ครบ 2 ปีที่สาวไหมป่วยหนัก.....+:+:+:+เมื่อเด็กหญิงปลาหมึกปิ้งของแม่เป็นโรค "คาวาซากิ":+:+:+:+




วันนี้เล่นง่ายหน่อย ขอก๊อปกระทู้ที่เคยโพสต์ไว้ในสวนลุมมาอัพบล็อกละกัน....วันนี้เมื่อ 2 ปีก่อน เวลาประมาณนี้แหละ (เกือบ 4 ทุ่ม) สาวไหมนอนอยู่ในอ้อมกอดของแม่ที่ห้อง ER โรงพยาบาลสวนดอก อากาศร้อนมาก พัดลมตั้งโต๊ะขนาดยักษ์ที่เขาใช้ตามงานน่ะ พัดไล่ความร้อนในห้องแต่มันทำให้สาวไหมฟืดฟาดหนักขึ้น แต่แม่ก็ไปไหนไม่ได้ เพราะต้องรอคุณหมอสั่งให้ยา IVIG เพราะเพิ่งวินิจฉัยได้ว่าหนูเป็นโรคคาวาซากิ....

และวันนี้เมื่อสองปีก่อน หนูก็ได้พบกับความยากลำบากครั้งแรกในชีวิตของหนูโดยมีพ่อของหนูอยู่เคียงข้างไม่เคยห่าง แม่เลยอยากจะบันทึกมันไว้อีกครั้ง....

***

หลังจากที่อุ้มท้องหนูมานาน 38 อาทิตย์กว่าๆ แม่ก็ได้เห็นหน้าลูกครั้งแรก เมื่อปลายเดือนกุมภาพันธ์นี่เอง ลูกตัวเล็กมาก หนักแค่ 2,210 กรัม แม่ไม่รู้ว่าจะอุ้มหนูยังไงดี จะจับตรงไหนก็กลัวหนูเจ็บ ใครมาเห็นก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ทำไมตัวเล็กยังงี้ แต่เห็นเล็กๆ ยังงี้ ลูกของแม่ก็ได้แอ็ปการ์สกอร์ 10/10 เชียวนะ เวลาหนูร้องไห้ที แม่แสบแก้วหูไปหมดเลย ลูกเอ๊ย

หนูดูดนมยากมากๆ ทั้งแม่และพี่ๆ พยาบาลเหงื่อตกไปหลารอบกว่าจะปล้ำให้หนูดูดนมแม่ได้ ต้องหลอกล่อสารพัด ไม่เพียงแค่นั้นที่ทำให้แม่กลุ้มใจ 1 วันหลังจากที่หนูลืมตาดูโลก คุณหมอเจาะดูค่าบิลิรูบินของหนูสูงถึง 16.5 ซึ่งมันมากเกินไปสำหรับเด็กตัวเล็กๆ อย่างหนู หนูจึงต้องส่องไฟอยู่ 2 วัน 2 คืน...เป็น 2 วัน 2 คืนที่แสนทรมานใจมาก ลูกรู้ไหม....



เวลาแม่ลงไปที่เนิร์สเซอรี่แล้วเห็นหนูนอนอุตุอยู่ในคลิปที่ฉายไฟ UV เป็นสีม่วงๆ ถูกคาดตาด้วยหน้ากากผ้า เห็นหนูนอนกระสับกระส่ายไปมา น้ำลายไหลย้อยลงมุมปาก แม่น้ำตาไหลพรากเลยลูกจ๋า...ในใจกลัวสารพัดว่าหนูจะเป็นอะไรมากไหม เพราะแม่อ่านจากเอกสาร เขาบอกว่า ถ้าค่าบิลิรูบินสูงมากๆ ก็อาจจะส่งผลกระทบต่อสมองได้ ตอนนั้นแม่กลัวจริงๆ ลูกสาวของแม่....



ลูกสาวตัวเล็กของแม่ต้องโดนส่องไฟรอบ 2 เมื่อพบว่าหลังจากหยุดส่องไฟครั้งแล้วแล้วค่าสารบิลิรูบินที่ลดลงนั้นกลับเพิ่มสูงขึ้นอีก พ่อกับแม่ต้องกลับบ้านไปก่อน ทิ้งหนูไว้ที่โรงพยาบาล ให้หนูอาบแดดเล่นอยู่คนเดียว

แม่กลับมาบ้าน มาดูห้องนอนที่พ่อของหนูจัดไว้ให้ แม่ก็ร้องไห้ทั้งคืน ในใจมันกลัวไปหมด กลัวว่าหนูจะไม่ได้กลับบ้านมานอนกับแม่อีก...



พ่อกับแม่ตกลงใจตั้งชื่อให้หนูว่า "สาวไหม" ที่เป็นชื่อของการฟ้อนสาวไหมลายเจิง วิชาที่พ่อของหนูร่ำเรียนมาจากปู่ครูตั้งแต่ยังเล็ก พ่อกับแม่แอบฝันว่า ถ้าวันหนึ่งข้างหน้า หนูมีน้องชาย พ่อกับแม่จะตั้งชื่อน้องชายของหนูว่า "ลายเจิง"

แต่เมื่อแม่นึกย้อนไปถึงวันเวลาที่หนูต้องนอนอยู่โรงพยาบาลเพียงลำพังนั้น แม่ก็ไม่คิดไม่ฝันถึงอะไรเลย นอกจากภาวนาให้สาวไหมของแม่ปลอดภัย มีชีวิตอยู่กับแม่ตลอดไป...เท่านั้นเอง



สาวไหมตัวเล็กๆ ของแม่น้ำหนักลดลงอีกเหลือแค่ 1,990 กรัม ใจแม่ห่อเหี่ยวจนไม่อยากกินไม่อยากนอน แม่จะเลี้ยงหนูยังไงดีเนี่ย ทุกวันที่แม่นั่งรถไปหาลูกที่โรงพยาบาล แม่ก็ร้องไห้ไปตลอดทาง แม้ว่าพี่พยาบาลจะเพียรบอกว่า 1อาทิตย์ -10 วันแรก น้ำหนักของเด็กทารกสามารถลดลงมาได้ถึง 10 % แต่แม่ก็วิตกกังวลเกี่ยวกับน้ำหนักตัวของลูกเกินกว่าจะทำใจให้เป็นปกติได้



วันที่หนูได้ออกจากโรงพยาบาลครั้งแรก หนูอยู่ในห่อผ้าขนหนูสีชมพูห่อเล็กๆ โผล่หน้าดำๆ เหลืองๆออกมา หน้าตาลูกชวนให้น้ำตาไหลเป็นที่สุด จมูกเล็กๆ ของลูกมีจุดสีขาวๆ ขึ้นเต็ม ตาเล็กๆ ที่ดูเหม่อลอย ปากเล็กเล้ก...ขมุบขมิบไปมาอยู่ตลอดเวลา ราวกับลูกหิว (แต่พอให้กินนม หนูก็ไม่อยมกิน)

แม่อุ้มหนูแนบอกอย่างระมัดระวัง แดดแรงยามบ่ายแก่วันนั้นทำให้รู้สึกร้อนอบอ้าว แม่เอาหมอนใบเล็กป้องหน้าลูกไว้ กันไม่ให้แสงแดดส่องตัวลูกตรงๆ สาวไหมของแม่หลับอุตุตมาตลอดทาง ทันทีที่ถึงบ้าน แม่บอกกับหนูว่า นี่คือบ้านของเรานะ มันเป็นบ้านของหนู ดอกไม้ ต้นไม้ทุกต้นที่แม่ปลูกมันก็เป็นของหนู หนูต้องปลอดภัย เติบโตอยู่ดูแลมันไปตลอดนะจ๊ะ



คืนแรกที่สาวไหมมานอนที่บ้าน ทั้งพ่อแม่และคุณยายแทบไม่ได้หลับได้นอน หนูร้องงอแงทั้งคืน คงจะเป็นเพราะได้นมไม่เต็มอิ่ม แม่ให้นมยังไม่เป็นเลยตอนนั้นน่ะ พอร้องมากๆ เข้า ลมก็เข้าท้องหนู หนูก็ท้องอืดอีก เสียงร้องของลูกดังขึ้นเรื่อยๆ พอๆ กันที่คิ้วของพ่อกับแม่เริ่มขมวดและเริ่มเครียดขึ้น เพราะไม่รู้ว่าจะจัดการกับเสียงร้องอย่างทรมานของหนูยังไงดี คุณยายเข้ามาในห้อง แล้วถามพ่อหนูอย่างเป็นห่วงว่ามีคาถาอะไรเป่าให้หนูหน่อยสิ แล้วคุณยายก็ท่องคาถาชินบัญชรแล้วเป่ากระหม่อมหนู กล้ามเนื้อปากหนูคงจะกระตุกพอดี เหมือนกับว่าหนูกำลังยิ้ม ทั้งพ่อแม่และคุณยายเลยอดหัวเราะออกมาไม่ได้ทั้งๆที่กำลังเครียดแสนเครียด



คุณยายอยู่เป็นเพื่อนแม่อีก 2-3 วันก็ต้องกลับบ้านเพราะสุขภาพเริ่มแย่ คุณยายเป็นคนนอนหลับยาก มาเจอนักร้องเสียงทองอย่างสาวไหม คุณยายจะเป็นลมเอา เลยต้องกลับไปบ้าน ทิ้งพ่อกับแม่เผชิญหน้ากับความลำบากกันสองคน

2-3 อาทิตย์แรกเป็นเวลานรกจริงๆ เลยลูกเอ๋ย พ่อกับแม่ตาลึกโหล เหน็ดเหนื่อยมาก กินก็ไม่ได้กิน นอนก็แทบไม่ได้นอน ดีนะที่พ่อทำงานอิสระมีเวลาช่วยแม่เลี้ยงลูกเต็มที่ พ่อมีหน้าที่ทำอาหาร ดูแลบ้านและแน่นอน ต้องซักผ้าอ้อมเปื้อนฉี่เปื้อนอึหนูด้วย แม่มีหน้าที่ให้นมลูก ดูแลลูกและบำรุงร่างกายตัวเอง แต่ก็นั่นแหละแม่กินอะไรไม่ลงเลย ไม่อยากกินอะไรเลย เพราะมันเหนื่อยจริงๆ...วันหนึ่งเมื่อหนูมีลูกของตัวเองแล้วหนูจะรู้



ในเดือนแรก น้ำหนักของลูกขึ้นมาน้อยมาก คงไม่ต้องบอกว่าแม่จะทุกข์ใจแค่ไหน แม่ดูลูกทีไรก็ใจหายทุกทีว่าทำไมหนูถึงตัวเล็กเหมือนตุ๊กตาอย่างนี้ หนูจะโตเหมือนคนอื่นๆ ไหมเนี่ย เวลาแม่พาหนูไปโรงพยาบาลเพื่อไปฝึกดูดนมที่คลีนิคนมแม่ มีแต่คนถามว่าหนูเพิ่งคลอดเหรอ อายุกี่วันแล้ว แม่ก็ได้แต่หน้าชื่นอกตรมบอกเขาไปว่าหนูอายุเยอะแล้วนะ ไม่ใช่เด็กแรกเกิดนะ....ฮืออ


แม่มีสายวัดอยู่เส้นหนึ่ง เหมือนเป็นบ้าเลย ลูกเอ๋ย แม่คอยวัดหนูทุกวัน บางวันวัด 2 รอบก็มี ทั้งความยาวรอบศีรษะ ความยาวตัว ความยาวของกระดูกแต่ละท่อน ความยาวเท้ามือ วัดแม้กระทั่งความกว้างของปากหนู เพราะแม่อยากรู้ว่าหนูโตขึ้นหรือเปล่า

