ธารรักสีเงิน :: บทที่9

ยิ่ง(อยาก)ห่าง
ยิ่ง(ต้อง)เข้า
ใกล้

แม้เจ็
บปวด  แค่ไหน
แต่หัวใจ ก็อยากจะทน








บทที่ 9
...บ้านคุณย่า...




บ้านคุณย่าของต้นธารและต้นหลิวในสายตาของบูรณีช่างกว้างใหญ่ไพศาล แม้ว่าฐานะของบ้านต้นตระการและบ้านศิริกุลนั้น จะถือว่าเป็นเศรษฐีประจำจังหวัดอยู่แล้ว แต่เทียบไม่ได้เลย กับความมั่งคั่งอย่างมหาศาลของต้นตระกูลต้นตระการที่ปลูกสร้างอยู่ใจกลางกรุงเทพมหานคร

“คุณย่าไม่ชอบใจเลย...”

นี่คือคำบอกเล่าของต้นหลิวในคืนนี้ ที่ถือวิสาสะเข้ามานอนด้วยกันในห้องพักรับแขกของบูรณี ท่ามกลางสายตาที่มองมาอย่างไม่ค่อยชอบใจนักของต้นรักเมื่อเขารู้เข้า เขาไม่แสดงออกแจ่มแจ้งนัก แต่บูรณีรู้สึกได้

เสียงต้นหลิวพูดต่อ “คุณย่าโกรธมากแล้วก็น้อยใจที่พ่อฉันย้ายไปอยู่ต่างจังหวัด แถมยังทำตัวเป็นเกษตรกรเต็มขั้นแบบนั้น คุณย่าท่านว่า งานใช้แรงงานกลางแดดแบบนั้น มันเป็นงานของพวกกุลี พวกไม่มีอันจะกิน ผู้ดีมีเงิน มีทอง มีเชื้อสาย เขาไม่ทำกัน”

“ตายแล้ว แล้วตอนนี้คุณย่าหายโกรธหรือยัง?” บูรณีถามด้วยความสนใจ

“หายโกรธแล้ว หายนานแล้วด้วย ท่านรู้สึกดีขึ้นมาก ก็ตั้งแต่พ่อกับแม่ฉัน ยอมยกพี่ธารให้ท่านเอามาเลี้ยงดูตามที่ท่านต้องการแล้ว รายนั้นน่ะ คุณย่ารักมาก ทั้งรัก ทั้งหลง ยอมถวายให้ทุกอย่าง อยากได้อะไรก็ได้ ยิ่งตอนที่พี่ธารสอบเข้านิติศาสตร์ได้ เพื่อตั้งใจจะเจริญรอยตามคุณปู่ที่เสียไป คุณย่ายิ่งภูมิใจ เพราะหวังว่าซักวัน พี่ธารจะได้เป็นผู้พิพากษาขั้นสูงเหมือนคุณปู่”

ประโยคนั้นทำให้คนฟังแปลกใจ จนต้องเอ่ยถามต่อด้วยความอยากรู้

“อ้าว แล้วทำไมคุณธาร ถึงกลายไปเป็นชาวสวนเสียได้” คำถามนั้น ทำให้ต้นหลิวที่นอนอยู่บนเตียง เอียงคอมามองคนที่นั่งอยู่ข้างๆ ด้วยสายตาแปลกๆ

“นี่ไม่รู้จริงๆ เหรอ?” ท่าทางไม่เชื่อถือ แต่เมื่อบูรณียังคงส่งสายตาใสแจ๋ว คล้ายไม่รู้จริงๆ ไปให้ ต้นหลิวก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ พึมพัมกับตัวเอง “บางทีเธออาจจะไม่รู้จริงๆ ก็ได้” ว่าแล้วก็ยกผ้าห่มขึ้นมาคลุมตัว พร้อมตบเตียงข้างตัวเบาๆ ให้มานอน “มาม๊ะ มานอนเถอะ ถ้าเรื่องนี้เธอยังไม่รู้ ก็แสดงว่าตัวต้นเหตุใจแข็งและเย็นชากว่าที่ฉันคิดไว้เยอะจริงๆ”

