เฮอร์บี แฮนค็อกเรียกปรากฏการณ์นี้ว่า อัลบัมตอม่อของวงการดนตรี แอชลีย์ คาห์นเขียนลงในหนังสือ Kind of Blue:The Making of the Miles Davis Masterpiece (สำนักพิมพ์ดาคาโป, ปี 2000) บอกว่า หากเทียบดนตรีแจ๊สคือโบสถ์แล้ว อัลบัม Kind of Blue ก็คืออนุสรณ์สถานในโบสถ์
Kind of Blue ได้นำมาซึ่งการเล่นแบบโมดัลเป็นช่วงแรกๆ ซึ่งนักดนตรีจะอิมโพรไวส์เป็นชุดๆ ของสเกล ไม่ได้เล่นคอร์ดโปรเกรสชันแรงๆ ซ้ำๆ อย่างที่เราคุ้นๆ กับโมเดิร์น แจ๊สในยุคทศวรรษที่ 40-50 แบบนั้น คนแต่งเพลงก็จะไม่นิยมแต่งแพตเทิร์นแจ๊สแบบนั้นออกมาในช่วงปี 1959 สร้างกระแสการปฏิวัติทางดนตรีขึ้นมากลายๆ ซึ่งก็ไม่ใช่แรงกระเพื่อมเดียวที่ไมล์สจัดแจงเขย่าวงการ So What, All Blues และ Freddie Freeloader เป็นสแตนดาร์ดที่โดดเด่นอย่างมากในแง่ของดนตรีแจ๊ส และบัลลาด Flamenco Sketches และ Blue and Green ก็คงไว้ซึ่งความงดงาม และน่าหลงใหลแม้กระทั่งได้เดินทางผ่านเวลาถึงครึ่งศตวรรษให้หลัง
คุณสามารถฟัง Kind of Blue ได้โดยไม่ต้องลืมตา คุณนึกออกไหมครับ? ขนาดนั้นเลยล่ะ เจเรมี เพลต์ นักทรัมเป็ตรุ่นใหม่ไฟแรงกล่าวไว้เมื่อสองสามปีก่อนกับทาง All About Jazz สำทับด้วยคำสรรเสริญของเจสซี เจที่ว่า ไมล์ส เดวิสก้าวล้ำหน้ายุคมัยของตัวเองเสียอีก สไตล์การเล่นของเขา, เทคนิก, การอิมโพรไวส์ และความต้องการที่จะยืนเด่นเหนือไปกว่าคนอื่นๆ มีผลต่อการเติบโตของผมมากทีเดียว ตอนผมฟัง Kind of Blue ครั้งแรก ผมก็รู้เลยว่าเขาสร้างโลกส่วนตัวของตัวเองขึ้นมา โลกที่มีสีฟ้ามาพบกับสีเขียว และสีสันของดนตรีกลายมาเป็นจุดสนใจหลักแทนที่จะเป็นตัวโน้ต เอากันแค่เสียงที่ออกมาเท่านั้น ไมล์สเป็นสุดยอดปรมาจารย์ของสไตล์ และคอนเซ็ปต์ริเริ่มของเขาก็จะยังท้าทายดนตรีที่ลงตัวอย่างที่เราเห็นทุกวันนี้ไงครับ
ผมว่ามันมีไอเดียและอารมณ์ที่คงเส้นคงวาซ่อนอยู่ บ็อบ บลูเม็นธัลกล่าว บางคนก็บอกว่า โอเค เราทำเพลงยาวสี่สิบนาทีได้นะ แล้วจะทำออกมายังไงดีให้คนฟังอยากจะฟังตั้งแต่ต้นจนจบ? นี่เป็นการยกตัวอย่างที่เห็นภาพเลย ฉะนั้น มันก็ต้องคิดกันเยอะถึงชีวิตที่ยืนยาวของผลงานนั้นๆ แล้วอารมณ์ที่ไม่ธรรมดาที่มันเกิดขึ้น ก็คืออะไรที่คนไม่จำเป็นจะต้องกระหายที่จะฟังแจ๊ส ก็สามารถจะตอบสนองได้ Kind of Blue มีทุกอย่างหมดแล้ว
เขาชี้ว่า หลังจาก Kind of Blue ออกมาไม่นานนัก จอห์น โคลเทรนบันทึกเสียงหนึ่งในอัลบัมสุดยอด Giant Steps ในปี 1959 ก็ใช้โมดัลฟอร์มเหมือนกัน แต่เพลงของจอห์นนั้น ดนตรีซับซ้อน แล้วก็เป็นงานระดับปัญญาชน ซึ่งเป็นงานที่ท้าทายความสามารถของนักดนตรี ที่จะตอบสนองได้ถึงระดับความซับซ้อน และวิธีคิดที่ไม่ง่ายแบบนั้น แต่ Kind of Blue คือสิ่งที่แตกต่างมาก มันเรียบง่ายไปหมด ในขณะที่ Giant Steps สร้างฮาร์โมนีที่ยุ่งยาก แต่ Kind of Blue ทำสิ่งตรงกันข้าม ดังนั้น เรื่องยากก็คือ จะขานรับสู่ทิศทางของดนตรีแบบนั้นได้อย่างไร โดยยึดเอามาตรฐาน ณ ตอนนั้นเป็นหลัก บางครั้งการทำอะไรให้มันดูง่ายนั้น เหมือนจะยากกว่าเสียอีก
