มีนาคม 2551

 
 
 
 
 
 
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
20
21
22
23
24
26
27
29
30
31
 
 
All Blog
เมื่อดิฉันไปเป็นพี่เลี้ยงนางงาม (และนายหล่อ) บรรดาผู้ต้องการสอบเข้ากระทรวงต่างประเทศทั้งหลาย


เมื่อวันศุกร์-เสาร์-อาทิตย์ที่ผ่านมา (14-16 มีนาคม 2551) ดิฉันไปพัทยามาค่ะ ก็ไม่ได้ไปเที่ยวชมทะเลอย่างใจนึก แต่ไปทำงาน เพราะจับพัดจับผลูได้รับความไว้วางใจจากกระทรวงฯ (เวอร์ไปป่าว) ให้ไปทำงานพิเศษที่สำคัญยิ่ง คือ การเป็นพี่เลี้ยง นางงามและนายหล่อ เอ๊ย น้อง ๆ ที่ผ่านข้อเขียนและจะเข้าสอบสัมภาษณ์ (แบบหิน ๆ ) ของกระทรวงฯ

ว่าแล้วก็จะขอเท้าความตามท้องเรื่องสักเล็กน้อยพอสังเขป....

การสอบเข้ากระทรวงการต่างประเทศ มี 2 ระดับ คือ ระดับวัดความรู้ทางวิชาการ (เรียกให้ดูยาก ๆ มันก็คือการสอบข้อเขียนนั่นแหละค่ะ) และระดับวัดความรู้ในการปรับตัวเข้ากับผู้อื่น รวมทั้งไหวพริบในการแก้สถานการณ์ต่าง ๆ (หรือสอบสัมภาษณ์นั่นเอง)

หลายคนอาจจะสงสัย ทำไมต้องมีการสอบสัมภาษณ์นอกสถานที่....

เหตุผลหลักก็คือเพื่อให้คณะกรรมการฯ ได้เห็นผู้เข้าสอบมากกว่าเพียงแค่ตอนสัมภาษณ์เพียงไม่กี่นาที อย่างน้อย ช่วงเวลาเกือบ 2 วันที่ได้อยู่ร่วมกัน มันทำให้คณะกรรมการ และผู้ที่เกี่ยวข้องทุกคนได้เห็นผู้เข้าสอบในอิริยาบทที่แตกต่าง เห็นการปรับตัวอยู่ร่วมกับผู้อื่น นอกจากนี้ กิจกรรม “คลายเครียด” (ซึ่งน้อง ๆ เรียกว่ากิจกรรมเพิ่มความเครียด) ก็มีส่วนช่วยทำให้ผู้เข้าสอบได้รู้จักกันเองมากขึ้น สร้างความสนิทสนม ที่สำคัญ break the ice ระหว่างกันได้อย่างแนบเนียน การผ่านด่านอรหันต์ครั้งนี้ไปด้วยกัน มิตรภาพที่มีให้ในรุ่นเดียวกัน มันจะยืนนานมั่นคงไปชั่วเกษียณอายุทีเดียว ดิฉันว่า มันทำให้พวกเราที่เข้ามาทำงานในกระทรวงฯ มีความเป็นเพื่อน เป็นพี่เป็นน้อง มีบรรยากาศการทำงานที่อบอุ่น ซึ่งหาได้ยากจากที่อื่น ๆ (แม้ตอนอยู่วังสราญรมย์จะใกล้ชิดกันกว่านี้ เพราะมันแคบกว่าที่ใหม่เยอะ)





