กาแฟต่างขั้ว,สับปะรด,และมุกเชยๆค่ำคืนนั้นผ่านไปได้ด้วยดี แม้ร้านจะมีลูกค้าค่อนข้างแน่นกว่าปกติ แต่ว่าพนักงานชั่วคราวกิติมศักดิ์ของอรอรีนามว่าเพชระ ก็ทำให้ลอออินทร์ยิ้มออก เพราะเขาทำงานได้คล่องแคล่วว่องไวเหลือเกิน แม้จะไม่มีใครบอก แต่ดูจากลีลาอันพริ้วไหวของการชงเหล้า ผสมเหล้าและการดูแลต้อนรับลูกค้าอย่างดีแล้ว บอกได้ทันทีว่าเขาเป็นมืออาชีพแน่นอน หรือหากไม่ใช่ อย่างน้อยชายหนุ่มคนนั้นก็ต้องเคยผ่านงานอย่างนี้มาบ้างไม่มากก็น้อย เพราะวิธีการทำงานของเขามีเอกลักษณ์และคล่องทีเดียว ส่วนนนท์ซึ่งยังไม่ค่อยชำนาญนักกับการชงเหล้า ผสมเหล้า เพราะเพิ่งเริ่มทำงานอดิเรกหลังเลิกเรียนไม่นานมานี้ วันนี้ดูเขาสนุกสนานมากขึ้น ไม่เกร็งเหมือนคืนที่ผ่านมา หนุ่มน้อยขอตัวกลับไปทันทีที่ปิดร้าน เพราะพรุ่งนี้เป็นวันจันทร์เขาต้องไปโรงเรียน ดังนั้นหน้าที่ต่างๆ จึงต้องเป็นของคนที่ยังอยู่ ขณะที่กิ่งดาวกำลังลำเลียงเบียร์และน้ำผลไม้ชนิดต่างๆ เติมเข้าไปในถังแช่เย็นนั้น ลอออินทร์ก็ล้างแก้วไปพลางๆ มิได้เกี่ยงงอนว่าตนเองอยู่ในฐานะเจ้าของร้านแต่อย่างใด"พี่ดาวกลับไปก่อนเถอะค่ะ ไม่เป็นไร เหลือนิดเดียว เดี๋ยวอ้อนจะทำต่อเอง""ไม่เป็นไรค่ะ" กิ่งดาวเอ่ยปฏิเสธ แต่เมื่อเห็นว่าหญิงสาวไม่ยอมรับคำ จึงพยักหน้า "ก็ได้ค่ะ งั้นเดี๋ยวพี่ยกขยะออกไปทิ้งข้างนอกเลยนะคะ"เมื่อหญิงสาวสูงวัยกว่าจากไปแล้ว คนอีกสองคนที่ทำงานไปเกือบทั้งคืน โดยไม่มองหน้ากันเลย ก็ก้าวออกมาจากด้านหลังของร้านแทบจะพร้อมกัน เพชระเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดฟอร์มออกแล้ว ส่วนปานวตาซึ่งดูจะอารมณ์ไม่ค่อยดีเสียเท่าไหร่ วันนี้เมื่อมาถึงแล้วเห็นว่าใครจะมาทำหน้าที่แทนนายเป้ ก็หน้านิ่วคิ้วขมวดตลอดทั้งคืน พอเลิกงานปุ๊บก็แทบจะขอตัวไปจากร้านทันที ทั้งๆที่ปกติแล้ว หลานสาวตัวโตคนนี้จะต้องคอยวนเวียนหาโน่นนี่ทานเล่นเป็นประจำ แม้ไม่ใช่คนช่างทานแต่ก็มักหาเรื่องทำทีเพื่อจะอยู่ต่ออีกซักพักเสมอ หากแต่ลอออินทร์กลับรั้งไว้ก่อน ขอว่าให้ค้างด้วยกันที่นี่คืนนี้ ดังนั้นปานวตาจึงขอตัวขึ้นไปด้านบนทันที โดยไม่ยอมแม้กระทั่งจะมองหน้าชายหนุ่ม ลอออินทร์ส่ายหน้ายิ้มๆ ก่อนจะหันมาหาชายหนุ่ม "กาแฟยามดึกซักถ้วยไหมคะ" เมื่อคนตรงหน้าพยักหน้ารับ หญิงสาวจึงละมือจากงานที่ค้างอยู่ซึ่งใกล้เสร็จพอดี "งั้น