จุดประกายไอเดีย Homeschool
หลังจากได้ลองเมียงมอง แต่ยังไม่ได้ไปสำรวจ รร. ใกล้ๆบ้าน ก็รู้สึกว่า ไม่มีรร.ที่เข้าตากรรมการสักเท่าไหร่เลย...
(จิงๆ รร.ดีๆคงมี แต่ไม่มีตังค์ ฮ่าๆๆ)
ไอเดียสอนลูกเองที่บ้าน ก็ผลุบๆโผล่ๆ ขึ้นมา อยู่เนืองๆ
บางทีได้มีโอากาสดูรายการครอบครัวเดียวกัน ทางช่องทีวีไทย (ติดตามได้จากลิงค์ด้านล่างในบล็อค) ซึ่งเป็นรายการที่ดีมากๆๆๆๆๆๆๆๆ ไฟก็ลุกโชนเป็นช่วงๆ
ตั้งแต่ตอนไร่ปลูกรัก ครอบครัวโน้นนี้...ดูน่ารัก และอบอุ่นมากๆๆ จนมาวันนี้ ครอบครัวที่นำมาออกก็เป็นอีกหนึ่งครอบครัวโฮมสคูล... ทุกคนดูมีความสุขมากกก เด็กๆ ได้เรียนรู้ธรรมชาติ ผ่านทางครูพ่อแม่ ไม่เห็นต้องเดือดร้อนไปติวหนังสือ ไปสอบแข่งขัน
ไฟลุกโชนเลย..แต่ ก็แอบคิดในใจว่า..พวกนี้ทำมาหากินไรกันหว่า...ถึงได้มีเวลาเตรียมตัวสอนลูกได้ ยิ่งเด็กโตขึ้น น่าจะยิ่งสอนยากขึ้น หรือเปล่า ถ้าเทียบกับบทเรียน รร.ที่เป็นบรรทัดฐานในสังคม.. ถ้าเราทุ่มเทเวลาให้ลูกแบบนี้บ้าง...แล้วจะเอาเวลาที่ไหนไปทำมาหากิน....เหอ เหอ เหอ เหอ
หนังสือ เล่มล่าสุดที่อ่านจบไป :เรียนรู้กับลูก ด้วยวิธีโฮมสคูล เขียนโดยแม่ส้ม สมพร พึ่งอุดม สนพ.มูลนิธิเด็ก (วันนี้แอบไปเดินหาเล่มต่อเนื่อง ไม่มี ลองเซริชหาก็ไม่มี...แหงะๆๆๆ)
ได้แนวคิดดีๆจากหนังสือเล่มนี้มาช่วยจุดประกาย ถือว่ามาเล่าให้ฟัง แบ่งปันกันแบบซีเรียสนิดนุง..ถ้าอยากรู้มากๆ ลองไปหามาอ่านดู ถ้าหาได้นะ..พิมพ์มาตั้งกะสิบกว่าปีก่อน เล่มที่เรามีนี่ พิมพ์ครั้งที่ 5 แต่ก็หลายปีแล้ว ใครหาเล่มต่อได้ บอกด้วยเด้อ
(หนังสือเล่มนี้ไม่ใช่อะไรที่ดีเลิศเลอ must have item ขนาดนั้น บางคนอ่านแล้วอาจจะไม่อินก็ได้..เพราะสไตล์การเขียนเหมือนเล่าให้ฟังจากประสบการณ์ การลงมือทำ และการอ่านมาเล่าเหมือนกะที่เราทำอยู่นี่แหละ บอกแต่ว่าทำไม เพราะเหตุใด แต่ไม่ได้บอกว่า ทำยังไง)
ว่าด้วยเรื่องเศรษฐกิจและสังคมในสมัยก่อนผลักดันให้ต่อๆมา จนถึงสมัยนี้ แนวทางการศึกษา ผลิตคนออกมา แบบ mass production เพราะอะไร ว่ากันไปถึงยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม สงคราม แนวทางการพัฒนาเศรษกิจระดับโลก โน่น...โลกต้องการคนแบบนี้ในยุคนั้น เพื่อเพิ่มผลผลิตนั่นเอง
เรามองว่ามาถึงตอนนี้ พอวัตถุเจริญถึงจุดนึง สังคมเสื่อมลง โลกกลับต้องการคนอีกแบบ ระบบการศึกษาแบบเดิมๆ บุคลากรที่เรากำลังพยายามผลิตออกมา ไม่ได้มีในสิ่งที่เรากำลังต้องการ
(อ้าว..แล้วเราจะส่งลูกเราไปทำไมล่ะ...รู้ทั้งรู้ !! ทำไมต้องติวเข้มตั้งแต่อนุบาล ทำไมต้องแย่งกันสอบสาธิต ทำไมต้องแย่งกันเข้ามหาลัย จบมาแล้วก็ไม่รู้จะทำอะไร ของตังค์พ่อแม่เรียนโทต่อดีกว่า..เวนกำ ต้องหาเงินให้มันเรียนไปอีกเท่าไหร่เนี่ย...)