ขอเล่าถึงการสอบสัมภาษณ์สมัยดิฉันเมื่อสักสิบกว่าปีที่แล้วสักนิดหนึ่งนะคะ การสอบมี 2 รอบค่ะ คือ รอบในกระทรวงฯ และนอกสถานที่ ซึ่งตอนสัมภาษณ์ในกระทรวงฯ ดิฉันก็มีอาการไม่แตกต่างจากน้อง ๆ ที่ผ่านรอบข้อเขียนเข้ามาและมาเจอกับการสัมภาษณ์ ดิฉันในเวลานั้น แม้จะผ่านและมีประสบการณ์การทำงานมาบ้าง แต่ก็ยังอดหวั่นไหววูบไหวในใจไม่ได้ เมื่อถูกเรียกขานชื่อ และเข้าไปสอบสัมภาษณ์ในครั้งนั้น ดิฉันถูกเรียกเข้าไปในห้องบัวแก้ว ที่วังสราญรมย์ ซึ่งเป็นที่ตั้งของกระทรวงการต่างประเทศในเวลานั้น ในห้องใหญ่มาก มีโต๊ะกรรมการสัมภาษณ์ตั้งอยู่ห่าง ๆ กันไปหลายโต๊ะ การสัมภาษณ์แบ่งออกเป็นผู้เข้าสอบเจ้าหน้าที่การทูต 3 และ 4 ดิฉันสอบเป็นเจ้าหน้าที่การทูต 4

ดิฉันก้าวขาไปที่เก้าอี้ ซึ่งตั้งอยู่ประจันหน้าท่านกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ 3 ท่าน ขามันสั่นพั่บ ๆ ขนลุกซู่ทั้งตัวด้วยความตื่นเต้น แต่ดิฉันก็ข่มใจ วางท่าเป็นสาวมั่นเข้าไว้ “เราเก่ง ๆ เราเจ๋งๆๆ” ท่องไว้ในใจ ขณะที่ทรุดลงนั่งบนเก้าอี้ตัวนั้น ด้วยความที่ดิฉันไม่เคยรู้เรื่องรู้ราวเกี่ยวกับกระทรวงการต่างประเทศ ไม่เคยฝึกงานที่นี่จึงไม่รู้จักใคร ไม่รู้จริง ๆ ว่าใครเป็นใคร ทั้ง ๆ ที่หนึ่งในกรรมการที่สอบสัมภาษณ์ดิฉัน คือ ท่านเทพ เทวกุล อดีตปลัดกระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งมันเป็นทั้งผลดีและผลเสียเหมือนกัน ผลดีก็คือ ไม่รู้สึกเกร็ง เพราะเราไม่รู้ว่าใครเป็นใคร ผลเสียก็คือ มันเหมือนเราเตรียมตัวมาไม่พร้อม จะทำงานกับเขา ยังไม่รู้จักคนใหญ่ ๆ โต ๆ ของเขาอีก

เวลานั้น ประเด็นด้านสิ่งแวดล้อมกำลังได้รับความสนใจจากผู้คนมากมาย ดิฉันซึ่งทำงานที่สถาบันสิ่งแวดล้อมไทย จึงมีโอกาสได้ตอบคำถามหลายประเด็น ที่ตรงกับเรื่องที่เราทำงานมาพอดี เพียงไม่อึดใจ ดิฉันก็รู้สึกผ่อนคลายในการตอบคำถามมากขึ้น เริ่มพูดได้ลื่นไหลอย่างใจ แต่แล้ว จู่ ๆ กรรมการสัมภาษณ์ท่านหนึ่งก็เอ่ยถามดิฉันเป็นภาษาอังกฤษ สำเนียงของท่านนั้น ฟังแล้วดิฉันไม่เข้าใจ เพราะทั้งเร็วและรัวแบบไม่เปิดปาก เป็นฝรั่งแท้ ๆ

ดิฉันอึ้งไปครู่หนึ่ง ใจยังไม่เสีย พร้อมกับเอ่ยถามไปอย่างสุภาพว่า “Could you kindly say it again please?”

