@... เผาหนังสือให้หมดโลก ...@
เหล่าหนอนๆ ทั้งหลายได้ยินประโยคนี้คงสะดุ้ง ร้องว่า เฮ้ย จริงดิ เผากันได้ลงคอเชียวหรือ หนังสือนะ (โว้ย)
ประโยคนี้เป็นส่วนหนึ่งของชื่อหนังสือเล่มล่าสุดที่อ่านค่ะ มีชื่อเต็มๆ ว่า ฟาเรนไฮต์ 451 เผาหนังสือให้หมดโลก เขียนโดย Ray Bradbury แปลโดย กรกฏ
เรื่องของนายกาย มอนแท็ก นักผจญเพลิงแห่งเมืองหนึ่ง ที่เปลี่ยนหน้าที่จากการดับเพลิงมาเป็นผู้จุดไฟเผาแทน และสิ่งที่ต้องเผาคือ หนังสือ
หนังสือจำนวนนับไม่ถ้วนที่ถูกเขาเผา แต่มีบางครั้ง เขาแอบซุกหนังสือกลับมาเก็บไว้ที่บ้าน เพราะสงสัยว่ามีอะไรในนั้น ทำไมถึงมีคนยอมตายไปกับมันในกองเพลิง จนเขาตัดสินใจหยิบมาเปิดอ่าน และก็ถูกภรรยา (ที่เชื่อฟังรายการโทรทัศน์มากกว่าเขา) แจ้งความให้นักผจญเพลิงมาเผาหนังสือ ครั้งนี้เขาทะเลาะกับบิตตี้ หัวหน้าหน่วย อย่างรุนแรง และเหตุผลที่บิตตี้ให้ว่าทำไมต้องเผาหนังสือนั้นน่าคิด
"...หนังสือพวกนี้ไม่มีอะไรเลย ไม่มีอะไรที่จะเชื่อหรือนำไปสอนใครได้ ถ้าเป็นนิยายก็จะมีแต่เรื่องราวของคนที่ไม่มีตัวตน จินตนาการที่ถูกกุขึ้น ถ้าไม่ใช่นวนิยาย มันก็แย่ยิ่งกว่า ศาสตราจารย์คนหนึ่งจะวิจารณ์อีกคนหนึ่งว่าโง่เง่า นักปรัชญาจะก่นด่ากันและกัน ต่างวิ่งวุ่นเอาดาวขึ้นแขวนบนฟ้า และพยายามดับดวงตะวัน อ่านจบนายก็จะหลงทาง..."
น่าคิดนะคะ แต่ทำไมถึงยังมีคนหลงใหลในตัวหนังสือ และกายก็กำลังจะเป็นหนึ่งในนั้น กายถูกยั่วยุจนพลั้งมือฆ่าบิตตี้ เขาฉุกคิดว่า ทำไมบิตตี้ถึงทำเช่นนั้น หรือว่า....บิตตี้จะ....
