ผมตั้งชื่อบล็อกนี้ไว้ว่า "ทริปกระทันหัน" เพราะจริงๆ แล้วผมตั้งใจว่าช่วงนี้จะหยุดพักการท่องเที่ยวไว้ก่อนชั่วคราว เพื่อเตรียมตัวเตรียมใจรอไปเที่ยวทริปใหญ่ช่วงปีใหม่อย่างเดียวเลย แต่บังเอิญผมดันไปอ่านเจอใน webboard pantip ห้อง BP ว่าช่วงนี้กำลังมีที่เที่ยวน่าสนใจแถวๆ โคราช ซึ่งจะเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าเยี่ยมชมแค่เพียงปีละครั้ง และเป็นช่วงสั้นๆ เท่านั้น สถานที่ท่องเที่ยวที่ว่าก็คือ "จิม ทอมป์สัน ฟาร์ม" นั่นเองครับ ได้เห็นรูปสวยๆ ที่ post ประกอบกระทู้นั้นแล้ว ทำให้ผมตัดสินใจทันที่ว่าจะต้องไปเที่ยวที่นั่นในสุดสัปดาห์นี้เลย เพราะถ้าพลาดครั้งนี้ก็คงต้องรอไปถึงปลายปีหน้าโน่นเลยกว่าจะได้ไปชม ไปๆ มา ๆ ก็เลยเกิดเป็น "ทริปกระทันหัน" นี้ขึ้นมาในที่สุด .....ไปชมดอกไม้สวยๆ แบบนี้ด้วยกันที่จิม ทอมป์สัน ฟาร์มนะครับ "จิม ทอมป์สัน ฟาร์ม" เป็นฟาร์มขนาดใหญ่ที่ถือกำเนิดมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2531 ตั้งอยู่บนบนพื้นที่กว่า 600 ไร่บนเชิงเขาพญาปราบ ตำบลตะขบ อำเภอปักธงชัย จังหวัดนครราชสีมา ฟาร์มแห่งนี้จะเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมศึกษาธรรมชาติเชิงเกษตรทุกปีในช่วงเดือนธันวาคม ซึ่งเป็นช่วงที่มีอากาศเย็นสบาย และพืชผักผลไม้กำลังออกผลิตผล โดยเฉพาะแคนตาลูป และฟักทองหลากหลายสายพันธุ์ที่ปลูกไว้มากมาย จนกลายเป็นเอกลักษณ์ของฟาร์มแห่งนี้ไปแล้ว ..... สำหรับปี พ.ศ. 2552 นี้จะเปิดให้ชมตั้งแต่วันที่ 19 ธันวาคม 2552 ถึงวันที่ 10 มกราคม 2553 เวลา 9.00 - 17.00 น. รวมระยะเวลาเปิดเพียงแค่ 23 วันเท่านั้นเอง ผมเลือกไปวันเสาร์ที่ 26 ธันวาคม เพราะเป็นวันว่างพอดี แต่จะว่าว่างก็ไม่เชิงซะทีเดียวเพราะมีงานที่ต้องเคลียร์ให้เสร็จอยู่อีกนิดหน่อย ก็เลยต้องรีบไปทำให้เสร็จเรียบร้อยตั้งแต่เช้าตรู่ หลังเคลียร์งานแล้วจะได้รีบออกเดินทางไปเที่ยวชม "จิม ทอมป์สัน ฟาร์ม" กันได้ทันที .....