อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ทุกสิ่งไม่เที่ยง ทุกสิ่งเป็นทุกข์ และทุกสิ่งไม่เป็นตัวตน
ทุกวันนี้..รักษากายให้แข็งแรง..เพื่อให้ใจได้มีโอกาสทำความดีให้มากและนานที่สุด
ยินดีต้อนรับเข้าสู่โลกของคนสองเงา ®
รักมาก..ก็ให้อภัยมาก..
เรามีความตายอยู่เบื้องหน้า..หายใจเข้าก็ต้องตาย..หายใจออกก็ต้องตาย
จงใช้ชีวิตให้คุ้มค่าและตั้งอยู่บนความไม่ประมาท..ทุกลมหายใจ

emoemoหลวงพ่อปัญญานันทภิกขุท่านพูดเสมอว่า "งานต้องทำ ทำจนไม่มีลมหายใจ ลำบากแค่ไหนก็ต้องอดทน และทำต่อไป"จำขึ้นใจครับemoemo
อดีตแก้ไขปัจจุบันได้ เป็นกำลังใจให้เพื่อนๆ เด้ครับ สู้ๆ ความสุข..ไม่ได้จบเพียงแค่เราสมปรารถนากับสิ่งที่คาดหวัง.. ความสุข..จบที่คำว่า..พอเพียง..
Group Blog
 
<<
มกราคม 2550
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28293031 
 
5 มกราคม 2550
 
All Blogs
 
เงินดอลลาร์ กับความเสี่ยง

คอลัมน์ ระดมสมอง โดย เพสซิมิสท์วันที่ 04 มกราคม พ.ศ. 2550 ปีที่ 30 ฉบับที่ 3859 (3059)



หากจะให้สรุปให้ฟังอย่างที่จะทำให้เข้าใจมากที่สุดว่าสภาวการณ์ของเศรษฐกิจโลกในช่วง 10 ปีที่ผ่านมานั้นแตกต่างจากเศรษฐกิจสมัยก่อนหน้าอย่างไร ก็จะต้องแยกคำตอบออกมาเป็น 3 ประเด็นคือ

1.การล่มสลายของโลกสังคมนิยมคอมมิวนิสต์ทำให้มีทรัพยากรแรงงานเข้ามาสู่โลกทุนนิยมเป็นจำนวนมหาศาล ผลคือเงินเดือนไม่ปรับขึ้น ราคาสินค้าไม่ปรับขึ้นและปัญหาเงินเฟ้อกลายเป็นปัญหาของอดีตไม่ใช่ปัญหาปัจจุบันหรืออนาคต

2.พัฒนาการของเทคโนโลยี อินเทอร์เน็ตและโทรคมนาคมส่งผลให้โลกใบนี้เล็กลงและมีประสิทธิภาพในการผลิตสูงขึ้น สามารถกระจายการผลิตได้ทั่วโลก บริษัทขนาดเล็กที่มีความชำนาญพิเศษเฟื่องฟูและสามารถแข่งขันกับบริษัทใหญ่ได้ การแข่งขันโดยการตัดราคาทวีความรุนแรงยิ่งขึ้นประเทศต่างๆ ไม่สามารถหลีกเลี่ยงกระแสโลกาภิวัตน์ได้และเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เงินเฟ้อของโลกมีแนวโน้มปรับลดลง

3.สหรัฐใช้จ่ายเกินตัวจนเกิดปัญหาการขาดความสมดุลของเศรษฐกิจโลก การขาดดุลบัญชีเดินสะพัดของสหรัฐที่เพิ่มขึ้นอย่างไม่หยุดยั้งทำให้สหรัฐแปลงสภาพจากประเทศเจ้าหนี้เป็นมหาอำนาจในเชิงของการเป็นลูกหนี้และปัจจุบันก็ยังขาดดุลบัญชีเดินสะพัดหรือบริโภคเกินตัววันละ 3,500 ล้านเหรียญสหรัฐ ข้อดีคือหากสหรัฐมิได้เป็นเจ้ามือในการบริโภค (consumer of last resort) เศรษฐกิจโลกน่าจะประสบปัญหาอุปสงค์ขาดแคลน ตามมาด้วยปัญหาเงินฝืด ทำให้การปรับตัวเข้าสู่โลกแห่งโลกาภิวัตน์กระทำได้ด้วยความยากลำบากกว่าที่ผ่านมาอย่างมาก