สุดท้ายแล้วกายจะทำอย่างไร ไม่อาจเล่าต่อได้ค่ะ เผื่อจะมีคนอยากอ่านฉบับเต็มๆ เราอ่านแล้ว ก็ ฮืมม ต่อให้มีผู้นำประเทศจะมีความคิดต่อกรณีอย่างไรก็ตาม เราเชื่อตามคำโปรยบนหน้าปกที่ว่า
เปลวไฟที่ลามไหม้แผ่นกระดาษ ไม่อาจทำลายอัตถะแท้ของหนังสือได้
เขียน - Ray Bradbury แปล - กรกฏ สำนักพิมพ์ - เอ็นเธอร์บุ๊คส์ ราคา - 139 บาท
=====================
ว่ากันเรื่องหนังสือแล้ว คงไม่พลาดที่จะเอ่ยถึงงานนี้ มหกรรมหนังสือระดับชาติ ครั้งที่ 10 งานใหญ่ประจำปีของหนอนหนังสือ เราไปงานนี้เมื่อวันเสาร์ - อาทิตย์ ที่ผ่านมา
วันแรกไปร่วมพูดคุยในงาน Book Party ที่จัดโดย แก๊งค์ไม่ธรรมดา และสมาคมผู้จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายหนังสือแห่งประเทศไทย ณ ห้อง Auditorium ชื่อไม่คุ้นเลยเนอะ แต่เป็นห้องเก๋ๆ ที่ใช้จัดกิจกรรมได้ดีมากๆ ไม่เล็กไม่ใหญ่ อยู่ตรงซอกทางเดินที่ถัดมาจากร้านขายยาข้าง 7 - 11 แนะนำไว้เผื่อมีคนสนใจไปร่วมกิจกรรมอื่นๆ ที่แก๊งค์ไม่ธรรมดาจัด จะได้หากันเจอ ไม่หลงทาง
เสร็จงานก็ไปเดินดูหนังสือในงาน แต่เดินได้ไม่นาน ปีนี้ไม่ค่อยมีเล่มไหนเร้าใจ นิยายใหม่ๆ ของนักเขียนที่ติดตามผลงานมาตลอดก็ไม่ออก อีกทั้งคนเยอะมากกกกกกกกกกถึงมากที่สุด จะเบียดกันตาย โดยเฉพาะบริเวณบูธของแจ่มใสที่ประชันกับบลิส โฮ่ๆๆๆ เลยกลับบ้านได้เร็ว อีกทั้งจะต้องรีบกลับมาดูคอนเสิร์ตครั้งสุดท้ายของ Academy Fantasia 2 แบบว่ามาให้กำลังใจพาสนา แต่พอดูโชว์จบ ก็อดปันใจให้พัดชาไปติ๊ดนึงไม่ได้ อิอิ
สำหรับวันอาทิตย์ ก็ไปกิ๊วก๊าวกับกองทัพหนอนแฟนๆ หนังสือของป้าหนอนและสำนักพิมพ์แจ่มใส เขามีมีทติ้งสังสรรค์ เฮฮาปาร์ตี้กัน รวมไปถึงการวางแผนบุกเข้าบูธแจ่มใสว่าจะใช้กลยุทธ์ไหนให้เข้าถึงบูธได้ง่ายที่สุด ได้หนังสือครบตามต้องการ และวางแผนจัดการการร่วมใบเสร็จให้แลกของพรีเมี่ยมให้ได้มากที่สุด โอ้วววว น่ากลัวจริงๆ กองทัพนี้ น่าเสียดาย ในงานคนเยอะมาก เห็นแล้วจะมึนตาย แรงหมดเพราะกินเจ จึงได้แค่แวะไปทักทายสมาชิกได้สักพัก แล้วเลี่ยงออกมาก่อนที่จะไปโชว์แก่ให้ใครเห็น แหะ แหะ
หนอนแออัดกันขนาดนี้ ขืนผู้นำประเทศมาแนวแปลก สั่งเผาหนังสือให้หมด มีหวังว่าจะโดนเผาแทน
ช่องแคบอันตราย ถ้าไม่ใช่แฟนพันธุ์แท้ของแจ่มใสและบลิส โปรดหลีกเลี่ยง แหะ แหะ
=====================
ก่อนจะจบบันทึกรายสะดวกในวันนี้ ขอขอบคุณเป็นพิเศษค่ะ
ป้าหนอน - ขอบคุณที่เข้ามาอวยพรวันเกิดให้นะคะ
โซดา / ประธานกองทัพ และสมาชิก - สำหรับโปสการ์ด ปฏิทินพก Full House เอาไปโชว์ให้เพื่อนร่วมงานดู ร้องกรี๊ดกันเป็นแถบๆ กระซิบนิดนึงว่า ถ้าเป็นการ์ดซงซึงฮอน พี่จะกรี๊ดฮอลล์แตกมากกว่านี้ ฮี่ๆๆๆ
น้องย่น ย่าย้อย - ขอบคุณสำหรับหมอนหมาสองหน้า และอาหารเจที่แบล็ค แคนย่อน
น้องอิ๊ก ปลายฝัน - ขอบคุณมากๆ ค่ะ สำหรับต้นไม้มงคล พี่เชื่อว่า ต่อจากนี้จะมีแต่เรื่องดีๆ เข้ามาในชีวิตค่ะ
น้องยู - ขอบคุณจ้า ที่จำได้ และไม่ลืม แฮปปี้เบิร์ธเดย์
กองทัพหนอนและนักอ่านทุกคนสำหรับความรู้สึกดีๆ ที่มีให้กันมาตลอดค่ะ
และขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาอ่านค่ะ
Create Date : 10 ตุลาคม 2548 |
|
20 comments |
Last Update : 11 ตุลาคม 2548 0:00:38 น. |
Counter : 1487 Pageviews. |
|
|
|
เคยมีจริงเมื่อหลายร้อยหลายพันปีก่อน
เขาชื่อ จิ๋นซีฮ่องเต้
ตามตำนานเล่าว่า...
