หิ้ว ม๋า น้อย ออกเที่ยว: เคยเที่ยวเม๊าะ โข๋ทัย / มะ มะ...มะ
๖
มะ มะ...มะ
.....................................................................................
บ้านเรา: เคยเที่ยวเม๊าะ โข๋ทัย
ยืน นั่ง นอน ทุกท่าและแถบจะทุกมุมของรถรางเลยก็ว่าได้ ม๋าน้อยสองตัวของผมจัดไปแบบคุ้มจริงๆ จนผมคิดว่าสามารถทำออกมาเป็นคอลลเล็คชั่นส่วนตัวได้เลยเดียว
ถ่ายรูปจนเป็นที่พอใจทั้งคนทั้งม๋า พี่เจ้าหน้าที่ผู้หญิงร่างเล็กก็ก้าวขึ้นมาบนรถและมายืน ณ ที่ประจำตำแหน่งบนรถรางที่เป็นทั้งผู้ขับและผู้บรรยาย แหม่ๆ...ทำงานกันแบบ 2 in 1 เลยที่เดียว พร้อมประกาศว่าอีก 5 นาที รถรางพร้อมที่จะออกให้บริการเยี่ยมชม
รถรางเที่ยวนี้นอกจากจะมีผมและม๋าน้อยสองตัวนี้เป็นผู้โดยสารแล้วยังมีนักท่องเที่ยวคนไทยเพิ่มอีก 3 คนในเที่ยวนี้ รถรางเคลื่อนตัวออกจากที่จอดแบบช้าๆ ด้วยการทำงานของเครื่องยนต์ที่เงียบ ไม่มีเสียงดัง จึงทำให้การเที่ยวชมด้วยรถรางสมบูรณ์แบบ แบบไม่มีการรบกวนการบรรยายเลยแม้นแต่น้อย
รถรางวิ่งพาเที่ยวชมต่อไปบนถนนลาดยางเส้นเล็กๆ ที่ตัดผ่านลัดเลาะไปมา ซึ่งสามารถที่จะพาผู้มาเยี่ยมเยือนหรือผมได้เที่ยวชม วัดวาอาราม เจดีย์ต่างๆ ในเมืองเก่าแห่งนี้ได้อย่างทั่วถึงกันแทบจะทุกซอกทุกมุมเลยก็ว่าได้ และที่สำคัญตลอดถนนที่เลี้ยวลดคดเคี้ยวที่สร้างขึ้นมาแบบง่ายๆ แต่ดูกลมกลืนกับสถานที่ท่องเที่ยวแห่งนี้ก็จะมีต้นไม้ปลูกขนาบสองข้างทางที่คอยทำหน้าที่ให้ร่มเงาเป็นอย่างดี โดยเฉพาะในวันอากาศร้อนแบบนี้
รถรางยังคงเคลื่อนตัวด้วยความเร็วคงที่พร้อมกับการบรรยายของพี่เจ้าหน้าที่ จนมาถึงช่วงหนึ่งพี่เจ้าหน้าที่ก็บรรยายถึงศิลาจารึกหลักที่หนึ่ง ที่มีข้อความปรากฏในศิลาจารึกตอนหนึ่งว่า
สร้างป่าหมากป่าพลูทั่วเมืองนี้ทุกแห่ง ป่าพร้าวก็หลายในเมืองนี้ ป่าลางก็หลายในเมืองนี้ หมากม่วงก็หลายในเมืองนี้ หมากขามก็หลายในเมืองนี้ ใครสร้างได้ไว้แก่มัน
จากข้อความนี้เอง จึงทำให้ผม ม๋าน้อยและคนอื่นๆ บนรถราง เริ่มเข้าใจและสังเกตเห็นได้ว่า ต้นไม้ที่ปลูกส่วนใหญ่ในที่นี้ จะเป็น
หมากม่วง คือ มะม่วง หมากพร้าว คือ มะพร้าว และ หมากขาม คือ มะขาม
ไม่ใช่เพราะว่าทางเจ้าหน้าที่ เขามาปลูกเพราะต้องการเป็นเจ้าของ(ตามคำในศิลาจารึกที่กล่าวไว้ว่า ให้ไว้แก่มัน) หรอกนะ แต่เขาปลูกไว้เพื่อให้สภาพแวดล้อมทางธรรมชาติ หรือบรรยากาศก็ดีของที่นี่ให้มีลักษณะใกล้เคียงกับสมัยอดีตให้มากที่สุด
