:: ใต้เขตธารา บทที่3 ::






...เพราะเขาคือประภาคารยิ่งใหญ่ หนักแน่นและมั่นคง ตั้งอยู่ตรงที่เดิมเสมอ ไม่ว่าเธอจะไปอยู่ที่ไหน แต่ในที่สุด สุดท้ายแล้ว เธอก็จะกลับมาอยู่ตรงนี้ ที่ๆเป็นแหล่งพักพิงหัวใจอย่างแท้จริง

...อ้อมกอดของเขตธารา











"สวยจังค่ะ บ้านใครคะ"

ชายหนุ่มไม่ได้ตอบในทันที แต่ยื่นมือมาจับข้อศอกหญิงสาวให้หมุนตัว แล้วดันเบาๆ ให้เดินไปเบื้องหน้า

"ชอบไหม" เขาถาม

ไม่ใช่เรื่องของเธอที่จะต้องตอบว่าชอบหรือไม่ชอบ จึงเลี่ยงไปตอบเพียงว่า "สวยจังค่ะ ของคุณเขตหรือคะ มาสร้างไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ไม่ยอมให้ป้ารัตน์ส่งข่าวกันบ้าง แต่ต้องยอมรับว่ารูปทรงทันสมัย และสีสันเข้ากับบรรยากาศเย็นๆ ร่มรื่นของที่บริเวณนี้มากเลย"

"เริ่มเขียนแปลนมาตั้งแต่สองปีที่แล้ว แต่ว่าเพิ่งมาสร้างปีที่แล้วและตกแต่งอะไรเล็กน้อยรอบนอก เพิ่งเสร็จเมื่อไม่นานนี้เอง แต่ยังไม่เรียบร้อยสมบูรณ์ดีนัก" เขาบอก

ชนิตาหันมามองอย่างแปลกใจ "ยังไม่เรียบร้อยตรงไหนคะ เท่าที่เห็นก็สมบูรณ์ดีทุกอย่างนี่คะ"

"เอาอย่างนี้ดีกว่า ไปดูข้างในกันดีกว่า" บอกพลางแตะหลังหญิงสาว ดันเข้าไปด้านใน

เมื่อเดินเข้ามาใกล้ ชนิตาก็ยิ่งมองเห็นความงดงามปีกย่อยของบ้านหลังน้อยหลังนี้ ตัวบ้านมีรั้วไม้เตี้ยๆ สีขาวล้อมรอบอยู่ ตัวรั้วถูกพันด้วยไม้เลื้อยเป็นเครือเล็กๆ สีเขียวอ่อนและแก่สลับกันไป ถนนอิฐสีน้ำตาลทอดเข้าไปในตัวบ้าน เปิดประตูเข้าไปด้านในก็ต้องแปลกใจ เพราะด้านในมีแต่ความว่างเปล่า ไม่มีเฟอร์นิเจอร์เลยแม้แต่ชิ้นเดียว ชนิตามองเขตธาราด้วยสายตาที่แสดงถึงคำถาม

เขาอธิบาย "ที่ยังไม่ได้ตกแต่งด้านใน ก็เพราะว่ากำลังรอเจ้าของบ้านมาเลือกเอง ว่าอยากตกแต่งแบบไหน อย่างไร" ชนิตามองหน้าเขายังไม่เข้าใจยิ่งขึ้น ก็ตัวเขาเป็นคนสร้างเอง เป็นเจ้าของเอง ยังจะต้องรอใครอีก

เมื่อเห็นสายตาแปลกใจ เขตธาราจึงแกล้งกรอกตาอย่างเบื่อหน่าย ก่อนจะบอก "ของคุณนั่นแหล่ะ"

"ฉันไม่เข้าใจ" ชนิตางง

"ไม่เข้าใจอะไร ภาษาไทยของผมเป็นภาษาต่างด้าวหรือไง สงสัยคุณไปอยู่บนป่าบนดอยมานาน จนลืมภาษาไทยแท้ๆ ไปแล้ว ผมบอกว่าบ้านนี้เป็นของคุณ" เขาว่า

"ฉันเข้าใจค่ะว่าคุณพูดว่าอะไร แต่ฉันไม่เข้าใจว่าคุณมาสร้างให้ฉันทำไม"

ก่อนจะทำตาโตมองเขาอย่างไม่เชื่อสายตาและถามด้วยน้ำเสียงอันดังอย่างไม่อยากเชื่อ...

