ความหมายที่หายไป
ความหมายที่หายไป วันนี้เป็นวันแรกของงาน ผู้คนจึงดูบางตา ดูเงียบเหงา บรรดาแขกที่มาในงานต่างพากันมองเด็กสาวที่นั่งร้องไห้ด้วยสายตาที่สมน้ำหน้ามากกว่าจะสงสาร ฝ่ามือที่หยาบกร้านของเจ้าของร่าง แสดงให้รู้ว่าเป็นผู้ตรากตรำงานหนักมาตลอดชีวิตจวบจนวาระสุดท้าย ยื่นพ้นผ้าเพื่อรอการรดน้ำจากแขกเหรื่อ ไม่นานนักร่างนั้นก็ถูกนำลงโลง เนื้อตัวของศพยังคงอุ่นๆ ดูคล้ายคนที่กำลังนอนหลับเพียงแต่เป็นการหลับตลอดกาล หลายเสียงวิพากษ์วิจารณ์ถึงสาเหตุการตายของหญิงชราที่ใครๆ เรียกขานว่ายายนิ่ม อาชีพของแกเมื่อสมัยก่อนรับจ้างทั่วไป ต่อมาระยะหลัง หันมาทำขนมด้วยฝีมือของแกทำให้เป็นที่ติดอกติดใจชาวบ้านแถบนั้น ตลอดชีวิตของยายนิ่ม ก็วันนี้แหละเป็นวันเริ่มของความสุขสบายอันชั่วนิรันดร์ ไม่ต้องลุกขึ้นมารับรู้ในสิ่งที่ชวนให้กลุ้มใจ เงินทองที่พยายามขวนขวายหามา เป็นเพียงสิ่งที่อุปโลกน์ขึ้นมาใช้ในโลกของคนเป็นเท่านั้น บัดนี้มันไม่จำเป็นสำหรับแกอีกต่อไป ความวุ่นวายที่ก่อตัวขึ้นในทุกๆ เช้า ภายในชุมชนเดียวกัน ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อแกอย่างเช่นเคย เวลาที่ผ่านไปจะว่าไปแล้ว แกก็ใช้สังขารได้คุ้มค่ากว่าคนสมัยนี้ ที่ตายกันไม่เว้นแต่ละวันด้วยภัยอุบัติเหตุ แกลาโลกไปเพราะความอ่อนล้าของอวัยวะภายในที่เสื่อมสภาพลง แต่สิ่งที่ทุกคนคิดก็คือ แกตายเพราะตรอมใจ อาจเป็นบุญของแกก็ได้ที่ไม่ต้องตื่นขึ้นมาพบกับความผิดหวังที่เด็กสาวในปกครองได้กระทำต่อแก ยายนิ่มไม่มีโอกาสได้รับรู้ต่อสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นขณะนี้อีกแล้ว เสียงคร่ำครวญจากน้องเล็ก ซึ่งเป็นคนที่แกรักเสมือนหลานแท้ๆ ต่อแต่นี้จะไม่มีเสียงตักเตือนจากยายนิ่มดังเช่นทุกครั้ง ไม่มีร่างของหญิงชราที่ย่ำเท้าเปล่าไปตามทางที่พาดด้วยไม้เก่าๆ ในยามค่ำคืน พร้อมกับเสียงถามหาหลานสาวกับชาวบ้านแถบนั้น ภาพแห่งอนาคตของยายนิ่ม ไม่อาจสร้างเป็นจินตนาการอีกต่อไปได้ ส่ิงเดียวที่จะยังคงอยู่ในความทรงจำคือภาพแห่งอดีต ............................. น้องเล็กถูกแบกขึ้นหลังเดินไปตามทางเล็กๆ ที่ถางไว้สำหรับการไปมาหาสู่ระหว่างเพื่อนบ้าน ยามที่อยู่บนหลังของยายนิ่มช่างเป็นเวลาที่มีความสุขที่สุด