณไม่ได้เป็นนักเจริญสติไม่เป็นไรขออย่างเดียวอย่ามีแววเป็นนักขัดขวางการเจริญสติก็แล้วกันสามีภรรยาบางคู่ที่มีลูกยากใช้วิธีร่วมกันให้ทานไม่เลือกหน้าอภัย (ด้วยใจ) ทุกกรณีไม่มีเงื่อนไขกับทั้งถือศีล ๕ บริสุทธิ์ พร้อมตั้งจิตแน่วแน่ว่าจะกระทำตนเป็นแดนเกิดให้กับผู้มีบุญขอผู้มีบุญจงมาเกิดเพื่อต่อบุญในพุทธศาสนาเราจะเลี้ยงดูให้อยู่บนเส้นทางสู่สวรรค์นิพพานอย่างดีเท่านี้ก็เกิดคลื่นดึงดูดอันทรงพลังแล้วเพียงไม่นานก็ติดลูกได้และลูกก็โตขึ้นมีแววรักธรรมะอย่างชัดเจนด้วยนั่นก็เพราะแต่ละวันแต่ละเดือนเทวดาดีๆที่ถึงเวลาจุติลงมาเกิดมีอยู่ไม่น้อยเมื่อได้แรงเรียกจากแดนเกิดที่หนักแน่นทรงพลังพอกรรมก็จัดสรรส่งมาเข้าท้องโดยไม่ต้องรีรออะไรแต่หากคุณขาดปัจจัยในการเป็นแดนเกิดที่แน่นอนเช่น เป็นชาวพุทธที่เลื่อมใสศรัทธาในพระพุทธเจ้าทำทานและรักษาศีลพอประมาณแล้วก็ไม่ได้กระตือรือร้นจะให้ลูกรู้จักการเจริญสติแต่วัยเยาว์ผลคือแรงดึงดูดจะมีความกวัดแกว่งกรรมเก่าของคนที่จะมาเกิดด้วยอาจเป็นแค่ชาวพุทธผู้มีความเลื่อมใสในการใส่บาตรพระและสวดมนต์เก่งตั้งแต่ตัวยังน้อยแต่โตขึ้นหน่อยอาจกลายเป็นเด็กสงสัยโลกหรือผู้ใหญ่ที่มองไม่เห็นประโยชน์ชัดๆของการรักษาศีลไม่แตกต่างจากมนุษย์ธรรมดาทั่วไปคนหนึ่งประการที่สอง คุณต้องทำตัวเป็นผู้สนับสนุนที่แน่นอนหมายความว่า ควรจุดประกายความสนใจให้กับลูกด้วยวิธีที่แยบยลและเป็นไปได้จริงเช่น สวดมนต์ไหว้พระบ่อยๆ ใส่บาตรบ่อยๆนั่งสมาธิและเดินจงกรมบ่อยๆโดยให้ลูกเข้ามามีส่วนร่วมรู้เห็นด้วยพอทำกิจกรรมอันเป็นบุญเหล่านั้นเสร็จก็ให้ลูกรู้สึกถึงผลดีที่ชัดเจนเช่น เข้ามากอดลูกอย่างทะนุถนอมและบอกเขาว่า พ่อ/แม่ แบ่งความสุขให้ลูกนะกระแสความสุขที่เป็นของจริงจะกลายเป็นประสบการณ์ตรงกระตุ้นความสนใจแก่เด็กให้อยากทำอะไรแบบเดียวกันด้วยตนเองและในวัยเด็กนั้น จะไม่มีทางเลี่ยง ไม่มีทางไม่อยากทำได้แบบพ่อแม่เลยทั้งนี้ เราสันนิษฐานไว้ก่อนด้วยว่าถ้าคุณเป็นแดนเกิดที่แน่นอนก็จะไปดึงดูดเอาคนที่พร้อมจะสนใจในการเจริญสติมาอยู่ด้วยอยู่แล้วมันจะเหมือนใจเขาเป็นน้ำมันเชื้อเพลิงอยู่ทั้งดวงแล้วคุณโหมก่อไฟธรรมะให้ลุกโพลงขึ้นเต็มบ้านอย่างไรใจเขาก็ต้องโชติช่วงสว่างไสวขึ้นแน่ๆตั้งแต่วัยสองสามขวบที่เพิ่งเริ่มรู้ความได้นั่นแหละ!