ครั้งหนึ่งในชีวิตที่มีโอกาสได้ใกล้ชิดกับในหลวง
งานฉลองสิริราชสมบัติ 60 ปี เราไปตั้งแต่ตี2 แต่ยังมีชาวบ้านมาก่อนเราเยอะมาก มานอนรอ ส่วนเรากับเพื่อนไปกัน 2 คน นั่งรอง่วงมากมายแต่อยากรับเสด็จก็ต้องทน พอเช้ามาก็เริ่มออกไปยืนเพราะต้องไปจองที่หน้าๆ พอ 9 โมงเท่านั้นแหละ ระหว่างคนที่มาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆความร้อนและความอึดอัดเริ่มถาโถมเข้ามา แต่คิดในใจ" เอาหนะ นานๆเราจะมีโอกาสอย่างนี้ ถ้าพลาดครั้งนี้คงไม่มีครั้งหน้าอีกแล้ว" ก็ยืนตั้งแต่ ประมาณ 8โมงถึง 11 โมง คนก็เริ่มเบียดเข้ามาเรื่อยแทบต้องเขย่งเท้า ส่วนตำรวจทหารที่เราเอาที่กั้นออกทีจะส่วนๆ พวกเราก็ต้องเลื่อนขึ้นไปเรื่อยๆพร้อมกับประชาชนที่หลายหมื่นที่ต้องยื้อแย่งกันไปด้านหน้าให้มากที่สุด เพื่อให้ใกล้ชิดกับพระองค์ท่าน ระหว่างยืนรอคนหลายๆคนได้เป็นลมต่อหน้าก็มี ด้านข้างก็มี ข้างหลังไกลๆก็มี ตัวเองนั้นข้าวปลาอาหารแม้น้ำสักหยดยังไม่ได้กิน เพราะมาตั้งแต่ตี2 แต่หากออกจากตรงนี้แล้วจะไม่มีโอกาสเข้ามาด้านหน้าได้อีก และถึงแม้จะออกก็ออกไม่ได้เพราะคนยืนแน่นติดชิดกันขนาดไม่มีรูให้อากาศผ่านเข้ามา คนอยากจะออกก็ออกไม่ได้ ส่วนคนข้างหลังก็พยายามดันเข้ามาอย่างหนักหน่วง หลายต่อหลายคนหงุดหงิดอารมณ์เสียที่คนข้างหลังพยายามดันทำให้ตัวเองหายใจไมทั่วท้อง บ้างเหยียบเท้ากัน บ้างด่าทอกัน ส่วนคนที่เป็นลมก็ต้องถูกหามออกไปจากพื้นที่อย่างทุลักทุเล แม้นตัวเราเองจะเหนื่อยหิวและหน้ามืดเพราะแสงแดดขนาดไหน แต่ตั้งปณิธานไว้ว่า หากยังไม่ได้เห็นพระพักต์ของในหลวงจะไม่ยอมออกไปอย่างเด็ดขาด เราอุตส่าห์มาตั้งแต่ตี 2 หากเรายอมแพ้และถอยหลัง ที่เรามาวันนี้มันก็สูญเปล่า จะต่างอะไรกับคนที่ดูถ่ายทอดผ่านทางทีวี
เมื่อเวลาประมาณ 11 น. ก่อนหน้านั้นมองอะไรไม่เห็นทั้งสิ้นว่ามีใครมาแล้วบ้างเพราะทุกคนเบียดกันจนมองไม่เห็นด้านหน้าและด้วยความที่เราเตี้ยจึงได้ยินแค่เพียงว่าพระองค์นี้พระองค์นั้นเสด็จมาแต่ก็ไม่สามารถเห็นได้แม้แต่นิดเดียว บางครั้งก็บอกว่าท่านเสด็จมาแล้ว แล้วก็โบกธงกัน แต่นั่นก็เป็นเพียงความเข้าใจผิด จำได้ว่าวันนั้นลุกขึ้นโบกธงกันหลายต่อหลายครั้งมากเพราะเข้าใจว่าพระองค์ท่านเสด็จแล้ว ความรู้สึก ณ ตอนนี้ ร้อน หิว ตาพร่า เห็นแต่แสงแดดจ้า เบียดเสียดหายใจไม่ออก แต่เพราะความหวัง ทำให้ยังสามารถทนอยู่ได้และไม่กล้าแม้แต่จะเป็นลม เพราะกลัวจะถูกหามออกไปจากพื้นที่ ฝืนทนเพราะคิดในใจว่า " อีกไม่นาน เมื่อพระองค์ท่านเสด็จมา ความหวังที่สูงสุดของเราจะสัมฤทธิ์ผลเสียที"