สาวไหมของแม่...วันหนึ่งแม่อุ้มหนูอยู่ แม่รู้สึกเหม็นตุ่นๆ เหมือนกลิ่นปลาหมึกปิ้ง แม่สงสัยอยู่นาน ในที่สุดก็รู้ว่ามือหนูเหม็นมาก เพราะเวลาอาบน้ำ พ่อลืมล้างมือล้างนิ้วให้หนู ตั้งแต่นั้นแม่ก็เลยเรียกหนูว่า "เด็กหญิงปลาหมึกปิ้งแถวล่างของแม่"



ตอนหนูอายุได้เดือนกว่าๆ ตาหนูแฉะและเริ่มมีขี้ตา และแล้วมันก็เริ่มเขียว แสดงว่าติดเชื้อ แม่พาหนูกลับไปที่โรงพยาบาลอีกครั้ง คุณหมอให้ยาป้ายตามา เวลาป้ายตาหนูแม่สงสารหนูจังเลย ทั้งตาจะเป็นขี้ผึ้งสีขาวขุ่นอยู่เต็มตา ดูๆไปเหมือนโฆษณา the eye เลยลูกเอ๋ย แล้วซักพักยาก็เริ่มแห้ง ขนตายาวๆของหนูก็ถูกผนึกติดกันทั้งบนล่าง หนูไม่ร้องซักแอะ คงจะเป็นเพราะงุนงงสงสัยว่าทำไมจู่ๆ โลกก็มืด...แม่ถ่ายรูปนี้ตอนที่ยาเริ่มแห้งและแม่เช็ดออกให้แล้ว เหลือแต่ยาแห้งติดขนตา ไม่ใช่ขี้ตานะจ๊ะ...ปลาหมึกปิ้งแถวล่างของแม่



เด็กหญิงปลาหมึกปิ้งแถวล่างของแม่จะว่าเลี้ยงง่ายก็ไม่ใช่ จะว่าเลี้ยงยากก็ไม่เชิง หนูไม่ค่อยแหกปากร้องโยเย แต่ไม่เป็นโคลิก (เคาะโต๊ะ 3 หน) แต่หนูก็เป็นคนนอนหลับยาก ซึ่งอาจจะเป็นเพราะได้นมไม่พอก็เป็นได้ที่ทำให้หนูไม่ค่อยยอมนอนและนอนน้อย (ความจริงเป็นความผิดของแม่นะ) พอแม่จะวางหนูลงเบาะ หนูก็จะอิ๊อ๊ะๆ แล้วเริ่มต้นร้องไห้ ให้คนอุ้ม พ่อกับแม่ต้องผลัดกันอุ้มหนูคนละครึ่งคืน....เหนื่อยจริงๆ ลูกจ๋า

แต่มาวันหนึ่ง...ตอนที่หนูอายุได้ 1 เดือนกับ 22 วัน หนูเริ่มนอนกลางวันได้นานขึ้นจนแม่แปลกใจ...ปกติแล้วหนูแทบจะไม่ยอมหลับกลางวันเลย แต่วันนั้น หลังวันสงกรานต์ หนูนอนอุตุ ตื่นมากินนมก็หลับ แม่ชื่นใจจัง....

แต่ว่า...พอตกบ่ายมา หนูเริ่มตัวอุ่นๆ



แม่ให้ยาลดไข้หนูไป แต่ไข้ก็ไม่ยอมลด กลับเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

ยิ่งค่ำ ยิ่งดึก ไข้หนูยิ่งสูง จาก 37.0 ก็ไต่ขึ้นไป 37.4 37.8 38.2 38.5 .... แม่พยายามให้หนูกินยาทุก 4 ชั่วโมงและเช็ดตัว แต่หนูก็ยิ่งดูแย่ลง แม่ไม่ได้นอนเลยทั้งคืน



เจ็ดโมงกว่าๆ ไข้หนูขึ้นสูงกว่า 39 องศา แม่ร้อนใจมาก บอกให้พ่อรีบเปลี่ยนเสื้อผ้า แต่งตัวพาหนูไปโรงพยาบาล ... หมอก็ลงเวรสายอีก แม่นั่งอุ้มหนูไปก็สั่นขาไปเพราะไม่รู้จะทำอะไรได้ ทุกนาทีที่ผ่านไปมันยาวนานเหมือนชั่วโมง ตัวหนูก็เริ่มร้อนขึ้นทุกทีๆ

จนสุดท้ายก็ได้ตรวจกับอาจารย์หมอแก่ๆ ท่านหนึ่ง เป็นผู้ชายที่ปากร้ายมาก พอถามแม่ว่าลูกเป็นอะไร แม่บอกว่า หนูมีไข้ต่ำๆ ตอนเย็น พอให้ยา ลูกก็บ้วนทิ้ง เช็ดตัวให้แล้ว ไข้ก็ไม่ลด จนตอนเช้ามาไข้สูงเลยมาพาหาหมอ

หมออาวุโสคนนั้นด่าแม่มาว่า "ให้ยาลูกแค่นี้ยังให้ไม่ได้ คุณกลับไปพิจารณาตัวเองได้แล้วว่าเหมาะสมจะเป็นแม่คนไหม คุณให้ยายังไม่ได้ แล้วจะมาหาผมทำไม ผมจะช่วยอะไรได้"

แม่น้ำตาแทบไหล เจ็บใจก็เจ็บใจ แต่ห่วงลูกมากกว่า อยากจะเถียงว่า เพราะอยากจะรู้ว่าลูกเป็นไข้เพราะอะไรถึงมาหาหมอ ไม่ได้มาเพื่อให้หมอป้อนยานี่นา ทำไมต้องว่ากันอย่างนี้ แต่สุดท้ายหมอคนนั้นก็ให้ยามากินแล้วบอกว่าลูกไม่เป็นอะไร เป็นหวัดเฉยๆ



แม่พาหนูกลับมาบ้าน พยายามป้อนยาจนลูกกลืนยาได้หมด เช็ดตัวให้บ่อยๆ แต่ไข้ก็ไม่ยอมลด ยังคงยืนระยะที่ 38 องศาขึ้นไป

ตอนตี 3 ไข้ลงมาที่ 37 แม่ดีใจมาก คิดว่าหนูคงไม่เป็นไรแล้ว แต่ที่ไหนได้ พอตี 5 ไข้หนูก็กลับสูงขึ้นอีกถึง 39 องศา

และที่สำคัญ มีจุดเล็กๆ ขึ้นตามแขน ขา หน้าอกของลูก แม่โทรหาพี่พยาบาลที่สนิทกันถามว่าลูกเป็นอย่างนี้ เป็นอาการของอะไรได้บ้าง ป้าเขาบอกว่าอาจจะเป็นผดร้อน ไม่ต้องมาหาหมอก็ได้ ลองให้อยู่ในที่อากาศเย็นๆ ให้ยาแก้ไข เดี๋ยวก็หาย...

แต่ด้วยความเป็นแม่...แม่รู้สึกว่ามันไม่ปกติ ไม่ถึงครึ่งชั่วโมง ตุ่มเล็กๆ เหล่านั้นก็กลับเห่อขึ้นมาอีกมากมาย แม่รีบพาหนูไปโรงพยาบาลอีกครั้ง คราวนี้ไปพบหมออีกคนหนึ่ง หมอบอกว่า หนูเป็นหวัดธรรมดา แต่อาจจะมีไข้สูงได้ ส่วนผดนั้นคงจะเกิดจากการมีไข้สูง ก็จะเกิดขึ้นได้ หมอบอกว่ากลับไปบ้านก่อนก็ได้ อีก 2 วันถ้าไม่ดีขึ้นก็กลับมาอีกครั้ง อาจจะต้องนอนโรงพยาบาล

แต่แม่บอกว่า ตอนที่หนูอยู่บ้าน มีไข้สูงนั้น หนูมีอาการเหมือนจะชัก หมอมีสีหน้าตกใจแล้วถามว่าอยากจะนอนโรงพยาบาลเลยไหม แม่ตอบไปทันทีว่าขอ admit วันนี้เลย

แต่โชคร้าย....ห้องเต็มหมดทุกห้อง แม่ลงชื่อจองห้องไว้ พยาบาลบอกว่า วันนี้ก็อาจจะไม่ได้ ถ้าได้เมื่อไหร่จะโทรไปบอก



แม่ต้องพาหนูกลับมาบ้าน แต่ไข้ก็ไม่ยอมลด กลับเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แม่ต้องเอาหนูแช่น้ำเพื่อลดไข้ตั้ง 2 ครั้ง ระหว่างที่กินนม หนูก็อ้วกอีก อ้วกจนน่ากลัว ใจแม่แทบขาด บอกพ่อว่าไปโรงพยาบาลอื่นเถอะ ที่ไหนก็ได้ ขอให้ได้อยู่ใกล้หมอ ระหว่างนั้นแม่ก็โทรศัพท์คุยกับหมอคนเดิมเล่าอาการของลูกให้ฟัง หมอก็คงจะไปคุยกับพยาบาลที่ทำหน้าที่จองห้องแล้วบอกว่าจะรีบโทรแจ้งถ้าได้ห้อง

แม่พาหนูไปโรงพยาบาลแห่งใหม่ ลูกกำลังรอคิวตรวจ แต่โรงพยาบาลเดิมก็โทรมาพอดีบอกว่าได้ห้องแล้ว แม่เลยขอโทษคุณหมอที่โรงพยาบาลแห่งใหม่นี้ คุณหมอบอกว่าไม่เป็นไรค่ะ คุณแม่รีบพาไป admit ที่โน่นเลย หมอจะได้ดูแลต่อเนื่อง

ไปถึงโรงพยาบาล ห้องก็ยังเคลียร์ไม่เสร็จ แม่พาหนูไปนั่งรอที่คลีนิกนมแม่อีกชั่วโมงกว่าๆ จึงจะได้ห้อง พอเข้าไปในห้อง พี่ๆ พยาบาลมาเจาะเลือดหนูไปตรวจ แล้วให้ยาแก้ไข้ คืนนั้นไข้หนูก็ไม่ยอมลด



คุณหมอให้น้ำเกลือหนูด้วย โชคดีที่ป้าหน่อย คุณป้าพยาบาลคลีนิกนมแม่มาเจาะเลือดให้หนูด้วยตัวเอง หนูเลยเจ็บตัวแค่ครั้งเดียว...มือเล็กๆ ของหนูถูกพันไว้แน่นหนาจนน่าอึดอัด...

