แอ่วเจียงฮาย วันที่ 5 แม่สลอง – เชียงแสน



ย้อนดูวันที่ 4 ดอยช้าง-แม่สลอง   คลิ๊กเลย


วันอังคาร 18 ธ.ค.55

เมื่อคืนที่แม่สลองอากาศเย็นสบายดีครับ ไม่ถึงกับหนาว น่าจะประมาณ 15-18 องศา ผมตื่นมาหกโมงเช้า มารับแสงแดดแรกที่แม่สลอง





ล้างหน้าเสร็จออกไปเดินเล่น เจอตลาดสดแม่สลอง จากลิตเติ้ลโฮม เลี้ยวซ้ายจะผ่านซุ้มประตูโรงแรมซินแซ ก็ถึงตลาดสดแล้วครับ ระยะทางไม่เกิน 10 เมตรไม่ไกลเลย

ซุ้มประตูโรงแรมซินแซ







ผ่านซุ้มประตูโรงแรมซินแซ ก็ถึงตลาดสดแม่สลองแล้วครับ





ตลาดสดไม่ใหญ่มาก แต่หน้าตลาดมีชาวบ้านชาวเขาเอาของที่ทำเองมาวางจำหน่าย







ผักปลูกเอง สดมาก แถมถูกอีกต่างหาก ถ้าผมกลับบ้านพรุ่งนี้จะเหมามาทำจับฉ่ายที่บ้านแล้ว 





ส่วนของกินนี่เรียกอะไรก็จำไม่ได้แล้วครับ เป็นอาหารคาว สีเหลืองๆเป็นเหมือนแป้งไม่เหนียว เหลวๆหน่อย ตักใส่ถุงใส่ชาม แล้วนำมาปรุงรสใส่เครื่องพวกพริก น้ำปลา น้ำอะไรบ้างก็ไม่รู้ ผมจะลองซื้อกินแล้วแฟนห้าม กลัวผมท้องเสีย เดี๋ยวต้องขับรถทั้งวันอีก ก็เลยไม่ได้ลองชิมครับ





ส่วนแฟนผมซื้อพวกเส้นหมีผัดต่างๆทั้งสองเจ้า รสชาติจืดๆหน่อย ไม่ค่อยเข้มข้นเหมือนภาคกลางแต่ถูกดี 10 บาทเองครับ







นี่ก็จืดเหมือนกัน







ถือโอกาสซื้ออาหารทำบุญใส่บาตรไปด้วยเลย





กุนเชียงยูนานกับหมูน้ำค้าง น่ากินเหมือนกัน แต่ผมไม่ได้ซื้อครับ มีขายหลายเจ้าอยู่เหมือนกัน







เข้าไปชมด้านในตลาดกัน จะขายผักสด ของชำ ของแห้ง เหมือนตลาดสดทั่วไปครับ ใครพักแถวนั้นจะลองมาเดินเล่นก็ได้









จากตลาดสดเดินตรงไปจะเจอสามแยกเห็นมีป้ายบอกเลี้ยวซ้ายไปวัดสัตติคีรีถ้าเลี้ยวขวาลงไปจะเป็นหมู่บ้านชาวเขา เดินขึ้นเนินไปประมาณ 300 เมตรได้มั่ง ทางราดยางอย่างดี

ขึ้นไปถึงวัดมีป้ายบอกขึ้นบันไดไปไหว้พระบรมธาตุเจดีย์ศรีนครินทร์สถิตมหาสันติคีรี ได้เลยครับ





บันไดทางขึ้นจะเป็นอย่างนี้ครับ ระหว่างทางจะมีศาลาให้พักเหนื่อยระหว่างทางสองจุด







บันไดอย่างที่เห็นในภาพนะครับ ไม่ชันมากเดินสบายๆ มาถึงพระบรมฐาตุฯจนได้ บันไดมีทั้งมด 719 ขั้น ผมไม่ได้นับเห็นเขียนไว้ตรงบันได เล่นเอาขาสั่นเหมือนกัน เห้อๆ







ผมขึ้นมาถึงเกือบแปดโมงเช้า พระบรมฐาตุฯยังไม่เปิดเลย







เลยไม่ได้เข้าไปชมข้างใน แต่ไม่เป็นไร เมื่อวานเดินชมมาแล้ว ส่วนประวัติไม่อธิบายแล้วสนใจกลับไปอ่านของเมื่อวานได้ครับ









วิวจากบนพระธาตุ





ผมถ่ายรูปได้ซักพักก็เดินลงบันไดทางเดิมครับ เดินมาครึ่งทางเจอลุงกำลังกวาดใบไม้ตามบันไดอยู่ ถามว่าที่พระบรมฐาตุเปิดให้เข้าชมกี่โมง ลุงบอกว่าเปิดแต่เช้า เจ็ดโมงกว่าๆก็เปิดแล้ว

ผมบอกว่าเมื่อกี้ขึ้นไปยังไม่เห็นเปิดเลยครับ ลุงบอกว่าจะเปิดได้ไง กุญแจอยู่กับลุง ลุงเป็นคนเปิดปิดประตูทุกวันเองละ โห้..ลุงสุดยอดเลย เดินขึ้น-ลงทุกวันดูแล้วแข็งแรงกว่าผมอีก 555





หลังจากลงพระบรมฐาตุเสร็จกลับเข้าที่พักพร้อมออกเดินทาง จากลิตเติ้ลโฮม เวลา 9.13 น.ระยะทางหน้าไมล์ 1,039 ก.ม.

ผมลงเส้นทางเดิมที่เมื่อวาน ใช้เส้นทาง 1234 ลงไปทางแม่จันแล้วขับตรงยิงยาวไปตามป้ายถึงแม่สาย จากที่พักแม่สลองมาถึงแม่สาย เวลา 10.35 น.ระยะทาง 1,107 ก.ม. ผมวนตรงหน้าด่านไปสองรอบไม่มีที่จอดรถ ขับวนออกมาอีกรอบเจอป้ายห้างหงษ์ฟ้า บอกว่าเอารถไปจอดฟรีได้ (อยู่ทางซ้ายมือก่อนถึงด่านแม่สายต้องขับเข้าไปในซอยชั้นใต้ดิน) ห้างนี้จอดรถได้ฟรีแต่ห้ามจอดค้างคืน





ตามโปรแกรมที่ผมวางไว้ก่อนมา ไม่ได้ตั้งใจจะมาเที่ยวแม่สาย ที่จริงวันนี้ลงจากแม่สลอง ใช้เส้นทาง 1089 ลงทางกิ่วสะไต ไปแม่จัน ตัดเข้า 1016 ผ่านทะเลสาบเชียงแสน แต่พอตอนเช้าคุณแฟนอยากข้ามไปท่าขี้เหล็กซะงั้น เลยเปลี่ยนแผนกระทันหัน ส่วนข้อมูลท่าขี้เหล็ก แม่สายไม่มีเลยอ่ะ ไม่ได้เตรียมตัว ก็เลยเที่ยวแบบงมๆกันไป

พอจอดรถได้ ถามข้อมูลคนแถวนั้น ถ้าจะข้ามไปท่าขี้เหล็กต้องไปทำใบผ่านแดนที่อำเภอ (เมื่อก่อนทำที่ด่านได้เลย) ถ้าจะไปทำหนังสือใบผ่านแดนที่อำเภอต้องขับรถวนไปใหม่อีกรอบ หรือไม่ก็นั่งมอเตอร์ไซด์คนละ 40 บาทไป-กลับ ผมเลยต้องขับรถวนมาอีกรอบ ถ้าท่านใดจะไปท่าขี้เหล็ก ให้แวะทำหนังสือผ่านแดนก่อนเลยครับ

ถ้ามาจากเชียงราย ก่อนถึงแม่สาย (ประมาณ 2 ก.ม.) เลยสามแยกไฟจราจรไปหน่อย ให้ขับช้าๆชิดซ้ายๆไว้จะมีป้ายบอกทำหนังสือผ่านแดนเลี้ยวซ้ายเข้าไปเลยครับ ไม่ต้องกลัวที่จอดรถกว้างขว้าง





ใช้เวลาทำไม่เกิน 5 นาทีต่อคนครับ เร็วมาก แค่ยื่นบัตรประชาชนอย่างเดียว แล้วก็ได้ใบผ่านแดนเสร็จแล้วเราก็เซ็นต์นิดหน่อยก็เป็นอันเสร็จพิธี ราคาค่าทำบัตรผ่านแดนคนละ 30 บาทต่อคน (เจ้าหน้าที่แนะนำถ้ามีพาสปอร์ตไม่ต้องใช้ เพราะที่ด่านพม่าเค้าเก็บค่าพาสปอร์ตคนละ 500 บาทให้มาทำบัตรผ่านแดนจะถูกกว่า อันนี้ข้อมูลจากเจ้าหน้าที่ฝั่งไทยบอกนะครับ)

หน้าตาหนังสือใบผ่านแดนจะเป็นอย่างนี้ครับ ขออนุญาตปิดบังใบหน้าและข้อมูล กันอุจาด 555





ขั้นตอนการทำหนังสือผ่านแดน (เร็วมากใช้เวลาประมาณ 5 นาที)บัตรที่ใช้ยื่นในการทำหนังสือผ่านแดน บัตรประชาชน, บัตรข้าราชการ หรือ ใบขับขี่ (อย่างใดอย่างหนึ่งเท่านั้น)

1. ยื่นบัตร (ตามรายละเอียดบรรทัดบน) ที่ช่องบริการ 1-19
2. รอรับหนังสือผ่านแดน (กระดาษ A4 1 แผ่น) พร้อมชำระค่าธรรมเนียม คนละ 30 บาท
3. ถ้ามาเป็นกลุ่มให้รวบรวมบัตรแล้วยื่นทีเดียว สามารถฝากคนอื่นยื่นให้ได้
4. เมื่อได้หนังสือผ่านแดนแล้วให้ลงชื่อในเอกสาร
5. สามารถนำไปใช้ผ่านแดนได้เลย ถ้าทำตามขั้นตอนนี้จะใช้เวลาไม่เกิน 5 นาทีครับ เร็วมาก
6. หนังสือผ่านแดนเป็นเอกสารสำคัญ ต้องเก็บไว้ให้ดี ขากลับเจ้าหน้าที่ฝั่งไทยจะเรียกเก็บคืน

หลังจากได้ใบผ่านแดนแล้วก็เอารถไปจอดที่เดิม จากห้างหงษ์ฟ้า เดินไปด่านไม่ไกล แวะกินข้าวเช้าก่อน เดินผ่านร้านอาหารปักษ์ใต้ตึกแถวข้างๆทางนั้นแหละครับอาหารมื้อเช้ากะกินกันตาย ดันอร่อยขึ้นมาอีก เลยต้องเบิ้ลไปอีกชาม











ส่วนเส้นหมื่ผัดห่อใบตองผมซื้อมาจากตลาดแม่สลองตอนเช้าครับ 





อิ่มเสร็จก็เดินผ่านด่านแม่สายเข้าท่าขี้เหล็กแล้วครับ







ตลาดท่าขี้เหล็ก ประเทศพม่า

ประเทศพม่า..มีชายแดนติดกับประเทศไทยที่อำเภอสาย จังหวัดเชียงราย โดยมีแม่น้ำแม่สายเป็นแนวกั้นเขตแดนที่ท่าขี้เหล็ก..พม่าเป็นอีกประเทศหนึ่งที่นักท่องเที่ยวนิยมไปเที่ยวกันเป็นอย่างมาก ในช่วงวันหยุดยาวนักท่องเที่ยวจะเยอะมาก แบบไม่มีที่จะเดินหรือจะซื้อสินค้าเพราะเข้าไม่ถึง แนะนำว่าการเที่ยวตลาดท่าขี้เหล็กแบบสบาย ผู้คนไม่เยอะ เลือกซื้อสินค้าได้อย่างที่ชอบและถูกใจ ต่อรองราคาได้ต้องเป็นช่วงที่ไม่ใช่วันหยุดยาวจะดีกว่า...เพราะเงียบมาก

ข้อมูลจากเวป คลิ๊กเลย





ขั้นตอนเข้าท่าขี้เหล็กจะมีช่องสำหรับคนต่างชาติเดินเข้าไป จะมีเจ้าหน้าที่ด่านคอยปั๊มตราเข้าที่ใบผ่านแดนให้เรา เสียค่าเหยียบแผ่นดินคนละ 10 บาท อย่าให้ใบผ่านแดนหาย เดี๋ยวจะกลับไทยไม่ได้ต้องไปติดต่อเจ้าหน้าที่วุ่นวายแน่ครับ

ข้อควรรู้สำหรับนักท่องเที่ยว

ของต้องห้ามในการนำเข้า/ส่งออกนอกราชอาณาจักรไทย

1. ยาเสพติดให้โทษทุกชนิด
2. สินค้าละเมิดลิขสิทธิ์ เช่น เสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า นาฬิกา แว่นตา แผ่นซีดี และสิ่งเทียมอาวุธปืน (เว้นแต่เป็นของใช้ส่วนตัว ห้ามนำไปแจก จ่าย ฝากขาย)
3. ซีดีอนาจาร วัตถุลามก สิ่งเทียมอวัยวะเพศ
4. สามารถซื้อเครื่องดื่มแอลกฮอล์ติดตัวเข้ามาได้ไม่เกินคนละ 1 ลิตร บุหรี่ไม่เกิน 200 มวน หรือซิการ์ไม่เกิน 250 กรัม

การนำเข้ามาในราชอาณาจักรมีความผิดตาม พ.ร.บ. ศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา 27 มีโทษปรับ 4 เท่าของราคารวมภาษีอากร หรือจำคุกไม่เกิน 10 ปี หรือทั้งจำทั้งปรับ