เชิญนั่งก่อนค่ะ" กาแฟกลิ่นหอมฉุยถูกวางลงตรงหน้าคนที่นั่งอยู่ที่หน้าเค้าเตอร์บาร์ด้วยเวลาไม่ถึงสองนาทีด้วยซ้ำ ส่วนตัวลอออินทร์นั้นนั่งลงที่หลังเค้าเตอร์อย่างไม่มีพิธีรีตองพร้อมกาแฟของตนอีกถ้วย อาจเป็นเพราะเริ่มคุ้นเคยกับเขามากขึ้น หลังจากทำงานร่วมกันมาหลายชั่วโมงของวันนี้ หรืออาจจะเป็นบุคลิกลักษณะของเขาก็ได้ ที่ดูค่อนข้างเปิดเผยและตรงไปตรงมา"ชอบทานหวานหรือคะ" หญิงสาวถามขึ้นเป็นประโยคแรกเพื่อลดความเป็นคนแปลกหน้าต่อกัน เมื่อเห็นเขาฉีกซองเทน้ำตาลลงไปในถ้วยกาแฟถึงสามซองเพชระยิ้มตอบอย่างคนมีอารมณ์ขัน "ครับ ผมชอบทานหวานๆ ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน อาจเป็นเพราะบางทีชีวิตของคนเรามันอาจขมเกินไปก็ได้" "ขมหรือคะ" หญิงสาวเลิกคิ้วสวยเหนือดวงตา " ไม่น่าเชื่อเลย ดูท่าทางคุณเพชร เอ่อ.. ขออนุญาติเรียกคุณเพชรตามพี่อรนะคะ""งั้นผมก็ขอเรียกคุณ ว่าคุณอ้อนตามทุกคนนะครับ ... ท่าทางผมทำไมหรือครับ""ก็ท่าทางลักษณะคุณ เหมือนคนที่ไม่มีความทุกข์ร้อนใดๆเลย " เมื่อเหลือบตามองเขา ก็เห็นชายหนุ่มมองมาที่เธอยิ้มๆ ราวกับจะย้อนว่า...คุณเองก็เหมือนกัน...ดังนั้นหญิงสาวจึงยิ้มๆก่อนยักไหล่เบาๆ "แต่ก็นั่นแหล่ะ คนเราดูแต่เพียงภายนอกไม่ได้""จริงครับ เมื่อกี้ผมพูดเล่นน่ะ หมายถึงทั่วๆไป เพราะคนชอบถามว่าทำไมผมถึงชอบทานหวานจัง ผมก็ไม่ทราบหรอกครับ ชอบก็คือชอบเท่านั้นเอง"...ชอบก็คือชอบเท่านั้นเอง...นี่เขากำลังพูดถึงกาแฟหรือเปล่า ขณะที่กำลังนั่งมองเขาดื่มด่ำกับกาแฟที่เธอชงให้ ใจก็กระหวัดคิดไปถึงคำบอกเล่าแกมขอร้องของพี่สาวของเธอ...พี่รู้นะ ว่าตลอดเวลาที่ผ่านมา ยัยปอยน่ะมักจะเป็นภาระให้เธอต้องช่วยดูแลอยู่เสมอ แต่ถ้าว่าแม้จะอายุไม่ต่างกันมาก แต่ยัยปอยก็ถูกแม่ของเราตามใจมากเกินไป ความคิดความอ่านของแกยังคงเป็นเด็ก พี่อยากชดใช้ในสิ่งที่พี่เคยทำพลาดไป พี่อยากให้สิ่งที่ดีที่สุดกับลูก อ้อน เธอเข้าใจใช่ไหม พี่รู้ว่าเธอเข้าใจ เธอพร้อมจะเข้าใจทุกคนอยู่แล้วนี่ จริงๆ เรื่องนี้อาจจะไม่เกี่ยวกับเธอเลย แต่พี่ก็ยังอยากให้เธอช่วยพี่อยู่ดี ...มีผู้ชายคนหนึ่ง เขาสำคัญสำหรับพี่มาก พี่อยากให้เธอช่วยผลักดัน ช่วยทำให้ยัยปอยใจอ่อนและยอมรับเขาเข้ามาในชีวิต...นะ ช่วยพี่นะ...