"คุณ..ฉันไม่อยากจะเชื่อเลย อย่าบอกนะว่าคุณจะไล่ฉันลงมาจากตึกใหญ่ แล้วครอบครองบ้านหลังนั้นเสียเอง"

คราวนี้กลับกลายเป็นเขตธาราที่ตวัดสายตามองมาอย่างแทบไม่เชื่อหูตัวเอง ว่าหญิงสาวจะกล่าวหาเช่นนั้น "นี่แม่คุณ จะมีซักครั้งบ้างไหมที่จะไม่คิดเองเออเอง แล้วตีตนไปก่อนไข้ คุณเห็นผมเป็นคนแบบนั้นไปตั้งแต่เมื่อไหร่"

แล้วสายตาที่ได้รับกลับมา ก็พร้อมตอกย้ำอยู่แล้ว ว่าเธอคิดว่าเขาเป็นแบบนั้นจริงๆ

"คุณจะให้ฉันมองในแง่ดีได้อย่างไร พฤติกรรมทั้งหมดของคุณตั้งแต่ที่ฉันรู้จักมาสิบสามปี ก็คือไขว่คว้าและเข้าครอบครองทุกอย่างที่คุณอยากได้"

เขตธาราเพียงแต่ส่งเสียงหัวเราะในลำคอเบาๆ ก่อนจะมองมายังคนตรงหน้าอย่างหมายมาด "รู้ก็ดีแล้ว แต่ก็ไม่นะ บางอย่าง..." เขาแกล้งเว้นวรรคให้เธอรอคอยแล้วลากเสียงยาว มองหญิงสาวตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยสายตาแสดงความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ สายตานั้นทำให้คนถูกมองถึงกับตัวร้อนเป็นไฟ อยากจะเอาสองมือเล็กๆ นิ้วทั้งสิบนิ้วตะกุยลูกกะตาของเขา

"บางอย่าง...ผม-รอ-ได้" เขาเน้น

กรี๊ด..ด..ด..ด...ชนิตาอยากจะกรีดร้อง ที่เขาแกล้งยั่วเย้าราวกับเธอเป็นสิ่งของที่จะเอามาล้อเล่นเมื่อไหร่ก็ได้ แม้เขาจะไม่พูดมันออกมา แต่สายตามันฟ้อง ว่าเขาหมายถึงอะไร...ที่รอได้

"ฉันไม่รับ" เธอปฏิเสธทันควัน มองคนที่ยืนพิงผนังอย่างสบายอารมณ์เด้งตัวขึ้นมาทันทีเช่นกัน

"ทำไม" เขาถาม

"เพราะฉันไม่ต้องการ คุณมีสิทธิ์อะไรมาทำโน่นทำนี่ตามอำเภอใจ อย่าคิดนะ ว่าการแต่งงานบ้าๆ นั่น จะทำให้คุณมีสิทธิ์เหนือความคิดของฉัน ฉันไม่ต้องการ และฉันจะอยู่ที่บ้านใหญ่เหมือนเดิม"

คราวนี้เป็นชายหนุ่มที่ผ่อนหายใจลงอย่างโล่งใจ ...อ้อ ที่เธอไม่รับ ไม่ใช่เพราะมันไม่ถูกใจซักหน่อย เขารึอุตส่ห์คิดแบบเอง คิดแล้วก็กอดอกผ่อนตัวลงพิงผนังไหล่ข้างนึงอีกครั้ง

"คุณคิดมากเกินไปจริงๆ ผมล้อเล่น ใครเขาจะให้ลูกสาวผู้มีพระคุณ ลูกสาวที่เป็นเหมือนเจ้านายเหนือหัว" เขาประชดบ้าง "ย้ายลงมาจากตึกใหญ่เล่า เห็นป้ารัตน์เขาว่า คุณเคยฝันว่าอยากจะมีบ้านหลังเล็กๆ ไว้ข้างสระบัว จะได้มานอนเล่นพักผ่อน และเอาไว้เป็นสถานที่วาดรูป เลี้ยงสัตว์ประหลาดของคุณ"

