เวลาที่ผมได้ยินใครพูดถึง "เกาะสีชัง" ขึ้นมาทีไร ใจก็มักจะคิดไปถึงท่อนหนึ่งของเนื้อเพลง "สีชัง" ที่เคยได้ยินตั้งแต่สมัยยังเป็นเด็กๆ ขึ้นมาทุกที จำได้ว่าน้ำเสียงอันนุ่มเนิบกับท่วงทำนองดนตรีอันไพเราะ พาให้เคลิบเคลิ้มคิดจินตนาการไปไกลถึงเกาะสวรรค์แสนสวยอันเป็นที่มาของชื่อเพลง มาทราบเอาในภายหลังนี่เองว่าเจ้าของเสียงขับร้องเพลงนี้ก็คือ ม.ร.ว.ถนัดศรี สวัสดิวัฒน์ และแต่งทำนองอันไพเราะเสนาะหูโดย อ.สง่า อารัมภีร นั่นเอง ..... ครั้งนี้ก็เป็นอีกครั้งหนึ่งที่ผมกำลังนั่งนึกถึงเพลงๆ นี้ แต่คราวนี้มันกลับให้ความรู้สึกแตกต่างไปจากทุกครั้งที่ผ่านมา เพราะครั้งนี้ผมกำลังจะได้ไปสัมผัสกับ "เกาะสีชัง" เกาะอันเป็นที่มาของบทเพลงนี้ ด้วยสองตาและด้วยหัวใจของตัวเอง มิใช่เป็นเพียงแค่จินตนาการถึงเกาะสวรรค์แบบสมัยเด็กๆ อีกต่อไป .....สีชัง ชังแต่ชื่อ เกาะนั้นหรือจะชังใคร แม้ว่า "เกาะสีชัง" จะเป็นเกาะที่ไม่ใหญ่นัก หลายๆ คนอาจใช้เวลาเพียงแค่ครึ่งวันก็เที่ยวได้ทั่วเกาะแล้ว แต่สำหรับผมแล้ว เวลาเพียงแค่ครึ่งวันนั้นคงไม่เพียงพอที่จะได้ดื่มด่ำกับบรรยากาศที่เงียบสงบและผ่อนคลายของเกาะแห่งนี้เป็นแน่ ดังนั้นผมจึงต้องการเวลาอย่างน้อยหนึ่งวันหนึ่งคืนบนเกาะ จึงเกิดเป็นทริปเกาะสีชังสองวันหนึ่งคืนนี้ขึ้นมา ..... สำหรับที่พักของผมบนเกาะสีชังนั้น ไปเกาะสวรรค์ทั้งทีจะให้พักบ้านพักธรรมดาๆ ก็ดูกระไรอยู่ ผมจึงเลือกเข้าพักที่ปราสาทสีชมพูสุดโรแมนติก อันเป็นที่ตั้งของ "มาลีบลูแห่งใหม่" ซึ่งเพิ่งเปิดตัวอย่างเป็นทางการไปเมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมานี่เอง ตั้งแต่ได้เห็นรูปที่พักจากในหน้า website แห่งหนึ่ง สีชมพูแสนหวานของปราสาทสไตล์โมร็อคโคผสมผสานกับสีสันและลายเส้นจากบ้านโอริสสาประเทศอินเดียอย่างลงตัว เห็นแล้วสะดุดตาสะดุดใจ จนตั้งใจไว้ว่าถ้าไปเกาะสีชังเมื่อไหร่ต้องไปพักที่ปราสาทสีชมพูแห่งนี้ให้ได้ และแล้วฝันก็เป็นจริงแล้วครับ ..... จากปราจีนบุรีถึงท่าเรือเกาะลอยแห่งอำเภอศรีราชาใช้เวลาเดินทางเพียงแค่สองชั่วโมง ผมก็ได้มานั่งปล่อยอารมณ์อยู่บนเรือยนต์สองชั้นที่จะพาเราข้ามทะเลไปยังเกาะสีชังกันแล้ว เรือจะออกทุกๆ ชั่วโมงและออกตรงเวลามาก ค่าโดยสารคนละ 40 บาท แนะนำให้ไปลงเรือเร็วหน่อยจะได้เลือกจับจองที่นั่งบนชั้นสองของเรือ ซึ่งจะได้นั่งรับลมทะเลเย็นสบายกว่านั่งอุดอู้อยู่ในชั้นล่างของเรือ ..... บริเวณท่าเรือไปเกาะสีชังเรือยนต์สองชั้นที่จะพาเราข้ามไปยังเกาะสีชัง เรือยนต์ใช้เวลาแล่นฝ่าฟองคลื่นมาราว 45 นาที ก็พาผมมาถึงยังท่าเรือเกาะสีชังแล้ว