เพชระมองคนตรงหน้าด้วยสายตาคมเข้มผ่านถ้วยกาแฟสีขาวลายน้ำตาล "คุณจะไม่ถามผมหรือครับ ว่าผมเป็นใคร มาจากไหน แล้วมารู้จักกับพี่สาวของคุณได้อย่างไร ผมนึกว่านั่นจะเป็นสิ่งแรกที่คุณจะถามผมเสียอีก ตั้งแต่คุณเริ่มเชิญผมนั่งลง เมื่อคำนึงถึงข่าวคราวต่างๆของผมกับคุณอรที่คนแถบนี้เขาพูดถึงกัน ซึ่งก็ออกจะเกินจริงไปซักนิด"เมื่อเจอคำถามตรงๆจากคนตรงหน้า แม้ลอออินทร์จะแปลกใจเล็กน้อย หากแต่เพียงยิ้มน้อยๆอย่างเคย "ถ้าถามแล้วคุณจะตอบหรือคะ...ไม่หรอกค่ะ นั่นไม่ใช่สิ่งที่ฉันอยากรู้ อ้อ ไม่ใช่สิ ฉันต้องบอกว่า นั่นไม่ใช่สิ่งที่ฉันจำเป็นต้องรู้ ฉันแค่จำเป็นต้องทำสิ่งที่ต้องทำ ""ก็ดีครับ ขอบคุณ ผมเองก็เหมือนกัน ว่าแต่ว่า..." มองถ้วยกาแฟในมือหญิงสาว "คุณชอบดื่มกาแฟดำหรือครับ"คำถามนั้นทำให้ลอออินทร์หัวเราะออกมาเสียงใสเมื่อเจอเขาย้อนถามกลับบ้าง " คุณนี่จริงๆ เลย.. ใช่ค่ะ ฉันชอบกาแฟขมๆ และถ้าคุณจะถามต่อว่าทำไม ฉันก็คงจะตอบว่า คงเป็นเพราะในชีวิตของฉันมีแต่เรื่องหวานๆเกินไป ฉันก็เลยอยากดื่มอะไรแก้เลี่ยนบ้าง" เสียงหัวเราะที่ดังประสานกันของคนสองคนที่อยู่ด้านล่าง ทำให้เท้าในรองเท้าแตะหัวกระต่ายสีแดงชะงักกลางคันที่บันไดก่อนถึงสองขั้นล่างสุดท้าย หญิงสาวชะงักงันไป ก่อนเอนหลังพิงพนังเพื่อเงี่ยหูฟังให้แน่ใจว่าไม่ได้หูฝาด นานเท่าไหร่เธอก็จำไม่ได้แล้ว ที่ได้ยินเสียงลอออินทร์หัวเราะเต็มเสียงอย่างสบายอารมณ์เช่นนี้ เเม้ว่าลอออินทร์จะเป็นคนยิ้มแย้มแจ่มใส ไม่ใช่สิ ต้องบอกว่า แม้ว่าน้าสาวของเธอจะเป็นคนยิ้มง่าย แต่ปานวตาก็รู้ดีว่านั่นเป็นเพียงการยิ้มแย้มตามมารยาท และเป็นเพราะนิสัยอ่อนหวานเป็นมิตรแต่ดั้งเดิมอยู่แล้วตั้งแต่กลับมาจากกรุงเทพฯเมื่อหลายปีก่อน รอยยิ้มและเสียงหัวเราะอย่างนี้ไม่เคยย่ำกรายมาแต่งแต้มริมฝีปากสวยนั้นอีกเลย รู้เพียงคร่าวๆว่าน้าสาวอกหักอย่างหนักมาจากเมืองกรุง เมื่อครั้งที่ขอแยกตัวออกไปเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยในกรุงเทพฯเพียงลำพัง ส่วนตัวเธอเองเลือกที่จะเรียนที่มหาวิทยาลัยในตัวเมืองแห่งนี้เอง ไม่มีใครเคยถามเรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้น ว่าทำไมลอออินทร์จึงซมซานกลับมาด้วยท่าทางของคนหัวใจสลาย สูญสิ้นความฝันทั้งหมดทั้งมวน และตัวลอออินทร์เองก็เป็นคนไม่เปิดเผยตัวเองกับใครซักเท่าไหร่ เมื่อสิ่งใดที่หญิงสาวไม่ต้องการเปิดปากเล่า ก็อย่าพยายามถามเสียให้ยาก เพราะว่าจะไม่มีวันได้รับรู้แน่นอนดูสิ แต่เพียงแค่ได้เจอกับนายคนนี้ไม่นาน น้าสาวของเธอกลับหัวเราะได้อย่างเบิกบานใจ ราวกับว่าได้พบเพื่อนเก่าที่รู้จักมักคุ้นกันดีมานาน ผู้ชายคนนี้มีอะไรดีนักหนา ...