ญี่ปุ่น... 9 วันที่อยู่ในความทรงจำ (วันที่ 1 สุวรรณภูมิ-นาริตะ-วัดเมจิ-ชินจูกุ)



วันเสาร์ที่ 9 - วันจันทร์ที่ 18 พ.ค.56 

ทริปนี้ไปกันเอง มีสมาชิกทั้งหมด 4 สาวกับอีก 1 หนุ่ม เป็นครั้งแรกที่ไปญี่ปุ่น เป็นทริปที่ประทับใจการเดินทางตั้งแต่วันแรกยังวันสุดท้าย ตามไปเที่ยวญี่ปุ่นด้วยกันครับ





วันเสาร์ที่ 9 พ.ค.56 

เวลา 20.00 น.สมาชิกมาถึงสนามบินสุวรรณภูมิครบ ก็เดินทางเที่ยวบิน TG640 BKK-NRT เวลา 22:35 น. 







อาหารบนเครื่องจะมีให้เลือกอยู่สองอย่าง ไม่อร่อยแต่พอกินได้ครับ









ถึงสนามบินนาริตะประมาณ 06.00 น. สมาชิกทุกท่านผ่าน ตม.ญี่ปุ่น ฉลุย กว่าจะมาเอากระเป๋า เข้าห้องน้ำ ลั้นล้า ก็กินเวลาประมาณเกือบชั่วโมงได้ welcome to japan (ใช้เวลาเดินทางประมาณ 5 ชั่วโมง เวลาญี่ปุ่นจะเร็วกว่าเมืองไทย 2 ชั่วโมง ต่อไปจะใช้เวลาญี่ปุ่นนะครับ)







วันอาทิตย์ที่ 10 พ.ย.56

ประมาณ 07.00 น. ออกจากสนามบินนาริตะ ลงมาชั้นใต้ดินเพื่อนั่งรถไฟไปลงที่สถานี Shinjuku ใช้เวลาเดินทางประมาณหนึ่งชั่วโมง

การเดินทางจากสนามบินนาริตะ เข้ากรุงโตเกียว

มีหลายวิธีการครับ เลือกเอาตามใจชอบเลย
1. นั่งแท๊กซี่ สบายสุด แต่ก็แพงรากเลือดครับ ราคาได้ข่าวว่าประมาณร่วมๆ 10,000 เยน (3,xxx ++ บาท) เลยทีเดียว แถมถ้าเจอรถติดก็ลำบากทีเดียวครับ

2. รถแอร์พอร์ตบัส อันนี้ก็สบายสำหรับการเดินทางสู่โรงแรมในตัวเมืองครับ ยิงทีเดียวถึงไม่ต้องต่อรถ ราคาประมาณคนละ 3,000 เยนครับ

3. รถไฟด่วนพิเศษ มีรถไฟอยู่ 2 เจ้าที่วิ่งเข้าสู่สนามบินนาริตะ นั่นก็คือบริษัทรถไฟ JR ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ และบริษัทเอกชน Keisei ครับ ทั้ง 2 เจ้าต่างมีทีเด็ดเป็นของตัวเอง วิ่งคนละรางกัน มีสถานีใจกลางเมืองคนละที่กัน ก็ลองพิจารณาดูนะครับ