บิลอ้างสิทธิในการเป็นคนแต่งเพลง Blue and Green แล้วก็มักจะไม่สบายใจอยู่บ่อยครั้งที่ไม่ได้รับเครดิต แต่ก็เป็นเพียงแค่เรื่องเล็กน้อย ไมล์สเองก็แสดงออกชัดเจนว่า เขารักสไตล์การเล่น และสัมผัสทางดนตรีของบิลมาตลอด และเขาก็ให้บิลได้มีส่วนร่วมเสมอ ทั้งในเวลาที่เขาจะออกอัลบัม หรือให้บิลเล่นในช่วงเด่นๆ ของเพลงอีก ทั้งสองคนนี้สามารถทำผลงานร่วมกันให้ออกมาดีเยี่ยมอย่างไร้ที่ติ
แพ็กเกจซีดีของเลกาซีมีดีวีดีสารคดีเกี่ยวกับเบื้องหลังการทำอัลบัม Kind of Blue ด้วย รวมไปถึงเพลงอื่นๆ ที่ไมล์สได้บันทึกเสียงไว้ทั้งกับวงนี้ ซึ่งเผยให้เห็นถึงภาพมุมกว้าง และฝีมือของพวกเขาว่าเล่นได้ดีขนาดไหน ด้วยประสบการณ์ที่สยายปีกออกไปอย่างในเพลง On Green Dolphin Street, Stella By Starlight และ Fran Dance ถึงพวกเขาจะไม่ได้เล่นโมดัล แล้วเพลงก็ใช้พื้นฐานการเปลี่ยนคอร์ดปกติธรรมดา หากแต่พวกเขาใส่อารมณ์เพลงที่เหมาะเจาะไปกันได้อย่างไร้ตำหนิกับ Kind of Blue บ็อบเสริม
ด้วยเหตุผลทั้งหลายทั้งปวง บ็อบ นักเขียนและนักวิจารณ์ก็ฟันธงอย่างไม่ลังเลเลยว่า ถ้าผมต้องไปติดเกาะแล้วต้องเอาซีดีเพลงของไมล์สไปแผนหนึ่งล่ะก็ ผมจะเลือก Sketches of Spain จริงๆ มันก็มีหลายอัลบัมนะครับ แต่ชุดนี้คือชุดที่ผมโปรดปราน ผมว่าผมได้ฟังชุดนี้ก่อน Kind of Blue เสียอีก คือมันออกมาตอนที่ผมกำลังเริ่มฟังเพลงแจ๊สพอดี ผมว่าโดยองค์รวมแล้ว มันคือมาสเตอร์พีซชุดหนึ่งเลยล่ะครับ
พอล เทย์เลอร์ นักแซ็กโซโฟนกล่าวถึง Kind of Blue และ Sketches of Spain เอาไว้ว่า มันคืออัลบัมคลาสสิกของไมล์สที่คุณไม่มีไม่ได้ อัลบัมทั้งสองชุดช่วยสื่อความหมายของซาวด์เนียนๆ ของแจ๊ส และการเป็นมินิมอลิสต์ก็ช่วยให้ผมซึมซับอิทธิพลในการเล่นได้ง่ายขึ้น
บ็อบกล่าวว่า ไมล์สคิดว่า แผ่นเสียงแบบลองเพลย์จะช่วยทำให้อะไรๆ เป็นไปได้มากยิ่งขึ้น รวมไปถึงการเชื่อมความสัมพันธ์ให้กับคนที่กำลังนั่งฟังแผ่นของเขาอยู่ด้วย ผมว่าคุณเอาฮาร์มอน มิวต์กลับไปเล่น My Funny Valentine กับเขาในปี 1956 ก็ได้ (อัลบัม Cookin with Miles Davis Quintet, สังกัดเพรสทีจ) แล้วก็บอก เอ้า เจ้านี่ล่ะคือเสียงของความรู้สึก ผมคิดว่ากับ Porgy and Bess ก็เป็นเหมือนที่เขาคิดนะ แต่ Sketches of Spain นี่เรียกว่าประสบความสำเร็จแบบสุดๆ ไปเลย
แพ็กเกจของเลกาซียังมีเพลงใหม่ๆ บรรจุไว้ด้วย รวมทั้ง Concierto de Aranjuez แบบแสดงสดที่เล่นกันในปี 1961 ที่คาร์เนกี ฮอล (ส่วนหนึ่งจากอัลบัม Miles Davis at Carnegie Hall (2 CDs), สังกัดโคลัมเบีย เลกาซี ปี 1998) นอกจากนั้นยังมีเทคจากเพลงต่างๆ ที่ทางวงซักซ้อมกันก่อนบันทึกเสียงในต่างกรรมต่างวาระ ซึ่งส่วนท้ายของซีดีเป็นส่วนที่ไม่เกี่ยวข้องกับ Sketches of Spain สักเท่าไร และก็ไม่ได้เพิ่มคุณค่าพิเศษให้กับตัวแพ็กเกจชุดนี้มากนัก เพลงอย่าง Maids of Cadiz ซึ่งเอามาจาก Miles Ahead ก็ยังถือว่ามีคุณค่าสมน้ำสมเนื้อในการบรรจุลงอัลบัมอยู่
"I still find each day too short for all the thoughts I want to think, all the walks I want to take, all the books I want to read, and all the friends I want to see." John Burroughs