คราวนี้เป็นชนิตาเองที่นิ่งไป...อืม..ม มันก็จริงแฮะ เธอเคยมีความใฝ่ฝันแบบนั้นจริงๆ

เขาอธิบายต่อ "ความจริงผมตั้งใจไว้ว่า จะให้เป็นของขวัญครบรอบการแต่งงานสามปีของเรา ผมตั้งใจจะให้มันเป็นเซอร์ไพร์สให้คุณแปลกใจเล่น แต่เมื่อคุณกลับมาเร็วกว่าที่คิด ผมก็ไม่คิดว่าค่าจะแตกต่างอะไร ตอนนี้หรือตอนไหน มันก็จะเป็นของคุณอยู่ดี เมื่อผมให้ คุณก็รับไปเถอะ"

เมื่อผมให้ คุณก็รับไปเถอะ...

อยากถามเขาจริงๆ ว่าเขาจะใช้ประโยคที่มันชวนให้คนรับ ไม่รู้สึกเหมือนถูกบังคับบ้างได้ไหม ปกติลิ้นของเขามันเคยทำหน้าที่ได้ดีกว่านี้นี่น่า เขาเคยใช้คำหวานๆ ล่อลวงใครมากี่คนแล้ว แล้วเมื่อเขายิ่งพูดถึงการแต่งงานของเรา

ของเราหรือ?
ของเธอคนเดียวต่างหาก ...


เด็กสาวหน้าโง่ โง่งม ยอมแต่งงานกับเขา เพราะคิดว่าผู้ชายที่สมบูรณ์แบบอย่างเขา จะก้มลงคุกเข่ามอบโลกชมพูใบน้อยๆ ให้กับเธอ ฝันไปแท้ๆ ถ้าเธอยอมรับของขวัญชิ้นนี้ ก็เท่ากับว่าเธอยอมรับการแต่งงานครั้งนั้น ว่ามันมีความสำคัญน่ะสิ

"ฉันไม่รับ"

"ชนิตา อย่าทำให้ผมต้องรู้สึกเหมือนกำลังขืนใจเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ สิ" เสียงเขาอ่อนโยนขึ้น "ตอนนี้คุณโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว ผมอยากให้คุณมองผมในมุมที่กว้างขึ้น มองผมอย่างที่ผมเป็นจริงๆ ใช้ใจคุณมองผม อย่าใช้สายตาของคนอื่นมองผม" เขาพูดแทงใจเธอ เหมือนกับที่สายตาของเขาซึ่งมองมายังเธอนั่นแหล่ะ รู้ทันสิ่งที่เธอคิดในใจทุกอย่าง

ก็ใช่นะสิ เพราะครั้งหนึ่งเธอเคยใช้หัวใจมองเขาไง เธอถึงมองไม่เห็นอะไร นอกจากความมืดบอดของความรู้สึกดีๆ...

ชายหนุ่มกล่าวเพียงเท่านั้น ก่อนจะหยัดตัวขึ้นแล้วหมุนตัวเดินออกไปจากบ้าน ทิ้งให้หญิงสาวยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น เสียงเขายังแว่วมากับสายลมที่พาดผ่านประตูบานกว้างเข้ามา

"ผมให้เวลาคุณคิดเรื่องนี้ได้อีกนาน ผมมีเวลาให้คุณคิดอีกเยอะ แต่ผมจะไม่ยอมรอไปตลอดชีวิตหรอกนะ ส่วนบ้านหลังนี้ ถ้าคุณไม่ต้องการ ผมจะให้ช่างมาทุบทิ้ง"

ชนิตายืนนิ่ง เขตธาราคนเดิมกลับมาแล้ว เขาไม่เคยเป็นผู้ชายอ่อนโยนได้นานหรอก เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย บางครั้งเขาอ่อนโยน บางคราวเขาก็แข็งกร้าว ครั้งหนึ่งเขาเคยเป็นผู้ชายที่เธอคิดว่าอ่อนโยนที่สุดในโลก แล้วความจริงบางอย่างก็ถาโถมเข้ามาให้เธอได้เห็นอีกด้านของเขา

