Group Blog
 
<<
กันยายน 2551
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
282930 
 
14 กันยายน 2551
 
All Blogs
 
ความหมายที่หายไป










ความหมายที่หายไป


       วันนี้เป็นวันแรกของงาน  ผู้คนจึงดูบางตา  ดูเงียบเหงา  บรรดาแขกที่มาในงานต่างพากันมองเด็กสาวที่นั่งร้องไห้ด้วยสายตาที่สมน้ำหน้ามากกว่าจะสงสาร


        ฝ่ามือที่หยาบกร้านของเจ้าของร่าง  แสดงให้รู้ว่าเป็นผู้ตรากตรำงานหนักมาตลอดชีวิตจวบจนวาระสุดท้าย  ยื่นพ้นผ้าเพื่อรอการรดน้ำจากแขกเหรื่อ


        ไม่นานนักร่างนั้นก็ถูกนำลงโลง  เนื้อตัวของศพยังคงอุ่นๆ  ดูคล้ายคนที่กำลังนอนหลับเพียงแต่เป็นการหลับตลอดกาล


         หลายเสียงวิพากษ์วิจารณ์ถึงสาเหตุการตายของหญิงชราที่ใครๆ  เรียกขานว่ายายนิ่ม


         อาชีพของแกเมื่อสมัยก่อนรับจ้างทั่วไป  ต่อมาระยะหลัง หันมาทำขนมด้วยฝีมือของแกทำให้เป็นที่ติดอกติดใจชาวบ้านแถบนั้น


         ตลอดชีวิตของยายนิ่ม ก็วันนี้แหละเป็นวันเริ่มของความสุขสบายอันชั่วนิรันดร์  ไม่ต้องลุกขึ้นมารับรู้ในสิ่งที่ชวนให้กลุ้มใจ  เงินทองที่พยายามขวนขวายหามา เป็นเพียงสิ่งที่อุปโลกน์ขึ้นมาใช้ในโลกของคนเป็นเท่านั้น  บัดนี้มันไม่จำเป็นสำหรับแกอีกต่อไป


         ความวุ่นวายที่ก่อตัวขึ้นในทุกๆ เช้า ภายในชุมชนเดียวกัน  ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อแกอย่างเช่นเคย


        เวลาที่ผ่านไปจะว่าไปแล้ว  แกก็ใช้สังขารได้คุ้มค่ากว่าคนสมัยนี้  ที่ตายกันไม่เว้นแต่ละวันด้วยภัยอุบัติเหตุ  แกลาโลกไปเพราะความอ่อนล้าของอวัยวะภายในที่เสื่อมสภาพลง  แต่สิ่งที่ทุกคนคิดก็คือ  แกตายเพราะตรอมใจ  อาจเป็นบุญของแกก็ได้ที่ไม่ต้องตื่นขึ้นมาพบกับความผิดหวังที่เด็กสาวในปกครองได้กระทำต่อแก


          ยายนิ่มไม่มีโอกาสได้รับรู้ต่อสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นขณะนี้อีกแล้ว  เสียงคร่ำครวญจากน้องเล็ก ซึ่งเป็นคนที่แกรักเสมือนหลานแท้ๆ 


         ต่อแต่นี้จะไม่มีเสียงตักเตือนจากยายนิ่มดังเช่นทุกครั้ง  ไม่มีร่างของหญิงชราที่ย่ำเท้าเปล่าไปตามทางที่พาดด้วยไม้เก่าๆ ในยามค่ำคืน พร้อมกับเสียงถามหาหลานสาวกับชาวบ้านแถบนั้น


            ภาพแห่งอนาคตของยายนิ่ม  ไม่อาจสร้างเป็นจินตนาการอีกต่อไปได้  ส่ิงเดียวที่จะยังคงอยู่ในความทรงจำคือภาพแห่งอดีต


                                                .............................


          น้องเล็กถูกแบกขึ้นหลังเดินไปตามทางเล็กๆ ที่ถางไว้สำหรับการไปมาหาสู่ระหว่างเพื่อนบ้าน  ยามที่อยู่บนหลังของยายนิ่มช่างเป็นเวลาที่มีความสุขที่สุด  แรงกระแทกส้นเท้าทุกก้าวย่างดังตึกๆ  อยู่ข้างหูทีแนบลงกับแผ่นหลังของแก ช่างเป็นเสียงที่ชวนให้เคลิบเคลิ้มเสียยิ่ง  ความรู้สึกเหมือนกับกำลังล่องลอยชะงักไปเมื่อน้องเล็กถูกวางบนแคร่ไม้เก่าๆ  หน้าบ้านเพื่อนของยายนิ่มนั่นเอง


