Group Blog
 
<<
มีนาคม 2556
 
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
31 
 
25 มีนาคม 2556
 
All Blogs
 
หนาวนี้ต้องเที่ยว...เชียงราย ขึ้นดอยแม่สลอง กันจ้า


หนาวนี้ต้องเที่ยว...เชียงราย ขึ้นดอยแม่สลอง กันจ้า


ทริปที่แล้วพาไปเที่ยวพระตำหนักดอยตุง ไร่แม่ฟ้าหลวงเสร็จสรรพ ค้างยั่วน้ำลายคนอ่านว่าจะพาไปเที่ยวดอยแม่สลอง ไปร้านอาหารบ้านนายพลต้วน กินขาหมูหมั่นโถว ก่อนจะข้ามไปซื้อของที่พม่า ผ่านด่านแม่สาย ในวันรุ่งขึ้น ร่ำๆอยากจะมาลงให้ใจจะขาด แต่ว่าติดภาระยุ่งเหยิง ขออภัยนะคะที่มาลงช้า แต่ก็มานะ นะ เออ...พอแล้ว พูดนานเสียเวลาไปเที่ยวกันเลยดีกว่า

ที่จริงผู้เขียนขึ้นดอยแม่สลองวันที่สอง ส่วนวันที่สามถึงจะไปแม่สายข้ามไปพม่าวันนี้ขอเล่าเฉพาะไปเที่ยวบนดอยแม่สลองก่อนนะคะ

ก่อนอื่นที่ผู้เขียนจะเล่าความเป็นมาของดอยแม่สลอง งานนี้ของแจงรายละเอียดให้คนที่ไม่เคยไปหรือไม่มาแล้วเหมือนหลายสิบปีก่อนให้รู้เส้นทางเป็นการเตือนความทรงจำกันนิดนึงจ้า เริ่มจาก ถ้าขับรถมาเอง หรือมาเช่ารถเอาที่นี่เหมือนมนต้นไม้ ต้องมาทางนี้เลยค่ะ

ขับไปตาม ถ. พหลโยธิน เลย อ.แม่จันไปประมาณ 1 กม. ถึงกม.ที่ 860 บริเวณบ้านป่าซางแยกไปทางซ้ายราว 12 กิโลเมตร ตามทางหลวงหมายเลข 1130 ต่อกับ 1234 จะถึงศูนย์พัฒนาและสงเคราะห์ชาวเขาเป็นที่แรกออกไปอีก 11 กิโลเมตร เป็นหมู่บ้านผาเดื่อ ขับไปทางบ้านอีก้อจะมีสามแยก แยกซ้ายขึ้นดอยโลดประมาณ 18 กม. ถ้าจะมาอีกทางก่อนถึง อ.แม่จัน ให้เลี้ยวซ้ายไปตามทางหลวงหมายเลข 1089 จนถึงระหว่างหลัก กม. ที่ 54 และ 55 (กิ่วสะไต) ให้เลี้ยวขวาประมาณ 13 กม. ถึงดอยแม่สลองคือกัน

แต่ถ้างง และไม่มั่นใจ หรือไม่สะดวกด้วยประการทั้งปวง นี่เลยค่ะ ใช้รถประจำทางขึ้นที่สถานีขนส่งเชียงราย หรือสาย เชียงราย-แม่สาย ชานชาลาหมายเลข 5 ลงที่บ้านป่าซาง (ปากทางไปดอยแม่สลอง) อ.แม่จัน จะมีคิวรถสองแถวสีเขียวบริการนักท่องเที่ยว ให้บริการตั้งแต่หกโมงเช้ายันห้าโมงเย็น คนละ 80 บาท ไม่เกิน 10 คนต่อคัน ไม่งั้นหวาดเสียวแทน กลัวไปเทกระจาดก่อนทิ้ง เหอๆแต่ถ้าจะเหมาไม่อยากรอชาวบ้านก้อแค่เจ็ดแปดร้อย แล้วแต่ความสามารถในการต่อราคา หุๆ ราคานี้หลายปีมาแล้สว ไม่ใช่ก้ใกล้เคียงลองสอบถามดูก่อนได้ค่้ะ ถ้าไม่รีบรถออกทุกๆ ครึ่งชม. พอไหวอยู่นา