ข้อมูลจากหมอยุ่ง ใครสนใจก็ลองกดเข้าไปดูครับ แน่นปึ๊ก คลิ๊กเลย













เวลา 08.00 น.ก็มาถึงสถานี ชินจูกุ เราเดินเอากระเป๋าไปฝากไว้ที่โรงแรมก่อน 







คืนนี้เรานอนที่ชินจูกุฝากกระเป๋าเสร็จก็เดินย้อนกลับมาที่สถานีชินจูกุ 

มื้อเช้าสำหรับวันนี้ฝากท้องที่ร้านสะดวกซื้อแล้วกัน





อิ่มเรียบร้อยก็นั่งรถไฟต่อไปยังสถานี Harajuku ใช้เวลาเดินทางประมาณ 20 นาที











ที่ ฮาราจูกุ จะมี แหล่งช้อปปิ้งที่ชื่อดังก็คงมี ถนนทาเคชิตะ ( Takeshita Dori ) และถนนโอโมโตะซานโดะ (Omotosando) เราข้ามถนนหน้าสถานี ฮาราจูกุ ก็ถึง ทาเคชิตะ เป็นถนนเล็กๆ หน้าสถานีฮาราจูกุ ที่ถนนสายนี้เป็นแหล่งรวมร้านค้าที่สินค้าส่วนใหญ่จะเป็นของวันรุ่น ทั้งร้านเสื้อผ้าเครื่องประดับ เครื่องสำอางค์ มีให้เลือกหลายแบบไม่ว่าจะแบบน่ารัก เปรี้ยว แม้กระทั้งแบบหลุดโลกก็มีหลุดแบบคิดว่าเพื่อน ๆ คงไม่กล้าใส่แน่นอน แต่ช่วงที่กลุ่มเราไปยังไม่ค่อยเห็นวัยรุ่นแต่ง Cosplay ซักเท่าไหร่ หรือว่ายังเช้าไป







เดินเข้าไปในถนนทาเคชิตะ











ร้านนี้เสื้อผ้าจี๊ดจ๊าดมาก





สาวน้อยคนนี้ น่ารักดีครับ เอาขนมมาแจกให้ชิมเพื่อขายของ เล่นเอาสาวๆกลุ่มผมขอถ่ายรูปเป็นที่ระลึกกันทุกคน (ขนมเค้าอร่อยจริงๆนะ แต่ไม่ได้อุดหนุนอ่ะ)











ขอแนะนำสาวๆในสมาชิกที่ไปในทริปนี้ก่อน เริ่มจากซ้ายไปขวา ปู-เจี๊ยบ-จ๋า-ทอย (หัวหน้าทัวร์ จัดทริป จัดได้เจ๋งมากเลยน้องทอย)





ถนนทาเคชิตะ น่าจะถูกกับจริตของสาวๆกลุ่มผม เห็นเดินเข้าร้านนั้นออกร้านนี้กันเพลิดเพลินเชียว แถมเป็นดงของร้านเครปญี่ปุ่นต้นหรับและของกิน มีหลายร้านเยอะมาก







น้องจ๋า กับหน้าร้านเครปอีกร้านหนึ่ง





เที่ยงๆก็ได้เวลามื้อกลางวัน เดินหาเอาแถวนั้นแหละ แต่จำไม่ได้ว่าอยู่ตรงไหน อาหารมีอะไรบ้างก็ดูรูปเอาเองแล้วกันครับ

เรากินร้านนี้















ใครสนใจก็ตามป้ายนี้ ส่วนราคา 5 คนก็ตามในใบเสร็จนั้นแหละครับ





อิ่มเสร็จเราก็เดินออกจากถนน ทาเคชิตะ ข้ามถนนตรงหน้าสถานีฮาราจูกุ เลี้ยวซ้ายข้ามทางรถไฟก็ถึงศาลเจ้าเมจิ









ศาลเจ้าเมจิจิงกูมีความพิเศษตรงที่ไม่ใช่ศาลเจ้าในลัทธิชินโตธรรมดา หากแต่ เมื่อปี ค.ศ. 1912 สมเด็จพระจักรพรรดิเมจิสิ้นพระชน พสกนิกรชาวญี่ปุ่นต่างเศร้าโศกเสียใจครั้นปีค.ศ. 1915 ศาลเจ้าแห่งนี้ได้ถูกสร้างเพื่อเป็นที่สักการะบูชาแล้วเสร็จเมื่อปีค.ศ. 1920 ศาลเจ้าเมจิจิงกู ยังถือได้ว่าเป็นศาลเจ้าประจำโตเกียวอีกด้วย ใครที่มีโอกาสได้มาโตเกียวต้องมาสักการะที่นี่ให้ได้ ข้อมูลจากเวป คลิ๊กเลย