          เสียงพูดคุยของหญิงชรา 2 คน ดังสูงๆ ต่ำๆ กลายเป็นเสียงกล่อมไปโดยปริยาย  อีกทั้งลมที่เย็นตามจังหวะมือที่โบกไปมาทำให้หลับลงอย่างง่ายดาย


           ในทุกค่ำคืน ยายนิ่มจะจุดเทียนเอาไว้บนโต๊ะเก่าๆ  ตัวหนึ่งที่ยายนิ่มเคยเล่าประวัติความเป็นมาว่าได้มาจากใคร  แกจะคอยเช็ดถูจนโต๊ะมันเงาดูราวกับกระจก  จนบางครั้งอาศัยส่องดูตัวเองยังได้


           มือที่เหี่ยวย่นนั้นก็จะหยิบฉวยเสื้อผ้าเก่าๆ มาปะชุนอยู่อย่างนี้ไม่มีวันสิ้นสุด  ริมฝีปากที่หลุบเข้าในเพราะฟันปลอมที่ถอดออก เล่านิทาน ฟังดูไม่ค่อยชัดเจน  แต่ก็รู้ได้เพราะแกเวียนเล่าแต่เรื่องนี้ไม่รู้ว่าเป็นครั้งที่เท่าไร  แต่ถึงอย่างนั้นแกก็ยังเคยลืมบ่อยๆ  วันไหนที่แกหาเรื่องจบเอาดื้อๆ  เป็นอันรู้กันว่าแกลืมบท


           น้องเล็กผูกพันกับยายนิ่มจนแกแทบจะกลายเป็นแม่น้องเล็กไปแล้ว  แท้จริงแล้ว ยายนิ่มไม่ได้มีความเกี่ยวพันเป็นญาตกับน้องเล็กแต่อย่างใด  ยายนิ่มเพียงแต่รับเลี้ยงน้องเล็กไว้เท่านั้น  หลายครั้งที่แกพยายามจะเล่าเรื่องครอบครัวของน้องเล็กให้ฟัง  แต่ดูเหมือนฝ่ายนั้นจะไม่ค่อยสนใจเลย  จะมีใครที่รู้ว่าในใจของเด็กสาวได้สั่งสมแต่ความเจ็บ ความน้อยใจ  ความโกรธไว้เต็มหัวอกภายใต้ท่าทีที่เฉยเมย  พี่สาว 2 คนอยู่กับแม่  แต่น้องเล็กกลับถูกส่งมาอยู่กับคนอื่น  นี่คือปัญหาที่น้องเล็กยกขึ้นมาถามตัวเองเสมอว่าทำไมต้องเป็นเช่นนั้น


           ยายนิ่มไม่เคยได้ค่าเลี้ยงดูจากแม่ของเด็กมาหลายปีแล้ว  แต่แกก็ยังหยิบยื่นสิ่งของต่างๆ ให้เท่าที่แกจะมีกำลังหามาได้  จากการที่แกดูแลเด็กคนหนึ่งราวกับลูกหลานของตัวเอง  ยายนิ่มไม่สนใจกับคำแนะนำของชาวบ้านที่ต้องการให้แกนำเด็กไปคืนเสีย  แต่แกก็รับเลี้ยงไว้ท่ามกลางเสียงคัดค้านของชาวบ้าน  หากแกเชื่อคำเตือนของชาวบ้าน  วันนี้แกอาจจะมีชีวิตที่ยืนยาวกว่านี้ก็ได้


           เสื้อที่น้องเล็กใส่ทุกตัวล้วนแล้วแต่เป็นฝีมือของแกที่มีความตั้งใจที่จะทำให้  จากคนที่ไม่เคยหยิบจับงานด้านนี้มาก่อน  ในที่สุดแกก็สามารถทำได้สำเร็จ  และสวยที่สุดแล้วในชีวิตที่แกทำมา


           พี่น้องของยายนิ่มทุกคนต่างก็แต่งงานไปกันหมด  เหลือเพียงแกคนเดียวที่ยืนยันกับคำพูดที่ว่า  การแต่งงานไม่ใช่สิ่งสำคัญ  แกมีกำลังที่จะหาเลี้ยงตัวเอง  ไม่จำเป็นต้องพึ่งสามีอย่างพี่ๆ น้องๆ แต่แล้วสิ่งที่แกคิดก็ผิด  กว่าจะรู้สึกชีวิตของแกก็ย่างเข้าวัยชราเสียแล้ว


            ที่จริงการแต่งงานไม่ได้แสดงว่าคนนั้นเป็นคนอ่อนแอต้องพึ่งพาสามี  เพื่อให้เขามาเลี้ยงดู  แต่มันมีความหมายไปถึงชีวิตในอนาคตข้างหน้าที่จะมีลูกมีหลานมาคอยดูแลเอาใจใส่ยามแก่ชรา  ไม่ต้องว้าเหว่อย่างที่แกเป็นอยู่