ประการที่สาม คุณต้องทำตัวเป็นแบบอย่างที่แน่นอนหมายความว่า คุณอยากให้ลูกเป็นอย่างไรต้องเป็นแบบนั้นให้ได้ก่อนพฤติกรรมของคุณต้องเป็นอุปกรณ์สอนชิ้นแรกส่วนคำสั่งสอนและคำตักเตือนเอาไว้ให้เป็นอุปกรณ์สอนชิ้นรองและการลงโทษจะเป็นอุปกรณ์สอนชิ้นสุดท้ายหลังหมดทางเลือกคำสบถหยาบๆคายๆด่าคนบนถนนเพียงคำเดียวที่ลูกได้ยินตอนคุณขับรถพาเขาไปส่งโรงเรียนอาจทำลายคำสอนที่แสนสุภาพของคุณได้เป็นร้อยคำแต่การที่คุณไม่เผลอสบถคำด่าออกมาขณะโกรธแสดงถึงขันติในสถานการณ์ร้อนพิสูจน์ให้เห็นว่าคุณมีสติเป็นแบบอย่างจริงกระทั่งลูกไม่มีโอกาสได้ยินเสียงไร้สติของคุณสักครั้งนี่เรียกว่าสติเจริญที่ตัวคุณก่อนแล้วแปรเป็นพื้นสติให้ลูกในภายหลังสิ่งที่พึงระวังหลังจากสอนธรรมะกับลูกก็คือการประพฤติเป็นเยี่ยงอย่างของความเน่าในถ้าสอนอะไรลูกแล้วไม่ทำตามที่สอนให้เขาเห็นก็จงทราบเถิดว่าคุณคือต้นเหตุนิสัยปากว่าตาขยิบของลูกถ้าลูกโตขึ้นเป็นพวกปากว่าตาขยิบก็อย่าโทษใครอื่นนอกจากตัวเองขอให้ระลึกว่า ถ้าเรื่องที่ตื้นที่สุดคุณยังทำให้เขาเชื่อไม่ได้แล้วคุณจะไปทำให้เขาเชื่อเรื่องที่ลึกที่สุด เห็นไม่ได้ที่สุดอย่างนิพพานได้อย่างไรไม่มีคำบรรยายแสนหรูที่ไหนทำให้เด็กคนหนึ่งเชื่อเส้นทางสู่นิพพานได้ดีไปกว่าพฤติกรรมบนเส้นทางสู่นิพพานของพ่อแม่หรอกเมื่อเป็นแดนเกิดที่แน่นอน เป็นผู้สนับสนุนที่แน่นอนและเป็นแบบอย่างที่แน่นอนได้ก็พยากรณ์จากคุณสมบัติของตนเองล่วงหน้าเลยว่าลูกของคุณต้องเป็นผู้มีบุญญาธิการใหญ่ยิ่งเขาจะเติบโตอย่างมีคุณค่าเป็นอนันต์ทั้งกับตนเอง คนอื่น รวมทั้งคุณเองด้วยฉะนั้น ก็ต้องเตรียมใจไว้แต่เนิ่นๆว่าอย่าเสียใจลูกอาจเดินบนเส้นทางแห่งความรู้แจ้งยิ่งกว่าคุณและกลับมาบอกคุณด้วยความนุ่มนวลว่าเส้นทางของคุณยังไม่ตรงทางนิพพานเสียทีเดียวและเขาก็อาจตอบแทนพระคุณด้วยธรรมะในผ้าเหลืองไม่ใช่เงินทองจากสูทหรูอย่างที่พ่อแม่ทั้งโลกแอบคาดหวังหลายคนมักสงสัยกันเสมอว่าถ้าสร้างทางไปนิพพานที่แน่นอนได้ขนย้ายผู้คนไปนิพพานกันหมดแล้วจะเหลือเชื้อของแดนเกิดให้ใครมาต่อบุญเล่า?