เปิดใจ "ผู้การวิสุทธิ์" ที่ใครๆ ก็หาว่าอยากดัง
ถ้าเอ่ยถึงตำรวจบ้าพลัง ตำรวจตงฉิน ที่เหล่าผู้ร้ายหวาดหวั่น หลายคนคงร้องอ๋อ! และนึกถึง ผู้การวิสุทธิ์ นายตำรวจนักบู๊ ที่ทำให้หลายๆ คนประหลาดใจทุกครั้งที่ออกมาแถลงผลการจับกุม ไม่ว่าจะให้ผู้ต้องหาคาบถุงยาบ้า เลี้ยงข้าวผู้ต้องหาคดียาเสพติด ขึ้นชื่อผู้ต้องหาโดยใช้คำว่า "เดนมนุษย์" และ "อมนุษย์" และล่าสุดสั่งทำระบบเก้าอี้ไฟฟ้าจำลองลานประหารชีวิตนักโทษจำลอง ที่มีอุปกรณ์เสมือนจริงครบครัน เพื่อเอาไว้ใช้ในการแถลงข่าวจับกุมผู้จำหน่ายยาบ้าในครั้งต่อไป จนกลายเป็นวิพากษ์วิจารณ์ถึงความเหมาะสม ไปจนถึงสงสัยว่า ผู้การวิสุทธิ์ ทำแบบนั้นไปเพราะอะไร สร้างภาพเพื่ออยากดังหรือเปล่า วันนี้กระปุกดอทคอมเราจะพาไปจับเข่าคุยกับ ผู้การวิสุทธิ์ กันค่ะ
ผู้การวิสุทธิ์ หรือ พล.ต.ต.วิสุทธิ์ วานิชบุตร ผู้บังคับการตำรวจภูธร จังหวัดอ่างทอง อายุ 53 ปี จบการศึกษา นักเรียนนายร้อยตำรวจพิเศษรุ่น 9 ปี 2521 ทำงานครั้งแรกดำรงตำแหน่งประจำแผนกกฎหมาย กองวิชาการกรมตำรวจ จากนั้นเป็นนายเวร ผบก.วช., สว.แผนก 7 กองปราบปราม, รองผู้กำกับการกองทะเบียน, ผู้กำกับการ 3 ศสก., ผู้กำกับการกำลังพล บชก.รองผบก.ตำรวจท่องเที่ยว, รองผู้กำกับการทางหลวง, รองผู้กำกับการกองทะเบียนกรมตำรวจ, รองผู้กำกับการปราบปรามการกระทำผิดต่อเด็กเยาวชนและสตรี (ปดส.), ผู้กำกับการประจำสำนักงานตำรวจแห่งชาติ, ผู้กำกับการวิทยาการ 2 จังหวัดนครราชสีมา, ผู้บังคับการกองบังคับการปราบปรามอาชญากรรมทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยี, ผู้กำกับการปราบปรามการกระทำผิดต่อเด็กเยาวชนและสตรี (ปดส.) ก่อนจะถูกย้ายไปเป็น ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดอ่างทอง ในปัจจุบัน
ทั้งนี้ ผู้การวิสุทธิ์ เปิดใจว่า ผมถูกเลี้ยงมาแบบนี้ตั้งแต่เด็กๆ คือยึดมั่นถือมั่นในความดี ความถูกต้อง ผมเรียนตั้งแต่อนุบาลผมจะเป็นหัวหน้าตลอด แต่เป็นหัวโจกในทางที่ดี ผมไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับสิ่งที่ผิดกฎหมาย ผิดศีลธรรม ผมไม่ทำเด็ดขาด หลายคนพยายามหาว่าผมสร้างภาพ โชว์ออฟ อย่างโน้นอย่างนี้ แต่ผมไม่สนใจหรอก เพราะผมสร้างภาพจริงๆ แต่ภาพที่เกิดขึ้นมาจากผลงานของผม ซึ่งผมก็อยากให้ข้าราชการทั่วประเทศสร้างภาพแบบผมเหมือนกัน และบอกได้เลยว่าผมไม่ได้สร้างโชว์ หรือว่าสร้างภาพให้ตัวเองดูดี