            น้องเล็กถูกส่งเข้าเรียนในโรงเรียนของหมู่บ้านแห่งนี้  สภาพแวดล้อมรอบตัว  เพื่อนนักเรียน ล้วนแล้วแต่มีปัญหาด้วยกันทั้งหมด จวบจนกระทั่งน้องเล็กโตขึ้น  น้องเล็กติดเพื่อนไม่กลับบ้านตามเวลาอย่างเคย  โดยหารู้ไม่ว่าในทุกวันยายนิ่มจะนั่งคอยการกลับมาของน้องเล็กเสมอ


          ยายนิ่มเริ่มกลายเป็นสิ่งที่น่ารำคาญสำหรับน้องเล็กไปเสียแล้ว  ในยามที่แกตักเตือน แกย่อมรู้ดีว่าเด็กที่ขาดความอบอุ่นจากแม่นั้น ย่อมประพฤติตัวในทางประชดประชัน เพราะว่า  ไม่รู้ว่าจะทำตัวดีไปเพื่ออะไร


          หลายครั้งที่แกเที่ยวเดินตามหาน้องเล็กในเวลาค่ำคืน  ซึ่งที่จริงแล้วควรเป็นเวลาที่แกน่าจะนอนหลับพักผ่อนมากกว่า


           ดวงตาสีเทาขุ่นๆ  ดูช่างเหนื่อยล้าเสียเหลือเกิน  ยายนิ่มไม่รู้ว่าแกจะมีชีวิตไปอีกนานเท่าไร  จะนานพอที่จะดึงเอาน้องเล็กกลับมาเหมือนเดิมได้หรือไม่


           เมื่อสิ้นหนทาง  แกก็จะกลับมานั่งที่บันไดไม้เก่าๆ  ที่ผุกร่อนไปตามอายุของเจ้าของบ้าน ใบหน้าที่เต็มไปด้วยริ้วรอยของวัยชราปรากฎคราบน้ำตาให้เห็น


                                          ........................................


             ขาทั้งสองหมดกำลังลงเมื่อไฟกำลังลุกโชน ส่งควันออกจากปล่องดำโขมง  นั่นเป็นเครื่องหมายแสดงถึงการจากไปจากโลกนี้โดยแท้ อย่างไม่มีเยื่อใย  ซึ่งครั้งหนึ่งแกเคยห่วงเคยกังวล  ชีวิตคนเราท้ายสุดก็เอาอะไรไปไม่ได้สักอย่าง  จะเหลือก็แต่เถ้ากระดูกที่สุดแท้แต่เวรแต่กรรมว่าจะมีใครเอาไปกราบไหว้หรือไม่เท่านั้น


             เมื่อแกได้เคยมอบความรักทั้งชีวิตของแกให้กับใครคนหนึ่งที่แกรัก  แต่มันกลับถูกมองข้ามไปอย่างไร้ค่า  บัดนี้น้องเล็กได้ประจักษ์แล้วว่า มันคือความห่วงใย คือความจริงใจ ที่น้องเล็กไม่อาจหาได้จากที่ไหนอีกแล้วตลอดชีวิตนี้


                                          ......................................


            น้องเล็กนั่งจมอยู่กับความคิดเก่าๆ  ภาพตรงหน้าเป็นมุมที่ยายโปรดที่สุด  ยายมักจะนั่งเก้าอี้ตัวนั้น  แล้วเล่าแต่เรื่องราวในอดีต  ริมฝีปากของยายจะยิ้มอยู่ตลอด  แกดูจะมีความสุขที่ได้ถ่ายทอดเรื่องราวเมื่อสมัยอดีตให้ใครได้ฟังสักคน  และคนๆ นั้นก็เป็นผู้ฟังได้อย่างดี


             ราวกับจะซึมซับไออุ่นที่ยังหลงเหลือจากสมบัติชิ้นหนึ่งของยาย  น้องเล็กนอนห่อตัวอยู่ตรงเก้าอี้ตัวนั้น  ลมหนาวที่เข้าปะทะอยู่รอบตัวเริ่มเยือกเย็นขึ้นทุกขณะ  เสียงยุงดังหึ่งๆ  อยู่ข้างหู  อีกประเดี๋ยวยายก็จะเอาผ้าห่มมาคลุมให้  หรือไม่ก็จะปลุกให้เข้าไปนอนในมุ้งอย่างที่เคยทำเป็นประจำ  น้องเล็กตื่นจากภวังค์  ลืมไปว่ายายไม่ได้อยู่บนโลกนี้แล้ว  เถ้ากระดูกที่ห่อด้วยผ้าขาวยังวางอยู่ที่เตียง  แทบไม่น่าเชื่อชีวิตคนเราทั้งชีวิตเวลาตายจะเหลือเพียงแค่ผงกระดูกเพียงกองเล็กๆ  กองหนึ่ง