เมื่อกระแสโลกาภิวัตน์บวกกับการเข้าสู่โลกทุนนิยมของประเทศสังคมนิยมทำให้เงินเฟ้ออยู่ในระดับต่ำ ธนาคารกลางสหรัฐจึงสามารถเพิ่มสภาพคล่องเพื่อให้เครดิตกับคนอเมริกันบริโภคเกินตัวได้อย่างเกือบไม่มีที่สิ้นสุดจนกระทั่งปัจจุบันตลาดพันธบัตรสหรัฐก็ยังเรียกร้องให้ธนาคารกลางสหรัฐปรับดอกเบี้ยลงเพื่อให้การบริโภคเกินตัวที่ได้กระทำกันมาโดยตลอด 10 ปีนั้นสามารถดำเนินต่อไปได้ กล่าวคือผลตอบแทน (หรือดอกเบี้ยที่ได้รับ) จากการถือพันธบัตรรัฐบาลอายุ 2-10 ปีนั้นเท่ากับ 4.5-4.6% ซึ่งต่ำกว่าดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลาง (ได้แก่ดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่างธนาคารข้ามคืน) ที่ตรึงเอาไว้ที่ 5.25% ฝ่ายที่เรียกร้องให้ธนาคารกลางสหรัฐปรับลดดอกเบี้ยโดยเร็วนั้นขู่ว่าหากดอกเบี้ยนโยบายไม่ปรับลดลงภายในกลางปีหน้า การขยายตัวของเศรษฐกิจสหรัฐก็จะสะดุด (หรือที่เรียกว่า hard landing) และอาจเข้าสู่สภาวะหดตัว (หรือ recession) ก็เป็นได้

ธนาคารกลางสหรัฐนั้นกลับส่งสัญญาณว่ายังเป็นห่วงปัญหาเงินเฟ้อมากกว่าจึงไม่ยอมที่จะพูดถึงการลดดอกเบี้ยลงในขณะนี้ แต่ดังที่กล่าวข้างต้นปัญหาโดยรวมของเศรษฐกิจสหรัฐหรือแม้กระทั่งเศรษฐกิจโลกก็ตาม ไม่น่าจะเป็นปัญหาที่สืบเนื่องมาจากเงินเฟ้อเพราะกระแสโลกาภิวัตน์และแรงงานจากประเทศสังคมนิยม (ซึ่งเวียดนามที่มีพลเมือง 83 ล้านคนเป็นสมาชิกรายใหม่) จะยังทำให้การขาดแคลนแรงงานซึ่งเป็นปัจจัยหลักในการผลักดันให้เกิดปัญหาเงินเฟ้อเรื้อรัง เช่นสมัย 1970-1980 นั้นเป็นไปได้ยากใน 5-10 ปีข้างหน้า ธนาคารกลางสหรัฐนั้นดำเนินนโยบายถูกต้องที่ไม่ยอมลดดอกเบี้ย แต่ไม่ควรอธิบายว่าเพราะเป็นห่วงเรื่องเงินเฟ้อเพราะปัญหาหลักๆ คือ การบริโภคเกินตัวของประชาชนสหรัฐ ดังนั้นจึงต้องตรึงดอกเบี้ยเอาไว้เพื่อให้การแตกสลายของฟองสบู่ในภาคอสังหาริมทรัพย์ของสหรัฐกดดันให้ประชาชนสหรัฐลดการบริโภคและเพิ่มการออม ซึ่งจะช่วยส่งผลให้สหรัฐก้าวไปสู่การลดการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดซึ่งสูงถึง 830,000 ล้านเหรียญในปี 2006 นี้เทียบเท่ากับ 6.5% ของจีดีพีของสหรัฐ หมายความว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะต้องขยายตัวต่ำกว่าปกติคือขยายตัวสัก 20% แทนที่จะขยายตัว 3% ต่อไปอีกหลายปีเพื่อลดการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดให้เหลือประมาณ 2.0-2.5% ของจีดีพีเศรษฐกิจสหรัฐและเศรษฐกิจโลกจึงจะกลับมาสู่ความสมดุลอีกครั้งหนึ่ง