ก่อนข้ามไปท่าขี้เหล็กจะมีป้ายข้อห้ามต่างๆเต็มไปหมด สำหรับผมท่าขี้เหล็กไม่ค่อยประทับใจอะไรมากเท่าไหร่ เดินข้ามด่านไปได้ ก็เจอไกด์+ตุ๊กๆมาถามว่าจะไปเที่ยวเจดีย์ ในเมืองต่างๆไหม เยอะไปหมด (ใครสนใจถาม ต่อรองราคากันเองเลยครับ) พอลงไปในตลาดดูวุ่นวายอ่ะ ของขายก็ทั่วๆไป ส่วนบุหรี่แฟนผมลองถามมาโบโร่ Cotton ละเท่าไหร่ ยาวเลยครับ บอกว่าเดี๋ยวกลับมาซื้อ ก็ไม่ยอมเดินตามตลอด ไปไหนก็ยืนรอหน้าร้าน ผมเลยเดินเข้าไปร้านปลอดภาษี ซื้อที่นี่แหละตัดความรำคาญ แถมเรดลิตรมาอีก 2 ขวด (ในดิวตี้ฟรีบุหรี่ Cotton ละ500 แต่เจ้แกขาย 300 พอผมไม่เอาลดให้เหลือ 200 ยังตามตื้อไม่เลิก ถ้าผมต่อ 150 เจ้แกคงขายให้แน่ หุหุ)

ร้านปลอดภาษีฝั่งท่าขี้เหล็ก เป็นตึกแถวสองคูหา ไม่ค่อยใหญ่เท่าใหร่ แต่มีพวกเหล้า บุหรี่ ขายเยอะเหมือนกัน ร้านนี้แหละครับ





พอเจ้แกเห็นผมซื้อที่ร้านปลอดภาษีแล้ว เจ้แกเลยไม่มายุ่งกับผมอีก จากนั้นก็ลั้นล้าเดินชมนั้นชมนี้ในตลาด ส่วนตัวเฉยๆกับตลาดขี้เหล็ก อาจไม่คุ้นมั่ง ผมชอบเดินคลองถมบ้านเรามากกว่า เห้อๆ





เดินได้ไม่นานก็กลับ ก่อนกลับแวะร้านปลอดภาษีฝั่งไทย ดูคนเงียบๆไม่เหมือนท่าขี้เหล็ก ของจะแพงกว่าฝั่งนั้นเหมือนกัน

เข้าด่านไทยได้ จะเดินกลับผ่านตลาดเห็นป้ายไปวัดพระธาตุดอยเวา เลยขอเดินขึ้นไปไหว้พระธาตุหน่อยครับ






ประวัติพระธาตุดอยเวา คลิ๊กเลย

พระธาตุดอยเวา สร้างในพ.ศ. 296 ในรัชสมัยพระองค์เวา รัชกาลที่ 10 แห่งราชวงศ์สิงหนวัติ ผู้ครองนครโยนกนาคพันธุ์ โดยชื่อนั้นได้นำมาจากพระนามของพระองค์เวา ต่อมาพระธาตุเจดีย์ได้พังลงตามกาลเวลา นายบุญยืน ศรีสมุทร คฤหบดีอำเภอแม่สาย ได้ร่วมกับ พระภิกษุดวงแสง รัตนมณี พร้อมด้วย ข้าราชการ พ่อค้า ประชาชนผู้มีจิตศรัทธา และ กรมศิลปากร ร่วมกันจัดสร้างขึ้นขึ้นใหม่ ในการขุดแต่งครั้งนี้ พบผอบหินสีดำ ภายในบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ 5 พระองค์ จึงได้อัญเชิญขึ้นประดิษฐานในองค์พระธาตุดังเดิม มีการวางศิลาฤกษ์ในวันที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2494 และสร้างเสร็จพร้อมฉลองสมโภชพระธาตุในวันที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2498 โดยมีพุทธบริษัททั้งสองประเทศ ร่วมงานอย่างคับคั่ง







ขึ้นพระธาตุดอยเวา ต้องเดินขึ้นบันไดประมาณ 200 กว่าขั้น ถ้าใครขี้เกียจเดินจะมีมอเตอร์ไซด์รับจ้างขึ้นไปส่ง คนละ 20 บาทต่อเที่ยว ขึ้นไปแล้วถ่ายรูปบนอาคารสามารถดูวิวฝั่งพม่าได้ชัดเจนเลยครับ











ด้านซ้ายจะเป็นอาคารพุทธอริยะเทวาลัย มีรูปปั้นแมงป่องยักษ์ด้วย ไม่รู้ความหมายและที่มาที่ไป











ขึ้นไปชมข้างในกัน มีทั้งหมด 3 ชั้น











หลังจากไหว้พระธาตุทำบุญเสร็จลงจากพระธาตุ เดินดูตลาดไปเรื่อยๆแล้วก็มาถึงที่จอดรถ ออกเดินทางไปเชียงแสน 

ออกจากแม่สายเวลา 13.43 น.หน้าไมล์ 1,107 ก.ม. ผมใช้เส้นทาง 1290 ไปเชียงแสน ออกจากแม่สายจะมีป้ายบอกตรงสามแยกไฟแดง ตรงไปเข้าเชียงราย เลี้ยวซ้ายไปสามเหลี่ยมทองคำ-เชียงแสน เลี้ยวซ้ายโลด สำหรับเส้นทางนี้โอเคเลยครับ ทางเรียบ ไม่ต้องห่วง ขับไปตามป้าย ก็มาถึงสามเหลี่ยมทองคำ







ถึงสามเหลี่ยมทองคำเวลา 14.10 น.หน้าไมล์ 1,141 ก.ม.ระยะทางประมาณ 30 กิโล

ประวัติ คลิ๊กเลย

"สามเหลี่ยมทองคำ" เป็นแนวตะเข็บชายแดนรอยต่อสามประเทศ คือ ไทย พม่า ลาว มีพื้นที่ประมาณ 1.5 แสน ตร.ม. ภูมิประเทศเป็นเทือกเขาสลับซับซ้อน มีชนกลุ่มน้อย กองกำลังติดอาวุธอาศัยอยู่หลายกลุ่ม พื้นที่แถบนี้เป็นที่รับรู้อย่างกว้างขวางว่าเป็นแหล่งปลูกฝิ่นและผลิตยาเสพติดแหล่งใหญ่ มีโรงงานผลิตเฮโรอีนกระจายอยู่ตามตะเข็บชายแดน การลำเลียงฝิ่นใช้คาราวานล่อลัดเลาะไปตามไหล่เขา มีกองกำลังคุ้มกัน ราคาซื้อขายยาเสพติดว่ากันว่าแลกเปลี่ยนด้วยทองคำ ในน้ำหนักที่เท่ากัน ยางข้นเหนียวของฝิ่นดิบ จึงถูกเรียกว่า ทองคำ พื้นที่แถบนี้จึงถูกขนานนามว่า "สามเหลี่ยมทองคำ"









ที่สามเหลี่ยมทองคำจะมีพระพุทธรูปนวล้านตื้อ เป็นที่นับถือของชาวเชียงแสน วันที่ผมไปทัวร์ต่างชาติมาเที่ยวกันเยอะเลยครับ

พระพุทธรูปนวล้านตื้อ (จำลอง) คลิ๊กเลย

หากท่านที่ไปเที่ยวเชียงแสนผ่านไปทางป้ายสามเหลี่ยมทองคำ เลยไปทางร้านค้าของที่ระลึกต่างๆ ท่านจะได้พบเห็นองค์พระพุทธรูปสีทองขนาดใหญ่ น้ำหนักกว่า69 ตัน เฉพาะองค์พระตักกว้าง 9.99 เมตร สูง 15.99 เมตร ประทับอยู่บนเรือนแก้วกุศลธรรมขนาดใหญ่ อีกทั้งยังมีตุง(ธง) เฉลิมพระเกียรติองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ และพระบรมราชินีนาถฯ อยู่เบื้องข้าง พระพุทธรูปองค์นี้คือ พระพุทธนวล้านตื้อ

พระพุทธนวล้านตื้น องค์นี้เป็นพระเชียงแสนสี่แผ่นดินเฉลิมพระเกียรติฯ ซึ่งได้สร้างขึ้นแทนองค์เดิมที่จมลงแม่น้ำโขง หน้าที่ว่าการ อ.เชียงแสน สมัยรัชกาลที่ 3 และสร้างขึ้นด้วยทองสัมฤทธิ์ ปิดทองด้วยบุศราคัม น้ำหนักถึง 69 ตัน หน้าตักกว้าง 9.99 ม.สูง 15.99 ม. ประทับนั่งบน "เรือแก้วกุศลธรรม" ขนาดใหญ่ ..พร้อมกันนั้นก็ได้สร้างตุงหลวงเฉลิมพระเกียรติ สูง 17.99 ม. ศูนย์ OTOP ล้านนา ซุ้มประตูโขงและพระมหาโพธิสัตว์(เจ้าแม่กวนอิมหยกขาว สูง 9.99 ม.) ทั้งหมดนี้ได้ใช้งบประมาณถึง 69 ล้านบาท











ก่อนจะเข้าไปไหว้พระพุทธรูปนวล้านตื้อ จะต้องลอดท้องช้างเพื่อเป็นสิริมงคลครับ





ใครมาสามเหลี่ยมทองคำอย่าลืมเคารพสักการะพญาแสนภูด้วยนะครับ อยู่หน้าพระพุทธรูปนวล้านตื้อ

พญาแสนภู ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ในราชวงศ์มังรายลำดับที่ ๓ ทรงเป็นราชบุตรองค์แรกของพญาไชยสงคราม เหตุที่ชื่อแสนภู เพราะเกิดบนภูดอยทรงพระประสูติ ณ เวียงหิรัฐนครเงินยาในราวต้นพุทธศตวรรษที่ ๑๙ มีพี่น้องร่วมพระราชบิดาและพระราชมารดาเดียวกัน ๓ พระองค์ คือ เจ้าแสนภู เจ้าน้ำท่วม และเจ้าน้ำน่าน(ท้าวงั่ว) ในขณะทรงพระเยาว์ ได้ติดตามพระราชบิดาไปพำนักที่เมืองเชียงราย





ถ้าใครมีเวลาแนะนำนั่งเรือล่องแม่น้ำโขงชมทิวทัศน์สามประเทศ เป็นกิจกรรมยอดนิยมอีกอย่างที่สามเหลี่ยมทองคำ มีท่าเรือยาวให้บริการหลายท่า แต่ละท่าจะจัดเรือพาท่องเที่ยวเหมือนกัน คือ แล่นทวนลำน้ำโขงเลียบฝั่งพม่า ผ่านเกาะหมอโท ซึ่งเป็นเกาะสันดอนทรายกลางลำน้ำโขง ผ่านเข้าพาราไดส์รีสอร์ท วกกลับล่องลำน้ำเลียบฝั่งลาว แวะให้ขึ้นไปชมตลาดปลอดภาษีของลาวที่บ้านดอนซาว ซึ่งสินค้าส่วนใหญ่เป็นเหล้าและบุหรี่ เครื่องใช้ไฟฟ้าราคาถูกจากจีน จากนั้นกลับมายังท่าเรือที่สบรวก ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงเศษ ใครสนใจก็ลองเดินถามราคากันได้เลยครับ ส่วนผมไม่ได้นั่งเรือเที่ยว





















สำหรับที่จอดรถยนต์ สามารถจอดตามข้างทางฝั่งด้านแม่น้ำได้เลย ส่วนด้านตรงกันข้ามจะเปิดร้านขายสินค้าต่างๆให้นักท่องเที่ยวได้แวะซื้อ ใครขับเส้นทางนี้ก็ขับช้าๆด้วยนะครับ มีรถเข้า-ออกตลอด





ได้เวลาเดินทางไปเชียงแสน ผมออกจากสามเหลี่ยมทองคำเวลา 14.50 น.มาถึงเชียงแสนเวลา 15.00 น.ระยะทางห่างกัน 10 ก.ม. สภาพถนนรถวิ่งสวนสองเลน ทางค่อนข้างดี ขับสบายครับ บางช่วงแอบเลาะริมโขงบ้าง แล้วก็มาถึงกำแพงเมืองเชียงแสน จะไปที่พักผม ให้ขับตรงตามถนนเลาะชายโขงไปเรื่อยๆ ด้านขวาจะผ่านวัด ตัวเมือง ส่วนด้านซ้ายก็เป็นร้านอาหาร ท่าเรือ ด่านศุลกากร ก็ขับตรงไปเรื่อยๆ ออกกำแพงเมืองเชียงแสนไปอีก 1 ก.ม.ก็มาถึง สยามไทรแองเกิ้ล คลิ๊กเลย เพิ่งเปิดได้ประมาณ 2-3 ปี

ปล.ตอนกลางคืนเค้าไม่ให้เอารถมาจอดที่หน้าโรงแรมติดถนนนะครับ เพราะตอนกลางคืนสิบล้อจะวิ่งกันเยอะ เค้าจะให้เข้าไปจอดที่จอดรถของโรงแรมเอง อยู่ฝั่งตรงข้าม มียามดูแลสะดวกปลอดภัยดี 





ก่อนไปผมจองห้องธรรมดาไม่ได้ติดริมแม่น้ำ จะติดฝั่งถนน (ข้างหน้าที่เห็นในรูปนั้นแหละครับ) ช่วงที่ผมไปหน้าท่องเที่ยวราคาเต็ม 1,800 มีบัตรข้าราชการเค้าลดให้เหลือ 1,400 บาทรวมอาหารเช้า ไปถึงแสดงบัตรได้คีย์การ์ดขึ้นห้อง มองไม่เห็นวิวอะไร เจอแต่ถนน แต่ห้องใหญ่ สะอาด โอเคเลยครับ ผมกับแฟนขอดูห้องติดแม่น้ำหน่อย เห็นบรรยากาศแล้ว ขอนอนห้องติดแม่น้ำดีกว่า ลงไปเปลี่ยนห้องเพิ่มอีก 400 เป็นห้อง 1,800 บาท จากราคาเต็มช่วงนั้น 2,500 สบายไป 

โรงแรมมีทั้งหมดสี่ชั้น เดินเข้าประตูจะเจอเค้าเตอร์ แผนกประชาสัมพันธ์ 







ส่วนของ Lobby จะติดกับประชาสัมพันธ์ เดินไปทางแม่น้ำจะเป็นห้องอาหาร เปิดโล่ง มีสองส่วนในอาคารกับนอกอาคารติดกัน มองเห็นวิวลำน้ำโขงแบบพาโนราม่า











ด้านหน้าโรงแรมมีจักรยานให้ยิ่มปั่นเข้าไปเที่ยวในตัวเมืองเชียงแสนด้วยครับ แถมมีห้องฟิตเนตให้ออกกำลังกายด้วย 