ค่ำนั้น แม่ให้นมหนูและหนุก็อ้วกพุ่งเป็นครั้งที่ 5 นับตั้งแต่เริ่มไม่สบาย พี่พยาบาลเข้ามาบอกว่า คุณหมอให้งดนมไปก่อน เพราะกลัวหนูอ้วกมากๆ แล้วกระทบกับระบบอื่นๆ ของร่างกาย


คืนนั้น หนูโยเยมาก คงเพราะพิษไข้และความหิว หนูร้องจะกินนมทั้งคืน เวลาแม่อุ้ม หนูก็จะส่ายหัวเข้ามาหานมแม่ ทำปากงุบงิบๆ แม่ไปถามพี่พยาบาลกี่ครั้งๆ พี่เขาก็บอกว่า คุณหมอให้งดไปก่อน แต่ไม่บอกว่าให้งดถึงเมื่อไหร่

ตีหนึ่งเข้าไปแล้ว หนูก็ยังไม่นอน แม่ทนไม่ได้เลยอุ้มหนูมานอนด้วยกัน แม่ร้องเพลงกล่อมไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบ มือคอยตบก้นหนู แม่หอมหนูไปพลาง ร้องเพลงกล่อมไปพลาง ในที่สุดหนูก็คงจะเหนื่อย จะเพลียจนหลับไปเอง

จนตี 5 หนูเริ่มร้องไห้งอแง พอแม่ก้มดูหนู แม่แทบน้ำตาไหล หนูพยายามดูดผ้าพันแผลที่พันหนูอยู่อย่างตั้งอกตั้งใจ แม่ทนไม่ไหว เลยเรียกพยาบาลมาถามว่า ให้นมได้หรือยัง พี่พยาบาลคนใหม่เขาบอกว่า ให้เถอะเนาะ น่าสงสาร

พอแม่เปิดเสื้อให้นม หนูดูดเอาๆ แทบไม่ได้หายใจ...ซึ่งตั้งแต่เกิดจนถึงวันนั้น หนูไม่เคยที่จะดูดนมแม่อย่างกระหายอย่างนั้นมาก่อนเลย แม่เสียใจจริงๆ...ปลาหมึกปิ้งแถวล่างของแม่



ไข้หนูยังไม่ลดลงเลย แม่พยายามเช็ดตัว เอาผ้าโปะหัว ก็ไม่ดีขึ้น...หนูเป็นอะไรนี่...ผลเจาะเลือดก็ยังไม่ออก แต่แม่ก็วางใจอย่างน้อยหนูก็ยังอยู่ใกล้หมอ...ทุกคนให้ความมั่นใจกับแม่ว่า ถึงไข้หนูยังสูง แต่เมื่อได้น้ำเกลือเข้าไป ยังไงหนูก็ไม่ชักแน่



วินาทีที่เหมือนกับโลกถล่มมาทับแม่ก็มาถึง...เมื่อหมอบอกว่า ผลการเจาะเลือดพบว่า...ในตัวหนูมีเชื้อแบคทีเรียตัวหนึ่งที่ชื่อ สแตร็พโตค็อกคัส (หรือสแตร็ฟฟีโลค็อกคัส แม่ก็จำไม่ได้ถนัด) ....

คุณหมอไม่ได้บอกแม่ตรงไปตรงมานักหรอก แต่สรุปว่า ไอ้เชื้อตัวนี้มันอยู่ในกระแสของหนู.....เชื้อตัวเดียวกันกับน้อง 4 เดือนที่เป็นข่าวมาไม่นานนี้เลย แม่ตัวชาไปหมด หมายความว่าอย่างไรกัน....หนูติดเชื้อในกระแสเลือด!!

แม่รู้มาก่อนหน้านี้จากการคุยกับป้าหน่อยตั้งแต่แรกที่หนู admit แล้วว่าในกรณีที่น้อง 4 เดือนที่เข้าโรงพยาบาลแล้วเสียชีวิต เพราะเชื้อตัวนี้ อาจารย์ที่เชี่ยวชาญด้านนี้บอกว่า ถ้าติดเชื้อในกระแสเลือด ถ้าไม่ได้รับการรักษาทันท่วงที 3 วันก็ไป....


หนูรู้ไหมว่าแม่เป็นยังไงในวินาทีนั้น....ในอกมันเต็มไปด้วยน้ำตา เต็มไปด้วยคำถามว่าทำไมต้องเกิดกับลูกของแม่ แล้วเกิดขึ้นได้ยังไง

คุณหมอบอกว่า คุณหมอให้ยาฆ่าเชื้อไปแล้ว 2 ตัวตั้งแต่วันที่หนู admit ซึ่งคิดว่าน่าจะคุมเชื้อนี้ได้แล้ว แล้วจะเจาะเลือดเพื่อไปเพาะเชื้อดูอีกทีว่ามันจะขึ้นอีกไหม ถ้าขึ้นอีกก็จะดูว่ามัน sens กับยาตัวไหน เพื่อจะได้ให้ยาได้ถูกต้องมากขึ้น แต่ตามที่เทสต์ครั้งแรก เชื้อตัวนี้ให้แค่ยาเพนนิซิลินมันก็ฆ่าได้ หมอคิดว่าอีกวันสองวันไข้น่าจะลดลง...




มันช่างเป็นวันเวลาที่แสนทรมานเหลือเกินสำหรับแม่...วันนั้นคุณตาคุณยายมาทำธุระที่เชียงใหม่พอดี พอแม่บอกผลให้คุณตาคุณยาย ท่านก็ปลอบใจให้แม่เข้มแข็ง แต่แม่จะเข้มแข็งได้ยังไง ปลาหมึกปิ้งแถวล่างตัวกระเปี๊ยกของแม่อายุยังไม่ถึง 2 เดือน ต้องมาเจออะไรอย่างนี้...

ในความสับสนอลหม่านนั้น แม่คิดอะไรไม่ออกเลย คิดแต่ว่า หนูจะตายไหม ยาที่หมอให้จะฆ่าเชื้อได้หมดไหม...

ยิ่งนานไป แม่ก็ยิ่งคิดอะไรที่ร้ายขึ้นเรื่อยๆ พอดูหน้าดูที่ซีดเผือด กระสับกระส่ายด้วยพิษไข้ แม่ก็ร้องไห้ทุกที ใจแม่หายวาบทุกครั้งที่คิดว่าถ้าหนูตายไปล่ะ แม่จะพาหนูกลับบ้านยังไง แม่จะทนเห็นร่างไร้วิญญาณของหนูได้ยังไงกัน...ให้แม่เจ็บเอง ให้แม่เป็นเองเสียดีกว่า เพราะตัวหนูมีภูมิคุ้มกันน้อยเหลือเกิน

ตัวที่ร้อนเป็นไฟ หายใจกระสับกระส่ายของหนูนั้นน่ะ มันทรมานแม่มากๆ



ดูเหมือนอะไรที่แย่อยู่แล้วมันจะยังแย่ไม่พอหรือไงนะ นอกจากอาการไข้สูงของหนูจะไม่ลดลงแล้ว หนูยังมีน้ำมูก เสมหะเยอะมาก เป็นสีเขียวขุ่นข้น แสดงถึงอาการติดเชื้อ อ้อ...ก่อนหน้าที่จะรู้ว่าหนูติดเชื้อตัวนี้ คุณหมอตรวจดูทุกระบบในร่างกายของหนูว่าหนูติดเชื้อยังไงระบบใดบ้าง พบว่าหนูติดเชื้อทางเดินหายใจและทางเดินอาหาร เพราะหนูท้องเสีย ถ่ายเป็นน้ำ วันหนึ่งถึง 6-7 ครั้ง

ลูกของแม่ถูกดูดน้ำมูกเสมหะหลายครั้งด้วยกัน แต่ละครั้ง ใจแม่แทบขาด สายยางเล็กๆ ถูกสอดเข้าไปในรูจมูก สายที่ยาวเหลือเกินนั้นสอดเข้าไปลึกทุกทีๆ หนูก็กระอักกระไอ ตาเหลือกตาปลิ้น พอดึงสายออกมา เลือดในรูจมูกหนูก็พุ่งตาม พี่พยาบาลบอกว่า เป็นเส้นเลือดฝอยในรูจมูก คุณแม่ไม่ต้องกลัวนะคะ แม่พยายามทำใจจ้ะ....

พอดูดเสมหะในคอ หนูก็จะอ๊อกหลายครั้งหลายหน แล้วหนูก็อ๊อกออกมาทุกครั้ง...หนูกรีดร้องเสียงดัง น้ำตาหนูไหลเป็นทาง พอพี่พยาบาลเอาหนูมาส่งคืน สายตาของหนูที่เหลือบมองพี่เขามันบอกถึงความกลัวอย่างสุดหัวใจ น้ำตาหนูไหลอาบแก้ม...แต่น้ำตาแม่มันไหลท่วมหัวใจแม่แล้ว ลูกเอ๋ย...

แม่ไม่รู้จะช่วยหนูยังไงจริงๆ ได้แต่ปลอบหนูว่า พี่ๆพยาบาลเขาก็ช่วยให้หนูสบายขึ้นนะ พี่ๆ ไม่ได้ทำร้ายหนูนะ หนูอย่าร้องไห้ เดี๋ยวหนูก็จะดีขึ้น...อาการคัดจมูก น้ำมูกข้นเหนียวและเสมหะเต็มคอของลูกก็ยังคงมีอยู่ และตลอดเวลาที่หนูอยู่โรงพยาบาล หนูก็ต้องถูกดูดน้ำมูกเช่นนี้นับครั้งไม่ถ้วน...พี่พยาบาลบอกว่า ต้องกอดหนูมากๆ เพื่อปลอบใจ

แต่หนูก็ไม่ได้เจ็บตัวแค่นี้ สายน้ำเกลือหลุดจนได้ หนูถูกจับเจาะน้ำเกลืออีกหลายครั้ง แต่มีครั้งหนึ่งที่หนูต้องเจ็บมากที่สุด เพราะหนูตัวเล็ก เส้นเลือดก็หายาก ยิ่งหนูร้องไห้มากเท่าไหร่ เส้นเลือดก็แฟบ หนูรู้ไหมว่าหนูอภิสิทธิ์แค่ไหน มีพี่พยาบาล 3 คน หัวหน้าวอร์ดพยาบาล 2 คนมาช่วยเจาะสายน้ำเกลือให้หนูนะ ใช้เวลา 2 ชั่วโมงก็ยังไม่ได้...



สุดท้าย...เป็นทางเลือกสุดท้ายจริงๆ สำหรับวันนั้น...หนูต้องถูกโกนผมออกนิดหน่อย เพื่อเจาะเข้าเส้นเลือดที่หัว ซึ่งมันเป็นทางเลือกสุดท้ายของที่นี่ที่จะทำ แต่หนู "จำเป็นต้อง" ได้รับน้ำเกลือ เพราะไม่เช่นนั้น อาการหนูก็จะแย่ไปยิ่งกว่านี้

วันที่ 4 เข้าไปแล้ว ไข้หนูก็ยังไม่ลดลงเลย แต่เชื่อไหมว่า หลังจากที่ถูกพี่ๆ ป้าๆ พยาบาลรุมอยู่ 2 ชั่วโมง ไข้หนูลดลงเป็น 37 องศา แม่ดีใจมาก เริ่มยิ้มได้ แต่ก็หลุดปากถามป้าหน่อยไปทั้งน้ำตาว่า "หนูจะรอดไหม"



เช้าวันที่ 5 หลังจาก admit คุณหมอมาตรวจหนูตอนเช้า คุณหมอก็เริ่มมีสีหน้าดีขึ้นที่เห็นไข้หนูเริ่มลด แม้ว่าเมื่อทิ้งช่วงห่างไปประมาณ 6-7 ชั่วโมง ไข้จะขึ้นอีกก็ตาม คุณหมอบอกว่าอย่างน้อยก็น่าจะเป็นสัญญาณที่ดีว่าไข้เริ่มทิ้งช่วงห่าง

แต่วันสองวันนี้ หน้าตาหนูดูน่ารักมาก ปากหนูแดงจัดเหมือนทาลิปสติก หน้าดูขาวๆ แก้มแดงๆ เพราะผื่นยังไม่หายไปหมด ดูแล้วก็เหมือนตุ๊กตาญี่ปุ่นแฮะ...