ว่าแล้วเอาแผนที่ไปดูกันหลงดีกว่านะคะ




ไหนมาแล้วเอาสาระไปหน่อยนะคะ ที่มาที่ไปมีอยู่ว่าดอยแม่สลอง หรือดอยสันติคีรี ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2504 เป็นต้นมาดอยแม่สลองได้กลายเป็นที่ตั้งของชุมชนชาวจีนจากกองพล 93 ที่อพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานโดยยังคงความเป็นอยู่และรักษาวัฒนธรรมตามแบบจีนในมณฑลยูนนานเอาไว้ ก่อนที่จะลงหลักปักฐานในเวลาต่อมา แถมรัฐบาลไทยใจป๊ำออกบัตรประชาชนให้อีกตังหาก ว่าแต่ว่ากองพล 93 คือพวกใดกัน?

กองพล 93เป็นพวกอดีตทหารจีนที่สังกัดพรรคก๊กมินตั๋งของนายพลเจียงไคเช็ค ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้ทำการสู้รบกันอยู่ทางตอนใต้ของจีน เมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นภายใต้การนำของเหมาเจ๋อตุงผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์ยึดอำนาจได้สำเร็จ พรรคก๊กมินตั๋งจึงหนีไปปักหลักที่เกาะไต้หวัน

กองพล 93 จึงกลายเป็นเจ้าไม่มีศาลถูกทอดทิ้งพลัดถิ่น และถูกกดดันอย่างหนักจนหนีตายเข้ามาในเขตพม่า ซึ่งแน่นอนว่าพม่ามีหรือจะยอมรับไว้ หุๆ ไม่รู้อะไรเสียแล้ว แค่ชนกลุ่มน้อยเผ่าต่างๆตามชายแดน พม่ายังเมิน จึงเกิดการปะทะสู้รบกันหลายครั้ง ในที่สุดก็ต้องถอยร่นหนีมาจนติดชายแดนไทยล่วงเข้ามาถึงบริเวณเทือกเขาดอยตุง

ในพ.ศ. 2496 พม่าได้ขอให้สหประชาชาติลงมติให้กองพล 93 อพยพกองกำลังกลับประเทศไต้หวัน แต่ทหารสังกัดของสองนายใหญ่พลราว 3 หมื่นคน ได้ขอลี้ภัยกับรัฐบาลไทย บอกว่าไทยแลนแสนน่ารักมีน้ำใจ ว่าไปนั่น อิๆ ซึ่งก็ได้อนุญาตให้พำนักอยู่ได้ แถมหาที่ทางให้อยู่อีกต่างหาก คนไทยใจกว้างค้า โดยจัดให้ทหารของนายพลหลี่เหวินฝานไปอยู่ที่ถ้ำง้อบ อ. ฝาง จ. เชียงใหม่ และทหารของนายพลต้วนซีเหวิน ราว15,000 คน อยู่บนดอยแม่สลอง นับแต่นั้นมา

บนดอยแม่สลองในระยะแรก เต็มไปด้วยปัญหายาเสพติดและกองกำลังติดอาวุธของชนกลุ่มน้อยมาโดยตลอดรัฐบาลไทยได้พยายามแก้ปัญหาตลอดมา อาจเป็นเพราะคนพวกนี้ยังตระหนกว่าแผ่นดินที่ใช้อยุ่อาศัยไม่ใช่ของตน ความไม่แน่ใจจึงทำให้ต่อต้านแลขาดความรับผิดชอบในการครอบครองมาตุภูมิตนเอง (อันนี้คนเขียนคิดเอาเองนะคะ อ่านเพื่อบันเทิง อย่างจริงจังนะค้า อิๆ)

จนในที่สุด ครม.ไทยได้มีมติรับทหารจีนคเหล่านั้นให้พำนักอยู่ในราชอาณาจักรเป็นการถาวรอย่างเป็นทางการ ในปีพ.ศ. 2515 โดย พล.อ. เกรียงศักดิ์ ชมะนันท์ อดีตนายกรัฐมนตรี ได้เริ่มโครงการปลูกชา และปลูกสนสามใบเพื่อทดแทนป่า ยุติการค้าฝิ่น ยาเสพติดและ ปลดอาวุธ หันมาทำอาชีพเกษตรกรรม และตั้งชื่อชุมชนบนดอยแม่สลองใหม่ว่า "บ้านสันติคีรี"