แต่การลดลงดังกล่าวย่อมจะทำให้ประเทศที่พึ่งพาตลาดสหรัฐ (เช่นไทยที่ส่งออกสินค้าไปสหรัฐมูลค่า 750,000 ล้านบาท หรือ 9.5% ของ จีดีพี) จะต้องยอมรับสภาพว่ามูลค่าและปริมาณสินค้าที่ขายไปให้กับสหรัฐนั้นจะต้องปรับลดลง กลไกตลาดนั้นเริ่มปรับตัวเข้าไปสู่สภาวะดังกล่าวแล้ว โดยการปรับลดค่าเงินเหรียญสหรัฐกับเงินสกุลอื่นๆ ทุกสกุลไม่ใช่เงินบาทสกุลเดียว (แต่บาทแข็งขึ้นรวดเร็วมากในปีนี้ ซึ่งแบงก์ชาติได้ออกมาปลอบใจว่าหากพิจารณาย้อนหลังไปถึงต้นปี 2005 ค่าเงินบาทก็ไม่ได้แข็งขึ้นไปมากกว่าประเทศอื่นๆ ในเอเชีย ซึ่งอาจทำให้บางคนสบายใจแต่ผู้ส่งออกที่ต้องพยายามขายสินค้าวันนี้พรุ่งนี้คงจะไม่ได้รู้สึกสบายใจขึ้นเท่าไหร่) กล่าวคือตลาดเงินกำลังลดกำลังซื้อของชาวอเมริกันเพื่อให้ลดการใช้จ่ายเกินตัวลง ซึ่งเป็นทิศทางของการปรับตัวไปสู่ดุลยภาพทางเศรษฐกิจที่ถูกต้อง ดังนั้นจึงไม่น่าจะพยายามไปคิดว่าเราจะต้องหามาตรการแก้ไข "ปัญหา" ดอลลาร์อ่อน เว้นแต่เราจะเห็นดีเห็นงามกับการเกื้อกูลให้คนสหรัฐนำสินค้าของเราไป บริโภคเกินตัวโดยแลกกับการที่เรา (คือ ธนาคารกลาง) จะต้องนำเอาเงินดอลลาร์ซึ่งนับวันจะไร้ค่ามาเก็บเอาไว้เพิ่มขึ้นจากที่มีอยู่ถึง 70,000 ล้าน เหรียญแล้วในขณะนี้

ดังนั้นจึงไม่ควรเรียกว่าค่าเงินบาทแข็งแต่ควรเข้าใจว่าค่าเงินดอลลาร์ต้องอ่อนตัวเพราะคนสหรัฐไม่ควรใช้จ่ายเกินตัวต่อไปอีกแล้ว แต่หากธนาคารกลางของประเทศเอเชียยังจะเข้าไป "แทรกแซง" ซื้อเงินดอลลาร์มาเก็บเอาไว้ในทุนสำรองเพื่อให้เงินดอลลาร์ไม่อ่อนค่า (หรือค่าเงินของตนไม่แข็งค่า) ก็เท่ากับการเข้าไปอุดหนุนการบริโภคเกินตัวและไม่ยอมรับความเป็นจริงนั่นเอง เมื่อธนาคารกลางพยายามฝืนกลไกตลาดที่ผลักดันให้เกิดการปรับตัวไปสู่ดุลยภาพ นักเก็งกำไรก็จะเห็นโอกาสในการทำกำไรโดยลงทุนตามแนวโน้มตลาดเพื่อเดิมพันว่าธนาคารกลางจะไม่สามารถฝืนกลไกตลาดได้ตลอดไป

