|
20 สิงหาคม 2553
|
|
|
|
การตรวจโครโมโซมของตัวอ่อน
(Preimplantation Genetic Diagnosis: P.G.D.) โรคทางพันธุกรรมนั้นเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้เสมอกับทุกๆครอบครัว ความผิดปกติบางประการส่งผลต่อชีวิต ทำให้ทารกเสียชีวิตตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดา หรือเสียชีวิตหลังจากคลอดออกมาแล้ว ในทางการแพทย์เราไม่สามารถเปลี่ยนแปลงพันธุกรรมได้ จึงได้พยายามที่จะทำการป้องกันไม่ให้เกิดโรค แต่ก็ยังไม่มีวิธีการใดที่สามารถป้องกันได้ดีและไม่สามารถป้องกันโรคทางพันธุกรรมทั้งหมดทุกโรคได้ ปัจจุบันโรคทางพันธุกรรมที่พบได้บ่อยเช่น Thalassaemia (ธาลัสซีเมีย) ซึ่งเป็นโรคทางพันธุกรรมที่ทำให้เกิดเม็ดเลือดแดงผิดปกติ มีผลให้เกิดภาวะโลหิตจาง ซึ่งบางรายมีอาการรุนแรงจนถึงขึ้นเสียชีวิต การป้องกันเบื้องต้นคือเมื่อทราบว่าตนเองเป็นธาลัสซีเมียหรือพาหะ ก็ไม่เลือกคู่ครองที่เป็นโรคธาลัสซีเมียหรือเป็นพาหะเหมือนกัน ซึ่งเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงได้ยาก การมีบุตรที่เกิดจากคู่สมรสเหล่านี้จึงอาจต้องพึ่งพาเทคโนโลยีทางการแพทย์ โดยการขอใช้เซลล์ไข่หรืออสุจิบริจาค แทนที่เซลล์สืบพันธุ์ของตนเองที่มีความผิดปกติแฝงอยู่ เพื่อการสร้างตัวอ่อนที่ปราศจากโรคถ่ายทอดทางพันธุกรรม ซึ่งสามารถทำได้โดยวิธีการฉีดเชื้ออสุจิหรือการทำปฏิสนธิภายนอกร่างกาย (เด็กหลอดแก้ว) ส่วนโรคทางพันธุกรรมอื่นๆ เช่น Downs Syndrome (ดาวน์ซินโดรม) Edwards Syndrome (เอ็ดเวิร์ดซินโดรม) Pataus Syndrome (พาทาวซินโดรม) หรือโรคที่เกี่ยวข้องกับความผิดปกติของโครโมโซมอื่นๆ ที่ส่งผลรุนแรงต่อทารก ทำให้เกิดภาวะปัญญาอ่อน ซึ่งเราไม่สามารถป้องกันได้สำหรับการตั้งครรภ์ที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ เพราะเกิดจากความผิดปกติในเซลล์ไข่ ปัจจุบันจึงต้องทำการตรวจวินิจฉัยความผิดปกติเหล่านี้ในหญิงตั้งครรภ์ทุกราย โดยการตรวจน้ำคร่ำ ซึ่งจะสามารถทำได้ในระยะไตรมาสที่สองของการตั้งครรภ์ หากผลการตรวจพบว่าทารกมีความผิดปกติ แม้ผู้ป่วยมีสิทธิที่จะเลือกให้การตั้งครรภ์ที่ทารกผิดปกตินั้นสิ้นสุดลงหรือดำเนินต่อไป แต่ทั้งสองทางเลือกก็เป็นสิ่งที่ไม่พึงปราถนาสำหรับทุกคน สำหรับทารกที่เกิดมาพร้อมกับความผิดปกติทางพันธุกรรม ทางการแพทย์ก็ได้พยายามหาวิธีการรักษาอย่างต่อเนื่อง แต่การรักษาให้หายขาดหรือกลับมามีพันธุกรรมปกตินั้นยังเป็นไปไม่ได้ในขณะนี้ เราเพียงสามารถรักษาแบบประคับประคอง เพื่อช่วยให้คุณภาพชีวิตของผู้ป่วยดีขึ้น และมีโอกาสที่จะมีชีวิตยืนยาวมากขึ้นเท่านั้น ดังนั้นมาตรการต่างๆจำนวนมากได้ถูกพัฒนาเพื่อหลีกเลี่ยงการทำแท้งทารกที่มีโครโมโซมผิดปกติ ทางเลือกใหม่ในปัจจุบันที่เรียกว่า Preimplantation genetic diagnosis: PGD (การวินิจฉัยพันธุกรรมของตัวอ่อนก่อนการฝังตัว) ได้ให้ทางเลือกที่เหมาะสมและยอมรับได้มากกว่าสำหรับครอบครัวที่มีตัวอ่อนที่ผิดปกติ แต่ข้อจำกัดคือไม่สามารถทำการตรวจได้ในการตั้งครรภ์เองตามธรรมชาติ เพราะหลักการคือตรวจวินิจฉัยตัวอ่อนก่อนการฝังตัวและเกิดเป็นทารก