ส่วนด้านหลังอาคารจะส่วนห้องอาหาร มีสระว่ายน้ำถัดไป (ชั้นแรกไม่มีห้องพัก ส่วนของห้องพักจะมีตั้งแต่ชั้นสองถึงชั้นสี่มีลิฟต์ให้ครับ)













นั่งกินอาหารชมวิวริมโขง









มาดูห้องพักกันบ้าง ห้องติดถนนที่ผมจองไว้ ห้องกว้างเหมือนกัน สะอาด มีอุปกรณ์ให้พร้อม แต่เป็นเตียงคู่







ภายในห้องน้ำ มีอ่างน้ำ แยกแบบเปียก-แห้ง ชอบมาก













ผมเปลี่ยนห้องมาอยู่ริมแม่น้ำ ได้ห้อง 303 





การจัดแต่งห้องจะคล้ายๆกัน ห้องใหญ่เท่ากัน ห้องน้ำเหมือนกัน ต่างกันแค่วิว ส่วนห้องติดริมน้ำจะเป็นเตียงเดี่ยว ห้องใหม่ สะอาดไม่มีกลิ่นอับ แอร์เย็น น้ำไหลแรง พนักงานบริการดีทุกท่าน แค่นี้ก็พอแล้วสำหรับผม





มีระเบียงไว้นั่งชมวิวกับโต๊ะรับแขก 1 ชุด





หลังชมห้องเสร็จ ได้เวลาไปพระธาตุผาเงา (ออกจากที่พักให้ขับตรงไปทางเชียงของ ไม่ได้เข้าตัวเมืองเชียงแสน) ขับไปประมาณ 4-5 ก.ม.ก็ถึงพระธาตุผาเงาจะอยู่ทางด้านขวามือของถนน มีป้ายบอกครับ อยู่ตรงข้ามกับโรงเรียนบ้านสบคำ







จากปากทางเข้าวัด ให้ขับตรงเข้าไปในตัววัด จะมีป้ายบอกเลี้ยวขวาขึ้นเนินเขาไปตามทางจะไปถึงยอดพระธาตุครับ จอดรถได้ก็เข้าไปชมพระธาตุข้างในกัน







พระธาตุผาเงา

วัดพระธาตุผาเงา อำเภอเชียงแสน เป็นวัดเก่าแก่ที่สำคัญของจังหวัดเชียงราย ได้ชื่อมาจากพระธาตุผาเงาที่อยู่ในบริเวณวัดซึ่งตั้งอยู่บนยอดหินก้อนใหญ่ คำว่า "ผาเงา" ก็คือ เงาของก้อนผาหรือก้อนหินที่มีลักษณะเป็นรูปสูงใหญ่คล้ายรูปทรงพระเจดีย์และให้ร่วมเงาที่ดีมาก ชาวบ้านจึงเรียกกันว่า "พระธาตุผาเงา" พระธาตุองค์นี้เชื่อกันว่าสร้างมาตั้งแต่ ระหว่าง ปี พ.ศ.๔๙๔ - ๕๑๒ โดย ขุนผาพัง เข้าผู้ครองนครโยนก องค์ที่ ๒๓ สิ่งสำคัญในวัดพระธาตุผาเงา นอกจากพระธาตุผาเงาแล้วยังมีสถานที่น่าสนใจอีกหลายแห่ง เช่น พระเจดีย์เจ็ดยอด พระเจดีย์จอมจัน พระวิหาร สถานที่ประดิษฐานพระพุทธรูปหลวงพ่อผาเงา พระธาตุพุทธนิมิต และซุ้มประตูพระธาตุผาเงาที่มีลวดลายลักษณะสวยงามมาก เป็นสถานปฏิบัติธรรมบนเนื้อที่ประมาณ ๑๔๓ ไร่ สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นในปี พ.ศ.๑๐๐๕ วิหารใหม่สร้างขึ้นบริเวณที่ขุดพบพระประธาน (หลวงพ่อเงา) บนยอดเขาประดิษฐาน พระบรมธาตุนิมิตรเจดีย์ ซึ่งบริเวณนี้สามารถชมวิว ทิวทัศน์บริเวณเมืองเชียงแสน แม่น้ำโขง แม่น้ำคำ และสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวได้





ที่เห็นเป็นพระธาตุเจ็ดยอด โดยมีพระบรมธาตุพุทธนิมิตเจดีย์สร้างครอบไว้ รูปข้างบนเจดีย์สีขาวคือพระบรมธาตุพุทธนิมิตเจดีย์ครับ ภายในพระธาตุเจ็ดยอด จะมีพระพุทธรูปปางต่างๆ สร้างรอบพระธาตุ



















ด้านนอกรอบๆพระบรมธาตุจะมีพระพุทธประจำวันเกิดให้ทำบุญกัน 















ต้นสาระลังกา ในหลวงของเราทรงปลูกเมื่อวันที่ 29 ม.ค.36





พระธาตุผาเงาจะมีพระธาตุโบราณ 3 องค์ เนินเขาข้างล่าง เป็นที่ตั้งของพระธาตุผาเงา ที่สร้างไว้บนหินก้อนใหญ่ ถัดจากนั้นสูงขึ้นไป 300 เมตร เป็นซากเจดีย์ สูงประมาณ 5 เมตร ชาวบ้านเรียกว่าพระธาตุจอมจัน ส่วนที่สูงที่สุดของเนินเป็นที่ตั้งของซากเจดีย์อีกองค์หนึ่ง สูงประมาณ 5 เมตรเช่นกัน ชาวบ้านเรียกว่า พระธาตุเจ็ดยอด ต่อมาทางวัดได้สร้างพระบรมธาตุพุทธนิมิตเจดีย์ครอบองค์พระธาตุเจดีย์เดิมไว้ แต่ก็ยังสามารถมองเห็นซากของพระเจดีย์เจ็ดยอดได้ ณ ภายในพระเจดีย์องค์ใหม่นี้ สรุปแล้วในวัดนี้มีเจดีย์โบราณสร้างไว้ในอดีตถึง 3 องค์ คือ 1.พระธาตุผาเงา (ล่างสุด) 2.พระธาตุจอมจัน (อยู่ระหว่างกลาง) 3.พระธาตุเจ็ดยอด (บนสุด)

นี่คือพระธาตุจอมจันครับ ส่วนเนินข้างล่างที่ตั้งพระธาตุผาเงาผมไม่ได้ถ่ายรูปมาครับ







รูปนี้จากวิวด้านบนพระบรมธาตุ จะเห็นแม่น้ำโขงและฝั่งลาวอย่างชัดเจน









ใครไปเที่ยวเชียงแสน อย่าลืมแวะไปไหว้พระธาตุผาเงาด้วยนะครับ แนะนำเลย ที่พระธาตุผาเงามีอะไรน่าสนใจเยอะเลย โดยเฉพาะอุโบสถ เป็นสถาปัตยกรรมล้านนาสร้างด้วยคอนกรีตเสริมเหล็กตกแต่งด้วยไม้สักแกะสลัก และลวดลายปูนปั้นในศิลปะแบบล้านนาเป็นโบสถ์ วิหารคต ขนาดกว้าง ๑๕ เมตร ขนาดยาว ๒๕ เมตร หลังคามุงกระเบื้องดินขอโบราณลดหลั่น ๒ ชั้น ท่านผู้หญิงอุศนา ปราโมช ณ อยุธยา เป็นประธานกรรมการก่อสร้างอุโบสถเพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่สมเด็จพระเทพ รัตนราชสุดาาฯ สยามบรมราชกุมารี และได้เสด็จฯ ทรงเป็น ประธานพิธีถวายอุโบสถ เมื่อวันที่ ๖ มกราคม ๒๕๔๗ อีกทั้งได้พระราชทานพระราชานุญาตอัญเชิญอักษรพระนามาภิไธย่อ “สธ” ประดิษฐาน หน้าบันอุโบสถ

สนใจรายละเอียด รูป ภาพและข้อมูลพระธาตุผาเงา คลิ๊กเลย





อยากบอกว่า อุโบสถ สวยงามมากเลยครับ ทั้งไม้ ทั้งปูนปั้นแกะได้อ่อนช้อย งดงามจริงๆ



























ผมอยู่ที่พระธาตุผาเงาเกือบเย็นก็ได้เวลากลับเข้าที่พักแล้วครับ ดูเส้นทางที่ผมจะกลับจากที่พักสิครับ สวยเนอะ





ผมมาถึงโรงแรมเวลา 16.55 น.ระยะทาง 1,166 ก.ม. เข้ามาห้องพักขอชมบรรยากาศริมแม่น้ำโขงยามเย็น ถ่ายจากห้องพักครับ











ตอนแรกว่าจะอาบน้ำแล้วไปหาอะไรกินตามชายโขงแถวในเมือง แต่ขี้เกียจขับรถ เลยสั่งอาหารกินที่สยามไทรแองเกิ้ลนั้นแหละครับ คิดผิดอ่ะ อาหารแพงมาก รสชาติและปริมาณไม่สมราคา ผมสั่งไปมี ทอดมัน จานนี้รสชาดธรรมดามาก แถมไม่ค่อยร้อนอีกต่างหาก 





ผัดไท จานนี้เฉยๆ 





ส่วนแหนมเนือง พอใช้ได้ไม่ถึงกับเลวร้าย ขัดใจตรงให้ผักมาน้อยมาก 





ต้มยำปลาบึก รสชาติกลมกล่อมไม่เปรี้ยวมาก ปลาเหนียวหนืบดี จานนี้ให้ผ่าน 





แต่ราคาใช้ได้เลยครับ ทั้งหมด 1,045 บาท จานไม่ใหญ่นะครับ มีน้ำแข็ง 2 กระติก น้ำเปล่ากับน้ำอัดลมอย่างละขวด ส่วนเหล้าหิ้วไปเอง ไม่เป็นไร ถือว่าซื้อบรรยากาศไปแล้วกัน เพราะก่อนไปผมก็หาข้อมูลมาแล้ว ว่าไปนั่งกินปลาเผาแถวริมโขงในตัวเมือง ราคาถูก สดและอร่อยด้วย มีหลายร้านเลย

ถึงว่าไม่มีลูกค้ามาเลยนอกจากโต๊ะผมโต๊ะเดียว ถือว่าเหมาห้องอาหารไปแล้วกัน 555




แนะนำ ถ้าใครมาเที่ยวเชียงแสน ผมให้มาพักที่ สยามไทรแองเกิ้ล ยิ่งได้ห้องติดแม่น้ำ รับรองวิวสวยสุดๆ แต่ถ้าไม่ติดเรื่องวิวมากนัก ห้องติดถนนก็โอเคครับ ห้องสะอาด มีอุปกรณ์ต่างๆให้ครบ ห่างตัวเมืองแค่ 1 กม.เอง ส่วนอาหารแนะนำไปกินข้างนอกดีกว่าหรือจะซื้อบรรยากาศแบบผมก็ของที่โรงแรมผมก็ได้เหมือนกันครับ (แอบแพงเกินรสชาติ)

บรรยากาศริมฝั่งโขงที่ห้องอาหาร









อิ่มเสร็จขึ้นห้องก่อนนอนประมาณสามทุ่ม สยามไทรแองเกิ้ล เคาะประตูเอาน้ำเต้าหู้มาเสิร์ฟให้ถึงห้องเลยครับ ประทับใจสุดๆ ลืมเรื่องค่าอาหารมื้อเย็นไปเลย ถ้ามีโอกาสไปเชียงแสนอีก ผมก็จะพักที่สยามไทร ประทับใจบรรยากาศ ห้องพักและการบริการ แต่อาหารคงต้องไปกินข้างนอนอ่ะ 555 

คืนนี้ลาด้วยน้ำเต้าหู้สองแก้วนี่นะครับ





สำหรับเมืองเชียงแสน ไม่ใช่ทางผ่านสำหรับผมอีกต่อไป จากที่หาข้อมูลก่อนไป เชียงแสนมีประวัติน่าสนใจมากมาย เดี๋ยวพรุ่งนี้ผมจะทัวร์เมืองเชียงแสน คืนนี้ขอนอนพักผ่อนก่อน พรุ่งนี้ไปเที่ยวตัวเมืองเชียงแสน-แล้วไปนอนที่ไร่แสงอรุณกัน //www.bloggang.com/viewdiary.php?id=nongmalakor&month=02-2013&date=05&group=15&gblog=29 คืนนี้ฝันดีครับ

ระยะทางจากดอยแม่สลอง-แม่สาย-เชียงแสน ทั้งหมด 127 ก.ม.


ค่าเสียหายวันนี้


ตอนเช้า
- ใส่บาตร+ของกินเล่น 70 บาท
- ทำใบผ่านแดนไปท่าขี้เหล็ก 60 บาท (2 คน)

ตอนกลางวัน แม่สาย-ท่าขี้เหล็ก
- ค่าข้าวร้านปักษ์ใต้ 145 บาท
- ค่าเข้าพม่า 20 บาท ( 2 คน)
- ค่าเหล้าเรดลิตร 2 ขวด บุหรื่มาโบโร่ 1 หีบ 1,400 บาท (เรด
ขวดละ 450 บาทบุหรื่ 500 บาท)
- กระเป๋าผ้าถัก 1 ใบ 240 บาท
- มอเตอร์ไซด์ขึ้นพระธาตุดอยเวา 20 บาท (1 คน)
- ดอกไม้บูชาพระ 20 บาท
- แป้งพม่า 1 กระปุก 50 บาท

ตอนเย็นเชียงแสน
- ทำบุญพระธาตุผาเงา 200 บาท
- ค่าอาหารมื้อเย็น 1,045 บวกทิป 20 บาทรวม 1,065 บาท
- ค่าที่พัก 1,800 บาท

รวมทั้งหมด 5,090 บาท




 

Create Date : 14 มกราคม 2556
4 comments
Last Update : 4 กุมภาพันธ์ 2560 22:28:03 น.
Counter : 11113 Pageviews.