“หมายความว่ายังไง?” คำถามของเด็กสาว ไม่ได้รับคำตอบ แม้เช้าวันรุ่งขึ้น บูรณีก็พยายามกระซิบถามด้วยคำสงสัยอีกครั้งบนโต๊ะอาหาร ต้นหลิวจึงเพียงบอกกวนๆ เล่นลิ้น

“หัวใจมันเรียกร้องอ่ะน้อง เข้าใจป่ะ” แล้วต่อประโยคนั้น ด้วยคำอุทานเบาๆ “เฮ้อ ...อีกแล้วเหรอ”

บูรณีสนใจ หันมามอง “อีกแล้ว เหรอ อะไรคะพี่หลิว”

ต้นหลิวจึงกระซิบ “โน่น” เมื่อบูรณีหันมองตามคำบอก ก็สานสบเข้ากับสายตาของต้นรักที่มองมาอยู่แล้ว

มองแต่ไม่ได้พูดอะไร


ส่วนคุณย่านั้น เมื่อทานเสร็จ คุยกันสองสามคำ ก็ลุกออกไปจากโต๊ะอาหาร ปล่อยให้พวกคนหนุ่มคนสาว นั่งทานกันต่อไป
แม้ท่านจะคุยด้วย แต่ก็ไม่ได้ให้ความสนิทสนมอะไรมากมาย คล้ายมีบางอย่างกั้นอยู่ ดังที่ต้นหลิวบอกเมื่อคืนอีกเช่นกัน
คุณย่าก็งี้แหล่ะ

ถ้าแกเชิดใส่ ก็อย่าไปถือสาเลย เพราะหลังจากที่ผิดหวังจากพ่อฉัน ท่านก็ต้องมาผิดหวังซ้ำสองกับลูกชายคนรองอย่างอารักอีก เพราะถึงจะมีอาชีพเป็นครูบาร์อาจารย์อย่างที่คุณย่าต้องการสมใจ แต่เรื่องชีวิตส่วนตัวกลับไม่ประสบความสำเร็จ...


ประโยคนั้น ทำให้บูรณีได้แต่กังขา ว่าคนที่ดูสมบูรณ์พร้อมอย่างผู้ชายตรงหน้าเธอ เขายังมีสิ่งใดบกพร่องไปอีกหรือ !!!

หลังจากผิดหวังกับอารัก ก็มาผิดหวังรอบที่สามกับพี่ธารอีก คราวนี้แหล่ะบุ๋มเอ๋ย คุณย่าสติแตกไปเลย ฉันน่ะโชคดีหน่อย ที่คุณย่าไม่ได้เลี้ยงมา พอทำอะไรไม่ได้ดั่งใจ ท่านก็ปล่อยๆ ไป คงเบื่อจะมาวุ่นวายน่ะ ...



ลับหลังคุณศรีจิตราไป ต้นหลิวก็ยังคงบอกต่อ

“ท่านไปรับรอคนพิเศษ” บูรณีเลิกคิ้วสูง รอรับฟัง “คนพิเศษที่เหลืออยู่หนึ่งเดียว ใครแตกไม่ได้เลยนะคนนี้ รักยิ่งกว่าไข่ในหิน...แม้แต่อารักก็ตาม”

เด็กสาวไม่ได้ถามต่อ ว่าคนพิเศษคือใคร แม้จะอยากรู้สุดใจก็ตามที ว่าคนพิเศษนั้น เป็นใคร สำคัญอย่างไร อาจารย์ต้นรักของเธอ ถึง”แตะ” ไม่ได้เชียว อยากถาม แต่ไม่กล้า สุดท้าย พอชายหนุ่มทานอิ่ม เขาก็ก้าวออกไปทางเดียวกับคุณศรีจิตรา มารดาของเขาทันที