ในปี พ.ศ. 2521 รัฐบาลไทยได้ทำการออกบัตรประชาชนให้ประชากรในชุมชนแห่งนี้ ปัจจุบันดอยแม่สลองกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวและการค้าสำคัญ ใครมาเที่ยวเชียงรายแล้วไม่ได้ขึ้นดอยแม่สลอง เง้อ...เหมือนยังมาไม่ถึงนะเจ้า...พูดงี้อีกแหล่ะ 555+

เอ้า...รู้ที่มาที่ไปแล้ว ทีนี้ก้อมาลุยกันเลยจ้า ภาพแรกเป็นทางขึ้นดอยนะคะ แต่ภาพนี้เป็นขาลงนะคะ



หมู่บ้านผาเดื่อ ซึ่งเป็นจุดแวะชมและซื้อหัตถกรรมชาวเขา (ไม่เห็นหัตถกรรมเท่าไหร่ เลยไม่ค่อยแน่ใจว่าใช่ที่นี่หรือเปล่า แต่คนเยอะค่ะ น่าจะใช่แหล่ะ เง้อ...ป มีสมุนไพรพืชผักแปลกๆ ไม่รู้เรียกว่าอะไรกันบ้าง ลองดูเอาเองค่ะ ใครรู้ลองบอกกันบ้างนะคะ



ในมือที่ถืออยู่เป็นน้ำเต้าลูกเล็กๆนะคะ น่ารักดี ลูกละ 10 บาท เจ้าสองตอ ชอบมากเลย โดยเฉพาะเจ้าต้นไม้ เดี๋ยวมีรูปมาฟ้องค่ะ อิๆ



เดินดูของแปลกพวกลูกผักสมุนไพรที่ไม่เคยเห็นอยู่เกือบครึ่งชั่วโมงนะคะ ที่จำได้ติดตาเป็นลูกสะบ้า เอ...ไม่รู้จักพอมีใครรู้จักหรือจำได้บ้างไม๊ ผู้เขียนเคยเอามาแช่น้ำหมักเกลือให้มันเหนียวเวลาทอยจะได้ไม่แตกง่ายนะคะ อันนี้เทคนิคระดับเซียน(สมัย 2518 ขอบอก เอิ๊กๆ) ก่อนเอาไปตากแห้งเอาไว้เล่นทอยแทนตุ๊กตุ่นยาง หรือพลาสติกสมัยอยู่อยุธยานะคะ

ลูกสะบ้านี่มีประวัติความเป็นมาเกี่ยวกับชุมชนมอญด้วยนะคะ ทีเค้าเล่าว่าประเพณีทอยลูกสะบ้าหาคู่ ตอนนี้เหลืออนุรักษ์เอาไว้จักแสดงช่วงสงกานต์เท่านั้น มอญที่พระประแดงสมุทรปราการเห็นยังมีให้ดูอยู่นะคะ อ้าว..เดี๋ยวเลยเถิด เอาไว้จะมาเล่าให้ฟังที่หลังนะคะ

มนต้นไม้เห็นลูกสะบ้า หรือบะบ้า ภาษาชนกลุ่มน้อยทางเหนือเค้าว่าไว้ มันกองรวมอยู่กับพวกลูกผักชีสมุนไพรในรูปนะคะ รูปที่เห็นข้างล่างเป็นโฉมหน้าลูกสะบ้าค่ะ รำลึกถึงความสวย เอ้ย...ความหลัง ตอนอยู่บ้านนอก เง้อ...คิดถึงจังเลย