 

แหล่งท่องเที่ยวอำเภอเชียงแสน

อำเภอเชียงแสน

อำเภอเชียงแสน เป็นอำเภอเล็ก ๆ ริมฝั่งแม่น้ำโขง ห่างจากตัวเมืองเชียงรายประมาณ 59 กิโลเมตร โดยแยกจากทางหลวงหมายเลข 110 ที่อำเภอแม่จัน ไปตามทางหลวงหมายเลข 1016 ประมาณ 31 กิโลเมตร เชียงแสนเป็นเมืองเก่าแก่มากแห่งหนึ่งในภาคเหนือ เดิมชื่อ “เวียงหิรัญนครเงินยวง” แม้ปัจจุบันยังมีซากกำแพงเมืองโบราณ 2 ชั้น และโบราณสถานหลายแห่งปรากฏอยู่ทั้งในและนอกตัวเมือง




พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติเชียงแสน

พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติเชียงแสน ตั้งอยู่ในตัวเมืองเชียงแสน เป็นที่เก็บรวบรวมโบราณวัตถุที่ได้จากบริเวณเมืองโบราณเชียงแสน แบ่งเป็น 3 ส่วน ส่วนที่หนึ่ง แสดงเรื่องประวัติศาสตร์การตั้งถิ่นฐาน และวัฒนธรรมสมัยก่อนประวัติศาสตร์ ปูนปั้นจากวัดป่าสัก พระพุทธรูปศิลปะล้านนา จารึก เครื่องถ้วยล้านนา ส่วนที่ 2 เกี่ยวกับโบราณสถาน และโบราณวัตถุสำคัญที่พบใน

เมืองโบราณเชียงแสน และที่อื่น ส่วนที่ 3 จัดแสดงเกี่ยวกับชีวิตความเป็นอยู่ของกลุ่มชนแถบลุ่มแม่น้ำโขง ทั้งชาวไทใหญ่ ไทลื้อ และชาวไทยภูเขาเผ่าต่าง ๆ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เชียงแสน เปิดตั้งแต่เวลา 09.00 -16.00 น. ทุกวันพุธ-อาทิตย์เว้นวันหยุดนักขัตฤกษ์ ค่าเข้าชมคนไทยคนละ 10 บาท ชาวต่างประเทศ 30 บาท โทร. 0 5377 7102 และเยื้องพิพิธภัณฑ์จะมีศูนย์บริการนักท่องเที่ยว ให้บริการข้อมูลเมืองโบราณเชียงแสน





วัดพระธาตุเจดีย์หลวง

วัดพระธาตุเจดีย์หลวง ตั้งอยู่ติดกับพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติเชียงแสน สร้างโดยพระเจ้าแสนภูเมื่อประมาณกลางพุทธศตวรรษที่ 19 โบราณสถานประกอบด้วยเจดีย์ประธานทรงระฆังแบบล้านนา เป็นเจดีย์ใหญ่ที่สุดในเชียงแสน นอกจากนี้ยังมีพระวิหารที่เก่ามากซึ่งพังทลายเกือบหมดแล้ว และเจดีย์รายแบบต่าง ๆ 4 องค์


วัดพระเจ้าล้านทอง

วัดพระเจ้าล้านทอง วัดนี้ตั้งอยู่ในเขตกำแพงเมือง เจ้าทองงั่ว ราชโอรสพระเจ้าติโลกราชเป็นผู้สร้างเมื่อ พ.ศ. 2032 ได้ทรงหล่อพระพุทธรูปองค์หนึ่งหนักล้านทอง (1,200 กิโลกรัม) ขนานนามว่า พระเจ้าล้านทอง เป็นพระประธาน ในวัดนี้ยังมีพระพุทธรูปอีกองค์หนึ่งได้มาจากวัดทองทิพย์ซึ่งเป็นวัดร้าง เรียกกันว่า พระเจ้าทองทิพย์ เป็นพระพุทธรูปทองเหลือง พระพักตร์งดงามมาก ลักษณะเป็นพระพุทธรูปสมัยสุโขทัย



วัดป่าสัก

วัดป่าสัก อยู่ห่างจากอำเภอเชียงแสน ประมาณ 1 กิโลเมตร เขตตำบลเวียง พระเจ้าแสนภูสร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. 1838 และให้ปลูกต้นสักล้อมกำแพงจำนวน 300 ต้น จึงได้ชื่อว่า “วัดป่าสัก” ภายในวัดมี โบราณสถานที่สำคัญคือ เจดีย์ประธานทรงมณฑปยอดระฆัง ตกแต่งด้วยลวดลายปูนปั้นอันวิจิตร มีฐานกว้าง 8 ม. สูง 12.5 ม. เป็นที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุกระดูกตาตุ่มข้างขวาจากเมืองปาฏลีบุตรทรงตั้งพระพุทธโฆษาจารย์ เป็นสังฆราชจำพรรษา ณ อารามแห่งนี้ ภายในวัดมีโบราณสถานที่สำคัญ คือ เจดีย์ประธานทรงมณฑปยอดระฆัง ตกแต่งด้วยลวดลายปูนปั้นอันวิจิตร เป็นที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุกระดูกตาตุ่มข้างขวาจากเมืองปาฎลีบุตร



วัดพระธาตุผาเงา

อยู่ห่างจากอำเภอเชียงแสนไปตามเส้นทางเชียงแสน-เชียงของ ประมาณ 4 กม. อยู่ตรงข้ามโรงเรียนสบคำ เป็นสถานที่ปฏิบัติธรรมมีเนื้อที่ 143 ไร่ มีเจดีย์ทรงระฆังขนาดเล็กตั้งอยู่บนหินก้อนใหญ่ วิหารปัจจุบันสร้างทับซากวิหารเดิม บนยอดเขาข้างหลังวัด เป็นที่ตั้งของพระบรมพุทธนิมิตรเจดีย์ที่มองเห็นทิวทัศน์สวยงามได้โดยรอบ




วัดเจดีย์เจ็ดยอด

อยู่เหนือวัดพระธาตุผาเงาขึ้นไปบนดอยประมาณ 1 กม. ตัววัดหักพังหมดแล้ว เหลือแต่เพียงซากอิฐเก่า ๆ ดูแทบไม่เห็นรูปร่างแล้ว อาจกล่าวได้ว่าวัดพระธาตุผาเงาและวัดเจดีย์เจ็ดยอดอยู่บนเขาลูกเดียวกัน มีบริเวณต่อเนื่องอย่างกว้างขวาง ร่มรื่นด้วยไม้ใหญ่ สมกับเป็นสถานปฏิบัติธรรม



วัดพระธาตุจอมกิจติ

ตั้งอยู่บนเนินเขานอกตัวเมือง ตามพงศาวดารกล่าวว่า พระเจ้าพังคราชโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้น เมื่อปี พ.ศ. 1483 พร้อมกับพระธาตุดอยทอง พระเจดีย์องค์ปัจจุบันสร้างขึ้นใหม่ในราวพุทธศตวรรษที่ 22-23



วัดสังฆาแก้วดอนหัน

มีประวัติว่า สร้างโดยพรเจ้าลวจักราช เมื่อต้นพุทธศตวรรษที่ 12 แต่หลักฐานที่พบแสดงว่ามีอายุอยู่ในช่วงไม่เกินพุทธศตวรรษที่ 21 กรมศิลปากรได้ขุดพบหลักฐานที่พบแสดงว่ามีอายุอยู่ในช่วงไม่เกิน พุทธศตวรรษที่ 21 กรมศิลปากรได้ขุดพบภาพขูดขีดบนแผ่นอิฐเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับพระชาติของพระพุทธเจ้า ตอนพระเวสสันดรชาดก เช่น พระเวสสันดรเดินป่า ชูชกเฝ้าพระเวสสันดร เป็นต้น นอกจากนี้ยังพบชิ้นส่วนจิตรกรรมฝาผนังที่หลุดพังมาจากผนังวิหารมีสภาพแตกหัก แต่ยังคงเหลือลักษณะของสีและตัวภาพซึ่งใช้สีชาดและสีแดงเพียง 2 สี นับได้ว่าเป็นการค้นพบที่สำคัญทางวิชาการอย่างยิ่ง



ทะเลสาบเชียงแสน

เป็นอ่างเก็บน้ำธรรมชาติขนาดใหญ่ ตั้งอยู่ที่ตำบลโยนก ในเขตอำเภอเชียงแสน ตามทางสายเชียงแสน-แม่จันไปประมาณ ๕ กม. แยกซ้ายตรงกม.ที่ ๒๗ เข้าไปอีก ๒ กม. ในฤดูหนาวจะมี ฝูงนกน้ำอพยพมาอาศัย ริมทะเลสาบมีร้านอาหารและที่พัก




สบรวก

(ดินแดนแห่งสามเหลี่ยมทองคำ) ห่างจากที่ว่าการอำเภอเชียงแสนไปตามถนนเลียบแม่น้ำโขงระยะทาง ๙ กม. ซึ่งเป็นบริเวณที่แผ่นดินของ ๓ ประเทศได้มาพบกัน คือ ไทย พม่า ลาว โดยมีแม่น้ำรวกกั้นอาณาเขตระหว่างไทยและพม่า และแม่น้ำโขงกั้นอาณาเขตระหว่างไทยและลาว ครั้งหนึ่งที่นี่เคยเป็นไร่ฝิ่นที่ใหญ่โตมาก แต่ปัจจุบันไม่มีไร่ฝิ่นอีกแล้ว เหลือคง

แต่ทิวทัศน์ที่เงียบสงบของลำน้ำและเขตแดนของ 3 ประเทศเท่านั้น ที่นี่ยังมีบริการเรือให้เช่าเพื่อเดินทางไปชมทิวทัศน์บริเวณสามเหลี่ยมทองคำ ใช้เวลา 20 นาที และยังสามารถเช่าเรือจากสบรวกไปยังเชียงแสนและเชียงของได้ ใช้เวลาประมาณ 40 นาทีและ 1 ชม.ครึ่งตามลำดับ




พระพุทธนวล้านตื้อ

องค์นี้เป็นพระเชียงแสนสี่แผ่นดินเฉลิมพระเกียรติฯซึ่งได้สร้างขึ้นแทนองค์เดิมที่จมลงแม่น้ำโขง หน้าที่ว่าการ อ.เชียงแสนสมัยรัชกาลที่3 และสร้างขึ้นด้วยทองสัมฤทธิ์ปิดทองด้วยบุศราคัม น้ำหนักถึง69ตัน หน้าตักกว้าง9.99ม.สูง15.99ม.ประทับนั่งบน"เรือแก้วกุศลธรรม" ขนาดใหญ่อย่างที่เห็นในรูปที่1นั่นแหละครับ
..พร้อมกันนั้นก็ได้สร้างตุงหลวงเฉลิมพระเกียรติ สูง17.99ม.ศูนย์OTOPล้านนา ซุ้มประตูโขงและพระมหาโพธิสัตว ์(เจ้าแม่กวนอิมหยกขาว สูง9.99ม.)ทั้งหมดนี้ได้ใช้งบประมาณถึง69ล้านบาท




หอฝิ่นอุทยานสามเหลี่ยมทองคำ

หอฝิ่นอุทยานสามเหลี่ยมทองคำ ตั้งอยู่ในพื้นที่ประมาณ 250 ไร่ ห่างจากอำเภอเชียงแสนประมาณ 10 กิโลเมตร ตัวอาคารล้อมรอบด้วยสวนอันสวยงาม เป็นศูนย์นิทรรศการแสดงประวัติความเป็นมาของฝิ่นเมื่อสมัยที่มีการใช้กันอย่างถูกกฏหมายและผลกระทบของการเสพติดฝิ่น อีกทั้งยังทำหน้าที่ศูนย์ข้อมูลเพื่อการค้นคว้าวิจัยและการศึกษาต่อเนื่องในหัวข้อฝิ่น สารสกัดจากฝิ่นในรูปแบบต่างๆและยาเสพติดอื่นๆ

หอฝิ่นจะเปิดให้ประชาชนทั่วไปเข้าชมทุกวัน ยกเว้นวันจันทร์ ระหว่างเวลา

08.30-16.00 น. ค่าเข้าชมบุคคลทั่วไป ต่างชาติ 300 บาท คนไทย 200 บาท ผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป 50 บาท เด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี 50 บาท (เฉพาะคนไทย)เด็กอายุต่ำกว่า 12 ปี ฟรี รายละเอียดเพิ่มเติมติดต่อ อุทยานสามเหลี่ยมทองคำ โทร. 0 5378 4444 เว็บไซต์




พิพิธภัณฑ์บ้านฝิ่น

เป็นสถานที่จัดแสดงเครื่องมือและเครื่องใช้ในการสูบฝิ่นของผู้คนในอดีต มีทั้งประวัติของสามเหลี่ยมทองคำ สถานที่ ปลูกฝิ่นการปลูกและสูบฝิ่น ตลอดจนอุปกรณ์ที่ใช้สูบฝิ่นแสดงให้ชม ส่วนชั้นล่างของบ้านฝิ่นเป็นสถานที่ขายของที่ระลึก สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ พิพิธภัณฑ์บ้านฝิ่น โทร. 053-784062, 01-6035740




พระธาตุดอยปู

พระพุทธดอยปูเข้านี้ สร้างขึ้นบนดอยเชียงเมี่ยง ริมปากน้ำรวก เมื่อ พ.ศ 1302 ในสมัยพระยาลาวเก้าแก้วมาเมือง กษัตริย์องค์ที่ 2 แห่งเวียงหิรัญนครเงินยาง โบราณสถานประกอบด้วยพระวิหาร และกลุ่มเจดีย์ที่พังทลายก่อด้วยอิฐมีร่องรอยการตกแต่งด้วยลวดลายปูนปั้น นอกจากนั้นบนดอยเชียงเมี่ยงยังเป็นจุดชมวิว สามารถมองเห็นสามเหลี่ยมทองคำได้ชัดเจนเข้าตามเส้นทางเชียงแสน-สบรวก แยกซ้ายก่อนถึงสามเหลี่ยมทองคำเล็กน้อย รถยนต์สามารถขึ้นไปถึงยอดเขา หรือจะเดินขึ้นบันไดก็ได้



ขอบคุณข้อมูลจากเวป คลิ๊กเลย


 

โดย: nongmalakor 14 มกราคม 2556 15:28:17 น.  