ต้องรีบตื่นไปเคลียร์งานตั้งแต่เช้าแบบนี้เพื่อจะได้ไปเที่ยวทริปนี้ กว่าผมจะเคลียร์งานเสร็จก็ค่อนข้างสายแล้ว เราเริ่มออกเดินทางด้วยรถส่วนตัวจากปราจีนบุรีบ้านผม ไปตามทางหลวงหมายเลข 304 ผ่านกบินทร์บุรี วังน้ำเขียว ต้องข้ามภูเขาไปสองลูก จนเกือบถึงอำเภอปักธงชัย ก่อนถึงปักธงชัยประมาณ 25 กม. จะต้องเลี้ยวซ้ายไปตามทางหลวงหมายเลข 2072 เข้าไปอีกประมาณ 20 กม. ก็จะถึง "จิม ทอมป์สัน ฟาร์ม" เราใช้เวลาเดินทางทั้งหมดประมาณ 2 ชั่วโมงเศษๆ แต่ถ้าใครเดินทางจากกรุงเทพฯ โดยใช้เส้นทางนี้ ก็ต้องบวกเวลาเพิ่มไปอีกประมาณ 1 ชั่วโมง ..... ตอนที่ผมไปถึงก็ใกล้เทื่ยงแล้ว วันเสาร์แบบนี้ที่นี่มีนักท่องเที่ยวมาเยี่ยมชมกันเป็นจำนวนมาก ทราบมาว่ารวมจำนวนนักท่องเที่ยวทั้งวันแล้วก็ตกหลายหมื่นคน แต่ไม่ต้องห่วงว่าไปถึงจะไม่มีที่จอดรถ เพราะทางฟาร์มได้จัดพื้นที่จอดรถไว้กว้างขวางและเพียงพอ หลังจากจอดรถแล้วเราก็เดินเข้าฟาร์ม ผ่านทางเข้าก็ต้องแวะเก็บภาพกับรูปปั้นฟักทองยักษ์มุมฮิตหน้าทางเข้ากันก่อน .....ฟักทองยักษ์สีส้มลูกนี้ ใครมาก็ต้องถ่ายรูปเก็บไว้ตามสองเด็กดื้อเข้าไปเที่ยว "จิม ทอมป์สัน ฟาร์ม" กันเลยนะครับ ก่อนจะเข้าไปชมด้านในฟาร์ม เราแวะทานอาหารกลางวันกันที่ศูนย์อาหารของทางฟาร์มกันก่อน เพราะเวลาเข้าไปเที่ยวด้านในจะได้ไม่ต้องกังวลกับการหาที่ทานอาหาร อาหารที่นี่มีหลากหลายพอสมควรและราคาไม่แพง หลังทานอาหารเสร็จเราก็ไปซื้อบัตรเข้าชมฟาร์ม ราคาบัตรผู้ใหญ่ 60 บาท เด็ก 40 บาท ตรงจุดที่จำหน่ายบัตรนี้ จะจัดเป็นจุดท่องเที่ยวจุดที่ 1 โดยมี "สวนลอยฟ้า" ให้ชมการเพาะปลูกมะเขือเทศ แบบห้อยหัวลง (Upside Down Tomato) เป็นการปลูกแบบประหยัดพื้นที่ สามารถนำไปดัดแปลงปลูกตามคอนโดที่พื้นที่น้อยได้ ..... นอกจากนี้ ยังมี ฟัก แฟง และน้ำเต้าหลายสายพันธุ์ซึ่งล้วนแต่แปลกตาหาดูได้ยาก ใกล้กันมีแปลงปลูกมะเขือเทศไว้ให้นักท่องเที่ยวเข้าไปเก็บชิมกันสดๆ จากต้นได้ด้วย ถัดไปอีกหน่อยเป็น "ทุ่งปอเทือง" ที่กำลังออกดอกเหลืองอร่ามตระการตา ทางฟาร์มปลูกไว้เป็นพืชคลุมดิน และจะไถฝังกลบให้เป็นปุ๋ยหมักบำรุงดินก่อนปลูกพืชอื่น ก่อนจะเข้าไปชมฟาร์มด้านใน เราสามารถเดินเที่ยวในส่วนนี้กันก่อนได้ .....