อีกหนึ่งปีต่อมา เพลงของพอลก็ไต่อันดับท็อป 20 อีก คราวนี้สี่เพลงรวดด้วยกัน รวมถึงเพลง You Are My Destiny และ Crazy Love เพลงที่ปฏิวัติวงการร็อกแอนด์โรลอย่างสิ้นเชิง นอกจากนั้นเขายังเขียนเพลงฮิตเพลงสุดท้ายให้กับบัดดี ฮอลลี It Doesnt Matter Anymore แล้วเข้าสู่วงการเพลงภาพยนตร์ด้วยสองภาพยนตร์อย่าง Lets Rock และ Girls Town ซึ่งเรื่องหลังนี้มีเพลงที่ฮิตไม่ลืมหูลืมตาอย่าง Lonely Boy ที่ออกมาครั้งแรกในปี 1959 แล้วยังมีเพลงอย่าง Put Your Head On My Shoulder, Its Time To Cry และ Puppy Love (เขียนให้กับแอนเน็ต ฟูนิเชลโล และภายหลังดอนนี ออสมอนด์นำไปร้องเป็นเพลงฮิตของเขาอีกครั้ง)
ในปี 1961 เมื่อกระแสทีนไอดอลลดน้อยถอยลง พอล (ผู้ซึ่งร่ำรวยเงินล้านแม้ว่าจะเป็นทีนไอดอลพระรองก็ตาม) ก็สามารถสะระตะเพลงที่ตัวเองเขียนมาได้ถึง 125 เพลงฮิตด้วยกันภายใต้สังกัดสแปงกาของเขาเอง แถม Diana เพลงที่เขาเขียนก็ยังติดอันดับที่มียอดขายสูงสุดตลอดกาลด้วย โดยเพลงที่มียอดขายสูงกว่าเขาหนึ่งอันดับก็คือเพลง White Christmas ความสำเร็จที่มาถึงขนาดนี้ ไม่ได้ทำให้พอลคิดจะหยุดยั้งตัวเองเท่านั้น หากแต่เขาปล่อยกระแสไอดอลมาจับตลาดผู้ใหญ่แทน แรกเลย เขาเริ่มออกโชว์เดี่ยวและได้เข้าไปเล่นที่คลับหรูหราอย่างเดอะ โคปาคาบานาด้วย เขาย้ายสังกัดมาอยู่กับอาร์ซีเอและซื้อลิขสิทธิ์ในมาสเตอร์เพลงเก่าๆ ของเขาเอาไว้เอง เพื่อสิทธิในการตัดสินใจทำซ้ำหรือดัดแปลงผลงานของตัวเองอย่างมีอิสระด้วยตัวเอง จากนั้น พอลก็เริ่มผันตัวเข้าสู่วงการภาพยนตร์ปรากฏตัวผ่านแผ่นฟิล์มอยู่บ่อยครั้ง รวมทั้งเรื่อง The Longest Day ซึ่งเขาเป็นคนทำเพลงประกอบภาพยนตร์เองด้วย อีกสิ่งหนึ่งที่นักร้องเพลงป็อปยอดนิยมในสมัยจะต้องทำกันเป็นกิจลักษณะก็คือการเป็นเจ้าของรายการวาไรตี โชว์ พอลเองก็ไม่อินเทรนด์ไม่แพ้คนอื่น รายการของเขาชื่อ Hullabaloo, Midnight Special และ Spotlite สามรายการด้วยกัน
หลังจากนั้นเขาจึงขยับขยายเข้าสู่ตลาดชาวต่างชาติทั้งเอเชียและยุโรป (ที่ยุโรปนี่เองที่เขาได้พานพบกับแอน เดอ โซเก็บ นางแบบชาวฝรั่งเศส ภรรยาของเขา) เขียนเพลงธีมให้กับรายการ The Tonight Show ออกอากาศทุกสัปดาห์เป็นเวลากว่า 30 ปี ปรับเปลี่ยนเนื้อเพลงภาษาฝรั่งเศสให้กับเพลง CommedHabitude ซึ่งก็คือเพลง My Way หนึ่งในเพลงสะท้านฟ้าของแฟรงค์ สิเนตรา นอกนั้นยังเขียน Shes A Lady เพลงสุดยอดนิยมให้กับทอม โจนส์ด้วย พอลยังคงเข้าห้องอัดอยู่เสมอ เขาบันทึกผลงานเพลงอย่าง Excitement On Park Avenue และ Strictly Nashville