 

ข้อมูลการผ่านแดนไปประเทศเพื่อนบ้าน

จุดผ่านแดนไปประเทศลาว

ในจังหวัดเชียงราย มี 2จุด คือ

1. ด่านอำเภอเชียงแสน ฝั่งตรงข้ามคือด่านเมืองต้นผึ้ง แขวงบ่อแก้ว สปป.ลาว ห่างจาก อ.เมืองเชียงรายประมาณ 60 กม. ใช้เวลาเดินทาง 1.30 ชม. ตั้งอยู่บริเวณท่าเรือหน้าที่ว่าการอำเภอเชียงแสน เป็นจุดเดินทางท่องเที่ยวตามลำน้ำโขงโดยทางเรือไปถึงเมืองเชียงรุ้ง สิบสองปันนา จีนตอนใต้ ใช้เวาลาเดินทางประมาณ 1 วัน ไปกับเรือของบริษัทสามเหลี่ยมทองคำ (เทียนสาการเดินเรือท่องเที่ยวสิบสองปันนา) จำกัด ไปเทียบท่าที่แคว้นสิบสองปันนา ราคา 4,000 บาท / ท่าน (รวมอาหารบนเรือและที่พักที่เมืองกวนเหล่ย) เรือออกเวลา 06.00 น. (ออกทุกวันจันทร์, พุธ, เสาร์ ) โทร. 053-651136 เมื่อเดินทางไปถึงสิบสองปันนาแล้วก็นั่งรถโดยสารไปเมืองคุนหมิงและประเทศจีนต่อไป (ถนนลาดยาง)

** สำนักงานด่านตรวจคนเข้าเมืองอำเภอเชียงแสนเปิดทำการ 08.30 – 16.30 น. ทุกวัน

**สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ สำนักงานด่านตรวจคนเข้าเมืองอำเภอเชียงแสน โทร.053-777303 ,053-777118 , 053-784436 หรือ ที่ว่าการอำเภอเชียงแสน โทร. 053-777058, 053-777110


2. ด่านอำเภอเชียงของ ตั้งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับด่านเมืองห้วยทราย แขวงบ่อแก้ว สปป.ลาว ห่างจาก อ.เมืองเชียงราย ประมาณ 114 กม. ใช้เวลาเดินทางประมาณ 2.30 ชม. ด่านอำเภอเชียงของตั้งอยู่ที่บริเวณท่าเรือบั๊ค เป็นจุดข้ามไปท่องเที่ยวเมืองห้วยทรายและเดินทางตามลำน้ำโขงโดยทางเรือไปถึงหลวงพระบางและเวียงจันทร์ แล้วกลับเข้าสู่ประเทศไทยที่จังหวัดหนองคาย

ข้อมูลสำคัญ

- ด่านเปิดทำการ เวลา 08.00 – 18.00 น.ทุกวัน

- สำนักงานด่านตรวจคนเข้าเมืองอำเภอเชียงของ เปิดทำการ 08.00 – 18.00 น. ทุกวัน

- การทำวีซ่า สามารถไปทำที่ด่านตรวจคนเข้าเมืองฝั่งลาว สำหรับที่ด่านตรวจคนเข้าเมืองฝั่งไทยสามารถไปทำที่หน้าด่านประมาณ 1,500 บาท (คนไทยไม่ต้องทำวีซ่า)

- สำหรับการเดินทางไปฝั่งลาวของนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติไม่ว่าจะเดินทางไป 1 วันหรือ15 วัน จะต้องทำวีซ่าทุกครั้ง แต่การกลับเข้ามายังประเทศไทยจะต้องแสตมป์วีซ่าเข้าประเทศไทยอีกครั้ง ยกเว้นสำหรับบางประเทศจะต้องทำวีซ่าเข้ามาใหม่

- สำหรับนักท่องเที่ยวที่มีวีซ่าแล้ว ต้องนำวีซ่าไปแสตมป์ที่ด่านฝั่งไทย เสร็จแล้วนั่งเรือข้ามฟากที่ท่าเรือบั๊คไปด่านฝั่งลาวเพื่อแสตมป์วีซ่าอีกรอบ เมื่อแสตมป์วีซ่าที่ฝั่งลาวเสร็จ นั่งสามล้อต่อไปยังท่าเรือ ใช้เวลาประมาณ 5 นาที จึงถึงท่าเรือ หลังจากนั้นก็นั่งเรือไปหลวงพระบาง (เรือช้าเป็นเรือยาวประมาณเรือด่วนเจ้าพระยา มีผนังปิดสองด้าน เจาะช่องลงเรือตรงกลางและหัว-ท้าย)

- การแลกเงินสามารถแลกได้ตามร้านค้าทั่วไปในประเทศลาว อัตราแลกเปลี่ยนประมาณ 250-280 กีบ= 1 บาท

- ทางด่านลาวจะเก็บค่าล่วงเวลาเฉพาะวันหยุด เสาร์ – อาทิตย์ ประมาณคนละ 30 บาท

- ค่าใช้จ่ายโดยรวมสำหรับนักท่องเที่ยวที่เดินทางไปเองประมาณ 3,000 บาท

- ถ้าเดินทางข้ามไปเมืองห้วยทราย (สปป.ลาว) สามารถนั่งเรือโดยสารไปได้ทั้งชาวไทย - ต่างประเทศ คนละ 20 บาท เรือออกเวลา 08.00 – 18.00 น.

- สำหรับนักท่องเที่ยวที่ต้องการเดินทางไปหลวงพระบาง สามารถไปโดยเรือโดยสาร

- เรือเช้า ราคาประมาณ 900 บาท ใช้เวลาเดินทาง 2 วัน และต้องไปค้างคืนที่บ้านปากแบ่ง 1 คืน (ห้องพักคนละ 150 บาท) ก่อนจะออกเดินทางไปหลวงพระบางในวันรุ่งขึ้น เรือออกประมาณ 1-2 เที่ยว/วัน (เรือ 1 ลำนั่งได้ ประมาณ 40 ที่นั่ง) เรือออกเวลา 09.30-11.30 น. (สามารถติดต่อชมรมท่องเที่ยวเชียงของ โทร. 053-791993

- เรือเร็ว ราคาประมาณ 1,450 บาท ใช้เวลาในการเดินทาง 6 ชั่วโมง เรือออกประมาณ 2-3 เที่ยว/วัน ขึ้นอยู่กับจำนวนผู้โดยสาร ถ้าผู้โดยสารเต็มที่นั่ง เรือก็จะออกทันที และเรือเที่ยวต่อไปก็มารอแทน (เรือ 1 ลำนั่งได้ 6 คน) เรือออกเวลา 09.00 – 10.00 น.

**สอบถามรายละเอียดได้ที่ สำนักงานด่านตรวจคนเข้าเมือง อำเภอเชียงของ จ.เชียงราย โทร. 053-791663 ,053-791332


เอกสารผ่านแดนเข้าประเทศลาว มี ๓ ประเภท คือ

1) หนังสือเดินทาง (Passport) ใช้สำหรับประชาชนไทย ลาว และประชาชนประเทศที่สาม ระยะเวลาพำนักไม่เกิน 1 เดือน สามารถเดินทางไปได้ทั่วประเทศ และพำนักอยู่นอกพื้นที่ชายแดนที่กำหนดไว้ในความตกลงได้

2) หนังสือผ่านแดน (Border Pass) ใช้เฉพาะประชาชนไทยและลาว ที่มีภูมิลำเนาอยู่ในพื้นที่ชายแดนที่ระบุไว้ในความตกลงเท่านั้น มีอายุ 1 ปี ระยะเวลาพำนักไม่เกิน 3วัน 2 คืน โดยจะต้องอยู่ในพื้นที่ชายแดนที่กำหนดไว้ในความตกลงเท่านั้น และต้องเดินทางกลับออก ณ ช่องทางที่ผ่านเข้ามา

3) หนังสือผ่านแดนชั่วคราว (Temporary Border Pass) ใช้สำหรับประชาชนไทยและลาว ที่มีภูมิลำเนาอยู่นอกพื้นที่ชายแดนที่ระบุไว้ในความตกลงใช้ได้ครั้งเดียว ระยะเวลาพำนักไม่เกิน 3 วัน 2 คืน ใช้หลักปฏิบัติเหมือน (ข้อ 2)

หมายเหตุ ด่านตรวจคนเข้าเมืองเชียงของเปิดเวลา 08.00-18.00 น. ติดต่อกรอกแบบฟอร์มขอผ่านแดนที่ศูนย์อำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน ในบริเวณที่ว่าการอำเภอเชียงของได้ทุกวัน เตรียมรูปถ่าย 1 นิ้ว 2 รูป และสำเนาบัตรประจำตัวประชาชน 1 ชุด พร้อมเงินค่าธรรมเนียม 30 บาท โดยจะเสียค่าเหยียบแผ่นดินที่ฝั่งประเทศลาว 50บาท

การทำ Visa เข้าประเทศลาว

1. กรอกแบบ ฟอร์ม คำขอ Visa
• ใบสมัครขอวีซ่า ขอได้ที่สถานทูตลาว หรือ Download จาก //www.bkklaoembassy.coml แล้วติดรูป มาด้วย 1 รูปพร้อมแนบ Passport
• ติดรูปถ่าย 1 ใบ

2. นำใบสมัครขอวีซ่า ที่ติดรูปถ่าย พร้อม Passport นำไปยื่นที่สถานทูตลาว
• ทำแบบธรรมดา ค่าธรรมเนียม 300 บาท ต้องยื่นภายในช่วงเช้า หลังยื่นจะได้ใบนัดวันรับ (โดยจะได้ภายใน 2 - 3 วัน ในช่วงบ่าย)
• ทำแบบด่วน ค่าธรรมเนียม 600 บาท จะได้รับภายใน 2-3 ชม. ยื่นใบสมัครได้ทั้ง ช่วงเช้าและช่วงบ่าย
• การเดินทางโดยทางเรือ เข้าสู่เมืองหลวงพระบาง
• การเดินทางทางรถโดยสารเข้าสู่เมืองเชียงรุ่ง จีนตอนใต้

เชียงของ-หลวงพระบาง การเดินทางสู่เมืองหลวงพระบาง สามารถเดินทางได้ทั้งทางรถและทางเรือ ทว่านักท่องเที่ยวส่วนใหญ่จะเลือกไปทางเรือ เพื่อชมภูมิทัศน์และสภาพความเป็นอยู่ของชุมชนต่างๆที่อาศัยอยู่สองฝากฝั่งของแม่น้ำโขง โดยนักท่องเที่ยวสามารถเดินทางเข้าสู่ลาวที่ จุดตรวจคนเข้าเมือง ที่ท่าเรือบั๊ค เชียงของ ประทับตราหนังสือเดินทาง และนั่งเรือข้ามฟาก ค่าโดยสาร 20 บาท

เรือโดยสาร ห้วยทราย-หลวงพระบาง

- อัตราค่าโดยสารเรือช้า (Slow Boat) ใช้เวลาเดินทาง 2 วัน (พักค้างคืนที่ปากแบง) โดยเรือจะออกประมาณ 09.00-10.30 น.

- อัตราค่าโดยสารเรือเร็ว (Speed Boat) ใช้เวลาเดินทางประมาณ 6 ชั่วโมง เรือจะออกประมาณ 09.00 - 11.30น.

หมายเหตุ : อัตราค่าโดยสารเรือขึ้นอยู่กับการกำหนดของชมรมท่องเที่ยวห้วยทราย

เชียงของ-เชียงรุ่ง - เส้นทาง เชียงของ - ห้วยทราย - เวียงภูคา - หลวงน้ำทา - บ่อเตน --บ่อหาน - เมืองล่า - เชียงรุ่ง เป็นอีกเส้นทางหนึ่งสำหรับนักท่องเที่ยวที่ต้องการสัมผัสวิถีชีวิตและความเป็นอยู่ของชนเผ่าต่าง ๆ ตลอดจนธรรมชาติที่ยังอุดมสมบูรณ์ ของลาวเหนือ สภาพถนนระหว่าง ในลาวระยะทาง 254 กม. อยู่ในระหว่างการก่อสร้าง การเดินทางอาจไม่สะดวกในบางช่วง ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จเป็นถนนลาดยางตลอดสายภายในปี 2550 ส่วนถนนในจีน จากบ่อหาน ถึง เชียงรุ่ง ลาดยางตลอดสาย

- เชียงของ-ห้วยทราย จากเชียงของ นั่งเรือข้ามฟากจากเชียงของไปยังเมืองห้วยทรายของลาว ค่าเรือข้ามฟาก 20 บาท โดยต้องเตรียมเอกสารผ่านแดนให้เรียบร้อย

- ห้วยทราย - หลวงน้ำทา ต่อรถตุ๊กๆ ไปขึ้นรถสองแถวบริเวณตลาดห้วยทราย รถออกช่วงเช้าเวลาประมาณ 8.30 น. ค่ารถ 250-350 บาท ระยะทาง 198 กม. เวลาเดินทางประมาณ 8 ชั่วโมง (พักที่หลวงน้ำทา 1 คืน)

- หลวงน้ำทา - บ่อเตน ท่ารถสองแถวอยู่บริเวณหน้าตลาดน้ำทา หรือขึ้นรถที่ไปแยกบ้านนาเตย แล้วต่อรถที่บ้านนาเตยไปด่านบ่อเตน ค่ารถประมาณ 60 บาท ใช้เวลาประมาณ 1.30 ชั่วโมง ระยะทางประมาณ 55 กม.

- บ่อเตน - บ่อหาน แสตมป์พาสปอร์ตออกที่จุดผ่านแดนบ่อเตน ของลาวและแสตมป์ เข้าจีนที่เมืองบ่อหาน(ระหว่างด่านทั้งสองห่างกัน 2 กม.ต้องนั่วสองแถว) จากนั้นอาจพักที่บ่อหาน 1 คืน

- บ่อหาน - เชียงรุ่ง มีรถบัสขนาดกลาง วิ่งไปเชียงรุ่งระยะทางราว 230 กม.ทางลาดยางตลอดทางจะถึงเชียงรุ่งช่วงเย็น

สถานที่ติดต่อ :

ด่านตรวจคนเข้าเมือง อ.เชียงแสน โทร. 053-777303, 777118, 784436

ด่านตรวจคนเข้าเมือง อ.เชียงของ โทร. 053-791663, 791332, 791817






จุดผ่านแดนไปประเทศพม่าในจังหวัดเชียงราย

มี 1 จุด คือ

ด่านอำเภอแม่สาย ฝั่งตรงข้ามคือด่านท่าขี้เหล็ก สหภาพพม่า ห่างจาก อ.เมืองเชียงรายประมาณ 61 กม. ใช้เวลาเดินทาง 1.30 ชม. ตั้งอยู่เชิงสะพานข้ามชายแดนไทย-พม่า และเป็นจุดเดินทางท่องเที่ยวไปถึงเชียงตุง (ประเทศจีน) ได้โดยทางรถยนต์ ประมาณ 162 กม. ใช้เวลาประมาณ 3 ชม.