ท่านกรรมการจึงเอ่ยถามอีกครั้ง แน่นอนว่าครั้งนี้ หูดิฉันก็ยังไม่ถึง ฟังไม่เข้าใจอยู่ดี ดิฉันเอ่ยถามไปอีกครั้งหนึ่ง ตอนนี้ ใจเสียไปแล้ว แต่ดิฉันก็ยังไม่ยอมแพ้ เอ่ยถามขอให้ท่านพูดใหม่เป็นหนที่ 3 แน่นอนว่า ท่านเริ่มมีความฉุนเฉียว สำเนียงที่พูดออกมา ยิ่งรัวเร็วและแทบไม่เปิดปาก ดิฉันเสียสติไปแล้ว แต่ยังรักษาอารมณ์ไว้ได้ดีมาก หน้านิ่ง ทั้ง ๆ ที่ใจสั่น หุ ๆ แล้วท่านเทพ ก็ได้กรุณาเอ่ยทวนคำถามให้ช้า ๆ ทำให้ดิฉันเข้าใจคำถามได้ในที่สุด และตอบได้อย่างมั่นใจขึ้น กรรมการท่านนั้น ไม่เอ่ยถามอะไรอีกเลย แถมทำหน้าบึ้งมาก ดิฉันคิดในใจว่า “ตายแน่แล้วกรู สงสัยคงไม่ติดชัวร์”

พอคิดว่าเราคงไม่ติด ใจมันกลับสงบขึ้นแฮะ แปลกดีเหมือนกัน เหมือนไม่มีอะไรจะเสียแล้ว ต้องคิดมากทำไม เมื่อคณะกรรมการถามคำถามเสร็จ ดิฉันกำลังจะลุกขึ้นจากโต๊ะ ท่านเทพก็พูดขึ้นมาว่า “มีคำถามสุดท้าย ตอบเป็นภาษาไทยก็ได้” ดิฉันอึ้งไปอึดใจ สงสัยภาษาปะกิตของเรามันจะห่วยแตก ท่านถึงให้ตอบเป็นภาษาไทย.....

“คุณคิดว่า ถ้าได้ไปทำงานที่สถานทูต คุณต้องทำอะไรบ้าง” ท่านเทพเอ่ยถาม ดวงตาจ้องมองดิฉันแน่วแน่

“ทำงานเป็น CIA สิคะท่าน ดิฉันคิดว่าหน้าที่ของนักการทูตก็คือการหาข้อมูลลับต่าง ๆ ที่จะเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติมากที่สุด ซึ่งมันคงไม่ต่างจากการเป็น CIA เท่าไหร่นักหรอกค่ะ” ดิฉันตอบไปอย่างมั่นใจ แบบคนที่ดูหนังพวกจารกรรมข้อมูลสมัยสงครามเย็นมากเกินไปแน่ ๆ ท่านเทพอึ้งไปก่อนจะหัวเราะออกมา ตอนนั้น แอบใจมาบ้าง ว่าเราก็คงน่าจะติดนะ เพราะผู้ใหญ่ท่านเมตตา ถามคำถามเราอีก แบบสนใจใยดีในความคิดความอ่านของเรา

ผลปรากฏว่าดิฉันผ่านเข้ารอบสอบสัมภาษณ์นอกสถานที่ค่ะ รอบนี้ เครียดมากกว่ารอบที่แล้ว เพราะพอดิฉันมาถึงที่กระทรวงฯ (วังสราญรมย์) เพื่อรอขึ้นรถบัสเดินทางไปยังจุดหมายปลายทาง คือ จังหวัดกาญจนบุรี

ดิฉันได้ยินเสียงน้องในกลุ่มที่รอขึ้นรถเหมือนกัน พูดขึ้นมาว่า “อ่านหนังสือเตรียมตัวกันบ้างไหม” อีกคนก็ตอบว่า “อ่าน” จากนั้นมีเสียงถามว่าอ่านอะไรกันบ้าง ดิฉันก็นึกไปว่าคงจะเป็นอ่านหนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษทั่วไปเหมือน ๆ กันกับดิฉัน แต่ว่าเสียงตอบกลับมาจากน้องอีกคนหนึ่งในกลุ่มนั้น ทำให้ดิฉันใจกระตุกไปเหมือนกัน