ถึงแม้ว่าพอลจะมีเพลงฮิตติดชาร์ตท็อป 40 ตั้งแต่ปี 1963 แล้วก็ตาม เขาก็กระหน่ำชาร์ตในปี 1974 ด้วยเพลง (Youre) Having My Baby เพลงที่ร้องคู่กันกับโอเดีย โกตส์ ไม่เท่านั้น เขายังทำเพลงร้องคู่อีกสองเพลงต่อมาคือ One Man Woman/One Woman Man แบะ I Dont Like To Sleep Alone ทั้งสองเพลงนี้เข้าถึงชาร์ตท็อปเท็น (ส่วนอัลบัมเต็ทของเขาในปี 1974 ที่ออกมาก็ทำยอดขายถึงขั้นโกลด์) ในปี 1975 เพลงเดี่ยวของเขา Times Of Your Life ไต่ไปถึงอันดับที่ 7
ดูเหมือนว่าพักหลังๆ นี้ลุงพอล แองกาของเราจะไม่ได้ออกสตูดิโออัลบัมมากนัก หลังจากที่ออก Body Of Work (Sony) ในปี 1998 ไปแล้ว งานที่ตามออกมาติดๆ ในช่วงหลายปีมานี้ ก็จะเป็นเพียงแค่งานแสดงสดที่ยังไม่ค่อยมีอะไรให้น่าจดจำมากนัก หากแต่อัลบัม Rock Swings (Verve) ที่เพิ่งออกมาเมื่อไม่กี่เดือนนี้จะเป็นที่กล่าวขานในวงการเพลง Adult Contemporary พอสมควรในแง่ของการนำเพลงสแตนดาร์ดป็อปมารีอะเรนจ์เป็นบทเพลงสวิงนั้น
Rock Swings เริ่มต้นด้วย Its My Life (Bon Jovi) ที่พอล แองกาและแรนดี เกอร์เบอร์เรียบเรียงออกมาได้น่ารักน่าชัง และสื่อสารถึงการเป็นดนตรีสองยุคสองสมัยอย่างแท้จริง เพราะว่าพวกเขาได้นำเอาท่อนอินโทรของเพลง The Best Is Yet To Come มาสอดตอนขึ้นเพลง Its My Life เอาไว้ หากว่าเป็นแฟนเพลงรุ่นใหม่หน่อย ก็อาจจะยังไม่รู้นัยยัตรงนี้ของพอล แต่เชื่อว่ารุ่นเก๋าอย่าง What Car น่าจะรู้อย่างแน่นอน มันเปรียบเสมือการปะทะสังสรรค์ของเพลงป็อปสองรุ่น จากรุ่นสู่รุ่นจริงๆ ถือเป็นไอเดียการอะเรนจ์ที่สร้างสรรค์มากทีเดียว
ดูเหมือนว่านอกเหนือไปจากการนำท่อนดนตรีมาเชื่อมร้อยกันแล้ว พอลยังได้นำเอาวลีจากเพลงสแตนดาร์ดป็อปยุคก่อน มาร้อยเรียงเข้าไปในสแตนดาร์ดป็อปที่เขาเลือกมาในอัลบัมนี้ด้วย เราอาจจะได้ยินวลีอย่าง It Might As Well ซึ่งมาจากเพลง It Might As Well Be Spring ก่อนที่จะต่อด้วยคำว่า Jump! ในเพลงของแวน ฮาเลนด้วย ถือเป็นการเชื่อมร้อยและด้นสดของลุงพอล แองกาที่ทำให้เพลงทั้งหมดในอัลบัมมีเสน่ห์ชวนฟังอย่างช่วยไม่ได้เลยทีเดียว แล้วทีนี้หากว่าใครไม่สันทัดภาษาอังกฤษล่ะก็ จะยิ่งเป็นเสน่ห์ในการค้นหายิ่งขึ้นไปอีก เพราะว่าในอัลบัมนี้ไม่มีเนื้อร้องให้เสียด้วยสิ!! เพราะฉะนั้นเราเองคงต้องขอจมอยู่กับเสน่ห์อันนี้ไปอีกสักพักด้วยคนล่ะ (ฮา)