การฝืนการปรับตัวของกลไกตลาดนั้นอาจประสบความสำเร็จในช่วงสั้นๆ แต่ย่อมจะทำให้ความไม่สมดุลเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ เช่น หากธนาคารเอเชียทำให้ค่าเงินดอลลาร์แข็งตัวก็จะช่วยให้ผู้บริโภคสหรัฐใช้จ่ายเกินตัวได้ต่อไป และดังที่กล่าวข้างต้นประเทศสหรัฐก็จะสร้างหนี้วันละ 3,500 ล้านเหรียญทุกวัน หากเราช่วยกันแทรกแซงให้เงินดอลลาร์แข็งไปอีก 2 ปี สหรัฐก็จะมีหนี้เพิ่ม (หรือเราจะต้องเป็นเจ้าหนี้เพิ่ม) ขึ้นอีก 1.6-1.7 ล้านล้านเหรียญ เป็นต้น หมายความว่าปัญหาความไม่สมดุลนี้หากปล่อยให้ยืดเยื้อออกไป ปัญหามิใช่จะลดน้อยลงหรืออยู่คงที่แต่ปัญหาจะทวีความรุนแรงและแก้ไขได้ยากขึ้น

หากมองจากทรรศนะของนักเศรษฐศาสตร์ค่าย monetarist ที่มี Milton Friedman ที่ล่วงลับไปแล้วเป็นผู้ก่อตั้ง ก็จะต้องวิเคราะห์ว่าการปรับอ่อนค่าของเงินดอลลาร์นั้นเป็นการแสดงออกว่าธนาคารกลางสหรัฐนั้นเพิ่มปริมาณของเงินเข้าสู่ระบบมากเกินไป เมื่อมีปริมาณเงินส่วนเกินก็ย่อมทำให้ค่าของเงินเสื่อมลง ไม่ว่าจะเป็นในรูปของการเพิ่มขึ้นของเงินเฟ้อหรือการลดค่าเงินเมื่อเทียบกับเงินสกุลอื่นๆ ก็ตาม หากมองเช่นนี้ก็จะต้องกล่าวในทางกลับกันว่าธนาคารกลางของสหรัฐนั้นควรจะต้องปรับดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น การยืนดอกเบี้ยที่อัตราปัจจุบันนั้นถือได้ว่าเป็นนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายเกินไป ซึ่งถูกสะท้อนออกมาโดยการปรับลดลงของค่าเงินดอลลาร์อย่างต่อเนื่อง