แต่...ทำไมปากหนูมันดูแห้งมากๆ แม่คิดว่าหนูอาจจะคัดจมูกต้องหายใจทางปากจึงทำให้ปากแห้ง แม่ขอวาสลีนพยาบาลมาทาปากให้หนู แต่มันก็ยังไม่หายแห้ง กลับแตกจนเลือดซึม...

หลังมือหลังเท้าเล็กๆ ของหนูดูอวบอูมผิดตา คงเพราะบวมน้ำเกลือแน่ๆ

เส้นเลือดตรงตาขาวของหนูดูแดงผิดปกติ เริ่มมีเหมือนจ้ำเลือดขึ้นเป็นวงใกล้ๆ กับตาดำ เมื่อคุณหมอ สีหน้าคุณหมอเริ่มสงสัยอีกแล้ว

คุณหมอบอกว่า จากเชื้อที่ตรวจพบนั้น ให้ยาฆ่าเชื้อไปแล้ว 5 วันน่าจะฆ่าได้หมด แต่ที่หมอสงสัยคือทำไมไข้ยังไม่ลด หมอสงสัยไปถึงไข้สมองอักเสบ ต้องเจาะไขสันหลังถึงจะรู้ แต่ยาที่หมอให้ไปมันก็สามารถฆ่าได้อยู่แล้ว เพียงแต่ต้องเพิ่มปริมาณยาขึ้นไปอีก

แม่บอกว่า ทำอะไรก็ทำเถอะค่ะ เพื่อให้ลูกปลอดภัย

แม่ถามหมอว่า...คุณหมอประเมินในวันนี้ว่าอาการของลูกอันตรายแค่ไหน คุณหมอตอบว่า ยังให้คำตอบไม่ได้ เพราะยังไม่เห็นผลตรวจเลือดครั้งสุดท้าย....



คุณหมอที่รักษาหนูท่านปรึกษากับกุมารแพทย์หลายท่านรวมถึงคุณป้าหมอที่เป็นกุมารแพทย์ประจำตัวหนูตอนคลอดด้วย (เผอิญว่ามีแต่เรื่องขัดข้องที่ทำให้หนูไม่ได้เจอป้าหมอตั้งนาน ตั้งแต่ครั้งสุดท้ายที่ตรวจตัวเหลือง)

ป้าหมอมาเยี่ยมหนูตอนบ่าย 3 กว่าๆ เมื่อป้าหมอมาซักประวัติจากแม่ แม่พยายามนึกรายละเอียดไข้ทุกอย่างของลูกและเล่าให้ป้าหมอฟัง ป้าหมอบอกว่า ดูแล้วก็อาจจะเป็นอาการของไข้หวัด แต่มันต้องมีอะไรผิดปกติ ไม่ใช่ไข้หวัดธรรมดาแน่ๆ ส่วนเชื้อสแตร็พที่ทำให้แม่แทบอกแตกตายนั้นคิดว่าไม่น่าเป็นห่วงแล้ว เพราะยาที่คุณลุงหมอให้มาก็น่าจะได้ผล แต่ที่สงสัยก็คือ ทำไมไข้ยังไม่ลด

6 โมงเย็นวันนั้น คุณป้าหมอโทรมาหาแม่บอกว่า จากอาการข้างเคียงต่างๆ ป้าหมอคิดว่า หนูอาจจะเป็นโรค คาวาซากิ ซึ่งโรคนี้มันจะมีอาการแทรกซ้อนที่อันตรายกับหัวใจ หลอดเลือดเลี้ยงหัวใจได้ และค่าใช้จ่ายในการรักษาสูงมาก หมอขอเจาะเลือดหนูไปตรวจอีกครั้งได้ไหม แม่บอกทันทีว่า ได้ค่ะ

อีกสองชั่วโมงต่อมา คุณหมอโทรมาอีกครั้งและบอกว่า ผลเลือดของหนู มีข้อบ่งชี้หลายตัวที่เข้ากันได้กับโรคคาวาซากิ ป้าหมอคิดว่าหนูควรได้รับการรักษาโดยเร็วที่สุด แต่ถ้าหนูรักษาที่เดิม ค่าใช้จ่ายจะแพงมาก อาจจะเกือบๆ แสน เพราะเป็นเอกชน คุณหมอจะส่งตัวหนูไปยังโรงพยาบาลมหาราชซึ่งค่าใช้จ่ายจะถูกกว่า แม่จะทำใจได้ไหม ....แม่บอกว่า ได้ค่ะ อะไรก็ได้ ขอให้หนูได้ยาเร็วที่สุดก็พอ



หนูถูกส่งตัวไปยังโรงพยาบาลมหาราชอย่างเร่งด่วนในคืนนั้น คุณลุงหมอรีบมาสรุปประวัติการรักษาของหนูให้แพทย์ที่มหาราชฟัง ตอนนั้น...อะไรๆ มันสับสนไปหมด ลูกเอ๋ย...

จากที่เคยอยู่ห้องพิเศษ ได้รับการดูแลเอาใจใส่เป็นอย่างดี ก็ต้องมาเจอกับสภาพของความเป็นจริงของชีวิต ห้อง ER เด็กที่อลหม่านไปด้วยเด็กป่วยนับสิบ บ้างก็ร้องไห้งอแง บ้างก็หน้าเป็นผื่นเต็ม บ้างก็ตัวเหลืองซีดร้องไห้โวยวาย พัดลมตัวใหญ่ที่พัดลมแรงมาถูกตัวจนหนูเริ่มหายใจฟืดฟัดอีกครั้งนั้นแม่ไม่สามารถหลบไปไหนได้เลย ต้องทนให้หนูโดนพัดลมพัดอยู่นาน

ปลาหมึกปิ้งของแม่ก็งอแงด้วยอาการตัวร้อนจัดและหิวนม แม่เปิดเสื้อให้นมหนูท่ามกลางผู้คนนับสิบในห้อง ER

คุณหมอซักประวัติลูกซักครู่แล้วส่งไปห้องตรวจ ระหว่างนั้น ยาขวดหนึ่งก็เอามาตั้งไว้ที่โต๊ะ คุณหมอก็คุยกับพยาบาลไปเรื่อยๆ แม่ก็เร่งเวลาให้คุณหมอบอกเสียทีว่า "เอาไปให้ยาได้แล้ว"

แม่ถามพี่พยาบาลว่าเมื่อไหร่จะให้ยาลูก พี่เขาตอบว่าต้องรอให้ยาอุ่นขึ้นก่อน เพราะเพิ่งเอาออกมาจากตู้เย็น แม่ก็ต้องรอต่อไป

แม่ถามว่าสามารถเฝ้าหนูได้ไหม พี่พยาบาลบอกว่าเฝ้าได้ 1 คน แม่ใจชื้นขึ้น ตอนแรกเป็นห่วงหนูมากว่าหนูจะอยู่ยังไง ในเมื่อไม่มีใครคอยดูแล วอร์ดรวมนั้นไม่มีพยาบาลมาดูแลส่วนตัวเพราะส่วนใหญ่เป็นเด็กค่อนข้างโต ก็จะมีญาติมาเฝ้า...

พอแม่เห็นห้องที่หนูจะต้องไปอยู่ในคืนนั้นแล้ว แม่แทบเป็นลม....



ห้องรวมนั้น มีเตียงเด็ก 6 เตียง หาที่เดินแทบไม่ได้ ตรงพื้นมีญาติคนไข้นอนกับระเกะระกะ มีที่ว่างกลางห้องอยู่นิดเดียว คุณป้าพยาบาลเข็นคลิปของหนูไปไว้กลางห้อง พัดลม 5-6 ตัวกระหน่ำพัดไล่ความร้อนอบอ้าว แต่มันเป็นผลเสียกับหนูแน่ๆ เพราะทันทีที่เข้าไปในห้อง หนูเริ่มหายใจฟืดฟัดอีกแล้ว

พ่อกับแม่ตกอยู่ในภาวะงุนงงปนช็อกนิดๆ กับสภาพที่เห็นตรงหน้า คืนนั้นเราตกลงกันว่าจะให้พ่อนอนเฝ้าลูก แล้วแม่จะไปนอนพักผ่อน เพราะสองคืนที่ผ่านมาแม่เกือบจะน็อกไปแล้ว

คืนนั้น พ่อขอนมจากโรงพยาบาลมาป้อนหนู ซึ่งแม่ก็เป็นห่วงมาก เพราะหนูติดนมแม่ ไม่ค่อยยอมกินนมขวดเท่าไหร่นัก แม่บอกพ่อว่าจะรีบไปเก็บของใช้ที่จำเป็นที่ห้องเดิมมาให้พ่อก่อน แล้วคืนนั้นแม่จะไปนอนที่ห้องเดิมเพราะเสียค่าห้องไปแล้ว แล้วรุ่งเช้าจะรีบมาเปลี่ยนพ่อ

พอแม่เก็บของเสร็จ กลับมาหาลูกที่วอร์ดรวม ก็เห็นว่าพยาบาลเริ่มให้ยาหนูแล้ว แต่พ่อพาหนูออกมานอนที่หน้าห้องรวม เพราะถ้าหนูอยู่ข้างในนั้น หนูจะมีน้ำมูกมาก แต่อยู่ข้างนอกนั้น ก็ลำบากเช่นกัน เพราะร้อนมาก และมียุง พ่อบอกว่า คืนนี้จะอดทนไม่นอนก็แล้วกัน จะนั่งพัดไล่ยุงให้หนู...แม่บอกพ่อว่า แม่ขอโทษนะที่ต้องให้พ่อเป็นคนเฝ้า พ่อบอกว่ารีบกลับไปพักผ่อนได้แล้ว ตอนนั้นเกือบ ตี 1 เห็นจะได้



แม่กลับมาที่ห้อง...มาอาบน้ำล้างเหงื่อไคลออกจนหมด พอจะเอนตัวลงนอน แอร์เย็นๆ ที่พัดผ่านตัว ห้องกว้างๆ กลิ่นหอมของดอกไม้ที่ป้าๆ น้าๆ จากบ้านท้องป่องท้องแฟบฝากมาให้ลอยมากระทบจมูก น้ำตาแม่ก็ไหลออกมาอีกแล้ว แม่สงสารลูกกับพ่อเหลือเกิน ในขณะที่ลูกต้องอดทนอยู่กับความร้อนอบอ้าว กลิ่นสารพัดสารพัน เสียงโอดโอยของคนป่วย ยุงที่บินว่อน แม่กลับมานอนสบายในห้องแอร์เย็นๆ กลิ่นหอมๆ มีทั้งทีวี ตู้เย็น...

ตีห้ากว่า แม่รีบตื่นมาเก็บของ หิ้วพะรุงพะรังไปหาลูก ที่ตึกโน้น เริ่มวุ่นวายแล้ว พยาบาลมาไล่ญาติคนไข้ที่นอนกันตามพื้นและม้านั่งให้ตื่นและเก็บเสื่อสาดให้เรียบร้อย เด็กๆ ร้องไห้กระจองอแง

แม่ตรงดิ่งไปหาหนู ระยะเวลาแค่ 10 นาทีที่ออกจากห้องแอร์และทั้งๆที่เป็นเวลาตี 5 กว่า แต่ก็ทำให้แม่เหงื่อเต็มตัว พ่อนั่งสัปหงก ตาลึกโหลอยู่ข้างคลิปที่ลูกนอน ยาที่ให้หนูลดลงไปกว่าค่อนขวด แม่จับหน้าผาดหนูก็รู้สึกได้ทันทีว่าไข้ลดเป็นปกติแล้ว ยิ่งเห็นชาร์ตที่บันทึก แม่ก็ใจชื้นขึ้น ไข้หนูลดลงตั้งแต่ 2 ชั่วโมงแรกที่ได้ยา...