หลังจากที่เขารวบรวมแว่นแคว้นทั้ง ๗ แห่งเป็นปึกแผ่น
รวมสัตว์สัญลักษณ์ของทั้ง ๗ เผ่าจนกลายเป็น "มังกร"
เขาได้สั่งทำลายหนังสือทั้งหมดในแผ่นดิน
เพื่อสร้างอักษรใหม่ เพื่อเป็นมาตรฐานเดียวกันทั้งใต้หล้า
นอกจากนี้ ยังมีผู้มีอำนาจหลายคน เมื่อยึดครองแผ่นดินอื่นได้แล้ว
ก็จะสั่งเผาหนังสือของเมืองนั้นเสีย
เพื่อจะได้ลืมความเป็นชาติของเมืองขึ้น
เพราะตัวอักษรและหนังสือเป็นหนึ่งในความภูมิใจในความเป็นชาติ
เป็นสิ่งแสดงถึงความเจริญทางวัฒนธรรม
ในแผ่นดินอุษาคเนย์แห่งนี้
ก็มีหลายยุคหลายสมัย ที่เขาหนังสือกันชนิดถอนรากถอนโคน
อาจารย์นิธิ เอียวศรีวงศ์ เขียนเรื่องหนังสือในมติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ ๙ กันยายน พ.ศ. ๒๕๔๘ ปีที่ ๒๕ ฉบับที่ ๑๓๐๘ ไว้น่าอ่านทีเดียวครับ...
ประณามพจน์หนังสือ
"...เด็กในรุ่นผมจะไม่กล้าข้ามตัวหนังสือ ไม่ว่าจะอยู่ในกระดาษหนังสือพิมพ์หรือถุงกล้วยแขก เพราะถูกสอนว่าจะทำให้อ่านหนังสือไม่ออก (ทั้งๆ ที่ผ่านออกแล้ว)
ความนับถือตัวหนังสือนั้นพบได้ในหลายชาติหลายภาษาทั่วทั้งโลก เช่น ผมได้ยินมาว่าชาวอาหรับจะเก็บอะไรที่เป็นตัวหนังสือซุกไว้ตามฝาเรือน ด้วยเกรงว่าอาจเป็นข้อความในพระคัมภีร์ จึงต้องป้องกันไม่ให้ถูกเหยียบย่ำ
ตัวหนังสือเข้ามาแทนความทรงจำและเสียง นั่นก็คือสิ่งสำคัญที่ต้องจำกันอย่างคลาดเคลื่อนไม่ได้ เช่น กฎหมายหรือสัญญาการค้าและพระวจนะของพระเจ้าย่อมเก็บไว้ได้อย่างมั่นคงที่สุดด้วยตัวหนังสือ ฉะนั้น "เสมียน" ในสังคมโบราณหลายแห่งด้วยกันจึงเป็นคนมีเกียรติอันสูง อยู่ใกล้ชิดกับอำนาจ หรือมิฉะนั้นก็เป็นนักบวช (นางวันทองสอนพลายงามว่า "ลูกผู้ชายลายมือนั้นคือยศ")
เพราะก่อนสมัยใหม่ ในสังคมโบราณโดยส่วนใหญ่ ตัวหนังสือและการอ่านออกไม่ได้เป็นสมบัติของคนทั่วไป หนังสือสำหรับให้คนทั่วไปอ่านนั้นไม่มีเลย ยกเว้นอยู่เพียงสองสังคมคือกรีกและโรมันเท่านั้นที่อาจพูดได้ว่าพอมีอยู่บ้าง
