ไต้หวัน
Photobucket


Photobucket


Photobucket


Photobucket


ทริปสั้น ๆ ใน ไต้หวัน หรือ "สาธารณรัฐไต้หวัน" อีกชื่อที่อาจไม่ค่อยคุ้นหูนัก ประเทศเล็ก ๆ ที่คนไทยรู้จักกันดีเพราะซีรีส์ดัง "เอฟโฟร์"

ไต้หวัน ที่ได้ไปสัมผัส สภาพอากาศไม่ต่างจากเมืองไทย เพราะแดดแรง ร้อนจัด มีฝนตกหนักบ้างโปรยปรายบ้างเป็นช่วงๆ แม้จะเป็นประเทศที่ไม่ใหญ่โต ด้วยขนาดและประชากรที่ไม่มากนัก แต่ไต้หวันก็มีหลายสิ่งที่น่าสนใจสามารถดึงดูดผู้คนให้แวะเวียนไปเยี่ยมเยือน

เราใช้เวลาเดินทางราว 3 ชั่วโมงเศษจากสนามบินสุวรรณภูมิก็ถึงกรุงไทเปในช่วงเวลาค่ำ ๆ พอดี เราเลยไม่รอช้า ขอออกไปย่ำราตรีดูวิถีชีวิตผู้คนในเมืองหลวงกันเลย หลังจากถามไถ่เรื่องเส้นทางจากไกด์ชาวไต้หวัน เขาบอกให้เรานั่งรถไฟฟ้าซึ่งเปิดบริการถึงเวลาเที่ยงคืน ซึ่งเวลาในไต้หวันเร็วกว่าเมืองไทยประมาณ 1 ชั่วโมง เพื่อเดินทางจากโรงแรมที่พักไปที่ "ฉินหลินไนต์มาเก็ต" (Shinlin night market) เสียค่าโดยสารรถไฟฟ้าที่ต้องหยอดเหรียญเองคนละ 20 หยวน/เหรียญ ($NT หรือ New dollar Taiwan) จากสถานี Zhongshan ไปยังสถานี JianTan 10 กว่านาที เราก็มาโผล่บริเวณสี่แยกที่ตรงหน้ามีร้านค้าติดป้ายไฟเป็นภาษาจีนละลานตา ผู้คนเดินมากมายเดินขวักไขว่

กลุ่มเราแยกย้ายช็อปปิ้งตามความชอบ แล้วนัดมาเจอกันตรงร้านสะดวกซื้อข้าง ๆ ลานยิงลูกโป่ง ปาเป้า บรรยากาศเหมือนงานวัด ของที่ซื้อได้ส่วนใหญ่เป็นพวก รองเท้ากีฬา นาฬิกา เพราะราคาถูกกว่าเมืองไทยกว่าครึ่ง และไม่ต้องจ่ายเงินค่าถุงพลาสติกเพิ่ม แต่ถ้าซื้อของในร้านสะดวกซื้อและห้างสรรพสินค้า ต้องจ่ายเงินเพิ่มอีก 1 หยวนเป็นค่าถุง ระหว่างทางแวะชิมของกินแปลก ๆ อย่างไอศกรีม น้ำผลไม้ต่าง ๆ ชาเย็น ข้าวโพดย่างเคลือบช็อกโกแลตที่ส่งกลิ่นหอม ๆ โชยมายั่วยวนให้ลิ้มลอง แต่พอเห็นคนที่ต่อคิวยาวเหยียดแล้วก็ถอดใจ ได้แค่ชะเง้อมอง ๆ ให้พอน้ำลายไหล

อย่างที่บอกว่าพอลงจากเครื่องก็ตะลุยราตรีเมืองไต้หวันกันเลย ทำให้ทุกคนหมดแรง ไม่มีแรงวิ่งไปขึ้นรถไฟฟ้าที่อีก 15 นาที ก็ปิดให้บริการ เลยตัดสินใจโบก "ตัวเหลือง" ชื่อเรียกแท็กซี่ที่ล้วนแต่เป็นรถยี่ห้อหรูกลับที่พัก เริ่มกดมิเตอร์ที่ราคา 70 หยวน พอขึ้นไปนั่งได้ยินเสียงดังขึ้นถี่ ๆ ปี๊บ!! แสดงว่ามิเตอร์ขึ้นครั้งละ 5 หยวน แต่พอลงจากรถ คนขับพูดแต่ภาษาจีนคิดเงินเพิ่มจากค่ามิเตอร์อีก 20 หยวน แต่ของเรายังถูก เพราะแท็กซี่อีกคันที่พวกเราเรียกถามไถ่กันแล้ว โดนเรียกเงินไปถึง 200 หยวนเลยทีเดียว


วันที่สองเราเดินทางไปเมืองฮวาเหลียน เมืองชนบทของไต้หวัน ทิวทัศน์สองข้างทางสวยงาม เป็นทางที่ต้องผ่านอุโมงค์หินหลายอุโมงค์ ธรรมชาติสองข้างทางสวยงามน่าอัศจรรย์ใจ ด้านซ้ายมองเห็นทะเลอยู่เบื้องล่าง ส่วนขวามือเป็นภูเขาสูงชันสีเขียวขจีของต้นไม้ที่เพิ่งโดนฝนมาใหม่ ๆ วิวทิวทัศน์สองข้างทางที่ได้สัมผัสทำให้รู้สึกราวกับว่ารถทัวร์สองชั้น กำลังล่องลอยเข้าสู่เมืองลี้ลับหลีกหนีความวุ่นวาย แต่หนทางคดเคี้ยวเส้น ทางเหมือนขึ้นแม่ฮ่องสอน จนผู้ร่วมคณะต้องเรียกหายาแก้เมารถ