พ่อบอกว่าที่วอร์ดนี้มีเอกสารเกี่ยวกับโรคคาวาซากิด้วย ทั้งๆ ที่ เมื่อคืนที่ผ่านมาแม่ก็พอรู้คร่าวๆ เกี่ยวกับโรคนี้แล้ว เพราะแม่โทรขอให้น้าโอเปิ้ล search หาข้อมูลในอินเตอร์เน็ทตั้งแต่คืนที่คุณป้าหมอโทรมาบอกแล้วล่ะจ้ะ

ป้าๆ น้าๆ บ้านท้องป่องท้องแฟบโทรมาหาแม่ตั้งแต่วันที่แม่รู้ผลว่าหนูติดเชื้อในกระแสเลือดแล้วล่ะ ถ้าไม่ได้ป้าๆ น้าๆ โทรมาคุย มาให้กำลังใจ แม่คงแย่กว่านี้แน่ๆ



ข้อมูลเกี่ยวกับโรคนี้ก็เป็นไปตามที่คุณน้า cuddle บอกไว้ข้างบนนั่นแหละจ้ะ เด็กหญิงปลาหมึกปิ้งแถวล่างของแม่...แต่แม่จะสรุปอาการที่หนูเป็นอีกที เผื่อว่าแม่ๆ ทั้งหลายที่ได้มาอ่านจะได้สังเกตอาการได้คร่าวๆ เผื่อว่าถ้าโชคร้ายเป็น จะได้รักษาทัน

อาการของหนูเริ่มแรกคือ
1. มีไข้สูงลอยติดต่อกันหลายวัน อาจจะมีอาการเหมือนไข้หวัด ส่าไข้ ออกหัด หรืออาการอะไรก็ได้ทั้งนั้น
2. หลังมีไข้ 2-3 วัน หนูก็ออกผื่น ผื่นของหนูขึ้นเร็วมาก 1 วันผื่นขึ้นเต็มตัว อีกวันหนึ่งผ่านไป ผื่นขึ้นเป็นปื้นหนาๆ คล้ายๆ หัดดอกกุหลาบเลย แต่คุณหมอบอกว่าผื่นที่ขึ้นนั้นจะเป็นในลักษณะไหนก็ได้ทั้งนั้น แต่จะเป็นปื้นหนา
3. วันที่ 4-5 หลังจากมีไข้ ตาขาวของหนูเริ่มแดง ไม่มีขี้ตา แต่เมื่อดูใกล้ๆ จะเห็นว่าเป็นเส้นเลือดขยายตัวแผ่เต็มตาขาว และหนูมีจ้ำเลือดที่ตาขาวด้วย
4. วันที่ 5-6 หลังมีไข้ ปากหนูเริ่มแดง แดงแบบทาลิปสติก ดูแล้วสวยใสไฮโซมาก อาการปากแดงจะร่วมกับอาการแห้งแตก ปากหนูแห้งมาก แตกจนเลือดหยดออกมาเลย
5. เปลือกตา หลังมือ หลังเท้าหนูบวมขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เป็นอาการบวมน้ำ ตอนแรกแม่ยังสงสัยว่าทำไมหนูเป็นไข้สูงอย่างนี้ น้ำหนักถึงไม่ลด ที่แท้ก็บวมน้ำนี่เอง
6. ตอนที่ผื่นขึ้น ตุ่มฝี BCG ของหนูบวมแดงเป็นวงใหญ่ ซึ่งข้อมูลนี้สำคัญมาก คุณหมอบอกว่ามั่นใจว่าเป็นคาวาซากิเพราะตุ่มฝี BCG บวมแดงนี่เอง ซึ่งโรคอื่นจะไม่มีอาการนี้
7. หลังจากมีไข้แล้ว 10 วัน ผิวหนังปลายมือ ปลายเท้าของหนูเริ่มลอก ตอนแรกแม่ห่วงมาก ก็สงสัยว่าได้ยา immunoglobulin ไปแล้ว ทำไมผิวลูกถึงลอกได้อีก แต่คุณหมอบอกว่าต้องเป็นทุกคน ใครเป็นคาวาซากิต้องมีอาการนี้ ไม่ว่าจะได้ยาหรือไม่ได้ยา ถ้าไม่ลอกสิ จะปวดหัวว่าไม่ใช่คาวาซากิ ต้องหาสมมติฐานของโรคใหม่อีก
8. หนูมีอาการท้องเสีย ถ่ายเป็นน้ำ ซึ่งเป็นอาการแทรกซ้อนหนึ่งของโรคนี้


ปัญหาสำคัญของโรคนี้ ไม่ได้อยู่ที่อาการเจ็บป่วย เพราะมันสามารถหายเองได้ บางคนไม่ได้รับการรักษาก็หายเองได้ สมัยก่อนเขาเรียกว่าโรคหัดญี่ปุ่น เพราะมันเป็นมากในหมู่ชาวญี่ปุ่น ใต้หวัน แต่ในไทยเริ่มพบมากขึ้น คุณหมอบอกว่าหมอที่ญี่ปุ่นทำวิจัยกันแทบเป็นแทบตายก็ยังไม่รู้เลยว่าสาเหตุของมันเกิดจากอะไร อาจจะเกิดจากอาการติดเชื้อ หรือว่าคนที่เป็นมีภูมิคุ้มกันต่ำก็ได้ เป็นไปได้ทั้งนั้น

เมื่อไม่รู้สาเหตุก็ไม่รู้วิธีป้องกันแก้ไข แต่มีวิธีรักษาคือให้ยา immunoglobulin ซึ่งมีราคาแพงมาก ราคาตามเรตโรงพยาบาลของรัฐก็ตกโดสละเกือบสองหมื่นบาท นี่ คุณป้าพยาบาลบอกแม่ว่า ยังดีนะ ถ้าเป็นปีก่อนน่ะ โดสละ 3-4 หมื่น แล้วไม่มียาที่เชียงใหม่ด้วย ต้องโทรไปที่กรุงเทพ อาจารย์หมอต้องขับรถไปรับที่สนามบิน ลำบากขนาดนั้น...

ปัญหาสำคัญของโรคนี้ไม่ได้อยู่ที่อาการของโรค แต่อยู่ที่อาการแทรกซ้อนที่อาจจะเกิดขึ้นกับหลอดเลือดไปเลี้ยงหัวใจ และการทำงานของหัวใจ...

หนูต้องลำบากอยู่ที่วอร์ดรวมอีก 2 วันเต็มๆ เพื่อรอ echocardiogram .... เป็น 2 วันที่แม่ได้เห็นอะไรๆ อีกเยอะแยะ ลูกเอ๋ย



ตอนที่แม่รู้ผลแค่ว่าหนูติดเชื้อในกระแสเลือดจนมาถึงตอนที่รู้ว่าหนูเป็นคาวาซากิ แม่เอาแต่พร่ำบ่นในใจว่าทำไมโชคร้ายมันถึงมาตกกับลูกของแม่ ทำไมต้องเป็นลูกตัวเล็กของแม่ด้วยนะ หรือแม้แต่เวลาที่หนูไปนอนทรมานตากยุงที่หน้าวอร์ดรวม แม่ก็สงสารลูกจนน้ำตาตกในว่าลูกของแม่ที่เมื่อวานนี้ได้นอนสบายในห้องแอร์ต้องมาทนกับสภาพอันเลวร้ายที่นี่ อากาศที่ร้อนแสนร้อน ผู้คนพลุกพล่าน เสียงดังเซ็งแซ่กันน่าปวดหัว....ลูกของแม่ไม่น่าที่จะต้องมาเจออะไรอย่างนี้เลย...ที่แม่กังวลมากไปกว่านั้นก็คือ...แม่กลัวว่าหนูจะติดเชื้อจากที่นี่ไปอีกน่ะสิ เพราะหนูตัวเล็ก มีภูมิคุ้มกันน้อยอยู่แล้ว แม่ทุรนทุรายมาก ติดต่ออาจารย์ทางฝั่งนี้เพื่อปรึกษาว่าทำยังไงถึงจะได้ห้องพิเศษเร็วๆ เพราะแม่ไม่อยากเห็นหนูต้องเสี่ยงกับการติดเชื้ออะไรอีก และอีกอย่างหนึ่งคือ...การให้บริการของคุณพยาบาลที่ค่อนข้างจะทำร้ายจิตใจของคนเป็นแม่ไม่น้อย แม่เข้าใจว่างานของเขายุ่งและสภาพคนไข้ที่มาอยู่ที่นี่แต่ละคนก็ชวนให้ปวดหัวไม่น้อย แต่แม่ก็ทนแทบไม่ได้ เวลาแม่เห็นลูกของแม่ต้องถูกสอดสายยางเพื่อดูดน้ำมูกอย่างค่อนข้างรุนแรง (ในสายตาแม่) ... แม่ไม่อยากได้ยินเสียงร้องอย่างทรมานของลูกอีก

แต่แม่ก็ไม่ได้ห้องพิเศษซักที ตกค่ำมา พ่อจัดที่นอนให้เรา...มันคือพื้นทางเดินนั่นแหละ พ่อไปยืมเสื่อกับถุงนอนของลุงเซี้ยงมาปูนอนในบริเวณเคาท์เตอร์พยาบาลเก่า พอดีเขาโละพื้นที่ส่วนนี้ออก เลยเป็นที่ว่าง มีเจ้าถิ่นอยู่ก่อนแล้ว 2 คน พ่อปูเสื่อและถุงนอน พอที่จะนอนกันสองคน แม่เอาผ้าเช็ดตัวมาปูเป็นที่นอนลูก เอาผ้าอ้อมปูทับอีกชั้น แล้วแม่ก็นอนกอดหนูไว้ เพราะหนูเป็นเด็กที่นอนค่อนข้างยาก ปกติอยู่บ้าน ถ้าเอาหนูลงนอนเบาะของตัวเองถ้าหนูรู้สึกตัว หนูจะร้องไห้ตื่น แม่ต้องนอนกอดกับหนูทุกคืน เมื่อมาอยู่โรงพยาบาล แม่ก็ต้องนอนกอดหนูไว้....เราสามคนพ่อแม่ลูก นอนกอดกันที่พื้นโรงพยาบาลมาแล้วนะลูก...เทวดาตกสวรรค์จริงๆ เลย




เราสามคนใช้ชีวิตอยู่อย่างไม่รู้หนชะตาอย่างนั้น 2 วันเต็มๆ ในวันเสาร์และอาทิตย์ หนูได้กินยาแอสไพรินวันละ 2 ครั้ง คุณป้าพยาบาลผสมน้ำหวานมาให้เพื่อจะให้หนูกินง่าย ไม่น่าเชื่อ หนูซึ่งเป็นคนไม่ชอบกินน้ำ เมื่อลิ้นได้สัมผัสกับน้ำหวานเป็นครั้งแรก ตาหนูเบิกโพลง รีบดูดไซริงค์ใหญ่เลย พอบีบน้ำหวานผสมยาไปให้นิดหน่อย หนูก็รีบดูดเอาๆ ชนิดที่ไม่ให้หกแม้แต่หยดเดียว พอบีบให้ช้า หนูก็ร้องไห้โวยวาย...แม่ละกลัวจริงๆว่าหนูจะติดหวานเข้าเสียแล้ว

พอกินยาเสร็จ แม่ก็ให้หนูกินนม เอาหนูนอน ถ้าหนูไม่นอน พ่อก็อุ้มเดินรอบๆ วอร์ด รอเวลาพี่พยาบาลมาวัดความดัน วัดชีพจร วัดระดับออกซิเจน ซักพักหมอกลุ่มใหญ่ก็มาดูอาการ มาถามแล้วก็ไป อีกซักพักนักศึกษาแพทย์อีกกลุ่มก็มาถาม ซักถามแล้วก็ไป แม่นึกในใจว่าเมื่อไหร่จะได้คุยกับหมอที่ดูแลหนูโดยตรงเสียทีนะ แต่ก็นั่นแหละ โชคร้ายที่เป็นวันเสาร์อาทิตย์ ต้องรอถึงวันจันทร์จึงจะได้เจอหมอ

พอถึงเวลาอาหาร พ่อก็ขึ้นไปซื้อข้าวกล่องมาให้แม่กิน กินเสร็จก็นั่งอุ้มลูกกินนม อุ้มเดินรอบวอร์ด คุยกับญาติคนไข้ที่มาเฝ้าลูกหลาน ชีวิตวนไปวนมาแค่นี้จริงๆ ไม่รู้จะทำอะไร ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะได้ห้องพิเศษ ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่หมอจะมา ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่แม่ถึงจะโล่งใจว่าอาการของลูกปลอดภัยแล้ว.......