ก่อนเข้าศาลเจ้าเมจิจิงกู ก็ต้องเห็นเสาโทริอิ ตั้งเด่นเป็นสง่า สาวๆถ่ายรูปเป็นธรรมเนียมเสร็จแล้วก็เดินเข้าไปเลยครับ





เดินเข้าไปจะเห็นเด็กๆ แต่งชุดกิโมโนประจำชาติมาเดินกันเป็นระยะ ดูน่ารักดี











ภายในศาลเจ้าร่มรื่นด้วยต้นไม้ใหญ่ เหมือนหลุดขั่วกันเลย









เดินไปประมาณ 100 ม.ก็เจอถังสาเก ตั้งวางอยู่ด้านขวามือ ส่วนทางด้านซ้ายจะเป็นถังไวน์ ทั้งสองถังจะถูกบริจาคเพื่อใช้ในงานพิธีสำคัญต่างๆ ในงานมงคลของศาลเจ้า

ข้อมูลจากเวป คลิ๊กเลย













ถังไวน์อยู่ตรงข้ามกับถังสาเก





เดินตรงไปอีกหน่อยเลี้ยวซ้ายก็จะเจอป้ายนี้ครับ ให้เดินตรงไปแล้วเลี้ยวขวาอีกที ข้างขวามือข้างทางจะจัดดอกเบญจมาศ ดอกใหญ่มากสาวๆกรี๊ดกร๊าดกันใหญ่



















ตรงบริเวณใกล้ๆกัน มีสวนขององค์จักรพรรดิเมอิจิอยู่ด้วย พวกเราก็ไม่พลาดเข้าชมกัน โดยต้องซื้อตั๋วเข้าชมที่หน้าทางเข้าก่อน ราคา 500 เยน







เข้าไปไม่รู้จะบรรยายยังไง รู้แต่ว่าร่มรื่นดี



















ใบไม้แอบแดงนิดๆ แค่นี้ก็เรียกเสียงฮือฮาจากกลุ่มเราได้แล้วครับ















เราอยู่ในสวนจักรพรรดิเมอิจิ เก็บบรรยากาศถ่ายรูปประมาณชั่วโมง ก็เดินออกจากสวนเพื่อไปศาลเจ้าเมจิต่อ ก่อนจากขอรูปหมู่สาวๆในสวนจักรพรรดิอีกซักภาพก่อนครับ





ก่อนถึงศาลเจ้าจะมีซุ้ม Temizuya อยู่ทางด้านซ้ายมือไว้ให้ล้างหน้า ล้างปากก่อนเพื่อชำระให้สะอาดก่อนเข้าศาลเจ้า









พอล้างหน้า ล้างปากเสร็จก็เดินเข้าวัดจะเจอประตูเสาโทริอิ ก่อนเข้าศาล





รูปนี้ไม่รู้จริงๆว่าเป็นอะไร ไม่อยากเดาเดี๋ยวข้อมูลจะเพี้ยนไป รู้แต่ว่าสวยดี เห็นวางขายอยู่ข้างๆก่อนเข้าศาล









เข้าไปในศาลเจอขบวนพิธีแต่งงาน เห็นอยู่หลายคู่เหมือนกัน บางพิธีก็ห้ามถ่าย บางพิธีก็ให้ถ่ายได้ห่างๆ แต่ดูแล้วพิธีเค้าขลังจัง



















ข้างในศาลเจ้าเมจิ ไม่ค่อยใหญ่เท่าไหร แต่บริเวณที่ค่อนข้างกว้างขว้าง ดูมุมเทพจากมือกล้องน้องปูก่อนครับ





ถ่ายรูปเสร็จก็มาเป็นนางแบบต่อ







เจอหลานๆใส่ชุดกิโมโนอีกแล้ว











ต้นไม้ต้นนี้ใหญ่ดีครับ อยู่ด้านข้างในศาล ใต้ต้นไม้จะมีป้ายไว้ให้เขียนคำอวยพรลงชื่อไว้แล้วแขวนโชว์ตามข้อมูลบอกว่าป้ายละ 500 เยน เห็นมีป้ายชื่อคนไทยด้วย