ได้ของที่ไม่ได้ตั้งใจแต่ต้องการเป็นที่เรียบร้อยแล้วก็ต้องไต่เขาขึ้นไปอีกสักพักค่ะ จึงงจะถึงชุมชนที่เป็นแหล่งค้าขายและขอกินสารพัด รวมถึงวัฒนธรรมและร้านอาหารตามแบบฉบับจีนยูนนานโดยเฉพาะ...เอื้ีอกๆ น้ำลายไหลทุกทีเวลานึกถึงขาหมูหมั่นโถววว แต่ตอนนี้ ไปดูรูปเล่นๆกันก่อนค่ะ


สำหรับผมสองคนแค่น้ำเต๋าคนละอันก็มันแล้วคร๊าบบบ




เหนื่อยกันไมีครับ มาต้นไม้จะแบ่งซูกัสให้คนละเม็ดนะครับ




ขึ้นเขาพอเมื่อยแต่ไม่น่าเบื่อเพราะสองข้างทางมีแต่วิวสวยๆที่สำคัญอากาศดีมากๆเลยค่ะ ไม่ค่อยหนาวเท่าไหร่เพราะว่าสิบเอ็ดโมงกว่าแล้ว พ่อดอกมะลิผู้ทำหน้าที่สารถีก้อเปิดกระจกให้เด็กๆรับอากาศบริสุทธิ์บนเขาเห็นทั้งวิวและรับลมไปในตัว แง้วๆ เล่นเอาเพลินเกือบหลับเลยเรา เง้อ...ก้อเมื่อคืนมันหนาวจนนอนไม่หลับนี่นา พออากาศอุ่นๆกเ็อยากจะงีบแล้วเนี่ย...แต่ยังค่ะยัง เรื่องนอนเอาไว้ที่หลังเรื่องเที่ยวสู้ไม่ตายค่ะ ตายแล้วเดี่ยวไม่ได้เที่ยว ฮี่ๆ

สองข้างทางใกล้บนชุมชนจีนจะมีบ้านชั้นปลูกแบบตึกติดจานดาวเทียมกันเป็นแถว ทำให้คนเขียนและผู้ร่วมขบวนการคิดทึกทักกันเองว่า...โห รวยหว่ะ อิๆ รถวิ่งเรื่อยๆแม้จะไม่ใช่โฟร์วีล แต่ก้อเทียบเท่้าในใจล่ะกัน เิ๊อิ๊ก ๆ ก้อแค่ ฮอนด่า เอ้ย ฮอนด้าแก่ๆปี 97 หล่ะคะ ไม่ใช่อะไร แต่แหม....ทานทนไปถึงไหนๆมาแล้วนะเนี่ย เม้าส์มาก ชักหิวแล้วค้า..

เราตกลงกันว่าจะแวะทาน แอ่น แอน แอ้น...ขาหมุหมั่นโถว ที่ร้านอาหารที่ชื่อว่า ร้านนายพลต้วน (จริงๆเข้าไปทานร้านนี้เพราะเข้าใจเอาเองว่าน่าจะมีประวัติให้อ่านมั่ง แต่แหม.. มีน้อยมากๆนิดเดียวเอง แค่เคยเป็นที่ๆนายพลต้วนมาปลูกที่พักชั่วคราวเอาไว้เท่านั้นเอง...) ไม่เป็นไรค่ะ พาไปดูบรรยากาศละกัน อิๆ


ทางขึ้นร้านอาหารนายพลต้วน หรือมีชื่อเต็มๆว่า ต้วนซีเหวิน ค่ะ อันนี้ขอออกตัวว่าไปมาหลายปีแล้ว ไม่รู้ว่าตอนนี้เปลี่ยนชื่อร้านไปหรือยังนะคะ




นายพลต้วนที่ว่านี้คืออดีตทหารจีน ที่สังกัดพรรคก๊กมินตั๋งของนายพลเจียงไคเช็ค ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นหนึ่งในสองนายพลของกองกำลังที่ 93 ที่เข้ามาลี้ภัย ตามที่ได้เล่าไว้ข้างต้นไงค่ะ


ทางขึ้นระหว่างบันไดที่ค่อนข้างสูง ร้านปลูกบนเนินนะคะ ปลูกต้นไม่พวกเถาเลื้อยพวงแสดสีส้มสดห้อยย้อยไปหมดเลย