การอ่อนตัวลงของเงินดอลลาร์นั้นมีภัยอันตรายอย่างมากในอีกมิติหนึ่ง คือ การเก็งกำไรของกองทุนบริหารความเสี่ยง หรือ hedge fund และการใช้อนุพันธ์ (derivation) หลากหลายชนิดเพื่อเพิ่มผลกำไรโดยการใช้เม็ดเงินของตัวเองน้อยแต่กู้เงินเป็นจำนวนมาก (financial leverage) ตัวอย่างเช่น อาจมี hedge fund หลายรายที่ทำ yen carry trade คือกู้เงินเยนที่ต้องจ่ายดอกเบี้ยเพียง 2% แล้วนำมาลงทุนในพันธบัตรสหรัฐที่จ่ายดอกเบี้ย 4.8% ซึ่งทำให้มีกำไรดีมากหากมีเงินต้นอยู่ สมมติว่า 10 ล้านเหรียญแล้วนำไปยืมเงินเยนสัก 10 เท่าของเงินต้นที่อัตราแลกเปลี่ยน 118 เยนต่อดอลลาร์ก็จะทำให้เป็นหนี้ 11,800 ล้านเยนและมีภาระดอกเบี้ยเท่ากับ 118 ล้านเยนในช่วง 6 เดือน (หากกู้ยืมที่ดอกเบี้ย 2% ต่อปี) แต่เงิน 100 ล้านเหรียญนั้นหากนำไปซื้อพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐก็จะได้ผลตอบแทนเท่ากับ 2.4 ล้านเหรียญในช่วง 6 เดือนเดียวกัน หากอัตราการแลกเปลี่ยนดอลลาร์เยนไม่เปลี่ยนแปลง การลงทุนดังกล่าวจะทำกำไรเท่ากับ 2.4-1.0=1.4 ล้านเหรียญเท่ากับผลตอบแทน 14% ในช่วงการลงทุน 6 เดือนหรือ 28% ต่อปี ซึ่งเป็นผลตอบแทนที่ hedge fund พึงพอใจปัญหาคือเงินเยนแข็งขึ้นเป็น 115 เยนต่อดอลลาร์ ทำให้ดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายเพิ่มขึ้นเป็น 1.026 ล้านเหรียญแต่เงินต้นที่ต้องใช้คืนเป็นดอลลาร์เพิ่มเป็น 102.6 ล้านเหรียญเท่ากับว่าขาดทุนทั้งสิ้น เท่ากับ 2.4-(1.026+2.6)=1.226 ล้านเหรียญหรือ 12.3% ของเงินทุนในช่วงเวลาเพียง 6 เดือน

ปัญหาสำหรับระบบการเงินของโลกซึ่งอาศัยเงินดอลลาร์เป็นพื้นฐานคืออนุพันธ์ทางการเงินที่มีอยู่หลากหลายรูปแบบนั้นอาจมีมูลค่าของสัญญา (national value) สูงถึง 360 ล้านล้านเหรียญสหรัฐในปัจจุบัน ซึ่งเป็นทั้ง exchange traded derivative และ credit derivative ประเภทต่างๆ ที่มีการซื้อขายกันนอกตลาดหรือที่เรียกกันว่า over the counter นั่นเองมูลค่าของอนุพันธ์ประเภทต่างๆ นี้เพิ่มขึ้นจากประมาณ 5.5 ล้านล้านเหรียญในปี 1990 เป็น 77 ล้านล้านเหรียญในปี 2000 และเพิ่มขึ้น 65 เท่าในเวลาเพียง 15 ปีที่สำคัญคือมูลค่าของอนุพันธ์ทั้ง 360 ล้านล้านเหรียญสหรัฐนั้นอาศัยปริมาณเงินขั้นพื้นฐานหรือเม็ดเงินจากธนาคารกลางของสหรัฐเพียง 1.36 ล้านล้านเหรียญสหรัฐเท่านั้นเอง ความเสี่ยงคือหากอนุพันธ์มูลค่า 360 ล้านล้านเหรียญเกิดมีปัญหาและเกิดความเสียหายจากการลงทุนเพียง 10% ก็อาจทำให้เจ้าหนี้หรือคู่กรณีเรียกร้องเงินคืนทำให้ต้องหาเงินสดมาคืน แต่ในเมื่อมูลค่าของอนุพันธ์สูงมาก หากมีการเรียกสภาพคล่องคืนระบบก็อาจจะไม่สามารถตอบสนองได้ เพราะหากมีความต้องการสภาพคล่องเพียง 0.5% ของมูลค่าอนุพันธ์ทั้งหมดก็หมายถึงเม็ดเงินถึง 1.8 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งคิดเป็นมูลค่ามากกว่าปริมาณเงิน M1 ของสหรัฐที่มีอยู่ในปัจจุบัน

กล่าวโดยสรุปคือการอ่อนค่าของดอลลาร์หรือความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนนั้น อาจมิใช่เป็นปัญหาเฉพาะผู้ส่งออกและธนาคารกลางของเอเชีย แต่อาจส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อเสถียรภาพของระบบการเงินของโลกยุคโลกาภิวัตน์ได้


Create Date : 05 มกราคม 2550
Last Update : 11 ธันวาคม 2550 18:47:46 น. 2 comments
Counter : 580 Pageviews.