เราอยู่ถึงห้าโมงครึ่ง ที่เห็นในรูปห้าโมงเย็น ทำไมมันมืดเร็วจัง 







ได้เวลาเดินออกจากศาล ก็มาเดินเล่นที่ฮาราจูกุต่อ เดินดูเรื่อยเปื่อย แอบไปต่อแถวกินข้าวโพด Garrett เกือบครึ่งชั่วโมง ของเค้าฮิตจริงๆ





เกือบสองทุ่มได้เวลากลับที่พัก นั่งรถไฟกลับมาที่ชินจูกุ แล้วขึ้นไปซื้อตั๋วที่ไหนหว่า.. จำบ่..ได้แล้ว 555 รู้แต่ว่าอยู่ตึกอะไรก็ไม่รู้ขึ้นไปชั้น 9 เพื่อซื้อตั๋วเข้า disney sea ที่ Disneystore เห็นบัตรราคา 6,200 เยนต่อคน





ได้ตั๋วแล้วสาวๆก็เดินขึ้นไปช๊อปปิ้งแล้วเดินหาร้านอาหารมื้อเย็นกัน ร้านที่หาไว้เป็นร้านประเภทปิ้งๆย่างๆ ข้างนอกห้าง ไปถึงร้านบอกว่าต้องจองไว้ถึงจะได้กิน เลยเดินหาร้านราเมนใกล้ๆแถวนั้น มาเจอร้านราเมงหยอดตู้ขอลองหน่อย วิธีการสั่งอาหาร ก็ดูตู้โชว์อาหารจะมีป้ายราคา-หมายเลข แล้วเราก็ไปกดหมายเลขอาหารที่เราเลือกไว้ พร้อมหยอดตังค์เท่ากับราคาอาหาร แล้วตั๋วก็จะออกมานำไปให้พ่อครัวทำให้นั่งกินในร้าน ได้อารมณ์ไปอีกแบบ

น่ากินเชียว ไม่อยากบอกว่าอร่อยจริงๆ หรือหิวหว่า















วันนี้เดินกันค่อนข้างมาก อิ่มเสร็จก็เดินลงรถไฟกลับชินจูกุแล้วเดินเข้าโรงแรม วันนี้พักที่โรงแรมSun Members Tokyo Shinjuku Hotel 

ใครสนใจก็ลองคลิ๊กเข้าไปดูในเวปได้ คลิ๊กเลย

สารภาพเลย ไม่มีแรงจะถ่ายรูปห้อง รีบๆกดเห็นเตียงแล้วอยากนอน











วันนี้เดินกันมันมากกว่าจะนอนได้ก็เกือบเที่ยงคืน พอหัวถึงหมอนก็สลบยาว ไว้พรุ่งนี้ค่อยไป disney sea ต่อ //www.bloggang.com/viewdiary.php?id=nongmalakor&month=11-2013&date=22&group=12&gblog=16

ปล.รูปจากกล้องและมือถือ


ค่าใช้จ่าย เก็บเงินกองกลางคนละ 55,000 บาท รวมหมดทุกอย่าง
- ค่าเครื่องบินไป-กลับ คนละ 17,375 บาทต่อคน
- ค่าที่พัก 6 คืน
- ค่าเดินทางตลอดทริป
- ค่าอาหารทุกมื้อ
- ค่าเข้าสถานที่ต่างๆ

** ยกเว้น** ค่าชอปปิ้ง-ของฝากส่วนตัว
แล้วจะลงรายละเอียดอีกทีครับ



Create Date : 21 พฤศจิกายน 2556
Last Update : 9 มิถุนายน 2559 16:04:56 น. 0 comments
Counter : 8037 Pageviews.

nongmalakor
Location :
นนทบุรี Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 120 คน [?]




ใช้ชีวิตอย่างพอเพียง
Google
Group Blog
 
 
พฤศจิกายน 2556
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
 
21 พฤศจิกายน 2556
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add nongmalakor's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.