เขาคิดว่าตัวเองเป็นพระเจ้าหรือไง? หรือเขาคิดว่าตัวเองเป็นสายลม ที่จะพัดไปพัดมาวนซ้ายแล้วม้วนตัวกลับมาขวาตามอำเภอใจ สุภาพเมื่อเขาต้องการ ใช้ไม้อ่อนเมื่อต้องการบางสิ่งบางอย่าง แต่ถ้าเขาไม่ได้อย่างที่ประสงค์ เขาก็จะเปลี่ยนมาใช้ไม้แข็งแทน ไม่ว่าจะในโลกของธุรกิจ การทำงาน หรือในโลกส่วนตัว แม้แต่ในความสัมพันธ์ก็ตาม

จะให้ช่างมาทุบทิ้งเหรอ เชอะ ช่างประไร ใครเล่าจะแคร์ อยากทำอะไรก็ทำไป...

แต่เมื่อคิดถึงว่าเขาเป็นคนจริงทำจริงแค่ไหน พูดคำไหนเป็นคำนั้นเสมอ ก็ทำให้หญิงสาวรู้สึกเสียดายบ้านหลังน้อยๆ หลังนี้ขึ้นมาตะหงิด แล้วถ้าเขาคิดจะทุบทิ้งจริงๆ เล่า ถ้ามันไม่ได้เป็นเพียงคำขู่ของเขา บ้านสีเขียวอ่อนริมน้ำเหมือนในเทพนิยาย ก็จะกลายเป็นเพียงเศษอิฐที่ไร้ค่า ไร้ราคา ไร้ความหมาย

คิดมาถึงตรงนี้ หญิงสาวก็รู้อยู่แก่ใจ ว่าในที่สุดแล้วเธอก็คงต้องยอมรับสิ่งที่เขาหยิบยื่นให้อีกครา

เธอแพ้อีกแล้ว...

แพ้เหมือนที่เคยแพ้ ในวันที่เขาก้าวเข้ามาหา คือช่วงเวลาที่เธอคิดว่างดงามที่สุด แต่พอโตขึ้นมาแล้วมองย้อนกลับไปเพิ่งเข้าใจว่ามันคือภาพลวงตา หลังจากบิดาเสียชีวิตไป ชนิตามีแต่เพียงความหดหู่และหมองเศร้า แม้ยามมีชีวิตอยู่ด้วยกันคุณสมเดชจะไม่ค่อยมีเวลาให้เธอนัก มักทิ้งให้เธออยู่ในอ้อมอกอบอุ่นของป้ารัตน์ แต่ลึกๆ ลงไป เขาคือความมั่นคงหนึ่งเดียวที่เธอมี ความมั่นคงทางจิตใจ ที่พักพิง ที่ๆทำให้เธอรู้สึกว่าเธอมีบ้านและมีใครซักคนซึ่งมีสายเลือดเดียวกันไหลเวียนอยู่ในร่างกายอย่างแท้จริงยืนหยัดอยู่ข้างๆ

จะว่าไปแล้ว ตัวเขตธาราเขาเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเธอตั้งแต่ตอนที่พ่อป่วยแล้ว แต่ยังไม่ใกล้ชิดนัก เขายังไปๆ กลับๆ จากเมืองนอก แต่ตอนหลังจากคุณสมเดชเสีย เขากลับมาอยู่เมืองไทยอย่างเต็มตัวและภาวร เพื่อเข้ามาบริหารงานต่อและเข้ามาครอบครองชีวิตส่วนตัวของเธอ ทั้งดุทั้งเคี่ยวในเรื่องการเรียน เพื่อน และอะไรอีกมากมายจนน่ารำคาญใจ แต่ในความรำคาญใจนั้น มันแอบแฝงอยู่ด้วยความพอใจลึกๆ

อย่างที่เธอไม่รู้ตัว...