อันนี้ขอให้สบายใจได้นะครับไม่ต้องนับสรรพสัตว์ที่ยังเหลือเป็นอนันต์เอาแค่มนุษย์หกพันกว่าล้านตอนนี้ที่จะได้ฟังสัทธรรมของจริงด้วยใจเคารพรับรองว่าน้อยกว่าล้านส่วนที่ฟังสัทธรรมแล้วเลื่อมใสอยากไปนิพพานน่าจะมีน้อยกว่าหนึ่งในร้อยส่วนที่อยากไปนิพพานแล้วพบทางตรง กับทั้งทำความเข้าใจได้ตรงกับสติปัฏฐาน ๔น่าจะมีน้อยกว่าหนึ่งในพันและส่วนสุดท้ายเมื่อจูนตัวเองมาตรงกับสติปัฏฐานได้แล้วที่จะบำเพ็ญเพียรอย่างต่อเนื่องนั้นน่าจะมีน้อยกว่าหนึ่งในหมื่นหนึ่งในแสน ฉะนั้น อย่าห่วงเลยครับว่าจะไม่มีแหล่งกำเนิดให้ต่อบุญต่อบาปหลงเหลืออยู่ในสังสารวัฏกันอีกสมนัยกับที่พระพุทธเจ้าเคยตรัสไว้ว่าสัตว์เป็นอนันต์ในสังสารวัฏที่ขึ้นถึงฝั่งเกษมยังมีจำนวนน้อยนักและด้วยพระสัพพัญญุตญาณอันรู้แจ้งสรรพสิ่งแห่งพระองค์ยังไม่อาจเห็นที่สิ้นสุดของมหาสังสารวัฏนี้ได้เลยดังตฤณธันวาคม ๕๒ เรื่องน่าสนใจประจำฉบับ คอลัมน์ "ดังตฤณวิสัชนา" ฉบับนี้ฟังจากชื่อเรื่องอาจดูน่าตกใจสักนิดสำหรับคนทั่วไป 0_0!แต่สำหรับชาวพุทธแท้ที่เห็นการเกิดดับเป็นเรื่องธรรมดาแล้วคงเห็นพ้องต้องกันว่า "คุณดังตฤณ" ได้วิสัชนาเรื่องที่เป็นประโยชน์กับเราไม่น้อยเลยนะคะถ้าพร้อมแล้ว เรามาเตรียมตัวตายด้วยกัน ในตอน "การเตรียมตัวตายทำอย่างไร" ค่ะคอลัมน์ "สัพเพเหระธรรม" ฉบับนี้เป็นเรื่องสั้นๆ แต่ให้ข้อคิดที่ดีสำหรับผู้ที่ชอบเก็บเอาคำพูดของคนอื่นมาบั่นทอนกำลังใจตัวเองอยู่เสมอๆอ่านเรื่อง "เสียใจกับน้ำคำ" ของ "คุณธีรษา" แล้วรับรองว่าได้กำลังใจกลับมาแน่นอนค่ะ (^^,)vในที่สุด "เลือดกุหลาบ" ก็เดินทางมาถึงตอนจบแล้วนะคะใครที่กำลังใจจดใจจ่อรอทราบถึงที่มาที่ไปและบทสรุปของเรื่องราวระหว่างผู้หมวดหนุ่มตัวเอกของเรื่องและนิลรดาสาวคนรักเชิญคลิกอ่านที่คอลัมน์ "เรื่องสั้นอิงธรรมะ" กันได้เลยค่ะเมื่อของหายเพียงหนึ่งชิ้น แต่กลับมีผู้ถูกกล่าวหาว่าเป็นโจรถึง ๕ คนแล้วใครกันจะโจรตัวจริง? คอลัมน์ "ยารักษาใจ" ฉบับนี้ "คุณวิลาศินี" มีชาดกสนุกๆ มาเล่าให้ฟัง ในตอน "โจรจำเป็น" ค่ะ พบกันใหม่พฤหัสหน้าที่ //www.dlitemag.com นะคะสวัสดีค่ะ (^^)Website นิตยสารธรรมะใกล้ตัว ใหม่!//www.dharmamag.com