“อ่านพวก Newsweek Times แล้วก็ Economist น่ะค่ะ อ่านสนุกนะคะ” กรี๊ด Economist นี่เป็นอะไรที่อ่านยากนะ ดิฉันหยิบจับได้ไม่เกินครึ่งชั่วโมงก็ชวนง่วงนอนแล้วอ่ะ คุณเธอเล่นอ่านหนังสือระดับนั้นเลยหรือ ตรูแย่แน่ ๆ สงสัยจะตก

น้องคนนั้นสอบได้ที่ 1 ของ C3 ค่ะ ส่วนดิฉันได้ที่เลขตัวเดียวของ C4 เหมือนกัน อิๆๆๆๆ





ด้วยความที่การสอบสัมภาษณ์ครั้งก่อนหน้าปีดิฉัน เต็มไปด้วยความเครียดมาก ซึ่งคณะกรรมการผู้สอบ ไม่ต้องการเห็นผู้เข้าสอบเครียดเกินไป จึงเป็นโชคของดิฉัน ที่การสอบเครียดน้อยลง คือ ไม่มีการสอบ Public Speaking (แต่ปีนี้มีนะคะ เดี๋ยวจะมาเล่าให้ฟัง)

ในปีที่ดิฉันเข้าสอบ (ประมาณต้นปี 2539 โอ้ มันนานขนาดนั้นเลยนะ) มี Group Discussion ซึ่งจะมีการแบ่งกลุ่มผู้เข้าสอบออกเป็นกลุ่มละ 10 คน แล้วให้โจทย์ 1 ข้อ ให้ในกลุ่มหารือกัน แสดงความคิดเห็นกัน ในปีนั้น เราไม่ได้มี moderator ก็ถกเถียงกันไป โดยมีคณะกรรมการแวะเวียนมาฟังพวกเราแสดงความคิดเห็นเป็นครั้งคราว บางทีที่ความเห็นของเรา “โดนใจ” ท่านเหล่านั้น ท่านก็จะถามต่อ บางทีก็เหมือนไล่ต้อนจนมุม คงไม่ได้คิดจะคาดคั้นเอาเป็นเอาตายกับความคิดของเราสักเท่าไหร่ แต่คงอยากดู reaction ของเรามากกว่า ว่าเราจะมีน้ำโหไหม เราจะแสดงออกอย่างไร เมื่อถูก “ต้อน” แบบนั้น ส่วนใหญ่ ทุกคนก็มี E.Q. ดี รักษาสีหน้าและน้ำเสียงได้เป็นอย่างดี แต่ก็ทำเอาเราเครียดไปสองตลบ เครียดจนปวดเนื้อปวดตัวไปหมด

ช่วงบ่าย พี่เลี้ยงบอกว่า ให้เลือกตัวแทนกลุ่มเตรียมพูดสรุปผลของ Group Discussion กลุ่ม 1-2 คน กลุ่มเราเป็นกลุ่มสุดท้ายที่จะเข้าไปสอบรอบสุดท้ายในตอนค่ำของวันนั้น เราเลือกตัวแทนกลุ่ม 3 คน ส่วนที่เหลือก็ทำใจรอเวลาที่จะเข้าห้อง “สอบ” ประมาณก่อนสอบสักครึ่งชั่วโมง พี่ท่านหนึ่งในกลุ่ม (สอบได้ที่ 1 ของรุ่น C4) ก็ขอขึ้นไปเปลี่ยนเสื้อผ้า ใส่สีใหม่ ที่น่าจะถูกโฉลกกว่านี้ จากนั้น ก่อนสอบสักสิบห้านาที พวกเราก็รวมใจกันสวดมนต์ภาวนา ที่จริงการสอบไม่เครียดมากหรอก แต่การรอ มันเพิ่มดีกรีความเครียดมาก ๆ