ในส่วนที่ตัวหนังสือทำหน้าที่แทนเสียงนั้น ดูจะเป็นลักษณะเด่นของตัวหนังสือในโลกยุคปัจจุบัน (คือการสื่อสาร) แต่หน้าที่ส่วนนี้กลับไม่ค่อยสำคัญในสังคมโบราณนัก อย่างน้อยก็เพราะคนส่วนใหญ่อ่านหนังสือไม่ออก แต่มีหูที่ฟังเสียงได้ แม้แต่ในสังคมกรีกซึ่งใช้ตัวหนังสือแยะมาก แต่ก่อนหน้าสมัยพระเจ้าอเล็กซานเดอร์ งานกวีนิพนธ์ส่วนมากไม่ได้เผยแพร่ผ่านตัวหนังสือ แต่ผ่านละครหรือความทรงจำ
ผมขอออกนอกเรื่องตรงนี้ว่า ผมเชื่อว่าส่วนใหญ่ของศิลาจารึกโบราณในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นั้น เขาเขียนให้ผีหรือเทวดาอ่านมากกว่าให้คนอ่าน ที่เขียนให้คนอ่านก็มีเหมือนกันเช่นหลักที่บอกกัลปนาที่ดินและข้าคนถวายเทวรูปหรือวัด เผื่อมีกรณีพิพาทในภายหน้าจะได้ใช้เป็นหลักฐาน
เมื่อตัวหนังสือในสังคมโบราณเป็นหลักเป็นตราให้แก่สิ่งที่สำคัญเช่นศาสนาหรือคำสั่งพระเจ้าแผ่นดินเช่นนี้ ตัวหนังสือจึงมีความศักดิ์สิทธิ์ จนกระทั่งเหยียบย่ำไม่ได้ดังที่กล่าวแล้ว และการจารึกอะไรลงบนหินไปตั้งไว้ตามวัดหรือเทวสถาน (หรือจารึกเสาประตู, ฝาผนัง, ยอดโดม, ฯลฯ) จึงอาจไม่ใช่เรื่องเอาไว้ให้ใครอ่าน มันสำเร็จประโยชน์ในตัวของมันเองโดยไม่ต้องมีใครอ่านก็ได้นะครับ
ผมทราบดีว่าสำนึกเกรงกลัวตัวหนังสืออย่างที่ผมถูกสอนมานั้นคงหมดไปในคนรุ่นหลังเสียแล้ว เป็นธรรมดานะครับ ไม่มีอะไรจะต้องเสียใจ ในยุคสมัยที่ตัวหนังสือถูกใช้อย่างแพร่หลาย อีกทั้งใครๆ ก็อ่านหนังสือออก เขียนหนังสือได้ก็ทั่วไปเช่นนี้ จะให้ดำรงรักษาสำนึกเกรงกลัวตัวหนังสืออย่างนั้นย่อมเป็นไปไม่ได้
ที่จริง สิ่งซึ่งเราเรียกว่า "หนังสือ" นั้น เป็นแค่รูปแบบเท่านั้น ถ้าว่ากันตามนิยามของยูเนสโก ม้วนปาปีรัสก็เป็นหนังสือ, สมุดไทยที่พับไปพับมาก็เป็นหนังสือ, แม้แต่แผ่นดินเหนียวของเมโสโปเตเมียก็เป็นหนังสือ (แต่ศิลาจารึกไม่ใช่-เพราะอะไรก็ไม่รู้) อีกทั้งจะเขียนมือหรือพิมพ์ขึ้นหรืออยู่ในรูปอิเล็กทรอนิกส์ก็นับเป็นหนังสือทั้งสิ้น
หนังสือจึงอยู่คู่เคียงมนุษย์มานานมากทีเดียว ประมาณว่าเกือบ 3,000 ปีก่อนคริสตกาลหรือเกือบ 5,000 ปีมาแล้ว จนกระทั่งเราอาจพูดได้ว่าอยู่คู่เคียงกับอารยธรรมตลอดมา