ไปซื้อบัตรกันก่อนเข้าชมชมฟาร์มนะครับผลผลิตบางส่วนจากฟาร์ม ที่จุดต้อนรับนักท่องเที่ยวมะเขือเทศสีแดงสดใส ไร้สารพิษ น่าทานมากพริกแฟนซีสีม่วงแปลกตา มีปลูกประดับอยู่ทั่วบริเวณน้ำเต้าพันธุ์แปลกๆ ที่มีให้ชมกันที่สวนลอยฟ้าทุ่งปอเทือง สีเหลืองอร่าม อยู่ด้านข้างของศูนย์อาหารก่อนเข้าไปเที่ยวด้านในฟาร์ม เราแวะเก็บภาพบริเวณทุ่งปอเทืองกันด้วย หลังจากซื้อบัตรเข้าชมแล้ว เราก็ต้องไปรอขึ้นรถที่จะพาเราเข้าไปเที่ยวชมจุดท่องเที่ยวต่างๆ ภายในฟาร์ม แม้วันนี้จะมีนักท่องเที่ยวมากันเป็นจำนวนมาก แต่เราก็ไม่ต้องรอรถนานเพราะที่ฟาร์มจะจัดรถรับส่งนักท่องเที่ยวไว้อย่างเพียงพอ รอเพียงแค่ 5-10 นาทีก็ได้ขึ้นรถกันแล้ว บนรถจะมีมัคคุเทศน์น้อยเป็นเยาวชน คอยบรรยายสรุปให้ฟังระหว่างนั่งรถชมฟาร์มด้วย .....รถที่จะพาเราเข้าไปเที่ยวชมฟาร์มบนรถอีกคันครับ คันนี้ลวดลายสวยหวานมาก จากนั้นรถจะพาเรามาส่งยังจุดท่องเที่ยวที่ 2 ซึ่งนับเป็นไฮไลท์อีกแห่งของที่นี่ นั่นคือ "สวนฟักทองยักษ์" ที่อยู่บริเวณ จุดชมวิวลำสำลาย ที่นี่จะเราได้ตื่นตาตื่นใจกับผลฟักทองยักษ์หรือฟักทองซินเดอเรลล่าของจริง แต่ละลูกหนักหลายสิบกิโลกรัม ลองเปรียบเทียบดูแล้ว ผลจะใหญ่กว่าตัวเด็กอย่างเจ้าดื้อเล็กของผมซะอีกครับ นอกจากนี้ยังมีผลฟักทองนานาพันธุ์ ซึ่งทั้งสีสันและรูปร่างล้วนแต่แปลกตาหาดูที่ไหนไม่ได้ แต่ที่นี่มีให้เลือกดูเลือกซื้อกันได้อย่างจุใจ .....ฟักทองหลากหลายพันธุ์ มีให้ชมและเลือกซื้อกันได้ที่นี่ใครชอบทานฟักทอง มาที่นี่รับรองถูกใจแน่ๆชอบใจฟักทองลูกไหน ก็หยิบไปจ่ายเงินกันได้เลยลูกฟักทองยักษ์ ใหญ่โตจริงๆ ลองเทียบขนาดกับดื้อเล็กดูสิครับจุดที่จัดไว้ให้นักท่องเที่ยวถ่ายรูปเป็นที่ระลึกบริเวณลานฟักทอง จะเห็นเทือกเขาพญาปราบเป็นฉากหลังกองฟักทองหลากหลายขนาด เด็กๆ ชอบกันมาก บริเวณสวนฟักทองแห่งนี้ยังเป็นจุดชมวิวที่สามารถมองเห็นทิวทัศน์ของลำสำลาย แหล่งน้ำสำคัญของผู้คนแถบนี้ได้ ไม่ไกลกันนักเป็นจุดถ่ายภาพที่นักท่องเที่ยวนิยมมาถ่ายภาพกันมาก นั่นคือ "ทุ่งดอกคอสมอส" หรือ ดาวกระจายฝรั่งหลากสีสัน และ "ทุ่งดอกทานตะวัน" สีเหลืองสดใส กำลังเบ่งบานชูช่อล้อแสงตะวัน โดยมีทิวสนและเทือกเขาพญาปราบเป็นฉากหลัง เห็นแล้วสวยโรแมนติกเหมือนอยู่ในต่างประเทศเลยล่ะครับ .....