ทั้งๆที่ เด็กๆแต่ละคนมีความเป็นปัจเจกลักษณะ ของใครของมัน...มีจริตในการเรียนรู้แตกต่างกัน ซึ่งคนที่รู้จักลูกดีที่สุด คือพ่อแม่
แต่พ่อแม่กลับส่งลูกไปเข้าโรงเรียนที่ผลิตคนออกมาให้เหมือนๆกัน..หลอมในพิมพ์เดียวกันแล้วเคาะออกมา...จึงไม่แปลกใจว่า ทำไมยิ่งเรียนๆ ไป จิตนาการและญาณทัศนะ ของเด็กๆ ถึงได้หายไป นี่คือความล้มเหลวของระบบการศึกษาหรือเปล่า..คือการครอบงำและทำลายความคิดสร้างสรรค์ตามธรรมชาติของเด็กด้วยระบบโรงเรียนหรือเปล่า (อาจจะไม่ได้เลวร้ายถึงเพียงนั้น แต่ก็คงต้องยอมรับส่วนนึงว่า ใช่ล่ะ)
"เด็กแต่ละคนจะมีวิธีเข้าหาความรู้และวิธีคิดต่างๆกัน คือจะต่างกันด้วยวัยส่วนหนึ่ง และด้วยวิธีการเฉพาะตัวของเด็กอีกส่วนหนึ่ง บางคนเรียนรู้ได้ดีจากการฟัง การซักถาม นั่งสนทนาร่วมวงกับผู้ใหญ่ บางคนเรียนรู้ได้ดีจากการอ่านและการสังเกตุ และเด็กบางคนชอบเรียนรู้ผ่านการเคลื่อนไหว"
พ่อแม่ ก็ไม่ต้องแปลกใจ กลุ้มใจเลย..ว่า...เออทำไมลูกชั้นสอนไอ่นี่ไม่เอา ไอ่นั่นไม่เอา... เห็นใครสอนอะไรลูก อะไรว่าดี ก็ต้องจัดหามาให้ลูกแบบนั้นก็อาจจะไม่ใช่สิ่งที่เหมาะนักก็ได้ เด็กทุกคน เก่ง มาตั้งแต่เกิดแล้ว เพียงแต่ พ่อ แม่ ครู พี่เลี้ยง ญาติผู้ใหญ่ จะสามารถหาวิธีการเข้าถึงศักยภาพที่เป็นปัจเจกลักษณะของเด็กได้อย่างไร และ เปิดโอกาสทางการเรียนรู้ให้เค้าอย่างเหมาะสมได้อย่างไร..
ลองนั่งคิดดู....เด็กคนนึงที่เราเลี้ยงเองมาตั้งแต่เกิด รู้ว่าเค้าเป็นยังไง ชอบอะไร มีข้อดีข้อเสียอย่างไร คนที่รู้จักเค้าดีที่สุด...แต่ส่งเค้าไปให้คนอื่นหล่อหลอมใส่เบ้าพิมพ์แล้วเคาะออกมา...อ๊ะยังไงกันนี่...