อย่างไรก็ตาม ผู้การวิสุทธิ์ กลายเป็นที่รู้จักไปทั่วประเทศ ในเรื่องความซื่อสัตย์ ซื่อตรง จนได้รับฉายาว่าเป็น "ตำรวจตงฉิน" และทุกครั้งที่ออกมาแถลงข่าวจับกุมผู้ต้องหา ผู้การวิสุทธิ์ จะมีขั้นตอนที่แตกต่างกันออกไปทุกครั้ง ซึ่งเรียกเสียงฮือฮาได้ตลอด ไม่ว่าจะเป็น ให้ผู้ต้องหาคาบถุงยาบ้า เลี้ยงข้าวผู้ต้องหาคดียาเสพติด หรือลงพื้นที่จับผู้ร้ายแบบบ้าระห่ำ
"เพราะว่าการปราบปรามขบวนการค้ายาเสพติดจะใช้กฎหมายอย่างเดียวไม่ได้ ต้องใช้แบบถึงลูกถึงคน ต้องใช้จิตวิทยาในเรื่องการปราบปราม สักวันหนึ่งถ้าผู้ต้องหาออกมาจากคุกมาก็จะจำได้ว่าโดนประจานอย่างไรบ้าง จะได้สำนึก เป็นการปรามไปโดยปริยาย ส่วนเทคนิคการแถลงข่าวมันก็เป็นเทคนิคของผม ใครจะทำไมล่ะ จริงๆ ที่ผมแถลงข่าวทุกๆ ครั้งอยากจะแสดงผลงานปราบปรามยาเสพติดของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ของรัฐบาล อยากบอกว่าพวกเราไม่ได้นิ่งเฉยในเรื่องยาเสพติด ผู้กระทำความผิดเข็ดหลาบ ผู้ที่ค้าอยู่ยังไม่ถูกจับจะได้พึงสังวรณ์ไว้ว่า ไม่ใช่แค่ถูกจับอย่างเดียว แต่ยังถูกประจานด้วย คุณต้องเข้าใจว่าผมไม่ได้เอายาบ้ามาให้คาบ ผมเอาถุงยาบ้ามาให้คาบ เพราะเป็นการเตือนสติว่าเมื่อถูกผู้การวิสุทธิ์จับแล้ว ให้มันคาบถุงยาเพราะปากมันใกล้สมอง มันจะได้คิดว่าครั้งหนึ่งเคยมาขายยาแล้วถูกจับไม่พอ ยังถูกประจานอีก มันจะได้สำนึก ซึ่งใครๆ ก็หาว่าผมบ้าเป็นโรคจิต ผมก็ยอมรับว่าผมเป็นโรคจิต เคยไปหาหมอเขาก็ระบุมาว่าผมเป็นโรคจิตอย่างหนึ่ง คือเป็นจิตสำนึกในหน้าที่มันสูงเกินไป แล้วผมผิดไหมล่ะ" ผู้การวิสุทธิ์ เผย
นอกจากนี้ ผู้การวิสุทธิ์ ยังกล่าวถึงกรณีที่มีนักสิทธิมนุษยชนออกมาร้องเรียนถึงการกระทำของเขาว่า พวกนี้ทำงานด้วยลมปาก พูดโน้นพูดนี่ จริงๆ แล้วนักสังคมสงเคราะห์ นักจิตวิทยา และผมมีขั้นตอนการทำงานที่ต่างกัน ผมมีหน้าที่ดูแลปกป้องประชาชน ทำอย่างไรก็ได้ให้ประชาชนมีความสุข ปลอดภัยจากอันตรายต่างๆ
"กระแสวิพากษ์วิจารณ์ที่เกิดขึ้นกับตัวผม ผมบอกได้เลยว่า ผมไม่สนใจหน่วยงานที่ออกมาท้วงติงการทำงานและแนวคิดของผม ผมจะเดินหน้าต่อไป การปราบปรามยาเสพติดผมเห็นเป็นเรื่องสำคัญ ผู้ต้องหานั้นถือว่าเป็นภัยต่อประเทศชาติ ที่ผ่านมาผมประกาศตลอดว่า จะทำให้บ้านเมืองเป็นพื้นที่สีขาวและกวาดล้างผู้ค้ายาบ้ามาตลอด จับกุมผู้ต้องหาพร้อมของกลางได้เป็นจำนวนมาก และผมก็นำผู้ต้องหามาแถลง นำผู้ต้องหาคาบถุงยาบ้า เขียนป้ายชื่อ อมนุษย์ เดนมนุษย์ ทำให้นักสิทธิมนุษยชนทนไม่ได้ออกมาปกป้อง กล่าวหาว่าผมละเมิดสิทธิของผู้ต้องหา ดังนั้น ครั้งนี้ผมจึงทำตามนักสิทธิมนุษยชน จึงนำข้าวปลาอาหารเลี้ยงอย่างดี เพื่อให้เห็นว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ได้รังแกผู้ต้องหา กุญแจมือก็เอาออก ส่วนเข็มฉีดยาและขวดยาพิษนั้นเอามาให้ผู้ต้องหาดูว่า กฎหมายใหม่หากศาลตัดสินผู้ค้ายาบ้าให้ประหารชีวิต จะต้องถูกฉีดยาพิษ ก็ขอให้นักสิทธิมนุษยชนเชื่อใจได้ว่า ผู้ค้ายาบ้าจะได้รับการดูแลอย่างดี" ผู้การวิสุทธิ์ กล่าว