ในที่สุด เวลาแห่งการรอคอยก็มาถึง......มันเป็นนาทีที่ได้รู้ว่าโดนพี่เลี้ยง "หลอก"

พวกเราถูกเรียกเข้าไปในห้องสัมภาษณ์ ซึ่งเห็นคณะกรรมการทุกท่านนั่งประจันหน้ากับพวกเรา คณะกรรมการประมาณ 20-30 ท่าน พวกเรา 10 คน ปรากฏว่า คณะกรรมการบอกว่าให้ทุกคนสรุปสิ่งที่พูดหารือกันให้ฟัง (ไม่ต้องมีตัวแทน) เราได้พูดคนสุดท้าย ทำให้เครียดเหมือนกัน เพราะว่าเราจะพูดเรื่องที่ซ้ำกับคนอื่น ให้มันแปลกกว่า น่าสนใจกว่าได้อย่างไร ก็เป็นอะไรที่ท้าทายอยู่เหมือนกัน แต่จำไม่ได้ว่าพูดอะไรบ้าง คาดว่าอารามตื่นเต้นทำให้นึกอะไรไม่ค่อยออก

เมื่อพวกเราทุกคนได้กล่าวสรุปการหารือแล้ว คณะกรรมการก็เริ่มลงมือสัมภาษณ์ผู้เข้าสอบเป็นคน ๆ ไป ดิฉันเจอคำถามเกี่ยวกับ “ทับหลังนารายณ์บรรทมสินธุ์” ซึ่งไทยได้คืนจากอเมริกา ดร. โกร่งฯ ได้ถามดิฉันว่า ถ้าดิฉันเป็นนักการทูตอยู่ที่สถานทูตในดีซี จะไปหารือกับฝ่ายสหรัฐเพื่อขอทับหลังคืนได้อย่างไร?” เจอไม้นี้เข้าไป ดิฉันก็จุกค่ะ ไม่ได้เตรียมมา นึกไรไม่ค่อยออก จำได้ลาง ๆ ว่าตอบไปว่า เรามีหลักฐานชี้ชัดว่าทับหลังนี้เคยอยู่ในประเทศไทย ค้นพบในไทย ก็ต้องเป็นของไทย อีกทั้งถูกลักลอบนำไปผิดกฎหมาย ทำเหมือนมีภูมิความรู้ดี แต่ต่อมาก็ถูกคณะกรรมการท่านอื่นซักเสียแทบหงายท้อง เมื่อออกจากห้องสอบมา ท่าน ดร. โกร่งฯ บอกว่า ดิฉันตอบผิดหลายประเด็น

ใจหายนัก....

แต่ดิฉันก็สอบผ่านเข้ามาทำงานในกระทรวงการต่างประเทศได้เป็นผลสำเร็จ แม้ว่าหลายสิ่งหลายอย่างในกระทรวงฯ ก็เหมือนสถานที่ทำงานในอีกหลาย ๆ ที่ ซึ่งมีทั้งที่เราชอบและไม่ชอบ มีทั้งสิ่งที่ท้าทายและน่าเบื่อหน่าย มีทั้งสิ่งที่เรารักที่จะทำ และฝืนที่จะทำ มีการเล่นละคร มี politic มีทุก ๆ อย่างที่ทุก ๆ ที่ต้องมี มันมีรสชาติของชีวิตที่คละเคล้ากันไป