อยู่ๆ ค่ำคืนหนึ่งในอดีต มีช่วงเวลาหนึ่งที่เธอกำลังวุ่นวายใจกับช่วงเวลาเปลี่ยนแปลงของชีวิต ช่วงนั้นเธอกำลังเครียดจากการรอลุ้นผลสอบเอ็นทรานซ์ ซึ่งไม่รู้ว่าชีวิตกำลังจะไปทางไหนดี รู้สึกสับสนวุ่นวายไปหมด เขตธาราในวัยยี่สิบหก หนุ่มฉกรรจ์ หล่อเหลา และเซ็กซี่ที่สุดในโลกของเธอ ก็มาเคาะประตูหน้าห้อง ห้องของเธอซึ่งเขาแทบไม่เคยจะชายตาแลหรือเฉียดมาทางปีกฝั่งนี้มาก่อน

ผู้ชายเต็มตัวในชุดเสื้อกีฬาสีเก่าๆ มีตราประทับของมหาวิทยาลัยชื่อดังติดอยู่ กางเกงยีนต์สีซีดสะอาดตาชายขาดลุ่ยและเท้าเปลือยเปล่าเซ็กซี่ เขามาพร้อมกับเบียร์สองกระป๋องในมือ และซีดีหนังคอมมาดี้เรื่องหนึ่งซึ่งกำลังฮ๊อตฮิตอยู่ในขณะนั้น ชนิตารีบถอยร่นเข้ามาในห้องอย่างรวดเร็วด้วยความแปลกใจ เมื่อมีแขกผู้ไม่ได้รับเชิญบุกเข้ามาหาในยามวิกาล เขาใช้ไหล่กว้างดันประตูห้องเข้ามาอย่างถือวิสาสะราวกับเขาเป็นเจ้าของห้องเสียเอง

เขาชวนเธอดูหนังที่นำติดมือมาด้วย เสียงเปิดเบียร์ดังป๊อกเบาๆ กลับดังสะท้อนก้องในห้องอันเงียบเชียบของยามดึก ชายหนุ่มบอกว่าเขาอนุโลมให้เธอดื่มเบียร์ได้ในครั้งนั้นเป็นการคลายเครียด

เขาว่าอย่างไรนะ...

เขาบอกว่าให้ปล่อยใจให้สบายสำหรับการรอลุ้นผลสอบ ไม่ว่าผลจะออกมาทางไหน สอบได้หรือไม่ได้ นั่นไม่ใช่ทั้งหมดของชีวิต มันเป็นเพียงส่วนหนึ่งของจังหวะชีวิตที่เด็กหนุ่มสาวทุกคนตั้งเผชิญเท่านั้น เป็นหนทางที่จะทำให้พวกเธอก้าวไปหาความฝัน ก้าวไปลองผิดลองถูกว่านั่นใช่ชีวิตอย่างที่ต้องการหรือไม่ ถ้าได้ก็ถือว่าโชคดี แต่ถ้าไม่ได้ ก็ถือซะว่าพระเจ้ากำลังเลือกอีกหนทางที่เหมาะสมหรือดีกว่ามารอท่าในอนาคต...ยังมีหนทางอีกตั้งมากมายให้เราเลือกเดิน

เธอรู้ว่านั่นเป็นเพียงคำปลอบใจ แต่เธอดีใจสุดๆ เพราะนั่นคือคำปลอบใจจากเขา...

เบียร์เพียงสองอึกที่เธอดื่มเข้าไปทำให้เธอเริ่มรู้สึกมึน หนังคอมมาดี้ชวนฮาในจอทีวีตรงหน้ากับผู้ชายแววตามุ่งมั่น สายตาคมของเขาทอดมองไปยังจอทีวี ขณะนั่งชันเข่าข้างหนึ่งอย่างสบายอารมณ์ แผ่นหลังกว้างพิงปลายขอบเตียงอยู่ข้างเธอ จากความรู้สึกที่เธอสัมผัสได้ขณะนั่งมองเสี้ยวหน้าคมคายนั้น เขาจ้องทีวีก็จริงอยู่ แต่โฟกัสสายตาของเขากลับมองลึกทะลุจอไป ซึ่งไม่อาจคาดเดาได้เลยว่าสายตาคู่นั้น ทอดมองไปถึงที่ใดเบื้องหลังจอทีวี

เสี้ยววินาทีหนึ่ง ที่ใจอันอ่อนนุ่มของเธอคิด...
เธออยากเข้านั่งในใจเขาเหลือเกิน เธออยากรู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่...