แต่การที่อยู่ที่นั่น 2 วันเต็มๆ ก็ทำให้แม่เจอเห็นความเป็นจริงของชีวิตที่ช่วยเยียวยาจิตใจแม่ได้เยอะเลย...

แม่เห็นเด็กหญิง 8 ขวบ รูปร่างผอมกระหร่อง ผิวดำ ปากคล้ำ เพราะเป็นโรคหัวใจรุนแรง โกนหัวจนล้านเลี่ยน มีปากกาขีดเป็นเส้นๆ ไว้รอบหัว พี่คนนี้เขารอฉีดสีเพื่อจะผ่าตัด หน้าตาพี่เขาไร้ความรู้สึก พ่อของลูกบอกว่าเห็นพี่เขานั่งอยู่คนเดียว พ่อเลยไปชวนเล่นเป่ากบถึงได้เห็นรอยยิ้มเศร้าๆ จากพี่เขา

แม่เห็นเด็กตัวเล็กๆ คนหนึ่งใส่เครื่องช่วยหายใจพะรุงพะรังเต็มตัว...พี่คนนี้อายุ 9 เดือน เป็นกระเหรี่ยงมาจากห้วยต้ม เป็นดาวน์ซินโดรม มีอาการปอดบวม โรคหัวใจ และอีกสารพัดสารพัน แม่เห็นหมอวิ่งมารุมที่เตียงพี่คนนี้หลายครั้งหลายหน เสียงติ๊ดๆ จากเครื่องที่ติดไว้ดังขึ้นบ่อยมาก แม่ของพี่คนนี้อายุไม่มากเท่าไหร่ เขาบอกแม่ว่าลูกเขาเข้า ICU มาแล้ว 3 หน ตอนแรกว่าจะไม่รักษาแล้วจะพากลับบ้าน แต่พอไปที่บ้านก็ทนไม่ได้ เขาบอกว่า อย่างน้อยก็ขอให้ได้รักษา ถ้าลูกเขาจะตายก็ขอให้ตายกับมือหมอ ไม่อยากให้ตายอย่างทรมานในมือเขา

แม่เห็นพี่ผู้ชายคนหนึ่งอายุ 8 ขวบ เป็นดาวน์ซินโดรม เป็นโรคหัวใจล้มเหลวหรือไงนี่แหละ อยู่ว่างๆ ก็ตะโกนโหวกเหวกโวยวายเป็นที่หัวเราะขบขันของญาติคนอื่นๆ ที่ได้ยิน ซักพักก็แก้ผ้าออกหมด แม่เขาต้องบังคับให้นุ่งใหม่

แม่เห็นพี่ผู้หญิงผอมกระหร่องอีกคนหนึ่ง นอนร้องไห้ครางโอดโอยอยู่บนเตียง พี่คนนี้เขาไม่ยอมกินข้าวมาหลายวัน แม่เขาพามาหาหมอ มาอยู่โรงพยาบาล 3 วันก็ไม่ยอมกินอะไรแม้แต่น้ำ พยาบาลบังคับให้กินก็กรีดร้องเหมือนผีเข้า จะเช็ดตัวให้ก็กรีดร้องโหยหวนเป็นภาษากระเหรี่ยง พอพี่คนนี้เขาร้องมากๆ เข้า เจ้าอาร์ตที่เป็นเด็กดาวน์ที่ชอบแก้ผ้าก็ตะโกนเสริมกันไปอีก เรียกเสียงหัวเราะจากคนมาเฝ้าคนอื่นๆ ไปตามๆกัน...แต่แม่เห็นแววตาที่แสนเศร้าของแม่สองคนที่ยืนอยู่ข้างเตียง

แม่เห็นน้าผู้ชายคนหนึ่ง ท่าทางอาร์ติสต์ไม่น้อย ผมหยิกสลวย ไว้หนวดพองาม ถามไถ่แล้วถึงรู้ว่า ลูกของน้าเขาอายุ 5 เดือน เป็นสารพัดเกี่ยวกับหัวใจ ต้องผ่าตัด นอนอยู่ใน ICU มาแล้วเดือนกว่า แม่เด็กเพิ่งกลับบ้านไป 4-5 วัน น้าเขาก็ต้องมานั่งๆ นอนๆ อยู่ที่วอร์ดอย่างนี้ พอได้เวลาเยี่ยมก็ไปนั่งเฝ้าลูก น้าคนนี้แหละที่เป็นเจ้าถิ่นจับจองที่นอนที่เราสามคนไปนอนใกล้ๆ น้าเขามีรอยยิ้มเศร้าจนแทบจะบดบังความหล่อเหลาไปเสียสิ้น...แต่แววตาเขาเศร้ากว่านั้นหลายเท่า วันที่หนูออกจากโรงพยาบาล เราได้แต่ยิ้มให้กันอย่างเห็นใจ...

แม่ได้เห็นอะไรอีกมากมายที่นี่ ปลาหมึกปิ้งของแม่เอ๋ย...แม่ถึงอยากจะบันทึกมันไว้ให้หนูได้อ่านในวันหนึ่งข้างหน้า...แม่กับพ่อคุยกันตลอดตั้งแต่ก่อนหนูจะเกิดมาว่า เราจะพยายามสร้างเนื้อสร้างตัวเพื่อให้ลูกมีชีวิตที่ดี ที่สุขสบาย...แต่แม่ก็อยากให้หนูได้รับรู้ว่าความเป็นจริงของชีวิตมันโหดร้าย เราต้องทำใจรับกับมันให้ได้ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ไหน...

ที่วอร์ดรวมนี้...ความทุกข์ใจของแม่มลายไปแทบหมด เพราะแม่ได้เห็นความทุกข์ยากของคนอื่นที่หนักหนาสาหัสกว่ามากมาย...

ตลกไหม พี่ๆ ผู้ช่วยพยาบาลและพยาบาลหลายคนมาทักหนูว่า หนูอายุได้เท่าไหร่ แม่บอกว่าจะ 2 เดือน แต่ละคนบอกว่า อู้หู โตจังเลย ทำไมตัวโตอย่างนี้ แม่ก็งงมาก เพราะเมื่อเทียบหนูกับคนอื่นๆ หนูเป็นปลาหมึกปิ้งแถวล่างสุดก็ว่าได้ แต่ทำไมที่นี่มีแต่คนทักหนูอย่างนี้...และแม่ก็รู้ภายหลังว่า วันๆ พี่ๆ เขาเจอแต่เด็กป่วยหนักที่อายุ 1 ขวบก็ยังโตกว่าหนูนิดเดียว เจอแต่เด็กที่คลอดมาน้ำหนักไม่ถึง 1กิโล เจอแต่เด็กที่ผอมแห้งต้องใส่สายน้ำเกลือ สายออกซิเจนอยู่ตลอดเวลา...

นี่แหละชีวิตจริง...ใครจะนึกว่าปลาหมึกปิ้งแถวล่างของแม่จะขยับขึ้นไปเป็นปลาหมึกปิ้งแถวบนสุดในชั่วระยะเวลาข้ามคืนเช่นนี้



หลังจากที่ต้องทนทรมานกับความเป็นอยู่อย่างนั้น 3 คืนเต็มๆ ก็ถึงเช้าวันจันทร์ที่แม่เร่งวันเร่งวันคืนให้มาถึงเร็วๆเสียที

คุณหมอมาคุยกับแม่ว่าจะต้องทำการรักษาอะไรต่อไปบ้าง ปลาหมึกปิ้งแถวล่างของแม่จะต้องไปทำ echocardiogram หรืออุลตร้าซาวน์หัวใจเพื่อดูว่าหลอดเลือดจะโป่งพองไหม การทำงานของหัวใจผิดปกติไปหรือเปล่า

ก่อนที่จะ echo หนูจะต้องหลับให้สนิทเสียก่อน คุณหมอให้ยานอนหลับมา แม่ป้อนยาหนู หนูทำหน้าเหยเกเพราะมันเฝื่อนมาก พอป้อนยาไปได้หน่อย แม่ก็ให้หนูกินนมแล้วกล่อมจนหลับ

คุณหมอเริ่มใช้เครื่องอุลตร้าซาวน์ตรวจหัวใจของหนูแล้ว แม่เห็นหัวใจหนูเต้นตุบๆ แต่ใจแม่คงจะเต้นเร็วกว่า แม่เฝ้ารอฟังว่าคุณหมอจะวินิจฉัยว่ายังไงบ้าง ผลออกมาว่า ปกติ หัวใจหนูไม่มีอะไรผิดปกติไป หลอดเลือดไม่ขยาย แต่ก็ต้องกินยาแอสไพรินขนาดต่ำไปอีก 6 อาทิตย์แล้วค่อยมา echo ซ้ำ และต้องมา echo ตรวจเช็คอย่างนี้อีกทุกๆ ปี ซึ่งถ้าคนที่หลอดเลือดขยายเกิน 3 mm นั้น ต้องกินแอสไพรินไปชั่วชีวิต...

วันที่หนูทำ echo มีพี่ผู้ชายอายุประมาณ 2 ขวบมาทำ echo อีก 2 คน ซึ่งพี่เขาก็เป็นคาวาซากิเหมือนกัน คนหนึ่งเป็นได้ 1 ปีมาแล้ว อีกคนหนึ่งเพิ่งเป็นได้ 1 เดือน โชคดีที่พี่เขาก็อยู่ในกลุ่มของหลอดเลือดไม่ขยายตัว แต่พี่เขารวมถึงหนูก็จะต้องมีชีวิตในภายภาคหน้าที่เคร่งครัดเกี่ยวกับอาหารการกินน่าดู...