ข้อมูลสำคัญ

- ด่าน อ.แม่สายเปิดทำการเวลา 06.30 – 18.30 น.ทุกวัน
- สำนักงานด่านตรวจคนเข้าเมืองอำเภอแม่สาย เปิดทำการ 08.30 – 16.30 น. ทุกวันยกเว้น วันเสาร์เปิดทำการครึ่งวัน ในส่วนของแผนก งานบริการและงานขออยู่ต่อ และปิดทำการวันอาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์
- การข้ามแดนไปประเทศพม่าเพียงแต่ไปแสตมป์วีซ่าที่ด่านทั้งฝั่งไทยและฝั่งพม่า สามารถท่องเที่ยวได้ไม่เกิน 5 กม.ในเขตพม่าแต่ถ้าต้องการเดินทางไปไกลกว่านั้นต้องขอทำวีซ่าเข้าประเทศที่ด่านพม่า การทำวีซ่าเข้าประเทศพม่าประมาณ 1,000-1,300 บาท
- การข้ามแดนไปประเทศพม่าต้องทำบัตรผ่านแดนฝั่งไทย 30 บาท และฝั่งพม่า 10 บาท(เดินเท้า) แต่ถ้านำรถยนต์เข้าไปต้องเสียอีก ตั้งแต่ 10 บาทขึ้นไปแล้วแต่เจ้าหน้าที่พม่าจะเรียกเก็บ
- การเดินทางไปเที่ยวประเทศพม่า เมื่อเดินทางผ่านด่านพม่าเข้าไปแล้วจะมีคิวรถโดยสาร รถมอเตอร์ไซด์รับจ้าง เข้าไปในเมือง นักท่องเที่ยวอาจจะเหมารถเข้าไปก็ได้

**สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ สำนักงานด่านตรวจคนเข้าเมืองอำเภอแม่สาย โทร.053-731008 ,053-733103


หนังสือเดินทางสำหรับการเดินทางเข้าไปท่องเที่ยวพม่า

1. หนังสือเดินทาง (Passport) สำหรับประชาชนทุกสัญชาติที่มีวีซ่า สปป.ลาว-สหภาพพม่า สามารถเดินทางท่องเที่ยวทั่วประเทศทั้งสองได้เป็นเวลา 15–30 วัน

2. หนังสือผ่านแดนชั่วคราว (สีเขียว) สำหรับประชาชนสัญชาติไทยที่มีภูมิลำเนาอยู่ในประเทศไทย รวมทั้งให้บุตรที่อายุไม่เกิน 12 ปี มีชื่อร่วมอยู่ในหนังสือผ่านแดนนี้ได้ด้วย หนังสือนี้ใช้ผ่านแดนได้เพียงครั้งเดียว โดยอนุญาตให้พำนักอยู่ในพื้นที่ชายแดน แขวงบ่อแก้ว สปป.ลาว ได้ 15 วัน และจังหวัดท่าขี้เหล็ก สหภาพพม่าได้ 7 วัน (เข้าจุดไหนต้องออกจุดนั้นและหากเดินทางออกนอกพื้นที่ชายแดนตามที่ได้ระบุไว้นี้ จะต้องได้รับโทษตามกฎหมายของ สปป.ลาวและสหภาพพม่า)

2.1. เอกสารที่ต้องใช้ ค่าธรรมเนียมและแบบฟอร์ม 30 บาท สำเนาบัตรประชาชน หรือบัตรอื่น ๆ ที่ทางราชการออกให้ ถ้าเข้า สปป.ลาว ต้องใช้รูปถ่ายขนาด 1 นิ้ว จำนวน 2 รูป สำหรับสหภาพพม่าไม่ต้องใช้รูป

2.2. สถานที่ขอหนังสือฯ ขอได้ที่ ที่ว่าการ อำเภอเชียงของ อำเภอเชียงแสน อำเภอแม่สาย และที่บริเวณด่านข้ามแดนโดยเอกชนที่ทางการกำหนด

ข้อควรทราบในการข้ามแดน

* เวลา ปิด - เปิด ด่านพรมแดนไทย – เมียนมาร์ ระหว่างเวลา 06.30- 18.30 น.
* อนุญาตให้ชาวไทยและชาวเมียนมาร์ข้ามพรมแดนเพื่อการท่องเที่ยวได้รัศมีไม่เกิน 5 กิโลเมตร
* สำหรับคนไทย เอกสารที่จะข้ามไปยังฝั่งเมียนมาร์ คือ
- บุคคลทั่วไปใช้สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน
- รถยนต์หรือรถจักรยานยนต์ ทะเบียนรถฉบับจริง
* การข้ามแดนเสียค่าธรรมเนียมทำบัตรฝั่งไทย คนละ 40 บาท
* ทางฝั่งเมียนมาร์จะเก็บค่าผ่านพรมแดน 10 บาท สำหรับคนไทย ชาวต่างประเทศ คนละ 5 ดอลลาร์
* นำรถยนต์เข้าไปยังฝั่งเมียนมาร์ เสียค่าธรรมเนียมรถ คันละ 60 บาท ถ้ามีคนโดยสารให้คิดรายคนคนละ 10 บาท
* รถจักรยานยนต์ผ่านเข้า - ออก เสียค่าธรรมเนียมคันละ 10 บาท
* การซื้อขายในฝั่งท่าขี้เหล็ก ใช้เงินสกุลไทย เป็นหลัก
* ห้ามนำอาวุธข้ามพรมแดนโดยเด็ดขาด
* การจราจร ฝั่งเมียนมาร์ใช้ระบบชิดขวา

การซื้อสินค้าข้ามพรมแดน

- บุหรี่สุราต่างประเทศ สามารถนำเข้ามาได้ บุหรี่ได้ไม่เกิน 1 ห่อ + สุรานำเข้ามาได้ไม่เกิน 1 ขวด หากฝ่าฝืนถูกปรับ 10 เท่าของราคาสินค้า

- สินค้าประเภทอื่น ๆ ถ้ามีความประสงค์จะนำเข้ามาขอให้ตรวจสอบหรือสอบถามเจ้าหน้าที่ก่อนจะนำเข้ามา หรือ //www.maesaiiam.com (เว็บไซต์ด่านตรวจคนเข้าเมือง อ.แม่สาย)


สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม

ฝ่ายบริหารงานปกครอง ที่ทำการปกครองอำเภอ แม่สาย โทร 053-732223,053-731396 ,053-640338

ด่านตรวจคนเข้าเมือง อ.แม่สาย โทร. 053-731008-9, 733103, 733258

ขอบคุณข้อมูลจากเวป คลิ๊กเลย

 

โดย: nongmalakor 14 มกราคม 2556 15:39:06 น.  

 

หอฝิ่น อุทยานสามเหลี่ยมทองคำ

ข้อมูลติดต่อ
หอฝิ่น อุทยานสามเหลี่ยมทองคำ
หมู่ 1. บ้านสบรวก ต. เวียง อ. เชียงแสน จ. เชียงราย 57150
โทร / แฟ็กซ์ 053-784-444-6
พิกัด GPRS : 20.364589,100.073452



หอฝิ่น อุทยานสามเหลี่ยมทองคำ เป็นเสมือนประตูเปิดสู่โลกอันลึกลับของพืชชนิดนี้ จากความมืดมนน่าหวาดกลัว สู่ความแจ่มจรัสและรู้แจ้ง พื้นที่ 5,600 ตารางเมตรแสดงลำดับเรื่องราวของฝิ่น โดยเริ่มจาธรรมชาติวิทยาของฝิ่น การสืบประวัติการใช้ฝิ่นในยุคโบราณกลับไป 5,000 ปี ประวัติการแพร่กระจายของฝิ่นจากการค้าสมัยจักรวรรดินิยม เหตุการณ์พลิกประวัติศาสตร์ที่สร้างความอดสูแก่ผู้ชนะและผู้แพ้สงครามฝิ่นอันนำไปสู่การล่มสลายของราชวงค์แมนจู ความชาญฉลาดของประเทศสยามในการเผชิญกับมหาอำนาจตะวันตกและการควบคุมปัญหาฝิ่น

วันและเวลาดำเนินการ ** วันอังคาร – วันอาทิตย์ เวลา 8.30 – 16.00 น. ( เวลา 16.00 น. เป็นเวลาขายบัตรรอบสุดท้าย ) ** จำนวนผู้เข้าชมมากสุดไม่ควรเกิน 50 คน/ รอบ ระยะเวลาสำหรับการชมนิทรรศการโดยเฉลี่ย 1-2 ชั่วโมง

อัตราค่าเข้าชม คลิ๊กเลย



หอฝิ่น อุทยานสามเหลี่ยมทองคำ เริ่มทำการก่อสร้างเมื่อปี พ. ศ. 2542 – พ.ศ. 2545 เปิดให้เข้าชมครั้งแรกเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2546 และทำพิธีเปิดอย่างเป็นทางการเมื่อวันพุธที่ 6 กรกฎาคม 2548 โดยสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชสยามมกุฏราชกุมาร หอฝิ่น อุทยานสามเหลี่ยมทองคำ เป็นเสมือนประตูเปิดสู่โลกอันลึกลับของพืชชนิดนี้ จากความมืดมนน่าหวาดกลัว สู่ความแจ่มจรัสและรู้แจ้ง พื้นที่ 5,600 ตารางเมตรแสดงลำดับเรื่องราวของฝิ่น โดยเริ่มจาธรรมชาติวิทยาของฝิ่น การสืบประวัติการใช้ฝิ่นในยุคโบราณกลับไป 5,000 ปี ประวัติการแพร่กระจายของฝิ่นจากการค้าสมัยจักรวรรดินิยม เหตุการณ์พลิกประวัติศาสตร์ที่สร้างความอดสูแก่ผู้ชนะและผู้แพ้สงครามฝิ่นอันนำไปสู่การล่มสลายของราชวงค์แมนจู ความชาญฉลาดของประเทศสยามในการเผชิญกับมหาอำนาจตะวันตกและการควบคุมปัญหาฝิ่น ยาเสพติดเริ่มใกล้ชิดกับชีวิตประจำวันในรูปแบบของยามหัศจรรย์ หอฝิ่นได้นำเสนอสนธิสัญญาฝิ่น กฎหมายเกี่ยวกับฝิ่น องค์การที่แก้ไขปัญหานี้ ความขัดแย้งและการพัวพันอาชญากรรม ผลกระทบที่เลวร้ายของยาเสพติดที่ทำให้ผู้เสพไม่สามารถต่อต้านได้ มาตรการควบคุมและปราบปรามยาเสพติด และกรณีศึกษาที่นำเสนอทางเลือกและโอกาสที่จะต่อสู้กับความเย้ายวนจากสารเสพติด หอฝิ่นได้จัดแสดงอุปกรณ์การสูบฝิ่น การขายฝิ่น ชมภาพถ่าย ภาพยนต์และวีดิทัศน์เรื่องราวเกี่ยวกับและยาเสพติดจากหลายประเทศทั่วโลก





ความเป็นมาของ หอฝิ่น อุทยานสามเหลี่ยมทองคำ ดินแดนสามเหลี่ยมทองคำ คือ จุดที่ประเทศไทย ลาว และพม่า มาบรรจบกัน เป็นที่ที่แม่น้ำรวกไหลมารวมกันกับแม่น้ำโขง และยังหมายถึงพื้นที่กว้างครอบคลุมบริเวณถึงสามประเทศ และในพื้นที่นี้เองมีการปลูกฝิ่น ผลิตเฮโรอีน และลักลอบนำออกไปขาย เมื่อได้ยินคำว่า “ สามเหลี่ยมทองคำ “ คนส่วนมากมักจะนึกถึง ดอกฝิ่น ชาวไทยภูเขา เทือกเขาที่ปกคลุมไปด้วยเมฆหมอก แม่น้ำโขง หรือภาพของภาพป่าเบจพรรณ แต่ภาพที่นึกถึงมากที่สุดคงจะเป็นภาพของฝิ่นและเฮโรอีน ภาพความลึกลับ น่าสะพรึงกลัวของการปลูกและการลักลอบค้าฝิ่น ภาพสงครามกลางเมือง กองทหารการสู้รบของพวกลักลอบการค้าฝิ่น ชาวบ้านยากจน การกวาดล้างโรงงานผลิตเฮโรอีน คาราวานขนฝิ่นไปตามเส้นทางในป่า สามเหลี่ยมทองคำ คือแหล่งที่มาของเฮโรอีนกว่าครึ่งของจำนวนที่มีอยู่ทั้งหมดในโลก สามเหลี่ยมทองคำ คือรากเหง้าของอาชญากรรมและการกระทำอันทุจริตที่เกิดขึ้นในทวีปเอเชียแพร่ไปสู่แอฟริกา ยุโรปและอเมริกา ทุกๆปีจะมีนักท่องเที่ยวเกือบแสนเดินทางมาที่นี่เพียงเพราะชื่อ สามเหลี่ยมทองคำ ปี พ.ศ.2531 (1988) สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีได้ทรงเริ่มโครงการพัฒนาดอยตุงขึ้นในจุดเหนือสุดของประเทศไทยโครงการนี้มีจุดหมายที่จะคืนผืนป่าและฟื้นฟูคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่เทือกเขานางนอนในเขตพื้นที่ประเทศไทย และหยุดการปลูกและการเสพฝิ่นในดินแดนแห่งนี้ ในอีกไม่กี่ปีต่อมา สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีได้ทรงริเริ่มโครงการที่จะช่วยให้การศึกษาแก่ประชาชนในเรื่องของการศึกษาประวัติของฝิ่นในดินแดนสามเหลี่ยมทองคำและทั่วโลก ทั้งนี้เพื่อเป็นการปลูกจิตสำนึกให้ประชาชนร่วมกันต่อสู้ยาเสพติด ให้คนส่วนใหญ่เข้าใจว่า ยาเสพติดประเภทต่างๆ ไม่เฉพาะก่อให้เกิดปัญหากับประชากรที่อาศัยอยู่ในพื้นที่เท่านั้น แต่ยังสร้างปัญหาให้กับประชากรและสังคมโลกโดยรวมอีกด้วย การริเริ่มโครงการในพระราชดำริในครั้งนั้น ส่งผลสืบเนื่องให้เกิด หอฝิ่น อุทยานสามเหลี่ยมทองคำ