ทุ่งดอกคอสมอส กำลังบานชูช่อ รอรับนักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวชมดอกคอสมอสแบบใกล้ๆ ครับ สวยมากๆ บริเวณทุ่งคอสมอสจะเห็นทิวสนและเทือกเขาพญาปราบเป็นฉากหลัง สวยเหมือนเมืองนอกเลยครับทุ่งทานตะวันก็กำลังบานสะพรั่งล้อแสงตะวัน หลังจากเที่ยวชมแปลงฟักทองยักษ์และทุ่งดอกไม้กันแล้ว เราก็รอขึ้นรถต่อไปยังจุดท่องเที่ยวจุดที่ 3 นั่นก็คือ "หมู่บ้านอีสานและหมู่บ้านโคราช" ซึ่งทางฟาร์มได้นำบ้านอีสาน อันเป็นสถาปัตยกรรมไทยอีสานที่เป็นเอกลักษณ์มารวบรวมปลูกไว้บนพื้นที่กว่า 10 ไร่ อาทิ บ้านโคราช บ้านภูไท และเรือนเหย้า และยังมีการจำลองวิถีชีวิต วัฒนธรรม ประเพณี การละเล่น อาหารการกิน และการประกอบอาชีพของชาวบ้านในอดีตให้นักท่องเที่ยวได้สัมผัสความเป็นอยู่อันเรียบง่ายและพอเพียงของชาวอีสานด้วยครับ และเมื่อมาถึงหมู่บ้านอีสานกันแล้ว ก็อย่าลืมแวะไปเยี่ยมชมความน่ารักของ "เจ้าบุญหลาย" ควายไทยที่เป็นพรีเซ็นเตอร์ของผลิตภัณฑ์หลายอย่างของที่นี่ อย่างเช่น ปุ๋ยบุญหลาย เสื้อยืดและกระเป๋าผ้าบุญหลาย ไปทักทายกันได้ที่กระท่อมกลางนานะครับ .....ที่หมู่บ้านอีสาน จะเห็นแปลงนาข้าวเกษตรอินทรีย์อยู่ด้านหน้านักท่องเที่ยวสามารถขึ้นไปเที่ยวชมสภาพบ้านเรือนอีสานได้อย่างใกล้ชิดดื้อใหญ่กำลังขึ้นไปหาที่ดื้อซนบนเรือนอีสานจุดถ่ายรูปน่ารักที่จัดไว้บริเวณหมู่บ้านอีสานเก็บภาพเป็นที่ระลึกกันซะหน่อยครับตู้ไปรษณีย์สีแดงสด ใช้งานได้จริงนะครับ มีขายโปสการ์ดให้ส่งเป็นที่ระลึกด้วยดื้อใหญ่กำลังทดลองฟาดข้าวมีการแสดงวัฒนธรรมอีสานให้ชมกันด้วยก่อนออกจากหมู่บ้านอีสาน อย่าลืมแวะไปทักทายเจ้าบุญหลายกันบ้างนะครับ ออกจากหมู่บ้านอีสาน เราก็ขึ้นรถต่อไปยังจุดท่องเที่ยวจุดสุดท้ายของวันนี้ ซึ่งก็คือ "สวนดอกไม้เมืองหนาวและตลาดจิม ทอมป์สัน" นั่นเองครับ ที่จุดนี้ทางฟาร์มได้เพาะปลูกไม้ดอกเมืองหนาวสีสวยงามอย่างดอก Hollyhock, ดอกพิทูเนีย และยังมีแปลงปลูกผักแบบไฮโดรโพนิกส์หรือปลูกแบบไร้ดิน ซึ่งจะมีการปลูกผักสลัดไว้ให้ชื่นชมหลายสายพันธุ์ อาทิ ผักเรดโอ๊ค ผักกรีนโอ๊ค ผักบัตเตอร์เฮด .....ดื้อเล็กในแปลงดอกพิทูเนียสีสวยสดแปลงปลูกผักแบบไฮโดรโพนิกส์หรือปลูกแบบไม่ใช้ดินไม่ควรพลาดการเก็บภาพเป็นที่ระลึกกันที่นี่ผักเรดโอ๊คและผักบัตเตอร์เฮด สีสดใสน่าทานมาก และที่บริเวณ "ตลาดจิม ทอมป์สัน" เราสามารถเลือกซื้อผัก ผลไม้ และดอกไม้ ตลอดจนผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ของจิม ทอมป์สัน ฟาร์ม พร้อมชมการสาธิตกิจกรรมของจิม ทอมป์สันเพื่อเรียนรู้กระบวนการผลิตก่อนจะมาเป็นผืนผ้าจิม ทอมป์สันที่สวยงาม เช่น การย้อมผ้าด้วยสีธรรมชาติ การทอผ้ามัดหมี่ เป็นการปิดท้ายความประทับใจก่อนเดินทางกลับบ้าน .....