ระหว่างทางชาวคณะได้แวะสักการะ "ศาลเจ้าแม่ทับทิมทองคำ" เทพเจ้าแห่งท้องทะเล ที่ชาวประมงไต้หวันเคารพบูชานับถือว่าศักดิ์สิทธิ์มาก ไกด์บอกเคล็ดลับตามความเชื่อดั้งเดิมของจีนว่า เมื่อเราหันหน้าเข้าศาลเจ้า ควรเข้าทางประตูขวาซึ่งถือเป็นประตูมังกร เพื่อรับสิ่งดี ๆ แล้วออกทางประตูซ้ายซึ่งถือว่าเป็นประตูเสือ เพื่อทิ้งความไม่ดีออกไป ส่วนประตูกลางนั้นคนทั่วไปไม่นิยมเข้า-ออก เพราะโบราณถือว่าเป็นทางเข้า-ออก ของผู้ที่เราไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า


ถึงศาลเจ้าเราจุดธูปคนละ 5 ดอก กระถางละ 1 ดอก เพื่อประหยัดทรัพยากรทางธรรมชาติ เริ่มไหว้กระถางธูปใหญ่ที่สุดประจำศาลเจ้า ซึ่งเป็นกระถางเดียวที่ไกด์บอก ให้เราไหว้หันหน้าออกจากศาล แล้วปักธูปด้วยมือซ้ายทุกครั้ง จากนั้นก็หันหน้าเข้ามาไหว้ในศาล ขึ้นต่อไปที่ชั้นสอง เป็นที่ประทับของเจ้าแม่ทับทิมที่แกะสลักจากหยก และสุดท้ายชั้นที่สามเป็นที่ประทับของเจ้าแม่ทับทิมทองคำ

ที่ศาลเจ้าแม่ทับทิมทองคำ นอกจากได้สักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์แล้ว ยังทำให้พวกเราได้มีโอกาสชมทิวทิศน์จากมุมสูงของศาลเจ้า ที่หากมองไปไกลๆ ลิบๆ จะเห็นเรือของชาวประมงที่จอดเรียงราย ได้ความรู้ที่สงบและเป็นสิริมงคลอย่างบอกไม่ถูก พอลงมาจากศาล ไกด์เชื้อเชิญให้เราชิม "ไอติมสายฝน" ที่ใช้แป้งโรตี เหมือนแป้งม้วนสายไหมบ้านเรา รองด้วยถั่วฝน รสชาติเหมือนถั่วตัด วางทับด้วยไอติม 2 ลูก ราคา 30 เหรียญฯ รสชาติหวาน ๆ เปรี้ยว ๆ อร่อยชื่นใจคลายร้อนได้ดี

ออกจากศาลเจ้าแม่ทับทิมทองคำเราได้แวะชมความงามของ "ทะเลสาบเจ็ดดาว" ไกด์ชาวไต้หวันบอกว่าที่ทะเลสาบแห่งนี้ได้ชื่อว่า ทะเลสาบเจ็ดดาว เพราะ สามารถมองเห็นดาวไถ ซึ่งมี 7 ดวงในเวลากลางคืนสวยงามมาก เพราะเห็นดาวได้ชัดเจนมาก หนุ่มสาวชาวไต้หวันและนักท่องเที่ยวนิยมมาแวะพักผ่อนคลายความเหนื่อยล้าที่ ทะเลสาบแห่งนี้ เพราะได้สูดอากาศบริสุทธิ์ยามเย็น ชายหาดแห่งนี้เต็มไปด้วยก้อนหินหลายขนาด วางเรียงรายเป็นหาดยาวแทนหาดทรายไม่เหมือนทะเลที่อื่น และเป็นท้องน้ำเดียวกับมหาสมุทรแปซิฟิก เราเลยถือโอกาสถอดรองเท้าหวังลงไปจุ่มน้ำ แต่ต้องระวังเพราะหาดลาดชันเป็นเหว ไม่ใช่หาดที่ลงไปว่ายน้ำเล่นได้เลยต้อง ยืนริม ๆ ฝั่งรอให้น้ำทะเลซัดสาดเข้ามาที่ขาพอได้ชื่นใจ

วันสุดท้ายก่อนเดินกลับจากเมืองฮวาเหลียนไปไทเป ผ่านเส้นทาง "ทาราโกะ จอร์ช" แหล่งธรรมชาติที่ขึ้นชื่อความอุดมสมบูรณ์ สองข้างทางที่เรานั่งรถเข้าไป เป็นหุบเขาก้อนหิน มองไปข้างล่างมีก้อนหินเล็กใหญ่เรียงรายมีธารน้ำไหลผ่าน ก้อนหินแต่ละก้อนกลมมน ไกด์บรรยายให้เราฟังว่า มีบางคนบอกว่าหากใครมีเล่ห์เหลี่ยมมาก ๆ ให้เรามาปล่อยไว้ที่นี่ได้ เพราะสายน้ำจะช่วยลบเหลี่ยมให้คนคนนั้นจนกลมเกลี้ยงเหมือนก้อนหินที่นี่

คณะเราหยุดพักชมความสวยของภูเขาที่สูงเสียดฟ้า ตามมุมถ่ายภาพของ ทาราโกะ จอร์ช เป็นอีกมุมมองที่น่าหลงใหลไม่รู้ลืมของ "ไต้หวัน"




ข้อมูลจาก ไทยโพสต์



Create Date : 19 กรกฎาคม 2553
Last Update : 19 กรกฎาคม 2553 22:13:40 น.
Counter : 713 Pageviews.

0 comments
ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
 *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

Caffein Dog
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 14 คน [?]



Group Blog
กรกฏาคม 2553

 
 
 
 
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
16
17
18
21
22
23
24
25
26
27
28
30
31
 
19 กรกฏาคม 2553
All Blog