เสน่ห์แรงเสียจริงนะ นายคนนี้... ยิ่งคิด ปานวตาก็ยิ่งใจขุ่นมัว จนต้องเดินกระแทกเท้ากลับขึ้นชั้นบนไป* * * * * * * * * *แม้เมื่อตอนสายโด่งจนเกือบเที่ยง หญิงสาวจะตื่นขึ้นมาด้วยความหงุดหงิด เพราะว่าเมื่อคืนนี้กว่าจะหลับลงได้ก็ดึกโข นอนกระสับกระส่ายทั้งคืน ร้อนอบอ้าวแบบแปลกๆ แต่ปานวตาก็ลากสังขารมาที่อรอรีสปาร์แอนด์ซาวน์น่าของมารดาในตอนบ่ายแก่ๆอยู่ดี เพราะสัญญาไว้แล้วว่าจะเข้ามาศึกษาดูงานตามที่เคยบอกมารดาไว้ แต่มีข้อแม้ว่าจะต้องให้เธอลองทำเพียงบางส่วนเท่านั้น เพราะหญิงสาวไม่มีความถนัดในด้านนี้เอาเสียเลย ตั้งแต่เล็กๆมา ก็อยู่กับคุณยายอนงค์มาตลอด ทำในสิ่งที่อยากทำ เรียนในสาขาที่อยากเรียน นั้นก็คือการถ่ายรูป ไม่เคยทำงานทำการอะไรเป็นหลักแหล่ง วันดีคืนดีก็อาจจะช่วยถ่ายรูปส่งให้กับนิตยสารของเพื่อนที่เคยเรียนมาด้วยกัน ซึ่งตอนนี้เปิดสำนักพิมพ์เป็นของตัวเอง แถมยังนั่งแท่นเป็นบรรณาธิการเองเสียด้วยอารามรีบร้อนเปิดผลัวะเข้าไปที่ห้องทำงานของมารดา ก็ทำให้ต้องรีบย่นคอทันที เพราะไม่นึกว่าจะมีแขกอยู่ด้านใน เมื่อกี้ก่อนเข้ามาก็ไม่ทันได้ถามเด็กๆข้างนอกว่าแม่ของเธอมีแขกหรือไม่ แต่เมื่อเปิดเข้ามาอย่างเต็มที่ขนาดนี้ จะถอยกลับก็กระไรอยู่ ดังนั้นทันทีที่มารดาเงยหน้ามามอง หญิงสาวก็เดินหน้าทักทายทันที หากแต่เปลี่ยนจากคำถามเกี่ยวกับใครบางคนที่ถูกส่งไปที่ร้านเมื่อคืนมาเป็นเพียงคำทักทายทั่วไปแทน"หวัดดีค่ะ แม่""อ้าวยัยปอย มาพอดี เข้ามาสิ...เอ่อ" ก่อนจะหันไปทางบุรุษที่นั่งหันหลังให้ประตู "คุณคิรากรคะ ขออนุญาติแนะนำเสียหน่อย นี่ปานวตาลูกสาวของฉันเองค่ะ" หันไปมอง " ส่วนนี่...คุณคิรากรลูกค้าคนสำคัญของแม่" เมื่อลูกเอ่ยเรียกแม่อย่างไม่ขัดเขินอย่างเคย อรอรีก็เปลี่ยนสรรพนามจากฉันเป็นแม่ในทันทีทันใด ราวกับรอเวลานี้มานานแสนนาน ปานวตายกมือไหว้ทันทีตามมารยาท เงยหน้าขึ้นพอดีกับที่คนที่หันมารับไหว้ลุกขึ้นมาจากเก้าอี้ ตาสบตา...ไม่น่าเชื่อ... ปานวตาแอบสะดุ้งอยู่ในใจ ก็คนที่ยืนอยู่ตรงหน้าของเธอตรงนี้ คือคุณชายแปดสิบแต้มของเธอนั่งเอง "คุณ เอ่อ คุณ...""ผม..