ข้างล่างนี่เข้าใจว่าเป็นรีเซฟชั่นค่ะ เห็นเดินไปเดินมาต้อนหน้าต้อนหลังเจ้าสองตอ ไม่ยอมไปไหน ยืนทำหน้าที่อยุ่ข้างร้านทางขึ้นร้านนคะ อิๆ ไม่เปลืองค่้าแรงเสียแต่ข้าวสุกเท่านั้น 555+




ในที่สุดก็มาแล้วค่ะ หมั่นโถวแบบยูนนาน แฮะ ...สังเกตข้างๆนะคะ ว่าขาหมูมานานแล้ว ที่เจ้าต้นไม้ถือเอาไว้เป็นหมั่นโถวจานที่สอง ทานเปล่าๆก็อร่อยดีนะคะ ส่วนขาหมู ไม่รู้หายไปไหนหมด ชั่วกระพริบตา อ๊าก...ลงท้องไปแล้วนึกได้อีกที ไม่ทันถ่ายรูปเอาไว้ง่ะ เหอๆ ความหิวเป็นเหตุ ร้านนี้อาหารมาช้า แต่คิดเงินเร็วเป็นบ้าเลย แถมเก็บจานเร็วยังกับไล่แขก ไม่เหมือนตอนเข้ามาสักนิด หุๆ บ่นอีกแหล่ะ ป้า...ครายยยเป็นป้า...รีบบอกมา พลัีกๆ ตุบ ตุบ



รูปขาหมูยืมมาจากเวปอื่นนะคะ ตามที่ให้เครดิตเอาไว้ข้างล่าง หน้าตาคลายเป็นขาเหมือนกัน แต่ดูไม่น่าทานเท่านี้หรอกค่ะ แบบว่าบ้านๆกว่าเยอะเลย หุๆ






อิ่มแล้วคร๊าบ ตบท้ายด้วยชาจีนกลิ่นมะลิ หอมขึ้นจมูก ดื่มแล้วประทับใจแฮะ เดี๋ยวไปหาซื้อกัน จอดลงทิ้งเอาไว้ที่ร้านแล้วเดินเรื่อยไม่ไกลเท่าไหร่ พอให้เหงื่อหัวล้านแตกพลั๊กๆ แค่สองพลั๊กก้อถึงแล้วค่ะ จะเอารถมาแถวที่จะไปเดินซื้อของจะหาที่จอดลำบากมากนะคะ เดินเอาดีกว่า เน๊อำะ เออ... อีกแหล่ะ งุงิ

งานนี้ไม่ต้องเล่านะคะ เรื่องช๊อบเนี่ยไม่ต้องบอกมันเป็นธรรมชาติมากๆ 555+



ใบชาที่ขึ้นชื่อของที่นี่ค่ะ ชาอูหลง



ตอนไปซื้อของนี่มีเรื่องเมาส์ให้ระวังเอาไว้ก็ดีนะคะ คือตอนเดินดูของไปเรื่อยๆ ทุกๆร้านจะมีสินค้าลักษณะแลราคาเกือบจักเท่าๆกันเลยค่ะ เรียกว่าการตลาดดดยกำเนิดทีเดียวเชียว ที่นี่ผู้เขียนก้อค่อยๆเดินถามราคาดูไปเรื่อยไม่ได้รีบร้อนอะไร เพราะนอกจากชาจีน พุทราแห้ง ดอกเก็กหอม บ๊วยสารพัดรส โป๊ยกั๊ก สมุนไพรจีน แล้วก้จะมีถ้วยชากาน้ำชา ประมาณนี้นะคะ


อ้อ...มีตุ๊กตาดินเผาตัวเล็กๆสูงแค่ 5 นิ้ว ทำเป็นเด็กผู้ชายแก้ผ้าเวลาใส่น้ำร้อนเดือดลงไปมันจะพุ่งฉี่ออกมาเลยค่ะ น่ารักดี เลยได้มาเลยหลายตัว เอามาฝากคนข้างล่างแบบขำๆ แต่ว่าไม่ทันถ่ายรูปมาให้ดุ ถ้าใครขึ้นไปเที่ยว แล้วยังมีขาย ลองซื้อมาเล่นสักตัวสองตัวก้น่ารักดีนะคะ ตัวลั 10 บาทค่ะ โหลละ 100 ถ้วน ต่อดีจะได้ ต่อไม่ดีไม่ลด เง้อ...เคี่ยวอ่ะ อ้อ...น้ำธรรมดา น้องหนูจะปัสสาวะไม่ออกนะคะ ขอบอก ฮี่ๆ มันเป็นหลักทางกลศาสตร์อย่างหนึ่งนะคะ