ความรู้สึกของคนเราที่มีต่อหนังสือจึงไม่ใช่แค่วัสดุที่แบกเอาข่าวสารข้อมูลมาส่งให้เราเท่านั้น (เหมือนวิทยุ, โทรทัศน์, หรือแผ่นปลิวโฆษณาพิซซ่า) แต่มีความรู้สึกผูกพันนับถือเป็นส่วนหนึ่งของตัวเรายิ่งกว่าคนที่สมัยปัจจุบันรู้สึกต่อรถยนต์, เสื้อผ้า, หรือเครื่องคอมพิวเตอร์
ด้วยเหตุดังนั้น ห้องสมุด (หรือห้องเก็บเอกสาร-archive-แยกระหว่างสองอย่างไม่ได้ในสมัยก่อน) จึงเกิดขึ้นเก่าแก่เกือบๆ เท่าตัวหนังสือ นั่นคือกว่า 4,500 ปีมาแล้ว กษัตริย์บางแห่งแข่งเกียรติยศกันด้วยการสร้างห้องสมุดให้ใหญ่กว่าอีกฝ่ายหนึ่ง การมีห้องสมุดส่วนตัวถือเป็นเครื่องหมายแห่งเกียรติยศมาตั้งแต่ในสังคมกรีก-โรมันแล้ว
และเพราะความนับถือผูกพันที่มีตัวหนังสือเช่นนี้เอง ที่ทำให้มนุษย์ในทุกสังคมฝากฝังสิ่งที่ตัวคิดว่ามีคุณค่าอย่างสูงไว้กับหนังสือ ไม่ว่าจะเป็นปรัชญาอันลึกซึ้ง, งานสร้างสรรค์ทางศิลปะ หรือความรู้วิทยาการที่ตัวค้นพบหรือสืบทอดมา
ผมคิดว่าสำนึกนับถือผูกพันกับหนังสือเช่นนี้แพร่หลายในหมู่คนทั่วไปที่ไม่ใช่กวีหรือนักปราชญ์ราชบัณฑิตด้วย แต่ละคนอาจแสดงสำนึกนี้ในทางปฏิบัติไม่เหมือนกันก็ได้นะครับ เพียงแต่หนังสือไม่ใช่วัสดุธรรมดา แต่มีอิทธิฤทธิ์มากกว่ากระดาษเย็บหรือพับเป็นเล่ม คนต่างสถานะทางการศึกษาก็อาจเชื่ออิทธิฤทธิ์ของหนังสือไม่เหมือนกัน
เคยได้ยินใช่ไหมครับว่า หนังสือพระราชพงศาวดารฉบับหลวงประเสริฐนั้นถูกค้นพบโดยหลวงประเสริฐอักษรนิติ วันหนึ่งท่านเดินไปพบยายแก่กำลังเอาหนังสือเก่ามาเผา ท่านจึงเข้าไปตรวจดูว่ามีหนังสืออะไรบ้าง ได้พบพระราชพงศาวดารฉบับนี้ที่ยังไม่ถูกเผา จึงขอหรือซื้อจากยายแก่คนนั้น
ยายแก่ไม่ได้เผาหนังสือเล่น แต่กำลังจะเอาขี้เถ้าของกระดาษหนังสือเหล่านี้ไปผสมทำยาครับ... ก็อย่างที่บอกแล้วว่าหนังสือมีอิทธิฤทธิ์ เพียงแต่อิทธิฤทธิ์ที่ยายแก่เชื่อเกี่ยวกับหนังสือไม่ตรงกับอิทธิฤทธิ์ที่หลวงประเสริฐ (และนักปราชญ์ราชบัณฑิตไทย) เชื่อเท่านั้น
เรื่องเอาสมุดข่อยไปเผาทำยานั้น ผมเคยได้ยินได้ฟังทั่วไปในภาคกลาง