หนูจะต้องไม่เป็นโรคอ้วน หนูจะต้องไม่กินมัน ไม่กินของที่มีโคเลสเตอรอลเยอะ ไม่กินจั๊งค์ฟู้ด เพราะหนูจะเสี่ยงต่อการเกิดโรคเกี่ยวกับหลอดเลือดเลี้ยงหัวใจมากกว่าคนปกติ....เอาน่า...อย่างน้อยหนูก็จะเป็นสาวหุ่นดีไปชั่วชีวิตเพราะโรคนี้แหละ...แม่พยายามคิดในแง่ดี

คุณหมอบอกว่าเดี๋ยวนี้เด็กเป็นกันเยอะขึ้น ที่เชียงใหม่ คุณหมอรักษามาแล้ว 110 ราย ไม่มีใครรู้สาเหตุว่ามันเกิดจากอะไร แต่ส่วนใหญ่พบว่าจะเกิดกับคนที่มีฐานะค่อนข้างดี (ข้อนี้ แม่เถียงคุณหมอขาดใจเลยลูก) มีความเป็นอยู่ที่ดี คุณหมอบอกว่า คนญี่ปุ่นมีประชากร 110 ล้านคน ยังเจอคนเป็นโรคนี้ปีละหมื่นกว่าคน หมอที่ญี่ปุ่นก็กำลังทำวิจัยกันอย่างหนักเกี่ยวกับโรคนี้แต่ก็ยังไม่มีใครรู้ว่ามันเกิดจากอะไร

และสำหรับเด็กเล็กๆ อย่างหนูที่ยังได้รับวัคซีนไม่ครบเลยนั้น การได้รับยา immunoglobulin เข้าไป จะต้องเลื่อนการฉีดวัคซีนบางตัวที่มีชีวิตออกไปเช่น วัคซีนคางทูม หัดเยอรมัน อย่างน้อยก็ 1 ปีหลังจากได้รับยา

แม่ถามคุณหมอว่าถ้าเกิดช่วงหนึ่งปีนี้หนูออกหัดล่ะจะทำยังไง คุณหมอบอกว่าไม่เป็นหัดแน่นอน เพราะยาตัวนี้ก็เป็นเหมือนกับภูมิคุ้มกันไปในตัว

และในขณะที่กินยาแอสไพรินเข้าไป ต้องระวังเชื้ออีสุกอีใสและไข้หวัดใหญ่ เพราะมันอาจจะเกิดรัยซินโดรมขึ้นได้ในบางราย ถ้าหนูอยากรู้ว่ามันเป็นยังไง ก็ search หาเองนะจ๊ะ...แม่ก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่คุณหมอบอกว่าไม่ต้องวิตกมากนักเพราะมันเป็นผลการวิจัย ส่วนการวินิจฉัยเท่าที่หมอมีประสบการณ์เป็นหมอเด็กมา 10 กว่าปีนั้น พบเพียงแค่ 3 เคสเท่านั้นเอง

ตกลงก็คือ...ตอนนี้หลอดเลือดหัวใจหนูไม่โป่งพอง หัวใจหนูยังปกติ แต่หนูจะต้องกินยาแอสไพรินควบคุมไปอีก 6 อาทิตย์ และต้องมา echo ซ้ำในอีก 6 อาทิตย์ข้างหน้า และอาจจะทุกปี และต้องระมัดระวังพฤติกรรมการกินของหนูไปอีกชั่วชีวิต...(เอาน่า แม่สาวหุ่นดี)



ปลาหมึกปิ้งแถวล่างของแม่จ๋า....

หนูมานอนกอดกับแม่ได้ 2 เดือนเต็ม หนูก็ต้องเจออะไรสารพัดสารพันเสียแล้ว...

แม่เขียนบันทึกนี้ไว้ เพราะอยากจะบอกอะไรหนูหลายๆ อย่างว่า...

1. ถ้าวันหนึ่ง หนูมีลูก และลูกของหนูมีไข้หรือไม่สบาย ขอให้จำไว้ว่าความตื่นตระหนกหรือตื่นตูมของคนเป็นแม่ อาจจะช่วยชีวิตลูกได้

2. คงเป็นคนละเอียดรอบคอบ สังเกตความเป็นไปของลูกอย่างใกล้ชิด รายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ของลูกที่แม่เห็นอาจจะเป็นประโยชน์ต่อการวินิจฉัยโรคของแพทย์ได้

3. ถ้าหนูไม่สบายและได้อยู่ห้องพิเศษ ไม่ว่าห้องพิเศษนั้นจะมีแค่พัดลมเก่าๆ ตัวเดียว ตู้เสื้อผ้าเหมือนของนักศึกษาในหอพัก ไม่มีทีวี ตู้เย็น ไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกใดๆ...ก็จงรู้ไว้เถิดว่าหนูยังมีความเป็นอยู่ดีกว่าคนไทยอีก 60 ล้านคนทั่วประเทศ

4. โตขึ้นอย่าโกรธแม่กับพ่อ หากว่าแม่กับพ่อจะไม่พาหนูเข้า KFC ไม่ยอมทอดเฟรนซ์ฟรายให้หนูกิน ไม่สั่งพิซซ่ามากินที่บ้าน เพราะนั่นคือความรักของพ่อกับแม่ที่จะให้หนูได้...และหนูจงรู้ไว้เถิดว่า การที่หนูอดกินของพวกนั้นมันหมายถึงว่าพ่อกับแม่ตกลงใจที่จะไม่กินของพวกนั้นด้วยเช่นกัน ทั้งๆ ที่มันเป็นของโปรดของพ่อกับแม่

5. อย่าทำอะไรให้พ่อของหนูเสียใจเป็นอันขาด อย่าลืมว่าความลำบากครั้งแรกในชีวิตของหนู หนูมีพ่อของหนูอยู่เคียงข้างตลอดเวลา

6. ไม่ว่าความลำบาก สับสน ทรมานใจที่ผ่านมามันจะหนักหนาสาหัสแค่ไหน แต่แม่ก็ขอบคุณที่มันทำให้แม่เข้มแข็งขึ้นอีกเยอะ ตอนนี้เมื่อหวนกลับไปคิดถึงเรื่องที่แม่ร้องไห้ร้องห่มตอนหนูต้องส่องไฟ แม่ก็อดหัวเราะไม่ได้ มันเป็นเรื่อง "เด็กๆ" ไปเลย....และที่สำคัญมันทำให้แม่รู้ซึ้งถึงความรักของคุณยายที่มีให้แม่ตลอดมา...เหมือนที่แม่มีให้หนู

แม่รักหนูจ้ะ เด็กหญิงปลาหมึกปิ้งแถวล่างของแม่...




Create Date : 22 เมษายน 2550
Last Update : 2 พฤษภาคม 2550 16:00:04 น. 21 comments
Counter : 4013 Pageviews.

 
อ่านจบแล้วน้ำตาไหลค่ะ... คิดถึงแม่และตัวเองสมัยเข้า รพ.

(แต่ตอนนี้ พอได้เห็นสาวน้อยปลาหมึกปิ้ง ทำหน้ายิ้มแป้นแล้นในแบ็กกราวด์บล็อกแล้ว ยิ้นดีจ้าดนัก)


โดย: แพนด้ามหาภัย วันที่: 22 เมษายน 2550 เวลา:23:00:03 น.  

 
เอาใจช่วยสาวไหมค่ะ

ยิ้มไว้นะคะ


โดย: cookery-girl วันที่: 22 เมษายน 2550 เวลา:23:11:26 น.  

 
สาวไหมของน้า ตอนเล็กๆหน้าตาจิ้มลิ้ม โตมาแสบสนิทเชียว แต่ยังน่ารักเหมือนเดิมจ้า

บุญรักษานะลูกน๊า


โดย: พู่ระหง วันที่: 23 เมษายน 2550 เวลา:0:04:23 น.  

 
อ่านกี่ครั้งก็น้ำตาซึมทุกที ...


โดย: iamlek IP: 58.136.117.20 วันที่: 23 เมษายน 2550 เวลา:8:54:04 น.  

 
ตอนนี้ก็กลายเป็นสาวไหมคนสวย คนแข็งแรงของคุณแม่คุณพ่อแล้วนะคะ

คุณแม่ต้องเก็บ blog นี้ไว้ให้สาวไหมอ่านให้ได้นะคะ เป็นช่วงสำคัญของชีวิตของพ่อแม่ลูกจริงๆ ขอชมคุณพ่อด้วยค่ะว่าน่ารักมาก เข้ามามีส่วนร่วมตลอดเวลา น่าชื่นชม

แหม่มรู้จักโรคนี้ครั้งแรกเมื่อ 5 ปีก่อน เพราะลูกชายของเพื่อนสนิทเกิดป่วยเป็นโรคนี้แล้วเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลเด็กในกรุงเทพฯ ตอนนั้นพี่ชายยังเรียนหมอเด็กอยู่ที่นั่น เห็นความห่วงใยของคนเป็นพ่อแม่แล้วน้ำตาจะไหลเลยค่ะ แต่ตอนนี้เจ้าตัวเล็กก็ปลอดภัยดีเหมือนกัน ไปโรงเรียนได้แล้ว โชคดีที่พ่อแม่นำไปส่งหมอได้เร็ว ขออวยพรให้สุขภาพแข็งแรงทั้งครอบครัว มีความสุขตลอดไปค่ะ


โดย: tiara วันที่: 23 เมษายน 2550 เวลา:11:06:30 น.  

 
อ่านทีไร ก็น้ำตาซึมทุกที
ตอนนี้สาวไหมก็แข็งแรง ไฮเปอร์ให้สุดๆ
ไปเลยเน้อลูกเน้อ


โดย: ป้านกยูง IP: 202.28.27.3 วันที่: 23 เมษายน 2550 เวลา:11:24:02 น.  

 
เพิ่งเข้ามาอ่าน blog นี้ค่ะ ((แหมเลือกมาได้ถูกจังหวะจัง)) เล่นเอาน้ำตาคลอสงสารน้องค่ะ เวลาลูกป่วยนี่ พ่อแม่ใจจะขาดจริงๆนะคะ เนาะ

ตัวน้อยจริงๆ ด้วยค่ะ
ชอบจังปลาหมึกปิ้งแถวล่าง อิอิ ชอบๆๆๆ


โดย: UtsU วันที่: 23 เมษายน 2550 เวลา:15:05:37 น.  

 
จำได้ว่าอ่านครั้งแรก อ่านผ่านๆ อ่านไปน้ำตาไหลไป อ่านหลายรอบ ก็อ่านผ่านๆ ผ่านไปผ่านมา จนมันครบทุกตัวอักษร

ได้เจอสาวไหมครั้งแรก สาวไหมเต้นเหยงๆ ส่งเสียงร้อง หัวเราะทำหน้าทะเล้นให้ด้วย หลงรักเลยค่ะ

ลูกสาวแม่ปุ๊กคนนี้น่ารักที่สุดในโลกเลยค่ะ


โดย: ปุ๊ก IP: 203.154.49.29 วันที่: 23 เมษายน 2550 เวลา:15:56:13 น.  

 
เคยอ่านเจอในกระทู้อะไรสักอย่าถ้าจำไม่ผิดน่าจะเป็นพันธ์ทิพย์ หรือ แพททาว์ ไม่แน่ใจ ตอนนั้นที่ได้อ่านก็พึ่งรู้จักกับโรค คาวาซากิ เป็นครั้งแรก อ่านแล้วน้ำตาไหล (อายเพื่อนที่ทำงานหมด) เลยปริ้นไปให้สามีอ่านด้วย เค้ายังบอกถามอาการของน้องสายไหมอยู่เลย

แต่ตอนนี้จะกลับไปบอกสามีว่าน้องสายไหมหายดีและน่ารักด้วย อีกไม่นานคงจะได้เจอตัวจริงแน่ๆ

ดีใจกับน้องสายไหมด้วยนะคะคุณแม่หัวใจแกร่ง


โดย: ม.ออย IP: 58.136.70.6 วันที่: 23 เมษายน 2550 เวลา:16:27:35 น.  