วิธีการนี้จึงต้องทำการปฏิสนธิเซลล์ไข่และอสุจิภายนอกร่างกาย และทำการเพาะเลี้ยงตัวอ่อนจนจะเจริญเติบโตมาถึงระยะบลาสโตซิสท์ ซึ่งต้องใช้เวลาอย่างน้อย 5 วัน ซึ่งในระยะนี้ตัวอ่อนจะมีจำนวนเซลล์มากถึง 120 -150 เซลล์ และเซลล์ภายในตัวอ่อนจะมีการจัดเรียงเซลล์เป็นเซลล์ชั้นนอกที่อยู่ปกคลุมล้อมรอบตัวอ่อน เรียกว่า Trophectoderm ซึ่งเป็นเซลล์ที่จะพัฒนาไปเป็นส่วนรกของทารก และเซลล์ที่อยู่ภายในที่บริเวณขั้วของตัวอ่อนเรียกว่า Inner cell mass ซึ่ง เซลล์ส่วนนี้ต่อมาภายหลังจะพัฒนาไปเป็นตัวอ่อนหรือตัวทารกนั่นเอง ในการทำ Blastocyst biopsy (การนำเซลล์ของตัวอ่อนระยะบลาสโตซิสท์จำนวนหนึ่งออกมาทำการตรวจ) นั้นมีจุดประสงค์คือนำเซลล์ส่วนที่จะพัฒนาไปเป็นรกออกมาตรวจตรวจวิเคราะห์ทางพันธุกรรม โดยอาจนำออกมาเป็นจำนวนมากถึง 10 เซลล์เพื่อให้ผลการตรวจที่มีความถูกต้องแม่นยำสูง ภายหลังจากที่ทำการนำเซลล์จากตัวอ่อนออกมาตรวจแล้ว ตัวอ่อนนั้นจะถูกเพาะเลี้ยงต่อไปในห้องทดลองเพื่อรอผลการวินิจฉัยพันธุกรรม วิธีการตรวจสามารถทำได้โดยการใส่สารประกอบที่จะทำให้เกิดปฏิกริยาตอบสนองต่อโครโมโซมแต่ละตัวลงไปบนนิวเคลียส ซึ่งสารประกอบแต่ละตัวนี้จะเรียกว่า Chromosome-specific probe ซึ่งจะมีการจับตัวทางเคมีกับสารเรืองแสง (Fluorescent compound หรือ Fluorescent-labelled) หลังจากนั้นจะนำไปตรวจภายใต้กล้องจุลทรรศน์ชนิดพิเศษที่สามารถมองเห็นการเรืองแสงได้ โดยจะเห็นโครโมโซมแต่ละตัวมีการเรืองแสงเป็นสีต่างๆกัน ซึ่งจะช่วยให้สามารถทำการวินิจฉัยความผิดปกติของโครโมโซมได้ ในปัจจุบันมี Probes สำหรับตรวจโครโมโซม X , Y และสำหรับโครโมโซมคู่อื่นๆจำนวนมาก ได้แก่ โครโมโซมคู่ที่ 1, 4, 6, 7, 13, 14, 15, 16, 17, 18, 21, และ 22 ซึ่งจะช่วยให้เราสามารถทำการตรวจโครโมโซมจำนวนมากได้เพียงแค่ใช้เซลล์จากตัวอ่อนเพียง 5 -10 เซลล์เดียว ผลการตรวจจะทราบผลภาย 8 12 ชั่วโมง แพทย์จะเลือกตัวอ่อนที่ตรวจแล้วว่าปราศจากโรคทางพันธุกรรมเท่านั้นใส่กลับคืนสู่โพรงมดลูกของแม่ให้ เพื่อให้เกิดการตั้งครรภ์ต่อไป
โรคที่ต้องตรวจคัดกรอง ในการทำ PGD นั้นโรคทางพันธุกรรมต่างๆจะได้รับการวินิจฉัย รวมทั้งโครโมโซมเพศของตัวอ่อนด้วยในกรณีที่มีโรคที่ถ่ายทอดทางโครโมโซมเพศ ซึ่งโรคที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรมผ่านโครโมโซม X (X-linked recessive disease) นั้นพบว่ามีมากกว่า 300 ชนิด โดยปกติแล้วทารกเพศหญิงจะเป็นโรคก็ต่อเมื่อโครโมโซม X ทั้งสองตัวนั้นมีความผิดปกติทั้งคู่ แต่เนื่องจากทารกเพศชายมีโครโมโซม X เพียงตัวเดียว ดังนั้นทารกเพศชายจึงจะเป็นโรคเสมอไม่ว่าจะได้รับโครโมโซม X ที่ผิดปกติมาจากพ่อหรือแม่ที่ผิดปกติก็ตาม หากสามารถใส่ตัวอ่อนเพศหญิงเท่านั้นกลับคืนสู่มดลูกให้ ทารกที่เกิดมาแม้ว่า 50% จะเป็นพาหะของโรค แต่คู่สามีภรรยาก็จะสามารถมีบุตรได้โดยที่ทารกจะไม่ได้รับผลกระทบใดๆ PGD ในโรคถ่ายทอดทางพันธุกรรมอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องกับโครโมโซมเพศ ยกตัวอย่างเช่น Sickle cell