ถ้าไม่มีตังค์ ไม่มีสิทธิ์เรียน รร.เด็กแนว ไฮโซ หรอ...อะ แล้วถ้าพ่อแม่มัวแต่ทำมาหากิน เพื่อส่งลูกไปเรียน รร.ไฮโซ เพื่อให้ได้ทั้งหลายทั้งปวงที่ว่าดี โดยที่ตัวเองไม่มีเวลาให้ลูก มันจะได้อะไรขึ้นมา ในเมื่อตอนนี้เค้าต้องการเรา เราส่งเค้าไปให้คนอื่น แล้วพอตอนเรารวยมีตังค์ ลูกเราก็กลายเป็นวัยรุ่น เป็นของเพื่อนไปแล้ว
หรือถ้ามีตังค์เยอะๆ ส่งลูกไปเรียนโน่นนี่นั่น...ตามแต่ที่เห็นคนอื่นเค้าเรียนกัน เพื่อไม่ให้รู้่สึกว่าลูกเราเก่งน้อยกว่าเด็กคนอื่น สุดท้ายแล้ว ลูกหาสิ่งที่ตัวเองต้องการไม่เจอ เพราะแม่ป้อนให้ทุกอย่าง เยอะไปหมด ไอ่นั่นก็เรียน ไอ่นี่ก็เรียน เป็นเพราะแม่นั่นเองที่ไม่รู้จักลูกดีพอ ปล่อยให้กระแสสังคมรอบข้างพาไป
ยิ่งคิดยิ่งตลก แต่ขำไม่ออก
ความรู้แบบยั่งยืน ที่เค้าจะสามารถนำไปใช้ได้จนโต ต้องเริ่มมาจากการเรียนรู้แบบสมัครใจ และมีความสุข ถ้าหากเราผลักไสให้เค้าไปอยู่กับคนที่ไม่คุ้นเคย พรากจากคนที่เป็นที่รัก ถูกบังคับ ห้ามทำโน่นนี่แล้ว..ถ้าสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นบ่อยๆ เด็กจะรู้สึกไม่ปลอดภัย ฝังลงไปในจิตใต้สำนึกของเค้าจนโต ฝังกันลึกจนถึงสมองชั้นนอกชั้นในไปโน่นเลย...ซึ่งอาจจะกลับมามีอิทธิพลกับพถติกรรมตอนโตมากน้อยสุดแท้แต่
อย่าเพิ่งคิดว่า..อ้าว..แล้วถ้าสอนลูกเองที่บ้านวันๆลูกไม่เจอใคร แล้วจะมีสังคม เข้าสังคมเป็นหรอ...ยังๆๆ...โฮมสคูลไม่ใช่การที่เด็กหมกตัวอยู่กับพ่อแม่ มีแต่พ่อแม่ที่เป็นครู วันๆสอนโน่นนี่กันเอง... ธรรมชาติคือครู คนรอบๆตัว สิ่งงแวดล้อมคือครู...เพื่อนๆวับเดียวกันก็เป็นครูได้....ความประทับใจจากสิ่งต่างๆรอบตัว คือแรงบันดาลใจในการเรียนรู้ และเป้าหมายในการเรียนรู้
ยกตัวอย่างง่ายๆ..ใครที่คิดว่าตัวเองเกลียดเลข โง่เลข เกลียดภาษาอังกฤษ โง่อังกฤษ ลองกลับไปคิดดู ว่าตัวเองโง่จริงหรือเปล่า... หรือเพราะคุณครูตอนเด็กๆ เคยถูกดุ ถูกบังคับให้ทำการบ้าน โน่นนี่นั่น...ไม่งั้นโดนตี...โดนทำโทษ ลองคิดดูว่า ถ้าเราเลือกครูที่ใจดี ยิ้มแย้ม เข้าใจเรา ไม่เอาเราไปเปรียบเทียบกับคนอื่น เราจะกลับใจชอบวิชานั้นไหม...
จากหนังสือเล่มเดิม หน้า 36 "สมองของเด็กต้องการข้อมูลที่เหมาะสม ไม่มากเกินไป ไม่วุ่นวายเกินไป ไม่กระตุ้นเกินไป และไม่ตีกรอบมากเกินไป และสิ่งสุดท้ายคือจิตวิญญาณของเด็ก ก็ต้องการให้รดน้ำพรวนดินเหมือนกัน ปุ๋ยที่วิเศษสุดคือความเมตตาและความรักที่เดินอยู่บนทางสายกลาง"
จบช่าวกันดื้อๆ แต่เพียงเท่านี้..วันนี้ บิ้วหาแนวร่วมมามากพอแล้ว 555555555555
หนทางยังอีกยาวไกล ลูกเรียน แม่ก็เรียน เช่นกัลลล........
จ๊วบๆ เด็กบ็อง
Create Date : 01 พฤษภาคม 2552 |
|
14 comments |
Last Update : 1 พฤษภาคม 2552 2:17:04 น. |
Counter : 1340 Pageviews. |
|
|
|
ยกตัวอย่างง่ายๆ..ใครที่คิดว่าตัวเองเกลียดเลข โง่เลข เกลียดภาษาอังกฤษ โง่อังกฤษ
ลองกลับไปคิดดู ว่าตัวเองโง่จริงหรือเปล่า...
↑ เออ ใช่เลย เกลี่ยดเลขเพราะครู ไม่ชอบอังกิดก็เพราะครู พอเกลียดเลยไม่ชอบเรียน ไม่เรียนเลยโง่ -*- เวรแท้
ปล.แกสอนสิเดี๋ยวเอาไปฝากเรียนคนนึง