แล้วเมื่อทั้งบูรณีและต้นหลิวเดินมายังสวนสนามหน้าคฤหาสถ์ ความสงสัยก็แจ่มกระจ่าง คนพิเศษที่ต้นหลิวพูดถึง กำลังนั่งเรียบร้อยอยู่บนเก้าอี้ของคุณศรีจิตรา เด็กสาวผิวขาวจัด และรูปร่างหน้าตาดูเป็นสาววัยรุ่นแรกแย้ม ผมยาวสลวยดำสนิทดังขนนกกาดำ ทิ้งตัวไปตามแผ่นหลังตั้งตรง ด้านหน้าเป็นผมม้าสวยงามเป็นระเบียบพอดีเป๊ะกับคิ้วเข้มๆ เหนือดวงตาคมกริบ ดวงตากลมโตหวานจัด ดูทั้งหวานและคมในคนคนเดียวกัน เด็กสาวหันมามองและยกมือไหว้ทันที เมื่อทั้งสองเดินไปถึง

“หวัดดีค่ะ พี่หลิว” คนถูกทักยังไม่ทันมีโอกาสได้ทักทายกลับ เสียงคุณศรีจิตราก็แทรกเข้ามาเสียก่อน

“แหน๊ะ สอนไม่รู้จักจำ ยัยไหม ต้องพูดให้เต็มๆ ว่าสวัสดีสิ พูด หวัดดีๆ เฉยๆ มันน่าเกลียด ดูไม่มีมารยาท และไม่ให้เกรียติคนที่คุยด้วย เดี๊ยะเถอะ ...อย่าริหัดเอาเยี่ยงอย่างพวกวัยรุ่นสมัยนี้”

“คุณย่าก้อ..” ต้นหลิวท้วงแทนเด็กสาว “เดี๋ยวนี้ใครๆ ก็พูดกันแบบนี้แหล่ะค่ะ มันเป็นเรื่องธรรมดาไปแล้ว”

“เอ๊ะ ยัยหลิวนี่ เธอคิดว่าฉันตามโลกไม่ทันหรือไง ฉันรู้ ว่าคนสมัยนี้มันพูดกันให้เกร่อ แต่ฉันไม่ชอบ ฉันต้องการปลูกฝังสิ่งดีๆ ให้ลูกหลาน โลกมันเปลี่ยนไป มันแปลว่าเราต้องเปลี่ยนแปลงตามโลกไปหรือไง ภาษาไทยดีๆ วิบัติหมด” บ่นต้นหลิวแล้วหันกลับมาที่แพรไหม “อย่าเอาเยี่ยงเอาอย่างพี่แกเชียวนา” ว่าแล้วก็หันไปเรียกบูรณีเข้ามานั่งข้างๆ ต้นรักที่นั่งจิบกาแฟอยู่ เขาไม่ได้แสดงความเห็นใดๆ

“มานี่สิบุ๋ม ...บุ๋มใช่ใหม?” ถามย้ำอีกค่ะเพื่อความแน่ใจ เพราะเพิ่งรู้จักกันเมื่อวาน ลูกชายคนรองพาเข้ามาไหว้ และแนะนำว่าเป็นรุ่นน้องของหลานสาว กริยาท่าทางเรียบร้อย ไม่ก๋ากั่นเกินงาม ทำให้คุณศรีจิตราไม่มีอคติอันใดในใจ

“รู้จักกันไว้ นี่บุ๋ม เพื่อนพี่หลิวเค้า ส่วนนี่ แพรไหม ลูกสาวของต้นรัก”

คำแนะนำทำเอาบูรณีอ้าปากหวอ แล้วหันมามองหน้าคนข้างๆ

 “ลู ลู ลูกอารักหรือคะ?”

จะไม่ให้ตกใจได้อย่างไร รู้จักกันมาตั้งหลายปี ไม่เคยมีวี่แววมาก่อน ไม่ค่อยมีใครพูดถึงเรื่องส่วนตัวของชายหนุ่มนัก อีกอย่าง ตัวบูรณีเอง ก็ไม่เคยได้พบกับภรรยาของต้นรักเลยซักครั้ง และยิ่งเหลือเชื่อเข้าไปใหญ่ เพราะเด็กสาวที่นั่งอยู่ตรงหน้าเธอนี้ ดูเป็นสาวเสียเหลือเกิน แม้จะไม่เป็นสาวเต็มตัว แต่ก็ดูโตเกินกว่าจะเป็นลูกสาวของชายหนุ่มอย่างต้นรักไปได้