หลังจากที่รถรางได้พาผมและคนอื่นๆ มุ่งหน้าลงมาทางใต้ของเมืองเก่าได้ซักพัก ตอนนี้รถรางได้มาหยุดให้ผมและคนอื่นๆ ได้แวะ เที่ยวชม วัดศรีสวาย เอาละครับได้เวลาม๋าน้อยและผมได้ถ่ายรูปและเที่ยวชมโบราณสถานแห่งนี้กันเสียหน่อยแล้ว
หลังจากเที่ยวชมโน้น ชมนี่ภายในวัดศรีสวาย ที่อาณาบริเวณก็ไม่ได้กว้างใหญ่มากัก ก็ทำให้ผมทราบข้อมูลว่า วัดศรีสวาย จัดเป็นโบราณสถานสำคัญที่ตั้งอยู่ในกำแพงเมืองชั้นในประกอบไปด้วยปรางค์สามองค์ ที่มีรูปแบบศิลปะลพบุรี ตามความเชื่อของศาสนาฮินดูเพราะมีการค้นพบหินแกะสลักเป็นรูปนารายณ์บรรทมสินธุ์ ชิ้นส่วนของเทวรูป และศิวลึงค์
ถ้านึกภาพไม่ออก ลอนตาลกระซิบบอกมาว่าขอให้นึกถึงภาพพระปรางค์สามยอดของจังหวัดลพบุรี แต่จะแตกต่างกันก็ตรงที่ลักษณะปรางค์ของวัดศรีสวายแห่งนี้ค่อนข้างเพรียว
ตั้งอยู่บนฐานเตี้ยๆ และที่สำคัญตัวองค์ปรางค์ก็มีลวดลายปูนปั้นบางส่วนที่พี่ผู้บรรยายบอกว่าเหมือนลายบนเครื่องถ้วยจีนสมัยราชวงศ์หยวน
ก่อนที่จะเดินกลับมาขึ้นรถราง พวกเราเห็นข้อสังเกตุอีกอย่างหนึ่งของวัดนี้ก็คือ ด้านหน้าตัวองค์ปรางค์สามยอดนี้ จะเห็นว่ามีส่วนต่อเติมของวิหารขึ้นมา ซึ่งโดยแท้จริงแล้วไม่ได้เป็นลักษณะของโบราณสถานในศาสนาฮินดู ซึ่งตรงนี้พี่ผู้บรรยายได้ชี้แจงไขความกระจ่างกับผมและเด็กๆ ไว้ว่าเหตุที่เป็นแบบนี้ก็เพราะว่า วัดศรีสวายเคยเป็นเทวสถานในศาสนาฮินดูมาก่อน แต่แล้วแปลงมาเป็นพุทธสถานภายหลังโดยใช้การต่อเติมวิหารขึ้นที่ด้านหน้า เป็นวัดในพุทธศาสนาภายหลัง
ระหว่างทางก่อนที่จะเดินกลับมาขึ้นรถราง ผมและเด็กๆ ก็ได้มีโอกาสมาพัก หลบร้อนเพื่อรอคนอื่นๆ อยู่ใต้ต้นหมากม่วง หรือมะม่วง ที่มีขนาดใหญ่แถมที่มีใบใหญ่ปกคลุมหนาแน่นเขียวขจีที่อยู่ในบริเวณเดียวกัน พอที่จะได้มีโอกาสนึกถึงประสบการณ์การท่องเที่ยวในวันนี้อีกครั้ง ก่อนที่จะเก็บไว้เป็นความทรงจำว่า
ครั้งหนึ่งเราเคยมายัง ณ สถานที่ที่กาลเวลาได้ผสมผสานศิลปะจากต่างความเชื่อให้หลอมรวมกลายเป็นหนึ่งความสำคัญของหน้าประวัติศาสตร์
นมชมพู
Create Date : 06 มิถุนายน 2556 |
Last Update : 6 มิถุนายน 2556 14:05:10 น. |
|
0 comments
|
Counter : 1133 Pageviews. |
|
|