อยู่ดีๆคำนี้ก็ผุดขึ้นมาในหัว
บางอย่าง เราปล่อยให้มันไม่เป็นไปอย่างที่ใจต้องการบ้างก็ได้ (เนอะ)
เราเองก็แค่คนๆนึง เราไม่จำเป็นต้องมีอะไรในชีวิตที่เพอร์เฟคอยู่ตลอดเวลาหรอก
คนถ้าสมบูรณ์แบบทั้งหมด ก็คงไม่ต้องเกิดมาเป็นคนแล้วล่ะ
เพราะคนเราที่ต้องเวียนว่ายอยู่ในวัฎจักรสงสารนี้ทุกคน
ล้วนต้องมีกรรม และต้องเจอทุกข์ทุกคน
ทีนี้จะมากจะน้อย มันแล้วแต่ กรรม ต่างๆที่เราจัดสรรขึ้นมาเอง (เห่ยย ธรรมซะงั้น )
เราแค่ทำดีที่สุด ณ ขณะนั้นก็พอ
มันคงเหนื่อย ถ้าเราจะพยายามทำทุกอย่างในชีวิตให้มันดีที่สุดไปทุกเรื่อง
บางเรื่องทำดีที่สุดแล้ว ไม่เป็นอย่างใจ
เราก็ปล่อยมันไป
มาพูดถึงหนังที่ได้ดูในวันที่ผ่านมา เราดูมาสามเรื่อง เป็นหนังรักหมดเลยค่ะ
เป็นเรื่องที่ตั้งใจจะดูมานาน แต่ก็ไม่มีเวลา ก็เลยใช้เวลาช่วงพักกินข้าว ช่วงกลับหอช่วงรอขึ้นเวร
ก็นั่งดู หนังเรื่องหนึ่งประมาณชั่วโมงกว่า มาดูเรื่องแรกกัน
1. begin and again
เราเชื่อว่าหลายคนยกให้เป็นหนังรักในดวงใจ
หนังค่อนข้างกระแสดีมาก ช่วงที่เรื่องนี้ลงโรง หน้าฟีดเฟสบุคเต็มไปด้วยคนโพสเรื่องนี้
และเพลงประกอบเรื่องนี้
เพลงเพราะจริงๆค่ะแอบคิดว่าถ้าเป็นหนังของเอเชีย เป็นนักแสดงเอเชียบ้างก็คงน่ารักและน่าดูไปอีกแบบ คือเราชอบดูหนังเอเชียไง (55)
สิ่งที่ชอบ
เราชอบนางเอกอ่ะค่ะ นางมั่นใจ มั่นใจในทุกอย่างที่ทำ แต่ในความมั่นใจนั้นไม่ใช่ประเภทที่จะมั่นใจแบบดื้อดึง แต่นางเอกเรื่องนี้จะมีความเป็นผู้หญิงมั่นใจในแบบที่ละเอียดอ่อน คือเชื่อในเสียงข้างในหัวใจของตัวเอง แต่ก็ไม่ลืมที่จะมองในบริบทรอบข้างชีวิตตัวเองด้วย
ที่ชอบอีกอย่างคือ เราชอบคอสตูมนางเอกค่ะ (จริงๆนางเอกสวยใส่อะไรเค้าก็สวย55)
นางเอกแต่งตัวได้เป็นตัวของตัวเอง (เราชอบชุดวินเทจสีแดงค่ะ น่ารักดี แต่ถ้าเรามาใส่บ้าง มันอาจจะแดงไป 55)
2.Girl in the sunny place (มัตสึ จุน+ จูริ อุเอโนะ)
กลับมาที่หนังเอเชียกันบ้าง (เราหนีหนังญี่ปุ่นไปไม่พ้นจริงๆ)
จริงๆตั้งใจจะดูในเดือนกุมภาพันธ์ (หืมมจะดูหนังยังต้องมีดีเทล55) แต่กว่าจะได้ดูจริงๆ ก็ล่วงเลยมาจนต้อนเดือนมีนาคมค่ะ
เป็นอีกหนังรักที่เราดูแล้วเรารู้สึกดีนะ ดูไป 2 ใน 3 ของเรื่องจะคิดว่าเป็นหนังรักหนุ่ม- สาว
ธรรมดาๆทั่วไป แต่มันจะหักมุมนิดนึงตรง ครึ่งท้ายๆของหนังค่ะ
ออกแนวแฟนตาซีหน่อยๆ แต่พลอตเรื่องก็ไม่หลุดมาก
(หมายความว่าเราดูแล้วเราก็ไม่เชิงไม่เชื่อว่ามันจะมีจริง บางทีสิ่งที่เราไม่รู้ ใช่ว่ามันจะไม่มีจริงก็ได้ประมาณนี้ ยังไงลองหามาดูกันนะคะ)
เราชอบฉากสุดท้ายที่สุด เป็นตอนที่พระเอกมานั่งฟังเพลงในผับ แล้วมีเพลงหนึ่งบรรเลงขึ้น อยู่ดีๆ น้ำตาพระเอกก็ไหลออกมา ซึ่งจริงๆสาเหตุที่พระเอกน้ำตาไหล มันมี story ตรงที่ว่าเค้ามีความทรงจำเกี่ยวกับเพลงๆนี้ ซึ่งก็เป็น ความทรงจำที่เค้าเองก็จำไม่ได้ (อันนี้เศร้า แต่ก็ชอบซีนนี้ค่ะ)
เอาไว้ไปหาดูในหนังนะคะ เราอาจจะชอบฉากเดียวกันก็ได้นะ
3. ตุ้กแกรักแป้งมาก
ได้ฤกษ์ ดูเสียที สำหรับหนังไทยเรื่องนี้
ตุ้กแกรักแป้งมาก เป็นอีกเรื่องที่น่ารักและน่าดูค่ะ
เรื่องนี้ ยกความดีให้นักแสดงฝ่ายพระเอกเลย ทั้งน้องแมคและน้องเก้า
โดยเฉพาะ เก้า จิรายุ คนเดียวเอาอยู่ทั้งเรื่อง
อาจไม่ได้ตีบทแตกมากมาย แต่เล่นเป็นธรรมชาติมาก (ยิ่งธรรมชาติคนดูยิ่งเข้าถึง)
ติดที่นางเอกอย่างเดียว (ขอติจริงๆค่ะ) นางเอกเล่นได้ฝึดมากกกกกกก
ไม่มีอารมณ์เลย พูดเหมือนท่องมา (ขอโทษจริงๆนะ )
ถ้าไม่ได้น้องแมคที่แสดงในวัยเด็ก กับเก้า จิรายุ
หนังคงพาคนดูไปไม่ถึงตอนจบแน่นอน
แต่โดยรวมก็คือเป็นเรื่องที่ดี มีมุกตลก มีฉากที่ทำให้อมยิ้มได้ เป็นหนังน่ารักเรื่องหนึ่งค่ะ
ถือเป็นเป็นนิมิตหมายอันดีของหนังแนวนอกกระแสบ้านเรา
มีเงินทำหนังอย่างเดียวไม่พอ ต้องกล้าขาดทุนด้วย (ไม่ใช่55)