เขาหันมาแล้วบอกว่า เขาแค่มาอยู่เป็นเพื่อนเธอ เขาอยากให้เธอมองเห็นเขาให้ลึกกว่าที่เห็น อยากให้เธอได้รู้ว่าเขาเป็นมิตรไม่ใช่เป็นศัตรู และเมื่อเธอเริ่มตาพร่าด้วยฝ้าบางๆ ม่านน้ำตาซึมบดบังการมองเห็นเป็นเพียงภาพเลือนลาง น้ำตาที่ซึมออกมาคงเป็นเพราะความอ่อนไหวที่เห็นเขาอ่อนข้อให้ หรือไม่ก็อาจจะเป็นเพราะเบียร์ที่ปลายลิ้นได้สัมผัสดื่มด่ำนั้นมีรสชาติขมเกินไป เธอไม่อาจแน่ใจอะไรได้เลยซักอย่าง แต่รับรู้อย่างลางๆ ว่าเขาเอี่ยวตัวมาหา ก้มหน้าลงมาประทับริมฝีปากสวยของเขาข้างมุมปากของเธอ

กลิ่นหอมอ่อนๆ ของบุหรี่บนริมฝีปากเขา ช่วยลบกลิ่นเหม็นของเบียร์ไปจนหมดสิ้น ความร้อนบนมุมปากลามเลียไปทั่วแก้มและลำคอ...จูบแผ่วเบานั้นมีฤทธิ์ร้อนแรงเสียยิ่งกว่าสิ่งใดๆ ที่เคยได้สัมผัสพบเจอ ชนิตาไม่รับรู้อะไรมากไปกว่าความตกใจ หญิงสาวเผยอปากเล็กน้อยอย่างไร้เดียงสา ทำให้จูบของเขากดลงมาแนบแน่นและลึกล้ำขึ้น

...แค่จูบปากแนบปาก ไม่มีอะไรมากกว่านั้น

ความร้อนยังคงอยู่แม้ภายหลังจากนั้นสองหรือสามนาที เขาได้ลุกจากไปแล้วอย่างเงียบๆ ไม่พูดไม่จา เบียร์สองอึก ซีดีหนึ่งแผ่น และจูบเคล้าเคลียเบาๆ แค่นั้น แค่นั้นเพียงพอแล้วที่จะทำให้เด็กสาววัยสิบแปดคนหนึ่งหวั่นไหว หัวใจเต้นรัว และหลงลืมตัวไปว่า ตัวเองเป็นแค่ลูกแมลงเม่าตัวอ่อนๆ ที่กำลังพยายามจะตีปีกเพื่อโบยบินเข้าหากองไฟกองใหญ่สีสวยล่อตาลวงใจ

นั่นเป็นครั้งแรกที่หญิงสาวเรียนรู้ถึงคำว่าพ่ายแพ้ ตอนนั้นเธอยังไม่รับรู้ตัวเองด้วยซ้ำ ว่าพ่ายแพ้หัวใจเขา แต่ที่รับรู้แน่ๆ คือเธอพ่ายแพ้หัวใจตัวเอง

ยับเยิน...


***********



เขตธาราทิ้งตัวลงนอนลงบนเตียงอย่างแรง หลังจากที่เดินกลับมาจากสวนหลังบ้าน นึกอยากจะบีบคอเล็กๆ แสนสวยของคนที่ปฏิเสธสิ่งเขามอบให้ เขาทำมันด้วยความตั้งใจ และอยากมอบให้ด้วยใจจริง แต่ผู้หญิงคนนั้นกลับโยนมันทิ้งอย่างไม่แยแส หล่อนตั้งใจเมินเฉยสำหรับทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นของเขา ดั่งที่หล่อนเคยประกาศกร้าวไว้เมื่อสองปีก่อน ก่อนจะเดินออกไปจากบ้านหลังนี้

ตาไม่ต้องการอะไรจากพี่เขตอีกแล้ว ไม่เอาซักอย่าง...