หอฝิ่น อุทยานสามเหลี่ยมทองคำ ตั้งอยู่บนพื้นที่ประมาณ 250 ไร่ ห่างจากอำเภอเชียงแสนประมาณ 10 กิโลเมตร หอฝิ่นฯซึ่งล้อมรอบด้วยสวนอันสวยงามของอุทยานสามเหลี่ยมทองคำ จะเป็นศูนย์นิทรรศการแสดงประวัติความเป็นมาของฝิ่นเมื่อสมัยที่มีการใช้กันอย่างถูกกฎหมายและผลกระทบของการเสพติดฝิ่น อีกทั้งยังทำหน้าที่เป็นศูนย์ข้อมูลเพื่อการค้นคว้าวิจัยและการศึกษาต่อเนื่องในหัวข้อฝิ่น สารสกัดจากฝิ่นในรูปแบบต่างๆและยาเสพติดในชนิดอื่นๆ





นิทรรศการภายในของหอฝิ่นประกอบด้วย

อุโมงค์มุข (TUNNEL) นิทรรศการเริ่มตั้งแต่อุโมงค์ที่มืดสนิท ดูลึกลับที่มีความยาว 137 เมตร ซึ่งเจาะทะลุภูเขาทางด้านตึกรับรองไปถึงตัวอาคารใหญ่อีกฟากหนึ่ง ที่กว้าง สว่าง ลม โปร่ง และเป็นทุ่งฝิ่นจำลอง

ห้องโถง (LOBBY) ผู้คนจะได้เห็นทุ่งฝิ่นจำลอง และศึกษาเรื่องราว และความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับพันธุ์ต่างๆของดอกป๊อปปี้ทั้งที่เป็นพันธุ์สวยงามและเป็นพันธุ์ที่ใช้กรีดเอายางมาผลิตเป็นยา การเจริญเติบโตในระยะต่างๆของดอกป๊อปปี้ รวมทั้งการเปาะแห้งของดอกป๊อปปี้ที่ใช้ประโยชน์ในการตกแต่งดอกไม้แห้งประดับ

ห้องประชุม (AUDITORIUM) ห้องโสตทัศนศึกษาในห้องนี้มีการจัดฉาย VTR เล่าถึงที่มาจุดประสงค์และเรื่องราวที่บรรจุในการจัดหอฝิ่น อุทยานสามเหลี่ยมทองคำ

ปัญจสหัสวรรษแรก (THE FIRST 5,000 YEARS) ผู้ชมจะเดินทางเข้าสู่การแกะรอยประวัติศาสตร์อันยาวนาน และเปี่ยมไปด้วยมนต์เสน่ห์ของพืชพิเศษประเภทนี้ การแกะรอยประวัติศาสตร์ของฝิ่นเริ่มต้นจากการกำเนิดของฝิ่น บริเวณชายฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียน โดยมีหลักฐานการค้นพบครั้งแรกที่ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ตลอดจนหลักฐานที่มีการเขียนเป็นรายลักษณ์อักษรชิ้นแรกในตำราทางการแพทย์ SUMERIAN และการใช้เชิงการแพทย์ และการศาสนาในกรีกโบราณ โมและ อียิปต์ ได้มีการใช้ฝิ่นซึ่งเป็นยาที่มีประสิทธิผลที่ต่ำมาตลอดระยะเวลาอันยาวนาน




มีดสองคม (LIGHT AND DARK HALLWAY) ผนังสองด้านของทางเดินเชื่อมต่อนี้จะถูกออกแบบให้สะท้อนถึงด้านดีและด้านร้ายที่ได้จากการใช้ ”ฝิ่น”

- ด้านที่ดี จะเป็นด้านที่สว่างเห็นภาพของการใช้ยาที่ได้จากการสกัดจากฝิ่น เพื่อประโยชน์จากการรักษาและบรรเทาอาการเจ็บปวด ผลผลิตที่ได้จากดอกป๊อปปี้ เช่น สินค้า เค้ก ขนมปัง ดอกไม่ประดับ

- ด้านร้าย เป็นด้านที่มืดจะเห็นอาการที่ทุกข์ทรมานจากการเสพติด ภาพการใช้เข็มฉีดยา และภาพการเสื่อมโทรมทางกายภาพของผู้ติดยา

ประจิมสู่บูรพา (FROM WES TO EAST) ต่อจากนั้นผู้ชมจะก้าวเข้าสู่ยุคของการค้าระหว่างจักรวรรดิยุโรปกับเอเชีย เพื่อที่จะได้เรียนรู้ว่าฝิ่นเป็นสินค้าในเชิงพาณิชย์อย่างไรและฝิ่นกลายเป็นสารเสพติดที่แพร่หลายในวงกว้างอย่างไร โดยจำลองฉากท่าเรือพาณิชย์อังกฤษผู้ชมจะเดินทางผ่านห่อใบชา ผ้าไหม เครื่องลายคราม และเครื่องเทศ อันเป็นสินค้าของตะวันออกและวัฒนธรรมการดื่มชาของชาวอังกฤษ และเป็นสาเหตุของการขาดดุลการค้าอย่างมหาศาลเกือบทำให้ประเทศนี้เกือบล่มสลาย ต่อจากนั้นจึงเดินทางเข้าสู่เรือสินค้าของยุโรปที่ออกเดินทางจากอังกฤษมาอินเดียพร้อมทั้งชมโรงงานฝิ่นในอินเดีย เรือบรรทุกสินค้าจะหยุดพักที่เมืองสิงคโปร์เพื่อเติมเสบียง และขนถ่ายสินค้าบางส่วนลงเรือขนาดเล็ก สู่ท่าเรือท้องถิ่นในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น เมืองสงขลา และจันทบุรี เมืองสิงคโปร์จึงกลายเป็นศูนย์กลางการค้าระหว่างอินเดียและจีน ก่อนที่จะรวมการเดินทางราวติดปีกของฝิ่นมาสู่ประเทศจีนที่ท่าเรืออันเป็นหัวใจของจีน กวางตุ้ง

ศึกยาฝิ่น (OPIUM WARS) ร่องรอยประวัติศาสตร์นี้จะนำนักท่องเที่ยวสู่ความขัดแย้งที่รู้จักกันในนาม “ สงครามฝิ่น “ เมื่อชาวอังกฤษบังคับให้จีนเปิดประเทศเข้าสู่การค้าเสรีและภายใน ค.ศ. 1900 คนจีนกว่า 13 ล้านคน ติดฝิ่นเศรษฐกิจของจีนถูกทำลายลงอย่างย่อยยับจากการที่จีนต้องนำเข้าฝิ่นเป็นจำนวนมากมายมหาศาลและราชวงค์แมนจู(ราชวงค์ชิง) ก็ตกอยู่ในภาวะล่มสลาย ภายในห้องนี้จะเล่าถึงเหตุการณ์ สำคัญรวมทั้งสงครามที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์ของจีนโดยมีการจัดแสดงหุ่นจำลองของสามบุคลสำคัญของจีนและสามบุคลสำคัญของอังกฤษทั้งหมดมีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงกับสงครามฝิ่น ห้องถัดมาจะเป็นการจัดแสดงเหตุการณ์สำคัญสามเหตุการณ์ ได้แก่ การทำลายฝิ่นที่หูเหมินโดยข้าหลวงหลินเจ๋อสวี การเผาทำลายหยวนหมิง – หยวน ซึ่งเป็นพระราชวังฤดูร้อนอายุกว่า 150 ปี การถูกลิดรอนสิทธิและผลกระทบด้านความเป็นอยู่ของชาวจีนหลังสงคราม

ฝิ่นในสยาม ( OPIUM IN SIAM ) เมื่อลองเข้ามาในห้องนี้จะมีเจดีย์รัตนโกสินทร์ตั้งอยู่และจะผ่านเข้าประตูเมือง มีการจำลองโรงน้ำชาจีนในเยาวราชโดยมีหุ่นนอนสูบฝิ่นสองคน ความเป็นมาของฝิ่นในสยาม แม่ฝิ่นจะไม่ได้มีต้นกำเนิดในประเทศไทยแต่ก็มีหลักฐานยืนยันว่าคนไทยรู้จักฝิ่นมาตั้งแต่สมัยโบราณแล้วในสมัยรัชการที่ 1,2 และ3 พระราชบัญญัติห้ามค้าฝิ่นและสูบฝิ่นยังคงถูกประกาศใช้อย่างต่อเนื่อง สถานการณ์ฝิ่นในสยามเริ่มเปลี่ยนแปลงหลังจากอังกฤษรบชนะจีนในสงครามฝิ่น อีกส่วนต่อมาจะจัดแสดงของหายาก เช่น ลูกแป้ง กลักยาฝิ่น หมอน เป็นต้น รวมทั้งพื้นที่จำลองในการเคี่ยวฝิ่น,พระพุทธรูปที่ได้จากการหลอมกลักฝิ่น

ยามหัศจรรย์ (MEDICAL MARVELS) ต่อจากนั้นนักท่องเที่ยวจะได้รู้ถึง พัฒนาการทางวิทยาศาสตร์ ของตะวันตกที่นำไปสู่การแยกตัวของมอร์ฟีน พัฒนาการของเฮโรอีน และการฉีดเฮโรอีนเข้าใต้ผิวหนังชาวตะวันตกส่วนมาจะติดยาแก้ปวดประเภทนี้และยาอื่นๆรวมถึงฝิ่นและยาเสพติดอื่นๆ

ข้อห้ามทางกฎหมาย/อาชญากรรม/การขัดแย้ง ( PROHIBITION/CRIME/CONFLICT) การตามรอยประวัติศาสตร์จบลงด้วยการที่ทั่วโลกต้องหันมาป้องกันฝิ่นและยาเสพติดในช่วงทศวรรษที่ 20 โดยยาเสพติดที่ผิดกฎหมายอยู่ภายใต้การควบคุมขององค์การอาชญากรรมอันเป็นควานพยามของชาวโลกในการร่วมใจพัฒนาเพื่อต่อสู้กับการลักลอบค้ายาเสพติดและการใช้ยาในทางที่ผิด

แหล่งซุกซ่อน (HIDE-OUT HALLWAY ) ต้องการให้ผู้ชมทราบถึงการรู้เท่าทันของเจ้าหน้าที่ตำรวจจับยาเสพติดว่า ไม่ว่าจะซ่อนไว้ที่ไหนก็ตามก็สามารถจับได้ เช่น การซ่อนไว้ที่รองเท้า ในกระหล่ำปลี เป็นต้น

ผลร้ายของยาเสพติด (EFFECTS OF DRUGS) ผู้ชมจะได้เห็นว่าการติดยาเสพติดเป็นสิ่งที่ทุกข์ทรมานจะเกิดผลร้ายที่กระทบกันอย่างต่อเนื่องทังทางด้านเศรษฐกิจด้านสังคมและตัวผู้เสพเอง ทางด้านร่างกายและจิตใจ ผู้ชมจะได้ทราบถึงยาเสพติดประเภทต่างๆ เช่น ยาเสพติดในกลุ่มฝิ่น,ยากดประสาท,ยากระตุ้นประสาท,ยาหลอนประสาท,กลุ่มสารระเหย ฯลฯ ใครที่คิดว่ายาเสพติดไม่เกี่ยวกับเขาเพราะเขาหรือใครในครอบครัวไม่ติดยา คนนั้นคิดผิดยาเสพติดมีผลกระทบต่อชีวิตทุกคน

การศึกษา (CASE STUDIES) เป็นกรณีศึกษาจริงว่าเกิดอะไรขึ้นกับครอบครัวที่ติดยาเสพติดการจัดแสดงเรื่องราวของครอบครัวที่ตกเป็นทาสยาเสพติดว่าต้องประสบชะตากรรมอย่างไรบ้าง บางครอบครัวก็สามารถเอาชนะได้และบางครอบครัวก็ต้องประสบทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัส

หลอกตัวเอง/หลอกคนอื่น (GALLERY OF EXCUSES/GALLERY OF VICTIMS) เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับการแก้ตัว แก้ต่าง กล่าวโทษกันไปมา ไม่มีประโยชน์ ไม่มีข้อสรุป สุดท้ายคือความตาย และเรื่องราวที่เกี่ยวกับเอดส์และผู้ตกเป็นเหยื่อ

ห้องคิดคำนึง (HALL OF REFLECTION) ผู้ชมได้มีโอกาสที่ได้อยู่กับตัวเองและตั้งคำถามเกี่ยวกับประสบการณ์ทั้งหมดที่ได้รับจากการชมนิทรรศการทั้งหมด ซึ่งเราหวังว่านักท่องเที่ยวแต่ละท่านที่ได้เข้ามาสัมผัส หอฝิ่น อุทยานสามเหลี่ยมทองคำ จะก้าวออกจากนิทรรศการแห่งนี้ไปด้วยความรู้สึกที่ปรารถนาจะมีส่วนร่วมในอันที่จะแก้ไขปัญหายาเสพติดต่อไป



ข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับหอฝิ่น อุทยานสามเหลี่ยมทองคำ

- ดร. ชาร์ลส์ บี เมห์ล (Charles B. Mehl,Ph.D.) ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงได้ใช้เวลาศึกษาค้นคว้าข้อมูลประวัติความเป็นมาถึงเรื่องราว ตลอดจนคุณและโทษของฝิ่นอยู่นานถึง 9 ปี

- ได้รับความช่วยเหลือจากมหาวิทยาลัย CARNELL ประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งมีผู้ที่เขียนหนังสือเรื่องราวเกี่ยวกับฝิ่นและภาพถ่ายมากกว่าหนึ่งแสนหน้ากระดาษ ที่บันทึกไว้ในไมโครฟิล์ม

- ได้รับความร่วมมือจากรัฐบาลจีนให้เข้าไปศึกษาค้นคว้าในพิพิธภัณฑ์ของจีนเกี่ยวกับเรื่องราวของสงคราม ฝิ่น