 

Photobucket - Video and Image Hosting

คิดสิ่งให้ สมปราถนานะค่ะ

มีสุขภาพ แข็งแรง

ตลอดไปนะค่ะ

หวัดดีค่ะ แวะมาเยี่ยมเยียน

หลับฝันดีค่ะ



โดย: STAR ALONE (STAR ALONE ) วันที่: 6 มกราคม 2550 เวลา:0:56:24 น.  

 


โดย: KyBlueSky วันที่: 17 มกราคม 2550 เวลา:8:08:17 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

KyBlueSky
Location :
นนทบุรี Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]





"อัตตนา โจทยัตตานัง จงเตือนตนด้วยตนเอง"

จงเตือนตนของตนให้พ้นผิด
ตนเตือนจิตตนได้ใครจะเหมือน
ตนเตือนตนเตือนไม่ได้ใครจะเตือน
ตนแชเชือนรีบเตือนตนให้พ้นภัย


คำสอนของพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต

สิ่งที่ล่วงไปแล้ว ไม่ควรทำความผูกพัน
เพราะเป็นสิ่งที่ล่วงไปแล้วอย่างแท้จริง
แม้กระทำความผูกพันและหมายมั่นให้สิ่งนั้น
กลับมาเป็นปัจจุบัน..ก็เป็นไปไม่ได้...
ผู้ทำความสำคัญมั่นหมายนั้นเป็นทุกข์แต่ผู้เดียว
โดยความไม่สมหวังตลอดไป
อนาคตที่ยังมาไม่ถึงนั้น
เป็นสิ่งไม่ควรไปยึดเหนี่ยวเกี่ยวข้องเช่นกัน

อดีตปล่อยไว้ตามอดีต อนาคตปล่อยไว้ตามกาลของมัน
ปัจจุบันเท่านั้นจะสำเร็จประโยชน์ได้
เพราะอยู่ในฐานะที่ควรทำได้ ไม่สุดวิสัย


องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงตรัสว่า
"นัตถิ โลเก อนินทิโต" คนที่ไม่ถูกนินทาเลยไม่มีในโลก



" สพฺเพ ธมฺมา นาลํ อภินิเวสาย
สิ่งทั้งหลายทั้งปวงไม่ควรยึดมั่นถือมั่น"

อุปสรรคย่อมแพ้ความพยายาม




ลูกรัก
คนฉลาด
เรียนรู้จากประสบการณ์ของผู้อื่น
ผู้เขลา
เรียนรู้จากประสบการณ์ของตัวเอง
เดรัจฉาน
เรียนรู้จากธรรมชาติ

ขออย่าให้ลูกของพ่อคนใด
หลงเดินทางผิด
ทั้งเผลอไผล
หรือโดยเจตนาใคร่ลองอยากรู้
เพราะชีวิต
ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ
นะลูกนะ

พ่อบู

จำคำที่พ่อบูบอกได้เสมอๆว่า

"ให้ทำดีเพื่อความดี
อย่าทำดีเพื่อให้คนอื่นเห็นว่าเราดี
หรือแค่เพื่อความสุขของจิตใจ
ให้ทำดี เพื่อความดีเท่านัน
ไม่ว่าผลลัพธ์จะออกมาอย่างไร
ให้จำไว้แค่ว่า เราได้ทำสิ่งที่ดีไปแล้ว"




emoเรื่องราวของหมื่นตา
เรื่องและภาพโดย --- กะว่าก๋า



จงอย่ากลัวว่าคนอื่นจะมองไม่เห็นความดีของเรา
แต่จงกลัวว่าเราจะไม่มีความดีนั้นอยู่จริงตามที่คนอื่นเห็น
จากบ้านคุณ เสี่ยวเหลียงจือ ครับ