สิ่งที่ทำให้ดิฉันยังอยู่ในกระทรวงฯ คงเพราะดิฉันได้พบหลายสิ่งในงานที่ดิฉันรัก การทำโครงการเศรษฐกิจต่าง ๆ สิ่งที่เราประคับประคองมันมาตั้งแต่ศูนย์จนสำเร็จเป็นชิ้นเป็นอันให้เราได้ภาคภูมิใจ การจัดโครงการความร่วมมือระหว่างประเทศ ซึ่งผลลัพธ์ของมัน นำไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน และหลายครั้งที่ผู้ที่ได้รับผลประโยชน์จากสิ่งที่เราทำ ไม่ใช่พวกนายทุน นักธุรกิจที่รวยอยู่แล้ว แต่เป็นชาวบ้านที่เขาอาจจะมีโอกาสในสังคมน้อยกว่าคนอื่น และเราทำให้เขาได้มีโอกาสนั้น มันเป็นความภาคภูมิใจ และเป็นความสำเร็จในหัวใจ ที่ทุกคราวเมื่อได้คิดถึง ก็ทำให้รู้สึกขนลุกวาบ ๆ และในใจก็มีพลังพวยพุ่งให้เราทำงานได้ต่อไป

แต่ถ้าสอบไม่ได้ ก็ไม่หมายความว่าทางชีวิตนั้นอับจน หรือหมดสิ้นหนทางเสียเมื่อไหร่ น้องสาวของดิฉัน สอบเข้ากระทรวงฯ ไม่ติด ตกข้อเขียนรอบแรก แต่มันก็ช่วยให้เธอหันเหชีวิตไปแขนงอื่น ไปจุดอื่นที่เธอมีโอกาสช่วยประเทศชาติได้ น้องสาวของดิฉัน ปัจจุบันเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งค่ะ ไปสอนหนังสือทุกวันด้วยจิตวิญญาณที่เต็มเปี่ยม....

เมื่อดิฉันได้ไปเป็นพี่เลี้ยงน้อง ๆ ที่มาสอบเข้ากระทรวงฯ เมื่อ weekend ที่ผ่านมานั้น น้อง ๆ หลาย ๆ คนบอกว่า อยากมาทำงานที่นี่ เพราะอยากช่วยเหลือประเทศชาติ แต่ดิฉันว่า มันไม่สำคัญหรอกว่าคุณทำงานอยู่ตรงจุดไหนในสังคมไทย ถ้าคุณทำงานด้วยใจ ทุกที่ที่คุณอยู่ดิฉันเชื่อมั่นเหลือเกินว่า คุณสามารถทำประโยชน์ให้สังคมได้ และดีไม่ดี อาจจะไม่ได้จำกันเฉพาะแค่ในสังคมไทยเท่านั้น หากแต่คุณสามารถช่วยเหลือมวลมนุษยชาติได้ด้วย

ขอให้น้อง ๆ ทุก ๆ คนโชคดีค่ะ บล็อกหน้าจะเล่าประสบการณ์การไปเป็นพี่เลี้ยงนะคะ บล็อกนี้รู้สึกจะระลึกอดีตมากไปสักหน่อย อิๆๆๆ.....



ภาพของที่น้อง ๆ ผู้เข้าสอบสัมภาษณ์ประดิษฐ์ขึ้นจากเกม Goodies Bag ที่ให้อุปกรณ์แก่น้อง ๆ 1 ถุง และให้ประดิษฐ์ของออกมาภายใต้หัวข้อ "การต่างประเทศกับภาวะโลกร้อน" โดยน้อง ๆ จะต้องใช้อุปกรณ์ทุกประเภทที่อยู่ในถุง ไม่ว่าจะเป็นดินน้ำมัน ลูกบอลพลาสติก ลูกโปร่ง ริบบิ้น ฯลฯ

น้อง ๆ ก็ทำออกมาได้อย่างน่ารัก กลุ่มของดิฉันประดิษฐ์ของภายใต้ concept "Anti Snowman" ซึ่งยังหาภาพไม่พบเลยไม่ได้นำมาแสดงที่นี่