ไอ้ความหยิ่งทระนงที่หล่อนมีนั้น มันเป็นข้อดีที่เขาเคยชื่นชมอยู่ในใจเสมอ แต่มันก็ทำให้เขาหงุดหงิดเป็นบ้า มันคงดีหากหล่อนทำกับคนอื่นไม่ใช่กับเขา ตลอดเวลาหลายปีที่เขาดูแลหล่อนมา ชนิตาเป็นคนที่มีหลายบุคลิก บางครั้งขี้อายน่ารัก บางครั้งก็อ่อนหวาน แต่ยามโกรธหล่อนก็เหมือนไม้ขีดไฟอันน้อยๆ แลดูเหมือนไม่มีพิษภัย แต่ก็พร้อมจะลุกไหม้อยู่ทุกเวลา

ยังจำได้ดีครั้งแรกที่ได้พบหล่อน คือตอนที่ลุงสมเดชเรียกตัวเขาให้กลับมา ซึ่งโดยปกติแล้วลุงของเขาจะเป็นคนไปเยี่ยมเยียนเขาที่โน่นเสียมากกว่า แต่ครั้งนี้ทำให้เขาค่อนข้างแปลกใจและเมื่อกลับมาถึงจึงเข้าใจในที่สุดว่าเกิดอะไรขึ้น และเขาได้รับมอบหมายให้ไปรับชนิตามาหา เขาไปรับชนิตาที่โรงเรียนมัธยมของหล่อนในฐานะตัวแทนของคุณสมเดช สายตาที่มองมาตรงๆ บ่งบอกให้รู้ว่าหล่อนรู้ดีว่าเขาเป็นใคร แม้เขาจะอายุมากกว่าถึงแปดปี แต่กริยาของชนิตาคือความไว้ตัว เขาแนะนำตัวเองและหล่อนทำเพียงยกมือขึ้นไหว้ตามมารยาท ไม่มีรอยยิ้มอย่างเป็นมิตร

เขาแจ้งให้หล่อนทราบถึงจุดประสงค์ที่เขามาหามารับตัว เพราะคุณสมเดชต้องเข้าโรงพยาบาลอย่างกะทันหัน จากนั้นก็พาขึ้นรถไปหาผู้เป็นบิดายังโรงพยาบาล ตลอดเวลาที่นั่งกันอยู่ในรถคันใหญ่ ต่างคนก็ต่างนิ่งไม่พูดไม่จา ชายหนุ่มจึงมีโอกาสสำรวจน้องสาวคนใหม่ของเขา แม้จะเป็นน้องสาวไม่แท้ก็ตาม

ตลอดเวลาตั้งแต่ห้าขวบ ชายหนุ่มย้ายเข้ามาอยู่ใต้ชายคาบ้านวรากร เขาคือที่หนึ่ง เขาคือคนสำคัญของทุกคน พ่อและแม่ของเขาแม้จะเป็นเพียงญาติห่างๆ ของคุณสมเดช เสียชีวิตอย่างกะทันหัน คุณสมเดชจึงรับเขาเข้ามาอยู่ด้วย และเนื่องจากท่านไม่มีผู้สืบสกุล เขาจึงกลายเป็นคนเดียวที่ท่านให้ความสนใจ

ออกจะแปลกๆ อยู่บ้าง เมื่ออายุได้สิบห้า ก็ได้รับข่าวว่าตัวเองมีน้องสาวขึ้นมา ไม่อยากจะเชื่อแต่ก็ต้องเชื่อ พออายุยี่สิบปีตอนที่เรียนอยู่ต่างประเทศ น้องสาวที่คิดว่าเป็นแค่ใครคนหนึ่งที่ไม่มีตัวตน มีแค่ชื่อลอยๆ อยู่ที่ไหนซักแห่งบนโลกใบนี้ ก็ก้าวเข้ามาร่วมชายคาวรากร และตอนนนั้นเขาอายุยี่สิบสามกว่าๆ ก็ได้มาเผชิญกับน้องสาวตัวเป็นๆ เสียที

เด็กผู้หญิงตรงหน้าอายุเพียงสิบห้าย่างสิบหกเท่านั้น กำลังอยู่ในวัยก้ำกึ่งของความเป็นเด็กและผู้ใหญ่ ตัวผอมเล็กเก้งก้างแต่ขาวอมชมพูอย่างคนเมืองหนาว ดวงตากลมโตเป็นสิ่งเดียวที่โดดเด่นบนใบหน้าเรียวผอมอย่างเด็กๆ ผมหน้าม้าถูกหวีเรียบไปไว้ด้านข้างและปักด้วยกิ๊บดำสองสามตัว ส่วนด้านหลังถูกรวบไว้เป็นผมม้า ชุดนักเรียนถูกระเบียบทุกประการ นั่งนิ่งจ้องกันไปจ้องกันมาครู่ใหญ่ทีเดียว อยู่ๆ เด็กสาวก็หัวเราะพรืดออกมาอย่างไม่รู้สาเหตุและไม่มีมารยาท ทำให้เขารู้สึกไม่พอใจ จึงส่งสายตาตำหนิไปตรงๆ

เด็กบ้า พ่อป่วยอยู่โรงพยาบาลแท้ แต่ยังอารมณ์ดีตีหน้าทะเล้น...