ความรักหนังสืออีกอย่างที่คนรุ่นผมรู้จักดีคือการสะสมหนังสือเหมือนการสะสมอย่างอื่นๆ แหละครับ คือนักสะสมต้องตัดสินใจเลือกด้วยว่าจะสะสมหนังสือประเภทไหน เพราะไม่มีใครสะสมหนังสือทุกประเภทได้หมด นักสะสมที่คนรุ่นผมรู้จักชื่อเสียงดีที่สุดเห็นจะไม่เกินท่าน อาจารย์สุกิจ นิมมานเหมินท์ ซึ่งสะสมหนังสือที่เกี่ยวกับเมืองไทยเท่าที่มือท่านจะเอื้อมไปถึง แต่ท่านอาจารย์สุกิจแตกต่างจากนักสะสมบางคนที่ผมเคยพบ กล่าวคือ ท่านอ่านสิ่งที่ท่านสะสมไว้ด้วย บางคนสะสมหนังสือเหมือนสะสมวัตถุที่รักบางอย่างโดยไม่ได้อ่านเลย
เมื่อผมเรียนจุฬาฯ มีหนังสือของห้องสมุดส่วนพระองค์กรมพระจันทบุรีนฤนาถอยู่ในหอสมุดกลาง เสด็จในกรมท่านประทานเองหรือทายาทประทานให้แก่จุฬาฯ ผมก็จำไม่ได้แล้ว และใครที่เคยใช้ "ห้องกรมพระจันท์ฯ" ที่จุฬาฯ จะพบว่าเจ้านายพระองค์นี้ทรงเป็น scholar ของไทยคนหนึ่ง เพราะทรงหนังสือกว้างขวางมาก โดยเฉพาะด้านภาษาที่ทรงมีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับกันก็คือด้านภาษาบาลี แต่สถานะนี้ของเจ้านายพระองค์นี้กลับไม่เป็นที่รู้จักในปัจจุบัน กลับไปเน้นเรื่องการเป็นเสนาบดีของท่าน ซึ่งตามหลักฐานที่มีอยู่ก็ใช่จะทรงประสบความสำเร็จเด่นเป็นพิเศษอะไร
ที่ผมยกเรื่องนี้ขึ้นมากล่าวก็เพื่อจะย้ำสิ่งที่พูดไปแล้วว่า หนังสือเคยเป็นส่วนหนึ่งของตัวตนเจ้าของ ตัวมันเองจึงเป็นอนุสาวรีย์ของเจ้าของที่เหมือนกว่าที่ศิลปินคนใดจะปั้นได้
ความรักหนังสือในหมู่คนรุ่นผมอีกอย่างหนึ่งก็คือ เราเคยชินกับการรับสารผ่านกระดาษมากกว่าจอคอมพิวเตอร์ ฉะนั้น แม้ยอมรับว่าอินเตอร์เน็ตให้ข้อมูลได้มากมาย แต่เทียบกับหนังสือไม่ได้เลย
ยิ่งต้องการหา "ความรู้" ซึ่งไม่ใช่ "ข้อมูล" แล้ว มองไม่เห็นเอาเลยว่าจะหาสื่ออะไรมาแทนหนังสือได้ เพราะวางลงแล้วคิดใคร่ครวญก็ได้ ปิดหนังสือแล้วไปทำอย่างอื่นให้สมองได้เปลี่ยนอิริยาบถก็ได้ ขีดเส้นใต้บางบรรทัดก็ได้ เขียนเถียงกับคนเขียนก็ได้ จนถึงที่สุดขว้างมันลงกับพื้นแล้วกระทืบเสียสามทีก็ได้อีก
ผมยอมรับว่า ความรักตรงนี้ติดกับรูปแบบนะครับ คือต้องเป็นหนังสือเล่มๆ เท่านั้น ไม่รวมอะไรที่เป็นดิจิตอลและอิเล็กทรอนิกส์ ต้องอยู่บนกระดาษครับ ทั้งๆ ที่ในนิยามของยูเนสโก ดิจิตอลและอิเล็กทรอนิกส์ก็นับว่าเป็น "หนังสือ" เหมือนกัน แต่นั่นมันเป็นเรื่องของยูเนสโก ไม่ใช่เรื่องของความรู้สึกและสำนึกของคนรุ่นผม