เห็นปากหวอๆ ของบูรณี ต้นหลิวเลยช่วยเสริม “อารักดูหนุ๊ม หนุ่ม ปีนี้39 จะย่าง 40 แล้วนะ จะบอกให้”

“แต่บุ๋มไม่เคยรู้มาก่อนเลยจริงๆ ไม่เคยเห็นซักครั้ง คุณย่ากับน้องแพรไหม เคยไปเที่ยวที่สวนต้นตระการไหมคะ?”

“เฮอะ ..” หญิงชราทำเสียงขึ้นจมูก “ไอ้สวนขี้ประติ๋วนั่นน่ะเหรอ ฉันไม่เคยไปหรอก ไม่สนใจจะไป มันจะมีอะร๊าย..ย..ย นอกจากป่ารกๆ ชันๆ ทำมาคุยว่าสวยอย่างนั้น สวยอย่างนี้ ฉันไม่เชื่อน้ำยาพวกนอกคอกพวกนี้หรอก”

บูรณียิ้มแห้ง แก้ต่างให้ “แต่สวนของอารักสวยจริงๆ นะคะคุณย่า ไม่ได้มีแต่ลำไย ส่วนของลำไยเป็นของคุณธารเขา แต่ส่วนของอารัก เป็นสวนดอกไม้ ซ๊วย สวย เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าไปเยี่ยมชมด้วย”

เมื่อเห็นแววตาของคุณศรีจิตรา บ่งบอกว่าสนใจ เธอเลยรีบเสริม “ เมื่อเดือนเก่าโน้น มีชาวต่างชาติ มาทำสารคดีและสกู๊ปเกี่ยวกับพีชพรรณเมืองร้อนด้วยนะคะ ชาวบ้านแถวนั้น ปลื้มกันมากๆ เลยค่ะ”


แววตาผู้สูงวัยมีแววเอ็นดูคนช่างจำนรรจาขึ้นมานิดนึง แต่ก็เอ่ยขัดคอเบาๆ “เฮอะ คนพวกนี้จ้างเธอมาเท่าไหร่ล่ะ ถึงได้ยกยอซะดิบดี” เท่านั้นแหล่ะ คนทั้งโต๊ะก็หัวเราะร่วน สนุกสนาน

“ไม่มีใครจ้างหรอกค่ะ แต่ของมันดี บุ๋มก็ต้องชมเป็นธรรมดา” ก่อนหย่อน “ลองไปเที่ยวซักครั้งสิคะ แล้วจะติดใจ ถ้าคุณย่าไป บุ๋มจะคอยพาเที่ยวเอง และที่สำคัญ สวนของบุ๋ม ก็สวยไม่แพ้สวนอารักเลยนะคะ”

“ขี้โม้” ต้นหลิวขัดคอทันที “คุณย่าอย่าเชื่อนะคะ ยัยบุ๋มขี้โม้ สวนยัยบุ๋ม สวยไม่ถึงครึ่งของสวนเราหรอก ..ใช่มั๊ยอา?” หันไปพยักเพยิดกับอาหนุ่ม หาแนวร่วม

บูรณีก็เลยรีบหันไปหาต้นรักเช่นกัน รอคำยืนยัน “ไม่จริงใช่มั๊ยคะอารัก” น้ำเสียงอ้อน

แววตาของต้นรักที่มองสบตา มีความเอ็นดู๊ เอ็นดู ไม่ตอบว่ากะไร หันไปบอกคุณศรีจิตรา “ของแบบนี้ ต้องไปดูด้วยสายตาตัวเองครับแม่”

เด็กสาวอีกคนที่นั่งเงียบฟังผู้ใหญ่มาตลอด รีบเสริม “งั้นขอแพรไปด้วยนะคะ คุณพ่อ”

หญิงชรา จึงเชิดหน้าคอแข็ง แล้วพยักหน้าตกลงอย่างไว้ฟอร์ม











สวนศิริกุล...