ขณะเดียวกัน หลายๆ คนคงสังสัยว่าทำไมอยู่ดีๆ ผู้การวิสุทธิ์ ถึงถูกเด้งมาเป็นผู้บังคับการตำรวจภูธร จังหวัดอ่างทอง ทั้งๆ ที่เมื่อครั้งที่เป็นผู้บังคับการกองบังคับการปราบปรามอาชญากรรมทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยี หรือผู้กำกับการปราบปรามการกระทำผิดต่อเด็กเยาวชนและสตรี (ปดส.) ก็มีผลงานมากมาย
"ผมไม่เคยสนใจว่าผมจะถูกย้ายไปไหน หลายคนถามว่า ทั้งๆ ที่ผมมีผลงานแต่ทำไมถูกย้าย เพราะสำนักงานตำรวจแห่งชาติไม่คำนึงที่ผลงาน พอใครเส้นใหญ่มา ก็ย้ายคนนี้ไป เด็กนักการเมืองมาอยากจะไปอยู่ตรงโน้นตรงนี้ ก็ย้ายคนเก่าไป ผมถึงบอกไงว่าคนที่สั่งย้ายผมเส้นใหญ่กว่าผมไง ที่สำคัญผมอยู่มีแต่คนอยากมาอยู่ทั้งนั้น เพราะมันเป็นทำเลทอง ใครๆ ก็อยากมาอยู่ แต่ผมไม่สนใจว่าอยู่ตรงไหน จะย้ายผมไปไหนก็ได้ เพราะอยู่ตรงไหนผมก็ได้เงินเดือน อยู่ตรงไหนผมก็ทำงานให้ประเทศชาติบ้านเมืองได้อยู่แล้ว ทุกวันนี้ผมบอกได้เลยว่าตำรวจขึ้นตรงกับนักการเมืองทั้งนั้น ผมบอกได้เลยว่าสำนักงานตำรวจแห่งชาติต้องรื้อระบบทั้งหมด ต้องเป็นองค์กรอิสระแบบอัยการกับศาล ไม่ขึ้นตรงกับนักการเมือง เพราะพอนักการเมืองเข้ามายุ่ง ก็ย้ายโน้นย้ายนี่ บ้านเมืองมันถึงวุ่นวายแบบนี้ไง ผมเป็นคนกล้าพูด กล้าทำ กล้าเปิดเผย เชลยของสังคมมาตลอด ถ้าผมเป็นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ผมจะเอาตำรวจออกมาเป็นองค์กรอิสระ" ผู้การวิสุทธิ์ กล่าว
ผู้การวิสุทธิ์ กล่าวอีกว่า ตั้งแต่ผมเป็นตำรวจมา ผมไม่เคยรับสินบนของใคร ไม่ว่าจะเป็น ผู้ต้องหา นักการเมือง หรือแม้แต่คนใหญ่คนโตในบ้านเมือง เพราะผมรู้สึกว่ามันเสียหาย และยิ่งให้สินบนผมยิ่งจับเร็วดำเนินการเร็ว เพราะถือเป็นการดูถูกผมทางอ้อม มันไม่ถูกต้อง ทุกวันนี้ผมก็รู้ว่าตัวผมมีค่าหัว เพราะผมจับผู้รายมาเยอะ ทุกครั้งก่อนเข้าออกบ้าน ผมจะตรวจสอบตลอดว่ามีระเบิดซุกซ่อนไว้หรือเปล่า แต่ผมไม่กลัวหรอก เพราะผมถือว่าสิ่งที่ผมทำคือสิ่งที่ถูกต้อง คือสิ่งที่ดี
ท้ายที่สุด ผู้การวิสุทธิ์ ฝากข้อคิดไว้ว่า อย่าไปยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติดโดยเฉพาะเยาวชน เพราะขณะนี้ประเทศไทยบอบบางมาก เราต้องรักกัน สามัคคีกันมากๆ เพื่อพ่อหลวงของปวงชนชาวไทยทุกคน
ข้อมูลจาก มติชนออนไลท์
ผู้ติดตามบล็อก : 14 คน [