 
เคยแวะเข้ามาบล็อกของคุณแม่น้องสาวไหมครั้งแรก ก็เพราะจำชื่อน้องสาวไหมได้จากกระทู้ที่คุณแม่(หรือคุณพ่อ)ของน้องสาวไหมโพสต์ในห้องสวนลุม ตอนนั้นอ่านกระทู้แล้วบอกตรง ๆ รู้สึกหดหู่ น้ำตาซึม แต่ก็ได้อ่านกระทู้พัฒนาการของน้องสาวไหม(ในห้องสวนลุมอีกน่ะแหละ) ตอนที่น้องสาวไหมอ่านหนังสือ ติดตามอ่านมาเรื่อย ๆ จนได้มาเห็นบล็อก และตอนนั้นแหละก็ได้เริ่มอ่านเรื่องของน้องสาวไหมมาเรื่อย ๆ ในบล็อก
ยังไงต้องขอยกนิ้วให้คุณพ่อคุณแม่ และน้องสาวไหมคนเก่ง ที่มีความแกร่งในใจ ชนะโรคภัยนั้น ตอนนี้สาวน้อยดูอารมณ์ดีเชียว ดูน้องสาวไหมเป็นเด็กอารมณ์ดีมาก ๆ เลย...ขอให้น้องสาวไหมมีความสุขแบบนี้ตลอดไปนะจ๊ะ...


โดย: JC2002( แม่น้องใบแค..) IP: 151.196.16.60 วันที่: 24 เมษายน 2550 เวลา:3:37:35 น.  

 
จุ๊บๆๆ น้องสาวไหมคนดีคร้าบบบบบบบบ

(จุ๊บตัวจริงยากนัก ก็จุ๊บอย่างนี้แหละ)


โดย: ศศิศ IP: 124.157.236.179 วันที่: 24 เมษายน 2550 เวลา:15:52:27 น.  

 
อ่านแล้วซึมไปเลยแฮะ


โดย: First and Aor IP: 58.8.128.150 วันที่: 26 เมษายน 2550 เวลา:20:50:30 น.  

 
ชอบอ่านเรื่องของน้องสาวไหมมากๆค่ะ น่าฮักแต้ๆ คุณแม่ถ่ายทอดออกมาได้ดีมากๆเลยค่ะ รู้เลยว่ากว่าแม่จะคลอดเราเลี้ยงเราออกมาได้ขนาดนี้ลําบากแค่ไหน ทุกวันนี้ต้องเปิดบล็อกนี้อ่านทุกวันเลยค่ะ เผื่อคุณนัดมาอัพเดท ฮิๆ (บ้าไปแล้ว)


โดย: คนเจียงฮาย IP: 80.102.185.252 วันที่: 27 เมษายน 2550 เวลา:2:14:44 น.  

 
แวะมาเยี่ยม น้ำตารื้นอีกแล้ว แงๆๆ


โดย: JJH วันที่: 2 พฤษภาคม 2550 เวลา:23:03:44 น.  

 
เคยอ่านเจอในสวนลุมค่ะ แต่รู้จักสาวไหมจากในบล็อกก่อนมาเจอกระทู้ในสวนลุม เหมือนดูหนังที่รู้ตอนจบอยู่แล้ว รู้ก่อนแล้วว่าสาวไหมต้องผ่านมาได้ด้วยดี แต่ก็ยังอดน้ำตาซึมไม่ได้...แง...แง...แง๊


โดย: ซิมเปี๊ยะกุน วันที่: 3 พฤษภาคม 2550 เวลา:11:58:37 น.  

 
น่ารักจะ


โดย: อาท IP: 192.168.1.23, 58.136.74.27 วันที่: 3 สิงหาคม 2552 เวลา:19:56:16 น.  

 
อ่านแล้วน้ำตาจะไหล ขอให้สาวไหมแข็งแรงตลอดไป นะจ๊ะ


โดย: แม่ปาล์มมี่ IP: 202.28.247.114 วันที่: 10 กันยายน 2552 เวลา:13:09:42 น.  

 
รู้จักสาวไหมที่โรงเรียน แล้ววันว่างก็พามาเจอบล็อคของแม่สาวไหม ทำให้รู้ว่าพี่สาวไหมนี่แกร่งได้ใจจริง สองสามวันมานี่ไม่ได้ทำงานเลยเพราะติดตามเรื่องราวสาวน้อยเสียงใสมาตลอด และเห็นถึงความรัก ความใส่ใจ ที่แม่นัดมี นึกถึงน้องพิมอายุ 9วันที่ตอนนี้นก็ต้องเจาะไขสันหลังเพราะแม่ไม่ยอมให้หนูกินนมขวดแล้วก็เศร้าเหมือนกัน เพราะคุณพิมเกิดมา 3,745 แล้วก็กินจุมาก แต่ว่าอยากเป็นแม่อินเทรนด์ โดยที่ไม่มีความรู้สึกเลยว่าตัวเองนมไม่พอ น้องขาดน้ำจนป่วย พอร่างกายอ่อนแอ ทำให้เชื้อโรคจู่โจมได้ง่ายเลยค่ะ จู่ ๆ น้องก็ตัวเย็นโดยไม่ทราบสาเหตุ เข้าตู้อบแล้วไม่ดีขึ้น หมอเลยขอเจาะใจสันหลัง แต่ไม่ได้ และต้องให้ยากันไว้ก่อน เพราะหากเด็กติดเชื้อไปแล้วจะไปไวมาก แต่ยาแก้ักเสบถ้าให้แล้วต้องครบโดส คราวนั้นพี่พิมเลยปล่อยให้สะดือหลุดในห้องเนอส เลยอ่ะ


โดย: น้องพิม IP: 112.142.1.123 วันที่: 17 ตุลาคม 2552 เวลา:19:06:08 น.  

 
ลูกเราเป็นเหมือนกัน 18/4 นี้ ต้องไปทำการ echo อีกทีว่าจะหายขาดไหม ให้กำลังใจคุณแม่ทุกท่านที่ลูกเป็นคาวา ค่ะ


โดย: หมวย IP: 124.122.218.201 วันที่: 10 เมษายน 2554 เวลา:14:49:04 น.  

 
ลูกสาวก็เป็นคาวาซากิเหมือนกันค่ะ เพิ่งออกจากโรงพยาบาลวันนี้เองค่ะ


โดย: กล้วย IP: 58.11.25.252 วันที่: 18 เมษายน 2554 เวลา:22:00:22 น.  

 
นอนอ่านไปแล้ว น้ำตาไหลไป พอดีมีลูกชายวัยเดือนกว่านอนกอดอยู่ด้วย บอกเลยคุณแม่เป็นคนเข้มแข็งมากคะขอชื่นชมเลย ยินดีกับหนูน้อยที่หายเป็นปกติด้วยคะ


โดย: พร้าว IP: 182.232.246.97 วันที่: 29 สิงหาคม 2560 เวลา:13:53:04 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

[NostalgiA]
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




ใช้อินเตอร์เน็ทเป็นครั้งแรกประมาณปี 2541 สิ่งที่แรกที่รู้จักในอินเตอร์เน็ทคือ ICQ มันทำให้ได้น้องชายที่น่ารักมา 1 คน (ตามมาด้วยพ่อแม่อีก 1 ครอบครัว) ... ต่อมาเล่น pirch เป็น ติดงอมแงม เกือบทำให้เรียนไม่จบ ฮ่า.... จากโปรแกรมนี้ ทำให้ได้พี่สาวตัวสูงโย่งที่แสนดีมา 1 คน ได้เพื่อนที่เกือบจะเกินเพื่อนมา 1 คน ได้เพื่อนที่ดีและน่ารักอีกหลายสิบ...และได้พ็อกเก็ตบุ๊ก "แชตติดหนึบ คนติดเน็ท" มา 1 เล่ม (ใครไม่เคยอ่านก็เสียใจด้วย เพราะหาซื้อไม่ได้แล้ว ฮ่าๆ)

ต่อมาก็เข้าเว็บ pantip และก็วนๆ เวียนๆ อยู่แถวๆ เหลิมไทย BP จนแยกมาเป็นห้องกล้องก็แวะเวียนไปเรื่อง ไปจตุจักรด้วย (ไปหาของกินกับต้นไม้) กิเลศพอกพูนมากๆ ก็แวะห้องรัชดา กะไปหารถขับ (ก๊ากก พูดเหมือนมีตังค์เยอะ) ได้เพื่อนจากพันทิพเป็นร้อย ได้ศัตรูมาด้วย ทั้งๆที่กรูไม่ผิด ฮ่าๆ ...แต่ก็ดี ทำให้ได้รู้ว่าคนเราพื้นฐานจิตใจสันดานเดิมมันไม่เหมือนกัน ย่อมไม่สามารถเข้าใจอะไรที่คนบางคนเข้าใจได้ อธิบายให้ตายก็ไม่มีวันเข้าใจ โอวาทของพระพุทธเจ้าที่กล่าวว่าบัวมีสี่เหล่าจึงเป็นสัจธรรมที่เที่ยงตรงและแน่นอนที่ซู้ดดดด

พอท้องก็ห่างหายจากพันทิพไปอยู่เว็ปแปลน หลงเข้าบ้านท้องป่องท้องแฟบ ได้รู้จักเพื่อนดีๆ ที่นี่เกือบสิบคน แต่คงไม่สนิทกันเท่านี้หากไม่มีเรื่องราวของผู้หญิงโรคจิตคนหนึ่งที่แอบอ้างว่าเป็นแอร์โฮสเตสไฮโซ สวยเหมือนดาราฮอลลีวู้ด มีลูกครึ่งน่ารักน่าชัง....เพราะเธอคนนี้ทำให้เราได้คุยกับเพื่อนๆ คนอื่นๆ ในห้องลับ (taro mom and the chamber of secret)

และเพื่อนกลุ่มนี้นี่เองที่ทำให้จิตใจเราดีขึ้นมากมายในหลายครั้ง หลายสถานการณ์ ตั้งแต่ครั้งที่สาวไหมเป็นคาวาซากิ ไปจนถึงโครงการสั่งซื้อเตาอบ (ขนาด 300 ลิตร)

บล็อกแก๊งค์นี้ สมัครไว้นานเกือบๆ 2-3 ปีได้แล้วมั้ง แต่ไม่ได้เขียนซักที เพราะโง่ ทำไรไม่เป็น จนกระทั่งไปสอดรู้สอดเห็นไดของเพื่อนคณะวิจิตรศิลป์คนหนึ่ง (จริงๆ ก็ไม่ใช่เพื่อนเราหรอก แต่เรียนปีเดียวกันก็ตีขลุมว่าเป็นเพื่อนละกัน) เห็นแล้ว เออ...น่าจะเขียนอะไรมั่งวุ้ย

เลยพยายามสุดชีวิตที่จะตกแต่งบล็อกและเขียนบล็อก สุดท้ายก็เขียนจนสถิติขึ้นไปเกือบ 8 พัน บล็อกแก๊งค์ก็ปิดปรับปรุงและทำให้สถิติหายหมด ฮ่า....

เป็นคนนิสัยเสีย ไม่ค่อยชอบตอบกระทู้ที่ตัวเองตั้งและเวลามีคนมาคอมเมนท์ก็ไม่ค่อยชอบตอบ ทั้งๆที่ซาบซึ้งใจมากๆ กับคอมเมนท์ของทุกคน...ขอโทษด้วยนะคะที่เป็นคนโรคจิตเช่นนี้

แต่จะพยายามตอบสุดความสามารถค่ะ




search engine marketing company image link
free hit counter script
Group Blog
 
<<
เมษายน 2550
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
2930 
 
22 เมษายน 2550
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add [NostalgiA]'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.