บงกชอยากจะกรีดร้องออกมาดังๆ เมื่อตื่นเช้าขึ้นมาแล้วมุ่งหน้าเข้าสู่สวน ผู้ชายคนที่หญิงสาวสาบานตน ว่าจะคอยอยู่ให้ห่างไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้ ก็พาตัวเองเข้าใกล้ๆ ตามที่เขาสัญญาไว้เมื่อวานจริงๆ และบงกชได้แต่นึกขอบคุณตัวเอง ที่หนีบเอาลายเมฆมาด้วย หลังจากที่เขาตั้งใจเพียงจะมาส่ง และหลังจากนั้นจะเข้าเมืองเพื่อเรื่องส่วนตัวของเขา

“โอ๊ะ โอ...” ลายเมฆอุทานในลำคออย่างล้อเลียน เมื่อชะลอรถจอดลงหน้าอาคารอเนกประสงค์ของสวนศิริกุล เบื้องหน้า กลุ่มคนงานกว่ายี่สิบคน กำลังทยอยพากันออกไปทำงาน เผยให้ต้นธาร ที่ยืนเด่นสง่าอยู่ท่ามกลางผู้คนเหล่านั้น “เธอไม่ยักกะบอกฉันก่อนนะบัว ว่านายคนนั้นจะมาที่นี่ มีอะไรที่ไม่ได้เล่าให้ฉันฟังหรือเปล่า”

บงกชตาเขียวใส่ “ฉันก็ไม่รู้นิ ว่าเขาจะมาเร็วขนาดนี้” ก่อนจะบอกเล่าเรื่องคำขอร้องของมารดาที่มีต่อต้นธาร ให้ลายเมฆฟังอย่างรวบรัด ก้าวลงมาจากรถ ไม่วายหันไปขึงตาใส่คนข้างตัว เอ่ยด้วยน้ำเสียงเข้มแกมบังคับ “ลงมา”

ลายเมฆยังคงนิ่ง ตาเป็นประกาย เล่นตัว “ไม่เอา วันนี้ฉันมีธุระส่วนตัวนิดหน่อย ถ้ารอช้า งานที่กรุงเทพของฉันเจ๊ง ฉันอดตายแน่” เขาบอกอย่างนั้น แต่บงกชรู้ว่ามันไม่จริง อย่างเพื่อนของหล่อนคนนี้ ต่อให้ไม่ทำงานทั้งชาติ ก็ยังห่างไกลกับคำว่า ..อดตาย

“ไม่รู้ล่ะ ลงมานะ ถ้ายังอยากเป็นเพื่อนกันอยู่ ฉันกระเตงนายมาจากกรุงเทพ ก็เพื่อการนี้ นายสัญญาแล้ว จะมาบิดพริ้วไม่ได้ ..ลงมา ... ลงมาเดี๋ยวนี้ แล้วห้ามทำหน้าซังกะตายใส่ฉันด้วย” กระซิบอยู่ในลำคอ “..ยิ้ม ...ยิ้มบาดใจสุดๆ กับฉัน เดี๋ยวนี้”


ต้นธารยังคงยืนรอคอยทั้งสองคนอย่างใจเย็น ใบหน้าเรียบเฉยไม่แสดงความรู้สึกใดๆ นั่นเป็นเพียงภายนอกเท่านั้น เพราะภายในร้อนระอุทีเดียว ยังจำภาพได้ลางๆ ของผู้ชายคนนี้ ว่าเป็นคนเดียวกับที่เขาเคยเห็นเมื่อ 7 ปีก่อน ที่หอพักนักศึกษาของบงกช

หากไม่ใช่เพราะเขาให้คนไปสืบเรื่องความสัมพันธ์ของทั้งคู่มาก่อน ในวันนี้ เขาคงอดใจไม่ไหว ตะบันหน้าไอ้หนุ่มหน้ามลคนนี้ไปแล้ว แต่ในตอนนี้เขารู้แล้ว ว่าผู้ชายที่ชื่อลายเมฆคนนี้เป็นเพียงเพื่อนสนิทของบงกชเท่านั้น ความรู้ข้อนี้ ทำให้เขา สามารถข่มเอาความขุ่นมัวในใจเอาไว้ได้ แม้จะไม่ทั้งหมดก็ตาม