วิริเย ทุกขมัจเจติ
คนจะล่วงทุกข์ได้เพราะความเพียร

นตฺถิ สนฺติ ปรํ สุขํ
สุขอื่นยิ่งกว่าความสงบไม่มีแล้วในโลกนี้

กมฺมุนา วตฺตตีโลโก...สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม
อยู่ในธรรมบ้างเถิดสัตว์โลกทั้งหลาย ชีวิตจะมีสุข


รักตัวเอง ก็ต้องไม่ทำให้ตนเองเป็นทุกข์.

-อยากอยู่เป็นสุข ต้องไม่เบียดเบียนผู้อื่น
-อยากเป็นคนงาม ต้องมีความอดทน สงบเสงี่ยม รักษาศีล
-อยากเป็นคนมั่งมี ต้อง ขยันหา รู้จักเก็บ รู้จักใช้สิ่งที่ควร ไม่คบคนพาล
- อยากอยู่เป็นสุขทุกตารางนิ้วของแผ่นดิน
ให้เดิน ยืน นั่ง นอน ด้วยความมีสติสัมปชัญญะ
รู้ตัว รู้กาย รู้ใจ ตลอดเวลา



อย่าจม...อยู่กับอดีต.....โดยพระพรหมมังคลาจารย์ (ปัญญานันทภิกขุ)
emo

ความทุกข์ความเดือดร้อนแก่ตนทั้งนั้น
คือ คิดด้วยความโง่เขลา ไม่ได้คิดด้วยปัญญา ในเรื่องอะไรต่างๆ
เรื่องบางเรื่องมันผ่านพ้นไปตั้งนาน แล้ว
แต่เราก็เอามาคิด พอคิดแล้วก็เกิดความไม่สบาย
ใจเป็นทุกข์ขึ้นมาก็เพราะเรื่องอย่างนั้น

บางคนถึงกับว่าน้ำตาไหล ถามว่าทำไมจึงน้ำตาไหล
แหมคิดถึงเรื่องเก่าแล้วฉันเศร้าใจเหลือเกิน...
ก็มันเรื่อง อะไรที่ไปคิดให้เศร้าใจ
อยู่ดีๆ ไม่ว่า ไปหาเรื่องให้เกิดความทุกข์ความเดือดร้อน



อตีตํ นานวาคเมยฺย นปฺปฏิกงฺเข อนาคตํ ปจฺจุปฺปนฺนญฺจ โย ธมฺมํ ตตฺถ ตตฺถ วิปสฺสติ
อย่าคิดถึงสิ่งที่ล่วงมาแล้ว อย่าคิดถึงสิ่งที่ยังไม่มาถึง


จากบ้านเพื่อนเวย์ครับ < ==คลิ๊กอ่านโลด
emo


ประกาศ!!