สำหรับภาพนี้ อยู่ภายใต้ concept ว่า Diplomat's journey ซึ่งหมายถึงการที่ทูตของประเทศสมาชิกอาเซียนบินไปประชุมปัญหาโลกร้อนร่วมกัน (เพราะปีนี้ไทยจะเป็น Chairman ของ ASEAN) การบินไปประชุมก็ไปด้วยเครื่องบินที่ช่วยลดปัญหาโลกร้อน ที่เห็นเขียว ๆ อยู่ข้าง ๆ ก็หมายถึงต้นไม้เขียวขจีที่อยู่ตลอดสองข้าง ๆ ทางระหว่างเดินทาง สะท้อนให้เห็นว่า เมื่อทุกคนร่วมใจรักษาโลก สภาพแวดล้อมก็จะฟื้นฟูขึ้นเหมือนเดิมได้



สำหรับรูปนี้เป็นไอเดียของอีกกลุ่มหนึ่ง จะเห็นว่า แต่ละกลุ่มก็มีความคิดสร้างสรรค์ที่แตกต่างกันไปนะคะ กลุ่มนี้ ใช้ concept "ใต้ฟ้าเดียวกัน" หมายความว่าทุกคนอยู่ใต้ฟ้าเดียวกัน และต้องได้รับผลกระทบจากภาวะโลกร้อนเหมือน ๆ กัน พลาสติกด้านบน ที่มีเส้นริบบิ้นแดง ๆ ห้อยลงมา หมายถึงท้องฟ้าที่ประสบภาวะโลกร้อนที่ครอบคลุมโลกทั้งใบเอาไว้

เห็นแค่น้ำจิ้มนี้ ก็มั่นใจได้แล้วนะคะ ว่านักการทูตยุคใหม่ของเราต้องมีความคิดสร้างสรรค์ และเก่งกาจไม่แพ้ใครแน่ ๆ ดิฉันเอง ก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน ว่าจะสามารถทำได้ไหม

ติดตามอ่านตอนต่อไปเกี่ยวกับการเป็น "พี่เลี้ยง" บนเวทีที่ไม่ต้องมีพี่เลี้ยงนะคะ






Create Date : 19 มีนาคม 2551
Last Update : 19 มีนาคม 2551 16:47:34 น.
Counter : 2140 Pageviews.

10 comments
  
หุหุหุ เป็นพี่เลี้ยงเด้ก แบบ ผม ก้อดีครับ อิอิ
โดย: พนบ. วันที่: 19 มีนาคม 2551 เวลา:16:38:06 น.
  
ผลงานกลุ่มผมเองคับ แล้วสรุปเค้าเอาผลงานพวกผมไปทำไรอ่ะพี่
โดย: เปา IP: 61.90.184.250 วันที่: 19 มีนาคม 2551 เวลา:16:49:05 น.
  

หลังจากที่เข้ามาเฝ้าดูอยู่นาน

สุดท้ายก็ ได้อ่านเรื่องสนุกๆต่อ

ขนาดนั้งอ่านอยู่หน้าคอมเหมือนได้อยู่ในเหตุการจริงเลยครับ

ตื้นเต้นแทน พี่ๆที่โดนสัมภาษณ์

ขอบคุนครับ
โดย: anthony IP: 124.157.200.48 วันที่: 19 มีนาคม 2551 เวลา:16:51:06 น.
  
เสียดายผลงานไม่ถูกนำเสนอ ดีนะถ่ายรูปไวูู้^^ เค้าก้อเอางานเราไปทิ้งน่ะสิพี่เปา 55
โดย: Jib IP: 122.0.3.123 วันที่: 19 มีนาคม 2551 เวลา:17:18:40 น.
  
ผลงานแต่ละกลุ่มสวยมากเลย กระทรวงฯ คงเก็บไว้แหละ ต้องถามน้องพลอยนะ พี่ไม่แน่ใจเหมือนกัน

ข้อสงสัยของ Jib อาจต้อง take it into consideration นะคะน้องเปา หุๆๆๆ ทิ้งป่าวไม่รู้ ถึงรู้ก็ไม่บอกกกก....