anaemia, Tay-Sachs disease, Hemophillia และ Cystic fibrosis นั้น ปัจจุบันสามารถที่จะทำการตรวจได้ เมื่อไม่นานมานี้มีรายงานการคลอดทารกแฝดซึ่งไม่เป็นโรค Sickle cell anaemia หลังจากใส่ตัวอ่อนที่ได้รับการตรวจ PGD แล้วกลับคืนสู่มดลูกให้ เทคนิคอื่นๆในการวินิจฉัยโครโมโซมผิดปกติได้แก่ การตรวจความผิดปกติของจำนวนโครโมโซม เช่น Downs syndrome และการเคลื่อนตำแหน่งของโครโมโซม ซึ่งมีการนำมาใช้อย่างแพร่หลายในการตรวจ PGD ในปัจจุบัน การตรวจ PGD นั้นได้มีการพัฒนามากว่า 10 แล้ว และก็ได้มีทารกจำนวนมากที่ได้เกิดมาด้วยกระบวนการดังกล่าว ซึ่งในปัจจุบันมีสถาบันที่ให้บริการเช่นนี้อยู่หลายแห่งทั่วโลก ไม่ต้องสงสัยเลยว่าการทำ PGD นั้นถือเป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับนักพันธุศาสตร์มากเพียงใด ซึ่งพัฒนาการของการทำ PGD นั้นมีความผูกพันกับเทคโนโลยีช่วยเหลือการเจริญพันธุ์อย่างใกล้ชิด ในอนาคตเราอาจสามารถพัฒนา Probe ชนิดพิเศษซึ่งจะสามารถตรวจวินิจฉัยยีนและโครโมโซมได้อย่างกว้างขวางมากยิ่งขึ้น เพื่อที่จะสามารถคัดเลือกเฉพาะตัวอ่อนที่สุขภาพดีเท่านั้นสำหรับใส่กลับคืนสู่มดลูกให้ โดยเฉพาะในกลุ่มหญิงที่ตั้งครรภ์เมื่อมีอายุมาก ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีอัตราการเกิดความผิดปกติในตัวอ่อนสูง นอกจากนี้การใส่ตัวอ่อนที่มีสุขภาพดีเท่านั้นยังช่วยเพิ่มผลสำเร็จในการตั้งครรภ์และการคลอดทารกที่สุขภาพดี ในปัจจุบันได้มีการพัฒนาการเพาะเลี้ยงตัวอ่อนจนเจริญเติบโตถึงระยะบลาสโตซิสท์ได้ ก่อนที่จะทำการย้ายตัวอ่อนกลับสู่โพรงมดลูก ด้วยวิธีนี้ช่วยให้เรามีโอกาสมากขึ้นในการตรวจตัวอ่อนในระยะที่มีการเจริญเติบโตดีที่สุด วิวัฒนาการดังกล่าวนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงในกระบวนการ PGD ยกตัวอย่างเช่น การดูดเซลล์ของตัวอ่อนในระยะบลาสโตซิสท์ยังช่วยให้สามารถนำเซลล์ออกมาได้จำนวนมากกว่า จึงสามารถให้ความถูกต้องแม่นยำในการตรวจได้มากกว่า
Create Date : 20 สิงหาคม 2553 |
Last Update : 20 สิงหาคม 2553 10:53:33 น. |
|
2 comments
|
Counter : 2377 Pageviews. |
|
|
|
|
โดย: Poopajung IP: 192.168.10.58, 61.7.225.26 วันที่: 21 มิถุนายน 2554 เวลา:12:13:22 น. |
|
|
|
| |
|
|
DR.TONGTIS |
|
|
|
Location :
กรุงเทพฯ Thailand
[ดู Profile ทั้งหมด]
|
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
ผู้ติดตามบล็อก : 4 คน [?]
|
B.Sc. Chulalongkorn University, Bangkok Thailand 1974-1978. M.D. Chulalongkorn University, Bangkok Thailand 1979-1980. Diploma Board of Obstetrics and Gynecology. Chulalongkorn University, Bangkok Thailand 1981-1983. Postdocteral Fellow Training. Queen's Mother Hospital, Glasgow Scotland. Postdocteral Fellow Training.King's College Hospital, London. UK. Postdocteral Fellow Training. Department of Obstetrics and Gynecology and Department of Radiology. John Hopkins Hospital, John Hopkins University.
|
|
|