นี่แหละครับ ความนับถือ, ความผูกพัน และความรักที่คนรุ่นผมมีกับหนังสือ ล้วนเป็นความรู้สึกและสำนึกซึ่งสืบทอดมาเป็นพันๆ ปี และเพราะมันฝังรากลึกอยู่ในอารยธรรมของเรานี่แหละครับ สื่อชนิดอื่นจึงเข้ามาแทนที่มันไม่ได้
ในโลกตะวันตก ปรากฏการณ์กลับเป็นตรงกันข้ามกับที่เคยคาดหวังไว้ นั่นคือสื่ออิเล็กทรอนิกส์ (ยัง) ไม่มาแทนที่กระดาษ ยิ่งคนเข้าถึงสื่ออิเล็กทรอนิกส์ได้ง่ายเท่าไร หนังสือกระดาษยิ่งขายดีขึ้นเท่านั้น เว็บไซต์ขายหนังสือยิ่งยั่วยุให้คนอยากซื้อหนังสือกระดาษมาอ่าน และการขายตรงแก่ผู้ซื้อยิ่งทำให้หนังสือราคาถูกลง
แต่ทั้งนี้ อาจไม่เกิดขึ้นในประเทศไทยก็ได้นะครับ เพราะว่าถ้าย้อนกลับไปดูประวัติศาสตร์การอ่านของไทยเทียบกับของฝรั่งแล้ว จะเห็นว่าช่วงเวลาที่คนไทยอ่านหนังสือแพร่หลายนั้นสั้นมาก คือประมาณตั้งแต่ ร.5 ลงมาเท่านั้น ก่อนหน้านั้นเขา "ฟัง" หรือ "ดู" (การแสดง) หนังสือกันต่างหาก
ซ้ำในช่วงเวลาอันสั้นนี้ คนที่เข้ามาอยู่ในวัฒนธรรมการอ่านก็มีจำนวนน้อยมาก แม้ฐานะเศรษฐกิจของคนไทยและระดับการศึกษาของไทยจะขยายตัวมากขึ้น แต่ก็เพิ่มคนในวัฒนธรรมการอ่านได้ไม่สมสัดส่วนกันนัก
กล่าวโดยสรุปก็คือ วัฒนธรรมการอ่านยังเป็นสิ่งแปลกปลอมในเมืองไทยอยู่ พลันสื่อชนิดอื่นๆ ก็ถาโถมเข้ามา
ฉะนั้น ผมจึงคิดว่าหนังสือจะสูญเสียความรักของผู้คนไปก็ในสังคมแบบไทยนี่แหละครับ คือต้องไปแข่งกับสื่อชนิดใหม่อื่นๆ โดยปราศจากความรักความผูกพันของผู้คนเป็นพลังในการต่อสู้
และนั่นคือเหตุผลที่บรรณารักษ์ของห้องสมุดมหาวิทยาลัยหลายแห่งใช้นโยบาย "ถางหญ้า" หนังสือ คือเอาหนังสือเก่าที่มีคนยืมน้อยออกไปขายถูกๆ (หรือทิ้งไปเลย) ไม่มีนิตยสารปริทรรศน์หนังสือในภาษาไทยสักฉบับเดียว ห้องสมุดหนังสือไทย (ที่มาจากการพิมพ์) ที่สมบูรณ์ที่สุดไม่ได้อยู่ในประเทศไทย เมื่อผู้นำคิดถึงการเผยแพร่ความรู้ก็คิดถึงสมิธโซเนียน ไม่ใช่ไลบรารี ออฟ คองเกรส ฯลฯ
รวมทั้ง คุณสุจิตต์ วงษ์เทศ กำลังอ้วกแตกอยู่เพราะตัดสินใจพิมพ์หนังสือเรื่อง "ท้าวฮุ่ง ท้าวเจือง" เพียงไม่กี่พันเล่ม.."
หน้า 33