แรงกระแทกส้นเท้าทุกก้าวย่างดังตึกๆ อยู่ข้างหูทีแนบลงกับแผ่นหลังของแก ช่างเป็นเสียงที่ชวนให้เคลิบเคลิ้มเสียยิ่ง ความรู้สึกเหมือนกับกำลังล่องลอยชะงักไปเมื่อน้องเล็กถูกวางบนแคร่ไม้เก่าๆ หน้าบ้านเพื่อนของยายนิ่มนั่นเอง เสียงพูดคุยของหญิงชรา 2 คน ดังสูงๆ ต่ำๆ กลายเป็นเสียงกล่อมไปโดยปริยาย อีกทั้งลมที่เย็นตามจังหวะมือที่โบกไปมาทำให้หลับลงอย่างง่ายดาย ในทุกค่ำคืน ยายนิ่มจะจุดเทียนเอาไว้บนโต๊ะเก่าๆ ตัวหนึ่งที่ยายนิ่มเคยเล่าประวัติความเป็นมาว่าได้มาจากใคร แกจะคอยเช็ดถูจนโต๊ะมันเงาดูราวกับกระจก จนบางครั้งอาศัยส่องดูตัวเองยังได้ มือที่เหี่ยวย่นนั้นก็จะหยิบฉวยเสื้อผ้าเก่าๆ มาปะชุนอยู่อย่างนี้ไม่มีวันสิ้นสุด ริมฝีปากที่หลุบเข้าในเพราะฟันปลอมที่ถอดออก เล่านิทาน ฟังดูไม่ค่อยชัดเจน แต่ก็รู้ได้เพราะแกเวียนเล่าแต่เรื่องนี้ไม่รู้ว่าเป็นครั้งที่เท่าไร แต่ถึงอย่างนั้นแกก็ยังเคยลืมบ่อยๆ วันไหนที่แกหาเรื่องจบเอาดื้อๆ เป็นอันรู้กันว่าแกลืมบท น้องเล็กผูกพันกับยายนิ่มจนแกแทบจะกลายเป็นแม่น้องเล็กไปแล้ว แท้จริงแล้ว ยายนิ่มไม่ได้มีความเกี่ยวพันเป็นญาตกับน้องเล็กแต่อย่างใด ยายนิ่มเพียงแต่รับเลี้ยงน้องเล็กไว้เท่านั้น หลายครั้งที่แกพยายามจะเล่าเรื่องครอบครัวของน้องเล็กให้ฟัง แต่ดูเหมือนฝ่ายนั้นจะไม่ค่อยสนใจเลย จะมีใครที่รู้ว่าในใจของเด็กสาวได้สั่งสมแต่ความเจ็บ ความน้อยใจ ความโกรธไว้เต็มหัวอกภายใต้ท่าทีที่เฉยเมย พี่สาว 2 คนอยู่กับแม่ แต่น้องเล็กกลับถูกส่งมาอยู่กับคนอื่น นี่คือปัญหาที่น้องเล็กยกขึ้นมาถามตัวเองเสมอว่าทำไมต้องเป็นเช่นนั้น ยายนิ่มไม่เคยได้ค่าเลี้ยงดูจากแม่ของเด็กมาหลายปีแล้ว แต่แกก็ยังหยิบยื่นสิ่งของต่างๆ ให้เท่าที่แกจะมีกำลังหามาได้ จากการที่แกดูแลเด็กคนหนึ่งราวกับลูกหลานของตัวเอง ยายนิ่มไม่สนใจกับคำแนะนำของชาวบ้านที่ต้องการให้แกนำเด็กไปคืนเสีย แต่แกก็รับเลี้ยงไว้ท่ามกลางเสียงคัดค้านของชาวบ้าน หากแกเชื่อคำเตือนของชาวบ้าน วันนี้แกอาจจะมีชีวิตที่ยืนยาวกว่านี้ก็ได้ เสื้อที่น้องเล็กใส่ทุกตัวล้วนแล้วแต่เป็นฝีมือของแกที่มีความตั้งใจที่จะทำให้ จากคนที่ไม่เคยหยิบจับงานด้านนี้มาก่อน ในที่สุดแกก็สามารถทำได้สำเร็จ และสวยที่สุดแล้วในชีวิตที่แกทำมา พี่น้องของยายนิ่มทุกคนต่างก็แต่งงานไปกันหมด เหลือเพียงแกคนเดียวที่ยืนยันกับคำพูดที่ว่า การแต่งงานไม่ใช่สิ่งสำคัญ แกมีกำลังที่จะหาเลี้ยงตัวเอง ไม่จำเป็นต้องพึ่งสามีอย่างพี่ๆ น้องๆ แต่แล้วสิ่งที่แกคิดก็ผิด กว่าจะรู้สึกชีวิตของแกก็ย่างเข้าวัยชราเสียแล้ว ที่จริงการแต่งงานไม่ได้แสดงว่าคนนั้นเป็นคนอ่อนแอต้องพึ่งพาสามี เพื่อให้เขามาเลี้ยงดู แต่มันมีความหมายไปถึงชีวิตในอนาคตข้างหน้าที่จะมีลูกมีหลานมาคอยดูแลเอาใจใส่ยามแก่ชรา ไม่ต้องว้าเหว่อย่างที่แกเป็นอยู่ น้องเล็กถูกส่งเข้าเรียนในโรงเรียนของหมู่บ้านแห่งนี้ สภาพแวดล้อมรอบตัว เพื่อนนักเรียน ล้วนแล้วแต่มีปัญหาด้วยกันทั้งหมด จวบจนกระทั่งน้องเล็กโตขึ้น น้องเล็กติดเพื่อนไม่กลับบ้านตามเวลาอย่างเคย โดยหารู้ไม่ว่าในทุกวันยายนิ่มจะนั่งคอยการกลับมาของน้องเล็กเสมอ ยายนิ่มเริ่มกลายเป็นสิ่งที่น่ารำคาญสำหรับน้องเล็กไปเสียแล้ว ในยามที่แกตักเตือน แกย่อมรู้ดีว่าเด็กที่ขาดความอบอุ่นจากแม่นั้น ย่อมประพฤติตัวในทางประชดประชัน เพราะว่า ไม่รู้ว่าจะทำตัวดีไปเพื่ออะไร หลายครั้งที่แกเที่ยวเดินตามหาน้องเล็กในเวลาค่ำคืน ซึ่งที่จริงแล้วควรเป็นเวลาที่แกน่าจะนอนหลับพักผ่อนมากกว่า ดวงตาสีเทาขุ่นๆ ดูช่างเหนื่อยล้าเสียเหลือเกิน ยายนิ่มไม่รู้ว่าแกจะมีชีวิตไปอีกนานเท่าไร จะนานพอที่จะดึงเอาน้องเล็กกลับมาเหมือนเดิมได้หรือไม่ เมื่อสิ้นหนทาง แกก็จะกลับมานั่งที่บันไดไม้เก่าๆ ที่ผุกร่อนไปตามอายุของเจ้าของบ้าน ใบหน้าที่เต็มไปด้วยริ้วรอยของวัยชราปรากฎคราบน้ำตาให้เห็น ........................................ ขาทั้งสองหมดกำลังลงเมื่อไฟกำลังลุกโชน ส่งควันออกจากปล่องดำโขมง นั่นเป็นเครื่องหมายแสดงถึงการจากไปจากโลกนี้โดยแท้ อย่างไม่มีเยื่อใย ซึ่งครั้งหนึ่งแกเคยห่วงเคยกังวล ชีวิตคนเราท้ายสุดก็เอาอะไรไปไม่ได้สักอย่าง จะเหลือก็แต่เถ้ากระดูกที่สุดแท้แต่เวรแต่กรรมว่าจะมีใครเอาไปกราบไหว้หรือไม่เท่านั้น เมื่อแกได้เคยมอบความรักทั้งชีวิตของแกให้กับใครคนหนึ่งที่แกรัก แต่มันกลับถูกมองข้ามไปอย่างไร้ค่า บัดนี้น้องเล็กได้ประจักษ์แล้วว่า มันคือความห่วงใย คือความจริงใจ ที่น้องเล็กไม่อาจหาได้จากที่ไหนอีกแล้วตลอดชีวิตนี้ ...................................... น้องเล็กนั่งจมอยู่กับความคิดเก่าๆ ภาพตรงหน้าเป็นมุมที่ยายโปรดที่สุด ยายมักจะนั่งเก้าอี้ตัวนั้น แล้วเล่าแต่เรื่องราวในอดีต ริมฝีปากของยายจะยิ้มอยู่ตลอด แกดูจะมีความสุขที่ได้ถ่ายทอดเรื่องราวเมื่อสมัยอดีตให้ใครได้ฟังสักคน และคนๆ นั้นก็เป็นผู้ฟังได้อย่างดี ราวกับจะซึมซับไออุ่นที่ยังหลงเหลือจากสมบัติชิ้นหนึ่งของยาย น้องเล็กนอนห่อตัวอยู่ตรงเก้าอี้ตัวนั้น ลมหนาวที่เข้าปะทะอยู่รอบตัวเริ่มเยือกเย็นขึ้นทุกขณะ เสียงยุงดังหึ่งๆ อยู่ข้างหู อีกประเดี๋ยวยายก็จะเอาผ้าห่มมาคลุมให้ หรือไม่ก็จะปลุกให้เข้าไปนอนในมุ้งอย่างที่เคยทำเป็นประจำ น้องเล็กตื่นจากภวังค์ ลืมไปว่ายายไม่ได้อยู่บนโลกนี้แล้ว เถ้ากระดูกที่ห่อด้วยผ้าขาวยังวางอยู่ที่เตียง แทบไม่น่าเชื่อชีวิตคนเราทั้งชีวิตเวลาตายจะเหลือเพียงแค่ผงกระดูกเพียงกองเล็กๆ กองหนึ่ง น้องเล็กคิดไปว่ามนุษย์นี้จะดิ้นรนโลภโมโทสันสร้างอาณาจักรของตัวเองให้กว้างใหญ่ไปทำไม สุดท้ายก็หวังเพียงที่เล็กๆ ไว้ตั้งกระดูกตัวเอง เพียงแค่ตารางนิ้วเท่านั้น ฝ่ามือยายที่เคยลูบไล้ไปตามแขนให้ความรู้สึกอบอุ่นได้อย่างประหลาด แต่เวลานั้นมันกลับไม่ได้เป็นที่ต้องการของหล่อนเลย น้องเล็กไม่เคยคิดว่าความเหงาจะทารุณขนาดนี้ หล่อนเพิ่งจะรู้สึกถึงความอ้างว้างโดดเดี่ยว ว้าเหว่ที่ยายเคยสัมผัสก่อนหน้าที่จะเสียชีวิตลง มันช่างทรมาณจริงๆ เสื้อสีหม่นๆ แขวนอยู่บนราวอย่างโดดเด่นเพียงตัวเดียว พลิ้วไสวตามแรงลม มันจะรู้ไหมว่าร่างที่เคยสวมใส่ได้สูญสิ้นไปแล้ว ................................. หนทางอันแสนไกลข้างหน้าดูคดเคี้ยวมืดมน ผู้คนขวักไขว่บนท้องถนน จะมีใครบ้างที่จะรับรู้ถึงความรู้สึกแห่งการสูญเสียอันใหญ่หลวงในชีวิตของหล่อนได้ ถึงแม้ในตอนนี้สิ่งที่ยายนิ่มคาดหวังมาตลอดจะกลายเป็นความจริงขึ้นมา แต่มันก็สายเกินกว่าที่แกจะรับรู้ได้ น้องเล็กไม่เคยรู้ซึ้งกับคำพูดที่ว่า "คนเรามักจะไม่เห็นค่าของสิ่งที่อยู่ใกล้" จนกว่าได้สูญเสียสิ่งนั้นไป หล่อนเองก็เพิ่งจะประจักษ์กับความหมายนั้นเป็นอย่างดี
Create Date : 14 กันยายน 2551 |
Last Update : 22 พฤษภาคม 2552 19:28:34 น. |
|
5 comments
|
Counter : 454 Pageviews. |
|
|