สินค้าผลิตภัณฑ์จิม ทอมป์สันที่มีจำหน่ายที่ตลาดจิม ทอมป์สันสินค้าใหม่ปีนี้อย่างเสื้อยืดและกระเป๋า มีเจ้าบุญหลายเป็น logoตัวอย่างเสื้อยืดสีสวยและถุงผ้าลดโลกร้อนลายเจ้าบุญหลายเส้นไหมสีสวย สำหรับทอผ้าไหมอันขึ้นชื่อของจิม ทอมป์สันดอกไม้สีสวยๆ ก็มีให้เลือกซื้อกลับบ้านกันด้วยนะครับ หลังจากเลือกซื้อสินค้าเป็นที่ระลึกติดมือกลับบ้านกันเรียบร้อยแล้ว ก็ถึงเวลาที่เราจะต้องเดินทางกลับกันเสียที ขากลับผมเลือกใช้เส้นทางถนนมิตรภาพผ่านทางสี่คิ้ว เข้าสระบุรี นครนายกครับ เส้นทางนี้จะไกลจากปราจีนบุรีบ้านผมมากกว่าเส้นทางวังน้ำเขียว แต่ต้องตามใจคุณแม่บ้านและคุณแม่ยายของผมที่ไม่อยากให้ขับรถข้ามเขาปักธงชัยในช่วงมืดๆ ค่ำๆ ..... สำหรับใครที่ยังไม่รู้จะไปเที่ยวที่ไหนในช่วงปลายปีนี้ ลองหาเวลาแวะมาเที่ยวที่ "จิม ทอมป์สัน ฟาร์ม" กันดูนะครับ แล้วจะประทับใจไม่รู้ลืม จนหลายๆ คนต้องกลับมาเที่ยวใหม่แทบจะทุกปี ถ้าพลาดงานนี้ ก็คงต้องรอปลายปีหน้าเลยนะครับกว่าที่ฟาร์มจะเปิดให้เข้าชมกันอีกที ผมก็เลยต้องรีบเขียนบล็อคนี้โดยเร็วเพื่อเชิญชวนให้ไปเที่ยวกัน ไม่อยากให้พลาดเดี๋ยวจะเสียใจ เพราะหนึ่งปีมีครั้งเดียว ต้องของจบทริปนี้ไว้เท่านี้ พบกันใหม่ปีหน้า และขอสวัสดีปีใหม่ชาวบล็อกแก๊งทุกท่านล่วงหน้า ขอให้ประสบแต่ความสุขสมหวังตลอดปี 2553 นะครับ
สวัสดีปีใหม่ 2553 ค่ะ
ในวาระดิถีขึ้นปีใหม่ ข้าพเจ้าขออำนาจสิ่งศักสิทธิ์ทั้งหลายที่ท่านเคารพนับถือบูชา โปรดดลบันดาลให้ท่านและครอบครัวประสพแต่ความสุขความเจริญ ปราศจากทุกข์ โศก โรค ภัย ขอให้มีความสุขกาย สุขใจ และประสบแต่สิ่งที่พึงประสงค์ ด้วยเถิด jaeng : rimpol.bloggang.com
ขอตามเด็กดื้อไปเที่ยวฟาร์มจิมด้วยนะค่ะ
แอบรอมา 1 ปีแล้ว พลาดไปเมื่อปีที่แล้ว ปีนี้ได้ไปสมใจ
วางโปรแกรมว่าจะไปวันสุดท้ายของงาน คนคงเยอะแยะ แต่ก็ทำใจแล้วค่ะ ไม่มีวันว่างเลย
เด็กดื้อใหญ่ และเล็ก น่ารักมาก ๆ และฟาร์มก็สวยจังค่ะ ชักอยากไปไว ๆ
ปล. รูปแจ่มและสวยสุด ๆ Happy New Year มีความสุขมาก ๆ ค่ะ