...ดูสิ เธอกลับมาเหยียบที่นี่ทั้งที เธอกล้าพาเอาผู้ชายอื่นมาหยามหน้าเขา ทั้งๆ ที่ เธอรู้ว่าเขาอยู่ที่นี่ และรู้ดี ว่าเขาจะต้องไม่พอใจ

ในวันนี้ ลายเมฆ อาจจะกลับมากับบงกชในฐานะเพื่อนสนิทคนหนึ่งเท่านั้น แต่ก่อนหน้านั้น สิ่งที่เขาเห็น และสิ่งที่เขาได้ยินมา มันทำให้เขาเชื่ออยู่ลึกๆ ว่าครั้งหนึ่ง ทั้งสองเคยเป็นมากกว่าแค่เพื่อนกัน แต่เขาตั้งใจว่าจะปล่อยให้อดีต มันเป็นแค่อดีตไป

ในวันนี้ บงกช เป็นอิสระ จากทุกคน ดังนั้น เขาจะเอาเธอกลับมาคืนมา เอาเธอกลับมาอยู่เคียงข้างเขา แม้หัวใจของเธอ จะไม่มีเขาอีกแล้วก็ตาม แต่ครั้งหนึ่ง เธอเคยหลงรักเขา นั่นคือสิ่งที่เขายึดมั่นเอาไว้ เพื่อหล่อเลี้ยงหัวใจด้านชาของตัวเอง

“สวัสดี” เขาเอ่ยทักไปก่อน

ลายเมฆเปิดยิ้มกว้างทักทาย วางท่าเป็นเจ้าข้าวเจ้าของบงกช อย่างแนบเนียน แม้ใจจะรู้สึกได้ อย่างผู้ชายๆ ว่าคนคนนี้ เชื่อถือได้ แต่จากที่เคยได้ยินได้ฟังกิตติศัพท์และเรื่องราวในอดีตของบงกช จึงไม่อาจทำให้เขารู้สึกสนิทใจกับคนตรงหน้านี้ได้

แม้หน้าตาเขาจะเหมือนเทพบุตร แต่เขาคือซาตานดีๆ นี่เอง...

บงกช ซึ่งยืนอยู่ตรงกลางระหว่างชายหนุ่มสองคน คนหนึ่งคล้ำแดดอย่างหนุ่มบ้านไร่ ส่วนอีกคนนั้น ขาวราวกับน้ำนม ดูสำอางค์ แลเป็นชาวกรุงขนานแท้ คนหนึ่งหน้าเคร่ง นิ่งสงบ ส่วนอีกคน ยิ้มกว้างสว่างไสว

“นี่คือคุณต้นธาร เป็นเจ้าของสวนต้นตระการ ที่อยู่ติดกับสวนของฉันจ้ะเมฆ ... ส่วนนี่ลายเมฆ แฟนของฉันเองค่ะคุณต้นธาร”









Create Date : 30 พฤษภาคม 2556
Last Update : 30 พฤษภาคม 2556 4:46:10 น. 3 comments
Counter : 2026 Pageviews.

 
บทที่ 9 มาแล้ว ...
มาช้าๆ และไม่ต่อเนื่อง 55+


โดย: nikanda วันที่: 30 พฤษภาคม 2556 เวลา:5:14:19 น.  

 
ใจร้ายยย..เปลี่ยนชื่อเรื่องด้วย จำเกือบไม่ได้


โดย: Ama_jung IP: 125.24.76.206 วันที่: 30 พฤษภาคม 2556 เวลา:18:16:34 น.  

 
ฮุฮุ...


โดย: เหมือนพระจันทร์ วันที่: 15 มิถุนายน 2556 เวลา:22:38:06 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

nikanda
Location :
จันทบุรี Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 31 คน [?]




ลายปากกา









New Comments
Group Blog
 
<<
พฤษภาคม 2556
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
262728293031 
 
30 พฤษภาคม 2556
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add nikanda's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.