คิรากร ยินดีที่ได้รู้จัก" ชายหนุ่มบอกแววตานิ่งๆ ไม่มีวี่แววอย่างใด ทำให้ปานวตาตอบด้วยรอยยิ้มอ่อนๆตามมารยาท ...เขาจำเธอไม่ได้กระมัง..."ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกันค่ะ" หันมาหาผู้เป็นมารดา "เดี๋ยวปอยขอเอาของไปไว้ที่ห้องเล็กก่อนนะคะ" ก่อนจะเดินออกไปทันที ทันได้ยินเสียงมารดาไล่หลังมา "แล้วเดี๋ยวมาทานของว่างด้วยกันที่ศาลาริมสระน้ำนะ"...ตายแล้ว...ดีนะ ที่เขาจำฉันไม่ได้ ไม่งั้นคงอายน่าดูเลย ทำไมโลกมันถึงได้กลมขนาดนี้ คิดแล้วอยากเอาหัวโขกกำแพงซักร้อยครั้ง..." เสื้อสีชมพู ดูดีมากเลยค่ะ เมื่ออยู่บนตัวคุณ" ...อร๊าย..ย..ย..ย..มุกที่เชยกว่านี้ จะมีอีกไหม ตอนพูดออกไป ทำไมไม่คิดก่อนน้า ว่าทฤษฏีโลกแคบโลกกลมน่ะมันมีจริง...ปอยเอ๋ย..ย..ย..อย่าให้เขาจำเธอและมุกเห่ยๆได้เลย เพี้ยง...กลับลงมาอีกทีที่ศาลาริมสระน้ำ ลูกค้าคนสำคัญของมารดาก็ยังคงอยู่ นั่งหลังตรงแน่วเป็นหุ่นขี้ผึ้งอยู่ที่พื้นศาลายกสูงเรียบร้อย ตรงหน้าเป็นโต๊ะแบบญี่ปุ่นตัวเตี้ยสองตัว เต็มไปด้วยอาหารคาวหวานที่มารดาบอกว่าเป็นเพียง"ของว่าง" ของว่างที่ครบเครื่อง ทั้งยำวุ้นเส้นทะเลขึ้นชื่อของที่นี่ ปอเปี๊ยทอดร้อนๆ สลัดผักสด สลัดผลไม้ ผลไม้สดหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ สวยงาม น้ำผลไม้ปั่นอีกสองสามชนิด และอาหารคาวอีกสี่ถึงห้าชนิด เมื่อลงนั่งพับเพียบข้างอรอรี และเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม จึงได้คำตอบมาว่า อยากให้คิรากรได้ลองชิมอาหารของทางเรา ว่าเหมาะสำหรับรองรับลูกค้าที่จะมาจากโรงแรมของเขาหรือไม่ เมื่อนั่งลงชิดมารดาเช่นนี้ ปานวตาต้องยอมรับว่า การพูดคุยอย่างเปิดใจเชิงทะเลาะกันเมื่อคราวก่อน ดูเหมือนจะช่วยปลดเปลื้องอารมณ์ขุ่นข้องหมองใจที่มีต่อกันมานานไปได้มาก แม้ว่าตัวเธอเองจะบอกมารดาอยู่เสมอว่าขอระยะห่างระหว่างกันให้คงที่ดังเช่นเดิม แต่เมื่อได้มานั่งอยู่ ณ ตรงนี้ กริยาอาการที่อรอรีเอามือมาแตะต้นขาของเธอไว้ราวกับสนิทชิดเชื้อและพูดคุยบอกกล่าวราวกับเธอเป็นคนสำคัญเช่นนี้ ก็ทำให้รู้สึกอุ่นวาบขึ้นมากลางหัวใจอย่างบอกไม่ถูก แม้ไม่อยากยอมรับความรู้สึกของตัวเองเท่าใดก็ตาม จึงต้องหันเหไปทางแขกตรงหน้า แขกที่ไม่เหมือนแขกซักนิดเดียว แขกที่เป็นคนไทยแท้ ตัวสูงมากๆ ผิวขาวจัดอย่างคนกรุง จมูกโด่งคมสัน ดวงตาคมสีดำสนิท สีเดียวกับสีผมที่ตัดเข้าทรงได้รูปสวยงามพอดิบพอดี รวมไปถึงชุดสูทสีดำ กางเกงขาวยาวและเสื้อเชิ๊ตสีขาว ส่วนสูทตัวนอกสีดำถูกถอดพาดไว้บนระเบียงของศาลาด้านข้าง ต้องยอมรับว่าชายหนุ่มดูดีในแบบฉบับของผู้ชายขนานแท้ ที่สาวๆคนไหนเห็น ต้องน้ำลายหกเป็นแน่แท้...