             น้องเล็กคิดไปว่ามนุษย์นี้จะดิ้นรนโลภโมโทสันสร้างอาณาจักรของตัวเองให้กว้างใหญ่ไปทำไม  สุดท้ายก็หวังเพียงที่เล็กๆ ไว้ตั้งกระดูกตัวเอง  เพียงแค่ตารางนิ้วเท่านั้น


              ฝ่ามือยายที่เคยลูบไล้ไปตามแขนให้ความรู้สึกอบอุ่นได้อย่างประหลาด  แต่เวลานั้นมันกลับไม่ได้เป็นที่ต้องการของหล่อนเลย


             น้องเล็กไม่เคยคิดว่าความเหงาจะทารุณขนาดนี้  หล่อนเพิ่งจะรู้สึกถึงความอ้างว้างโดดเดี่ยว  ว้าเหว่ที่ยายเคยสัมผัสก่อนหน้าที่จะเสียชีวิตลง  มันช่างทรมาณจริงๆ


              เสื้อสีหม่นๆ  แขวนอยู่บนราวอย่างโดดเด่นเพียงตัวเดียว  พลิ้วไสวตามแรงลม  มันจะรู้ไหมว่าร่างที่เคยสวมใส่ได้สูญสิ้นไปแล้ว


                                              .................................


            หนทางอันแสนไกลข้างหน้าดูคดเคี้ยวมืดมน  ผู้คนขวักไขว่บนท้องถนน  จะมีใครบ้างที่จะรับรู้ถึงความรู้สึกแห่งการสูญเสียอันใหญ่หลวงในชีวิตของหล่อนได้


              ถึงแม้ในตอนนี้สิ่งที่ยายนิ่มคาดหวังมาตลอดจะกลายเป็นความจริงขึ้นมา  แต่มันก็สายเกินกว่าที่แกจะรับรู้ได้


              น้องเล็กไม่เคยรู้ซึ้งกับคำพูดที่ว่า "คนเรามักจะไม่เห็นค่าของสิ่งที่อยู่ใกล้"  จนกว่าได้สูญเสียสิ่งนั้นไป  หล่อนเองก็เพิ่งจะประจักษ์กับความหมายนั้นเป็นอย่างดี






Create Date : 14 กันยายน 2551
Last Update : 22 พฤษภาคม 2552 19:28:34 น. 5 comments
Counter : 454 Pageviews.

 
เขียนได้ดีมากมาก เลย


โดย: num IP: 124.120.6.224 วันที่: 15 กันยายน 2551 เวลา:21:57:09 น.  

 
น่าอ่านจัง แต่แอบเศร้าอ่ะ


โดย: rainfull วันที่: 19 กันยายน 2551 เวลา:0:14:36 น.  

 
อ่านแล้วคิดถึงยายจัง


โดย: ศากุณ IP: 124.120.68.187 วันที่: 26 กันยายน 2551 เวลา:14:09:40 น.  

 
เช่นกันเลยจ๊ะ การคิดถึงคนตายนี่มันทรมานนะ เคยทุกข์เคยสุขกันมา แล้วก็มาทิ้งเราไปแล้ว


โดย: pantipngon วันที่: 30 กันยายน 2551 เวลา:22:10:57 น.  

 
ไม่กล้าอ่านให้ละเอียด แค่ผ่านๆก็น้ำตาซึม คิดถึงแม่.


โดย: ตี๋น้อย IP: 124.120.15.47 วันที่: 21 พฤษภาคม 2552 เวลา:1:57:08 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

pantipngon
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 11 คน [?]




***ชอบตุ๊กตาเป็นชีวิตจิตใจ พอได้เห็นบลายธ์ครั้งแรกเลยชอบเอามากๆ ตุ๊กตาบ้าอะไรก็ไม่รู้ น่ารักสิ้นดี***

ใครจะคาดคิดว่าเจ้าของบล็อกที่เก็บสะสมภาพบลายธ์ไว้มากมาย แท้ที่จริงแล้ว อายุก็ปาเข้าไปจะครึ่งร้อยอยู่แล้ว มีบางคนบอกว่าการที่คนแก่เล่นตุ๊กตา คือการเติมเต็มชีวิตในวัยเด็กที่ไม่เคยมีตุ๊กตาไว้เล่น สำหรับคนอื่นไม่รู้นะ แต่สำหรับตัวเองแล้ว เออ! มันรู้ได้ไงเนี่ย

Friends' blogs
[Add pantipngon's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.