แต่ในความไม่ชอบใจ นั่นคือครั้งแรกที่เขาได้สัมผัส ว่าภายใต้ความเรียบร้อยนิ่งเงียบ หล่อนซ่อนใครอีกคนที่มีชีวิตชีวาไว้ด้านใน


โดยที่ไม่รู้ว่า อีกฝ่ายก็กำลังพิจารณาเขาอยู่เช่นกัน ชนิตาแม้จะกังวลใจเกี่ยวกับการป่วยอย่างกะทันหันของบิดา แต่ก็อดจะหมั่นไส้ผู้ชายตรงหน้าไม่ได้ ดูเถอะ ท่าทางหยิ่งยโส ตีมาดขรึมใส่ คงคิดว่าตัวเองเป็นผู้ใหญ่เสียเต็มประดา ซึ่งมันก็จริงนั่นแหล่ะก็เขาอายุตั้งเท่าไหร่ ยี่สามย่างยี่สิบสี่หรือเปล่า

ตาแก่เอ๊ย..ย...

พอเจอหน้ากัน ชายหนุ่มก็เพียงแนะนำตัวอย่างรวกๆ บอกจุดประสงค์ว่าจะพาเธอไปเยี่ยมพ่อที่โรงพยาบาล และตั้งแต่ขึ้นรถมา เขาก็ไม่ยอมพูดยอมจาอะไรทั้งสิ้น เหล่าลูกน้องของคุณพ่อทุกคน ถ้าเธอได้มีโอกาสเจอหรือไปเยี่ยมที่บริษัท ทุกคนต่างพินอบพิเทา เอาอกเอาใจไปเสียทุกอย่าง แต่ผู้ชายคนนี้...ไม่..

เชอะ...ไม่เห็นจะต้องการเลย เขาเป็นใคร เธอเป็นใคร เขาก็แค่ญาติห่างๆ แค่เด็กกำพร้าที่พ่อของเธอเก็บมาเลี้ยงดู คอยดูนะ คอยดู มาเต๊ะท่าวางมาดดีนัก ซักวันถ้าเธอเรียนจบสูงๆ เข้าไปทำงานได้เมื่อไหร่ล่ะก็ จะแกล้งไล่ออกซะให้เข็ด คิดอย่างหมายมาด คิดแล้วก็อดหัวเราะกับตัวเองไม่ได้ เมื่อหลุดหัวเราะพรืดออกมา สิ่งที่ได้รับจากคนที่นั่งอยู่ตรงข้าม ก็คือสายตาของผู้ใหญ่ที่เหนือกว่ามองมาอย่างตำหนิและติเตียน

ยิ่งเขามองมาอย่างตำหนิ ยิ่งทำให้เธอต้องพยายามปั้นหน้าให้นิ่งที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่ภายใต้สายตาคมกริบเหมือนใบมีดโกนของเขา มันช่างทำได้ยากเย็นจริงๆ...










Create Date : 29 มกราคม 2554
Last Update : 29 มกราคม 2554 4:20:35 น. 1 comments
Counter : 228 Pageviews.

 
อ๊าาาา ตอนที่ 3 มาแว้ววววว อิ อิ เดี๋ยวกลับไปอ่านตอน 2 ก่อนน๊าาา เดี๋ยวจะขาดตอนจ๊ะ ^.^

แจงขยันมากเลยอ่าลงสามบทต่อกันเลย ชอบบบๆๆๆ เดี๋ยวรออ่านตอนต่อไปน๊าาา เป็นกำลังใจให้จ้า


โดย: อ้อมกอดของความเหงา วันที่: 29 มกราคม 2554 เวลา:11:58:42 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

nikanda
Location :
จันทบุรี Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 31 คน [?]




ลายปากกา









New Comments
Group Blog
 
 
มกราคม 2554
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
3031 
 
29 มกราคม 2554
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add nikanda's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.