เรารอกันจนกระทั่งท่านได้ประทับ และ โบกพระหัตถ์ออกมายังหน้าต่าง เราเห็นเพียงลิบๆและด้วยที่สายตาสั้น เราทราบเพียงว่านี่คือพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว แต่ไม่ทราบว่าใครประทับเคียงข้าง และเมื่อเราได้เห็นเท่านั้น ความหงุดหงิดความร้อนทั้งอากาศและใจ หายไปอย่างปริบพริ้ง น้ำตาแห่งความปลาบปลื้มเอ่อล้นคลอเบ้าพร้อมทั้งเพื่อนที่มาด้วย และ เราทั้ง 2 ได้โบกธงให้แรงที่สุดเท่าที่จะสามารถทำได้ ให้ท่านได้รับรู้ถึงพลังของชนชาวไทยที่พร้อมที่จะเสียสละชีวิตของตนเองเพื่อให้ท่านได้มีกำลังใจในการปกครองบ้านเมือง และ ให้ท่านมีอายุขัยยืนยาวเป็นร่มโพธิร่มไทรให้กับพสกนิกรชาวไทย
เมื่องานเลิก พวกเราต้องเดินกลับมาเพราะถนนยังปิดอยู่ แม้เราจะเดินทางไกลกว่าจะถึงถนนที่มีรถเมล์ แต่เราเดินมาพร้อมกันกับคนไทยที่มีจิตใจดีงาม เสียสละความสุขความสบาย ยอมยากลำบากหลายกว่าชั่วโมงเพื่อมาแค่เห็นพระพักต์ของท่านไม่กี่สิบนาที แสดงถึงความเคารพและจงรักพักดีต่อท่าน ทำให้เราปลายปลื้มใจมาก ความเหนื่อยหายเป็นปริบพริ้ง และจบจากวันนั้นจนถึงวันนี้ ภาพแห่งความทรงจำที่เราได้ใส่เสื้อเหลืองงานบอลธรรมศาสตร์ไป จะยังตราตรึงในจิตใจเราไปนานแสนนาน แม้ว่าตอนนี้เสื้อเหลืองอาจจะไม่สามารถใส่โจ่งเจ้งได้เหมือนเดิม แต่เสื้อเหลืองตัวนั้นเรายังเก็บเพื่อระลึกถึงวันนั้นเพื่อตอกย้ำในใจไม่มีวันลืม
อีกครั้งเมื่อในหลวงได้เสด็จมารับพระศพของพระพี่นางที่โรงพยาบาลศิริราช เมื่อเรามาถึง เค้ากั้นไม่ให้เข้าข้างในแล้ว และ ทุกคนก็ได้นั่งรอที่พื้นด้านหน้าโรงพยาบาลริมถนนทั้ง 2 ฝั่ง อีกไม่อึดใจ จริงๆล้วเราไม่ทราบว่าท่านจะเสด็จมารับพระศพด้วยพระองค์เอง เมื่อมีขบวนรถผ่านมา เรานั่งจ้องเข้าไปในรถทุกคัน และเมื่อมาถึงคันหนึ่ง ทุกคนได้ก้มลงกราบกัน เราด้วยความตกใจเห็นท่านโบกมือมา จึงโบกมือกลับไป ทั้งๆที่ควรจะก้มลงกราบ แต่ ณ ตอนนั้นสติเราไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ทำอะไรไม่ถูก อยากมองพระพักต์ของท่านให้นานที่สุด และเมื่อท่านผ่านไป เราจึงก้มลงกราบท่าน และเป็นครั้งแรดที่เราได้เห็นพระพักต์ท่านใกล้ชิดมากขนาดนี้ เพราะท่านประทับอยู่บนรถเปิดกระจก เรานั่งริมฟุตบาท
Create Date : 03 พฤศจิกายน 2552 |
|
5 comments |
Last Update : 3 พฤศจิกายน 2552 15:55:07 น. |
Counter : 921 Pageviews. |
|
|
|
อยากเห็นองค์จริงสักครั้งหนึ่งในชีวิตเหมือนกันค่ะ