เสียงของพอลนั้นเป็นได้ทั้งความหวานซึ้งอย่าง True (Spandau Ballet) ซึ่งร้องออกมาได้หวานไม่แพ้กับต้นฉบับเลยทีเดียว ภาคของเครื่องเป่าเองก็เรียบเรียงออกมาได้ดี นุ่มนวล เช่นเดียวกับภาคริธึ่ม ไปจนถึงเพลงอัลเทอร์เนทีฟ ร็อกอย่าง Wonderwall และ Eye Of The Tiger ที่พอลได้ถ่ายทอดออกมาอย่างกราดเกรี้ยว Wonderwall ถูกถ่ายทอดออกมาแบบสวิงแจ๊สเต็มรูปแบบ ไม่มีความเป็นโลว์เทมโปแบบต้นฉบับเลยแม้แต่น้อย ไมค์ วาเลอริโอเดินเบสได้คล่องแคล่ว แผ่วพลิ้วอย่างมากจริงๆ Eye Of The Tiger ดูเหมือนจะเป็นเพลงที่พอลแผดเสียงออกมามากที่สุดในอัลบัมนี้ก็ว่าได้ พลังเสียงของแองดูเหมือนจะสู่กับภาคเครื่องเป่าที่แผดออกมาตลอดได้สบายๆ
Blackhole Sun (Soundgarden) วงกรันจ์นำโดยคริส คอร์เนล ก็ถูกนำมาขับขานในแบบสวิงเช่นเดียวกับ Smell Like A Teen Spirit (Nirvana) แต่อารมณ์ก็ได้เปลี่ยนไปแบบที่ชาวกรันจ์อาจจะงงๆ เล็กน้อย แต่รูปแบบและทิศทางก็ออมาคล้ายๆ กับ Eye Of The Tiger นั่นเอง its A Sin (Pet Shop Boys) จะเป็นอีกเพลงที่ทำให้คุณส่ายหัวแบบงงๆ แน่ๆ ลีลาของเพลงออกมาคล้ายคลึงกับ True ที่กล่าวถึงไปแล้ว จึงน่าจะมีอยู่เพียงสองเพลงนี้ที่รู้สึกว่าอาจจะแปลกๆ ไปสักหน่อยในการนำมารวมอยู่ใน Rock Swings อาจจะด้วยการรีอะเรนจ์ที่ยังค่านข้างจะเบา และออกไปทางโรแมนติกไปสักหน่อย
คิดว่าพอล แองกาน่าจะประสบความสำเร็จกับอัลบัมนี้ไม่มากก็น้อย เพราะมันไม่ใช่แค่การนำเอาลมหายใจใหม่มาใส่ให้บทเพลงเก่าเหล่านี้เท่านั้น แต่ดูเหมือนเพลงเก่าเหล่านี้ช่วยให้พอลกลับมาหายใจใหม่ได้อย่างคล่องแคล่วด้วยเหมือนกัน ถือเป็นการผ่าทางตันในหน้าที่นักร้องที่พอลได้ดำเนินมาหลายทศวรรษแล้ว น้ำพึ่งเรือเสือพึ้งป่าอัชฌาศัยยังคงใช้ได้และใช้ได้ดีในกรณีของ Rock Swing!
Paul Anka / Rock Swings (Verve) Produced by Alex Christensen Executive Producer : Paul Anka Tracklisting; 1. Its My Life (Bon Jovi) 2. True (Spandau Ballet) 3. Eye Of The Tiger (Survivor) 4. Everybody Hurts (R.E.M.) 5. Wonderwall (Oasis) 6. Blackhole Sun (Soundgarden) 7. Its A Sin (Pet Shop Boys) 8. Jump (Van Halen) 9. Smells Like A Teen Spirit (Nirvana) 10. Hello (Lionel Richie) 11. Eyes Without A Face (Billy Idol) 12. The Lovecats (The Cure) 13. The Way You Make Me Feel (Michael Jackson) 14. Tears In Heaven (Eric Clapton)
"I still find each day too short for all the thoughts I want to think, all the walks I want to take, all the books I want to read, and all the friends I want to see." John Burroughs