เรียน..มิตรสหายที่รักทุกท่าน



โปรดรักและดูแลตัวเองเป็นอย่างดีและสม่ำเสมอ

ด้วยรัก..หวังดี...ทุกสิ่งดีๆจากใจมอบให้คร้าบ
Oasiis With you จู๊บๆๆ

๗ กันยายน ๒๕๕๐


น้องพลับขอ 2 ^^

ขอทั้งความรักและมิตรภาพครับ ^^

ปล.ขอบคุณมิตรสหายทุกท่าน
ที่ร่วมด้วยช่วยกันสวนสนาม
ทั้งฝากและไม่ฝากรอยรักครับ




  • อย่าพูดว่า...ฉันไม่รักเธออีกแล้ว
    ถ้าหากคุณยังทำใจไม่ได้
  • อย่าถอดใจ...ถ้าคุณยังรู้สึกทนได้
  • อย่าบอกลา...ถ้าคุณยังมองเห็นหนทาง
    ที่สามารถเดินต่อไปด้วยกัน
  • อย่าบอกว่าคิดถึง...ถ้าคุณไม่ได้คิดถึง
  • อย่าบอกว่ารัก...ถ้าคุณไม่ได้รู้สึกรัก
  • อย่าบอกว่าห่วงใย...ถ้าเพียงเพราะต้องบอกไป
    เพราะความเคยชิน
    และสุดท้าย......
  • อย่าเสียใจ....ถ้าคุณได้ตัดสินใจดีแล้ว

    05/09/2008..
    สัมผัสสุดท้าย..ถือเป็นการสิ้นสุดคำว่าเรา



    ความทรงจำ.............ย้ำความผูกพัน

    ความดึงดัน.........ยันใจห่างเหิน

    ความฐิฑิ............ทำเราหมางเมิน

    ความผิวเผิน........ทำเราไม่เข้าใจ



    ช่างมันเถิด..........อะไรจะเกิดต้องยอมรับ

    มีเกิดดับ.............เป็นเรื่องให้หวั่นไหว

    อโหสิกรรม.........ทำใจให้อภัย

    เรียนรู้ไว้.............พาใจไร้กังวล



    ห่วงใย..............ทำใจให้เกิดทุกข์

    ความสุข............ทำใจให้สับสน

    กิเลสตัณหา.........พาใจให้วกวน

    ทุกข์ทน.............กงกรรมกงเกวียน

    Oasiis with you ๒ ม.ค.๒๕๕๑


    ที่ใดมีรัก..............ที่นั่นมีทุกข์
    นี่คือสัจธรรมที่พระพุทธเจ้า
    ท่านมองไกลและกินขาด

    ผมพยายาม หาข้อโต้แย้ง
    ด้วยคำว่ารักเป็น
    แต่ต้องยอมจำนน
    เพราะก็ยังหนีไม่พ้นทุกข์อยู่ดี

    ยอมรับให้ได้กับความจริง
    ยอมรับให้ได้กับทุกสิ่ง
    ยอมรับให้ได้แม้ต้องถูกทิ้ง
    ยอมรับความจริง............ทุกสิ่งในโลกล้วนอนิจจัง

    ที่ผ่านมาเป็นอดีต ผมแก้ไขอะไรไม่ได้
    แต่ผมนำอดีต มาแก้ไขปัจจุบันให้ดีขึ้นได้
    และเมื่อปัจจุบันดีแล้ว
    อนาคตผมคงไม่ต้องคิดหรือคาดหวังอะไรอีกต่อไป

    Oasiis With You ๓ ม.ค. ๒๕๕๑








  • Link emo เพนกี้กิ๊กลิง
    URL :../mainblog.php?id=oasiiswithyou&month=21-05-2007&group=7&gblog=19
    ดูวิธีทำที่ Oasiis With You ที่ 17
  • Link ศูนย์รับแจ้งเชื้อผด
    URL : ../viewdiary.php?id=oasiiswithyou&group=16
  • Link มาบ้านผม
    URL : http://oasiiswithyou.bloggang.com/

    วิธีทำ Link มาบ้านผม
    เข้าไปหลังบ้านที่หัวข้อ จัดการ Link แล้ว ใส่
    oasiiswithyou.bloggang.com/
    ลงในช่อง Url ต่อท้าย http:// ครับ













  • ไม่รู้ก็ไม่เสียใจ..


    มาก็เพราะคิดถึง
    ไม่มา ก็ยังคิดถึง
    ไม่ว่าอยู่ไหนก็ถึง
    เพียงแค่คิด..ก็ถึงทุกที
    Load Counter
  • น้องกิ๊กลิง
    น้องเพนกี้
    น้องลิงกี้
    X
    X
    X
    Links
     

     Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.