กลับมาเรื่องเดิมค่ะ พอดีสนใจดอกเก๊กฮวง สาหร่าย เห็ดหอมเลยซื้อมาอย่างละนิดละหน่อย กะว่าจะไปดูที่ชายแดนแม่สายอีกที ราคาที่นี้ไม่ถุกนะคะ เวลาซื้อต้องพิจารราดีเทียวหล่ะ พอดีคนขายบ๊วยสามรสที่มนต้นไม้ซื้อมาเค้าให้ลองชาอูหลงอย่างดี ไม่ใช่ที่เห้นนะคะ เป็นแบบบรรจุหีบห่อสวยงามถุงมันเป้นตราทิวทัศนืจีนที่มีขายในซุปเปอร์นะคะ่ พอชมแล้วติดใจถามราคาอุแม่เจ้า ห่อละ 200 บาท น้ำหนักตามที่กะด้วยสายตาและมือ ไม่เกินขีดชัวร์ ไมแพงอย่างนี้แหล่ะ คนชิมร้องเสียงหลง คนขายกลับร้องเสียงหลงกว่า 555+



ไม่ใช่ค่ะ คนขายอธิบายว่าของดีคัดพิเศษ แถมชี้มาที่ถ้วยชาที่ยังไม่ทันวางแล้วถามว่า....อร่อย ใช่ไมีเจ้ แหมๆ าเรียกเจ้ กะไม่อุดหนุนแล้วเนี่ย เง้อ... สรุป ซิื้อมาฝากผู้ใหญ่ที่บ้านสามห่อ กรี๊ด...มาต้มที่บ้าน ขนาดให้มืออาชีพต้มนะคะ กลิ่นไม่มีรสไม่ต้องพูดถึง ใบชาตรามังกรำห่อละ150 บาทยังหอมกว่า แงๆ ถูกหลอกจนได้ เลยเอามาเล่าให้ฟังกันนะคะ ทางที่ดี บ๊วยสามรสชัวร์สุด 555+


เอาหล่ะอิ่มไปแล้ว ได้ของฝากไปแล้ว โดนหลอกไปแล้ว คราวนี้ก็ต้องถึงเวลากลับที่พักแล้วค่ะ กว่าจะลงมาถึงข้างล่างก็เอาเรื่องนะคะ เพราะเส้นทางขึ้นเขาคดเคี้ยวอย่างที่รู้ๆกัน พรุ่งนี้จะพาไปหอฝิ่นอุทยานสามเหลี่ยมทองคำกันค่ะ แต่ต้องหลังจากกลับจากข้ามแม่สายไปพม่าก่อนนะคะ วันนี้คงต้องขอลาก่อนค่ะ เหนื่อยเหลือเกิน คร๊อกๆๆ ฟี่ๆๆ




ปล.ขอบคุณข้อมูลดีๆและรูปสวยจาก เวปข้างล่าง...ด้วยนะคะ

1.//www.tourismchiangrai.com/index.php?p=topattraction&i=3
2.//www.bloggang.com/mainblog.php?id=1kind&month=14-04-2009&group=6&gblog=1



Create Date : 25 มีนาคม 2556
Last Update : 25 มีนาคม 2556 13:21:14 น. 0 comments
Counter : 1424 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

Setakan
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]





อยากให้คนที่เข้ามาได้รอยยิ้ม
และความสุขกลับไปค่ะ

..................

นิยายปี 53










นิยายปี 54










งานเขียนในบล็อกนี้สงวนลิขสิทธิ์ ตาม พ.ร.บ. พ.ศ. 2537 ห้ามคัดลอก ทำซ้ำ ส่วนหนึ่งส่วนใด โดยมิได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษร




TOP : Users Online hits
Friends' blogs
[Add Setakan's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.