>>น้อง anthony ขอบคุณที่แวะมาอ่านเรื่อย ๆ ค่ะ เดี๋ยวรออ่านภาค 2 นะจ๊ะ มีเรื่องเผาคนแถว ๆ นี้ด้วยอ่ะ หุๆๆๆ
โดย: Ninie IP: 122.0.3.123 วันที่: 20 มีนาคม 2551 เวลา:9:41:26 น.
  
เขียนมันส์ครับพี่ จะแอบมาแวะอ่าบล็อคหน้านะครับ

//naynujang.spaces.live.com/
โดย: นุ้ย อนุบาล 3/3 IP: 125.27.212.135 วันที่: 20 มีนาคม 2551 เวลา:9:51:54 น.
  
เป็นblogที่น่าสนใจติดตามต่อจริงๆค่ะ รอติดตามอ่านตอนต่อไปอยู่น่ะค่ะ หนูเองก็อยากสอบเข้ากระทรวงฯเหมือนกันค่ะตื่นเต้นแทนพี่ๆที่สอบเข้ารุ่นนี้จริงๆค่ะ
โดย: 泰国人 IP: 202.28.47.11 วันที่: 20 มีนาคม 2551 เวลา:19:24:00 น.
  
This's an amazing blog! I just found this on google. I'm an exchange student in USA ka. And now i am trying to find the thing that I want to be in the future. And of course,being in thai Ministry of Foreign Affairs is one of my dreams. But when i read your story i considered that it was a very difficult chalenge. By the way,I will try my best ka.
โดย: Vicky~ IP: 76.125.81.173 วันที่: 2 มิถุนายน 2551 เวลา:1:42:57 น.
  
ขอบคุณค่ะน้องวิกกี้ การเรียนด้าน IR ไม่จำเป็นนะคะ เรียนกฎหมาย หรือเศรษฐศาสตร์จะดีกว่าค่ะ (ถ้าถามความเห็นพี่นะคะ) น้องยังเด็กอยู่ ก็คงกำลังหาแนวทางว่าควรจะทำอะไรในชีวิต พี่คิดว่า งานที่กระทรวงฯ นี้เป็นงานในดวงใจของใครหลาย ๆ คนนะคะ การสอบเข้าเป็นความท้าทายสำหรับผู้ที่ต้องการทำงานที่นี่ค่ะ น้องยังมีเวลาเตรียมตัวอีกเยอะ ถ้ามีอะไรที่พี่ช่วยได้ ก็ยินดีนะคะ
โดย: Ninie วันที่: 3 มิถุนายน 2551 เวลา:18:04:51 น.
  
ปลื้ม เพื่อนสอบรุ่นนี้เหมือนกันคะ
แล้วก็ได้ด้วย
ดีใจแทนเพื่อนมากๆ เพราะรู้ว่าเข้ายากมากกก
อีกอย่างหวังว่าเพื่อนจะเป็นอีกหนึ่งกำลังของชาติที่ดีด้วย
โดย: Pinkneko วันที่: 27 กรกฎาคม 2551 เวลา:11:03:07 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Ninie
Location :
กรุงเทพ  Netherlands

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 127 คน [?]




ได้ออกประจำการเสียที....แต่ต้องหนีร้อนไปถึงรัสเซียเชียวหรือ จะไหวรื้อ?
เมื่อเขาฉันถามว่า "เธอจะบ้ารองเท้าไปถึงไหน?"
ใครอยากได้วารสารสราญรมย์ หนังสือดี ๆ ของกระทรวงการต่างประเทศ โปรดเข้ามาอ่านด้วยจ้า
Cast away ที่ La a Natu@Pranburi
เมืองไทยในสายตาของพี่แจส ผ่านเลนส์
10 ยอดการ์ตูนผู้หญิงในดวงใจ ภาค 1
เมื่อคิดจะแต่งงานกับฝรั่ง และย้ายฐานทัพมาอยู่เมืองไทย ต้องทำอย่างไร

บ ล็ อ ก ข อ ง เ พื่ อ น