ไม่งั้นจะผ่านสายตาของปานวตา ได้ถึงแปดสิบแต้มได้อย่างไร จริงไหม...ยังไม่ทันได้เอ่ยถามอันใด เสียงมือถือก็ดังขึ้นขัดจังหวะเสียก่อน อรอรีรับสายและขอตัวกับคนทั้งสองทันที "เอ่อ ขอโทษด้วยนะคะคุณคิรากร พอดีว่าด้านบนโน้นมีเรื่องนิดหน่อยค่ะ คงต้องขอตัวซักครู่ ปอยดูแลคุณเขาหน่อยนะ ไม่ต้องไปหรอก ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรมากมาย อ้อ ทานเรียบร้อยแล้ว พาคุณเขาไปเดินดูรอบๆบริเวณที่นี่ทั้งหมดเลยนะ"คล้อยหลังมารดาไปได้ซักครู่ ปานวตาจึงเลื่อนจานเล็กมาวางตรงหน้าชายหนุ่ม ก่อนยกโถขนาดกลางมาตักข้าวสวยออกใส่จานของเขา "คุณคิรากร เชิญค่ะ"" เชิญคุณด้วยนะ " เขาบอก ก่อนจะทดลองชิมอาหารจานต่างๆ และทั้งสองก็พูดคุยแลกเปลี่ยนกันถึงรสชาติอาหารต่างๆ โครงงานที่คุยค้างไว้จากอรอรี และเรื่องราวทั่วไปไม่เจาะจง ก่อนที่จะชะงักค้างไปชั่วครู่ เมื่อเห็นคิรากรหยุดดื่มน้ำไปเสียหมดแก้ว ก่อนจะเติมอีกครั้งและอีกครั้ง ปานวตาจึงหัวเราะ"คุณทานเผ็ดไม่ได้นี่น่า เป็นเพราะเผ็ดแกงคั่วสับปะรดแน่เลย" คนตรงหน้าเพียงแต่ยิ้มๆ แก้เก้อ "ไม่ใช่ทานเผ็ดไม่ได้ครับ เพียงแต่ผมทานบางอย่างไม่ได้เท่านั้น ผมเกลียดสับปะรด"แค่นั้นปานวตาก็ยิ้มออก "ไม่น่าเชื่อ ทำไมหรือคะ" "ไม่ทราบสิครับ จำได้แต่ว่าตั้งแต่ตอนเด็กๆมาแล้ว ถ้าผมทานเจ้าผลไม้ชนิดนี้ทีไร ผมจะแสบคอและรู้สึกกระหายน้ำทุกที""แปลกจริง" เธอว่า "ไม่เหมือนบางคน" "หืม..ม" ชายหนุ่มหันมามอง"อ้อ เปล่าค่ะ ไม่มีอะไร" ยัยปอย เธอพูดอะไรออกไปเนี่ย? " ฉันตั้งใจจะพูดว่าจริงๆ แล้ว งานนี้แค่เรื่องเล็กน้อย คุณจะส่งใครบางคนมาก็ได้นี่คะ""ครับผมทราบ แต่ผมอยากมาเอง" เขาบอกเสียงหนักแน่น ทำให้ปานวตามองอย่างแปลกใจ...ผมอยากมาเองงั้นหรือ? ไม่มีความจำเป็นเลย เพื่อ?ก่อนจะเปลี่ยนเรื่อง "โอเคไหมคะ อาหารของทางเรา""ดีครับ" เขาบอก ก่อนจะมองมาที่เธอตรงๆ"มีอะไรหรือเปล่าคะ" ก่อนจะก้มลงมองตัวเองอย่างสงสัย"เปล่าครับ" ปากปฏิเสธแต่ดวงตาคู่คมของเขา มีแววยิ้มน้อยๆ".." อย่าบอกนะว่าเขาจำเธอได้ แล้วมุกเชยๆนั่นอีก