- OECF ( กองทุนความร่วมมือทางเศรฐกิจภาคโพ้นทะเล) ของประเทศญี่ปุ่น สนับสนุนงบประมาณในการก่อสร้างตัวอาคารและตกแต่งภายในเป็นเงิน 9.5 ล้านเหรียญสหรัฐอเมริกา หรือคิดเป็นเงินไทยในขณะนั้นประมาณ 358 ล้านบาท มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงได้สนับสนุนการจัดหารูปภาพ ระบบแสงสีเสียง อุปกรณ์การแสดงต่างๆที่ตกแต่งภายในโดยทีมงานศึกษาวิจัยของมูลนิธิแม่ฟ้าหลวง

- UN ได้ให้การสนับสนุนภาพบางส่วน -ดร. เสกสรร ประเสริฐกุล ได้ให้การสนับสนุนเรื่องราวของฝิ่นในประเทศสยาม -ปัจจุบันประชากรทั้งโลกมีประมาณ 6พันล้านคนมีเพียง1% ที่ได้รับผลประโยชน์จากการผลิต

- เป้าหมายของหอฝิ่น อุทยานสามเหลี่ยมทองคำ คือการลดความต้องการสารเสพติด หมายถึง เป็นสถานศึกษา มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงทีความประสงค์ที่จะดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกโดยเฉพาะกลุ่มเยาวชน โดยพยามที่จะให้คนทั่วโลกเข้าใจและมีความเห็นพ้องต้องกันที่จะช่วยกันแก้ไขปัญหายาเสพติดให้หมดไป ขณะที่ปัญหาเกิดจากผู้ผลิตที่เราพบได้ง่ายในบริเวณที่ประเทศที่กำลังพัฒนาจะต้องช่วยกันหยุดความต้องการของผู้ใช้และผู้ที่ได้รับผลประโยชน์ให้หมดสิ้นไป

- หวังว่าหลังจากที่พวกเราได้เดินชมกันทั่วแล้ว คงจะมีความคิดเห็นว่าจะทำอย่างไรที่จะทำให้เราร่วมกันต่อสู้และต่อต้านปัญหายาเสพติดเพื่อทำให้สังคมโลกของเราดีขึ้น


ที่พัก

เกรทเธอร์แม่โขงลอด์จ (GREATER MEKONG LODGE) ตั้งอยู่บริเวณเดียวกันกับ หอฝิ่น อุทยานสามเหลี่ยมทองคำ โดยมีห้องพักสามารถมองเห็นทัศนียภาพของแม่น้ำโขง ทั้งหมด 54 ห้อง แบ่งเป็นห้องพัก 28 ห้อง และบ้านพัก (2 ห้องนอน) 13 หลัง พร้อมด้วยห้องประชุมสัมมนาที่สามารถรองรับได้ถึง 300 ท่าน

ราคาห้องพัก

- ห้องพักเดี่ยว ราคา 1,600 บาท (รวมอาหารเช้า)

- ห้องพักคู่ ราคา 1,800 บาท (รวมอาหารเช้า)

- เตียงเสริม ราคา 500 บาท ** อาหารกลางวันและอาหารเย็นแบบบุฟเฟ่ต์ สามารถสำรองล่วงหน้าได้ ราคาท่านละ 100 บาท (อย่างน้อย 30 คน ขึ้นไป)



สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่

หอฝิ่น อุทยานสามเหลี่ยมทองคำ โทร (053) 784-444-6 , แฟกซ์ (053) 652-133 , อีเมล์ hallofopium@doitung.org

เกรทเธอร์แม่โขงลอด์จ โทร (053) 784-450-2 , แฟกซ์ (053) 784-453, อีเมล์ gml@doitung.org

ฝ่ายการตลาด(กรุงเทพ) โทร (02) 252-7114 , แฟกซ์ (02) 254-1665, อีเมล์ tourism@doitung.org

หอฝิ่น อุทยานสามเหลี่ยมทองคำ หมู่ 1. บ้านสบรวก ต. เวียง อ. เชียงแสน จ. เชียงราย 57150 เว็ปไซด์ : www.maefahluang.org

ขอบคุณข้อมูลเวป คลิ๊กเลย

 

โดย: nongmalakor 14 มกราคม 2556 15:52:44 น.  

 

ที่พักเชียงแสน,ที่พักสามเหลี่ยมทองคำ


โรงแรมอนันตรารีสอร์ท แอนด์สปา เวปไซด์ คลิ๊กเลย

229 หมู่ 1 บ้านสบรวก อ.เชียงแสน จ.เชียงราย (อยู่ตรงข้ามหอฝิ่น อุทยานสามเหลี่ยมทองคำ) Telephone: +66(0) 2365 7755
Toll free: +800 2365 7755**





เดอ ริเวอร์ บูติก รีสอร์ท เวปไซด์ คลิ๊กเลย

455 หมู่ 1 ตำบลเวียง อำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย 57150
โทรศัพท์. 053-784-466, 053-784-477, 053-784-488, 084-321 0700, 084-000 5055
โทรสาร. 053-784-123
อีเมล์ info@deriverresort.com




อิมพีเรียล โกลเด้น ไทรแองเกิ้ล รีสอร์ท เวปไซด์ คลิ๊กเลย

222 Golden Triangle, Chiang Saen, Chiang Rai 57150 Thailand
Tel.66 (053) 784-001-5
Fax 66 (053) 784-006


Bangkok Office : 199 Sukhumvit Soi 22, Bangkok 10110, Thailand
Tel : (66 2) 261-9000
Fax : (66 2) 261-9518
Reservation : internet-rsvn@imperialhotels.com




โรงแรมซีรีน แอท เชียงราย เวปไซด์ คลิ๊กเลย


Address : 569 Moo 1,Tambol Wiang
Provinence : Amphur Chiangsaen, Chiangrai
Postcode : 57150
Country : Thailand
Telephone : + 66 53 784 500
Fax: + 66 53 784 499
Mobile Phone :
E-Mail Address: gm_serenehotel@yahoo.com
Website Name : //www.sereneatchiangrai.com





Chiangsan Goldenland II

353 หมู่ 5 ตำบลเวียง อำเภอเชียงแสน, เชียงราย 57150
โทร 053-651100, 053-777123, 081-6559221,02-362568



โรงแรมเชียงแสน ริเวอร์ ฮิลล์

714 หมู่ 3 ตำบลเวียง, เชียงราย 57150 อ.เชียงแสน
จ.เชียงราย



Golden Iyara Resort เวปไซด์ คลิ๊กเลย

272 หมู่ 1 ต.เวียง อ.เชียงแสน จ.เชียงราย 57150
โทร. 053-784226-7, 081-387-6145 แฟ็กซ์. 053-784227

272 Moo 1,Wieng, Chiang Sean, Chiang Rai 57150 THAILAND
Tel. 66-53-784226-7, 081-387-6145 Fax. 053-784227

Email : goldeniyara@gmail.com, gold@goldeniyara.com



Golden Home เวปไซด์ คลิ๊กเลย

41 หมู่ 1 สามเหลี่ยมทองคำ ต.เวียง อ.เชียงแสน จ.เชียงราย 57150
โทร. 053-784-205, 085-038-2393, 080-1353054
แฟกซ์ 053-784-205
อีเมล : info@goldenhome46.com



Khumsuk Resort เวปไซด์ คลิ๊กเลย

157 ม.1 สามเหลียมทองคำ ต.เวียง อ.เชียงแสน,
โกลเดนไทรแองเกิล/เชียงแสน, เชียงราย



บัวคำรีสอร์ท เวปไซด์ คลิ๊กเลย
7 ม.1 ต.เวียง อ.เชียงแสน โทร 053-784-035, 053-784-036



โฟร์ ซีซัน เต็นท์ แคมป์ โกลเด้น ไทรแองเกิ้ล เวปไซด์ คลิ๊กเลย

ตู้ปณ. 18, ที่ทำการไปรณีย์เชียงแสน อ.เชียงแสน
จ.เชียงราย (อยู่ด้านหลังโรงแรมอนันตรารีสอร์ท)
โทร 053 910 200



เวียงโยนก เวปไซด์ คลิ๊กเลย

201 หมู่ 3 ต.โยนก อ.เชียงแสน จ.เชียงราย
โทร 053 650 444 ,081 862 8727



พาราไดซ์รีสอร์ท

235 ม.1 ถ.เชียงแสน-แม่สาย, สามเหลี่ยมทองคำ
จ.เชียงราย
โทร 053 784 226-7



เกรทเธอร์แม่โขงลอดจ์

บริเวณเดียวกันกับ หอฝิ่นอุทยานสามเหลี่ยมทองคำ
หมู่ 1. บ้านสบรวก ต.เวียง อ.เชียงแสน เชียงราย
โทร 053 652 132, Fax 053 652 133



เลอเมอริเดียน บ้านโบราณ

229 หมู่ 1 บ้านสบรวก
โทร. 053 784 078-98,053 784 084



ดิอิมพีเรียลโกลเด้นไทร แองเกิ้ลรีสอร์ท

222 บ้าน สบรวก อ.เชียงแสน จ.เชียงราย
(อยู่บริเวณสามเหลี่ยมทองคำ)
โทร 053 784 001-5 ,Fax 053 784 006




เดอ ริเวอร์ บูติค รีสอร์ท

455 ม. 1 ต.เวียง อ.เมือง จ.เชียงราย (อยู่ติดถนน
เชียงแสน-สามเหลี่ยมทองคำ)
โทร 053 784 488, 081 457 7371



โรงแรมเชียงแสน ริเวอร์ฮิลล

714 หมู่ 3 ต.รอบเวียง อ.เชียงแสน จ.เชียงราย
(อยู่บริเวณตัวเมืองเชียงแสน)
โทร 053 650 826-9, Fax 053 650 829 -30



บ้านไทยรีสอร์ท

525 สามเหลี่ยมทองคำ หมู่ 1 ต.เวียง
อ.เชียงแสน จ.เชียงราย 57150
โทร 053-652 152, 086 038 3738,081 664 4967



โยนกเลควิว รีสอร์ท

109 หมู่ 3 กม.ที่ 27 ถนนเชียงแสน-แม่จัน
โทร 053 650 364-5, 081 513 0425



เชียงแสนเลคฮิลล์รีสอร์ท เวปไซด์ คลิ๊กเลย

166 หมู่ 3 ต.โยนก ถ.แม่จัน-เชียงแสน กม.7
โทร. 053 650 599, 053 65 0600



เทพวัลย์ปาร์ครีสอร์ท

272 หมู่ 1 บ้านสบรวก สามเหลี่ยมทองคำ
โทร. 053 784 113-4



กัญจนพรรีสอร์ท เวปไซด์ คลิ๊กเลย

โท 081-291-6475 ,089-078-3318


บ้าน อยู่เป็นสุข รีสอร์ท

544 ม.1 บ้านสบรวก ต.เวียง อ.เชียงแสน จ.เชียงราย
โทร 053 748 339,053 784 168,089 952 6070
081-993-2709


รินคำ รีสอร์ท เวปไซด์ คลิ๊กเลย

43 ม. 1 บ้านสบรวก (สามเหลี่ยมทองคำ)
อ.เชียงแสน จ. เชียงราย
โทร 087 308 4153, 083 770 3535 ,053 784 207
Email : banrinkam@hotmail.com



โกลเด้นไอยรารีสอร์ท เวปไซด์
คลิ๊กเลย
272 หมู่ 1 ต.เวียง อ.เชียงแสน จ.เชียงราย 57150
โทร. 053 784 226-7, 053 78 4226,
08 1322 6313, 081 366 9054



รุ่งตะวันรีสอร์ท เวปไซด์ คลิ๊กเลย

206 หมู่ 5 บ้านหนองบัวสด ต. ป่าสัก อ. เชียงแสน
จ. เชียงราย 57150 (ทางไปเชียงแสน)
โทร 053 955 915, 086 672 6253



คำสุขรีสอร์ท

436 หมู่ 1 ต.เวียง อ.เชียงแสน จ.เชียงราย
(อยู่บริเวณสามเหลี่ยมทองคำ)
โทร 053 784 170,081 023 1211
E-mail : p_supan@mthai.com




พิมภัทรรีสอร์ท เวปไซด์ คลิ๊กเลย

450 หมู่ 1 บ้านสบรวก ต.เวียง อ.เชียงแสน
จ.เชียงราย (อยู่บริเวณสามเหลี่ยม)
จำนวน 16 ห้อง
Email : pimphat48@pimphatresort.com



บ้านพักเคียงดอย

79 หมู่ 6 ถนนสายเลี่ยงเมือง ต.เวียง อ.เชียงแสน
จ.เชียงราย (อยู่ในตัวอำเภอเชียงแสนใกล้
วัดพระธาตุจอมกิตติ)
โทร 053 777 503, 086 670 7553



เอสวีเพลส

277 หมู่ 1 ต.เวียง อ.เชียงแสน จ.เชียงราย
(อยู่บริเวณสามเหลี่ยมทองคำ)
โทร 053 784 026-7, 081 950 0994,
089 827 7366 จำนวน 25 ห้อง



บ้านสวนเฮาส์

125 ถ.รอบเวียง ตำบลเวียง อำเภอเชียงแสน
จังหวัดเชียงราย 57150

โทร 053 650 907, 081 883 6501



รุจิรา รีสอร์ท

120 ม.3 ต.โยนก อ.เชียงแสน จ.เชียงราย (อยู่หน้าปากทางเข้าทะเลสาบเชียงแสน)

โทร 053-650 369, 081 993 046,,081-884 6126


บ้านวรรณกนก

506 หมู่ 2 ต.เวียง ติดโรงเรียนเชียงแสนวิทยาคม
โทร 053 650 719,081 937-5007


เจ.เอส.เกสท์เฮาส์

192 หมู่ 2 ต.เวียง โทร 053 777 060



แสนบุญมา รีสอร์ท

-679 หมู่ 2 ต.เวียง อำเภอเชียงแสน จ.เชียงราย

โทร 053 65 0124, 081 033 9399,084 615 9929


รายละเอียดเวปไซด์ คลิ๊กเลย

 

โดย: nongmalakor 14 มกราคม 2556 16:47:47 น.  


nongmalakor
Location :
นนทบุรี Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 120 คน [?]




ใช้ชีวิตอย่างพอเพียง
Google
Group Blog
 
<<
มกราคม 2556
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
2728293031 
 
14 มกราคม 2556
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add nongmalakor's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.