หลังก้าวเท้าขึ้นจากเรือที่ท่าล่าง ก็จะพบกับบรรดารถ "สกายแล็ป" ซึ่งเป็นรถมอเตอร์ไซค์ที่มีห้องโดยสารหน้าตาละม้ายคล้ายกับรถตุ๊กๆ นับเป็นสัญลักษณ์อย่างหนึ่งของเกาะสีชัง มารอนักท่องเที่ยวเสนอบริการนำเที่ยวชมเกาะสีชังทั้งแบบครึ่งวันและแบบเช่าเหมาทั้งวัน ราคาเหมา 250 บาทเที่ยวได้ไม่จำกัดเวลา แต่ผมยังไม่ได้ไปเที่ยวกันในตอนนี้ เพราะตั้งใจจะเข้าไปพักผ่อนยังที่พักเสียก่อน ก็เรายังมีเวลาอีกตั้งหนึ่งวันบนเกาะแห่งนี้ จะต้องรีบร้อนไปทำไมกันล่ะครับ ..... หน้าตาของรถสกายแล็ปซึ่งนักท่องเที่ยวนิยมใช้บริการขณะอยู่บนเกาะ ใช้เวลาเดินทางจากท่าล่างไม่นาน รถสกายแล็ปก็พาเรามาถึงปราสาทสีชมพู "มาลีบลู" ที่พักแสนสวยของเราในวันนี้แล้วครับ มาเห็นของจริงแล้วสวยหวานไม่ต่างไปจากที่เห็นในรูปเลย ผมไปติดต่อเช็คอินกับ "พี่ชมพู่" ผู้ดูแลรีสอร์ทแห่งนี้เพียงไม่นานก็เรียบร้อย วันนี้เราได้พักที่ตึกปราสาทชั้นสอง ..... ดื้อเล็กมาถึงมาลีบลูแล้วตึกด้านหน้าสุด ชั้นล่างจะเป็นส่วน front และร้านอาหารอาคารหลังแรกอีกมุมหนึ่งอาคารแต่ละหลังของที่นี่ สีชมพูได้ใจจริงๆเดินเข้าไปด้านในสุดจะเห็นปราสาทใหญ่อยู่ตรงหน้าเราเข้าพักกันที่ปราสาทสีชมพูหลังนี้หลังนี้มีสามชั้น ชั้นบนเป็นห้องสวีท มีดาดฟ้าส่วนตัวตึกสีหวานๆ อีกมุมมองหนึ่งหลังนี้เป็นบ้านเจ้าของรีสอร์ท ไม่ทิ้ง concept ปราสาทสีชมพูมุมด้านข้างตึกด้านหน้าก็มีจัดวางโต๊ะสำหรับทานอาหารในบรรยากาศสบายๆ เมื่อเอ่ยถึงชื่อ "มาลีบลู" หลายคนคงจะคิดไปถึงรีสอร์ทกระท่อมไม้ไผ่ริมหน้าผาชายทะเลกันใช่ไหมครับ นั่นคงเป็นอดีตไปแล้ว เดี๋ยวนี้กระท่อมหลังเก่าถูกเปลี่ยนมือไปแล้วล่ะครับ "ลุงจุก" เจ้าของมาลีบลูเดิม จึงย้ายมาสร้างสรรค์มาลีบลูแห่งใหม่ ในสไตล์ปราสาทโมร็อคโค เรียกว่าฉีกแนวไปจากมาลีบลูเก่าโดยสิ้นเชิง ที่ใหม่นี้มีห้องพักเพียงแค่ 17 ห้องเท่านั้น ..... ใครที่อยากไปพักโดยเฉพาะช่วงวันหยุดคงต้องจองล่วงหน้ากันนานหน่อย เพราะได้ข่าวว่าวันหยุดห้องเต็มยาวไปหลายเดือนแล้ว แต่ต้องขอบอกไว้ก่อนว่าถ้าต้องการมาพักที่นี่ อย่าคาดหวังว่าจะสะดวกสบายทุกอย่างเหมือนตามโรงแรมหรูๆ นะครับ เพราะที่นี่เขาบริหารจัดการกันแบบลูกทุ่ง สิ่งอำนวยความสะดวกบางอย่างก็ยังไม่มี เช่นตู้เย็น เครื่องทำน้ำอุ่น ตอนที่ผมไปพัก น้ำดื่มในห้องยังไม่มีให้เลย ..... ตึกสวยๆ กับฟ้าใสๆ เข้ากันได้ดีจริงๆเก็บรายละเอียดของปราสาทแบบโมร็อคโคมาให้ดูกันสวยทุกมุมมองผนังตึกเขียนลวดลายแบบโอริสสาประเทศอินเดีย พริ้วหวานดีจริงๆบ้านพักอีกแบบหนึ่งเป็นวิวสวน มีเพียงสองห้องเท่านั้นมุมนั่งเล่นหน้าห้องพักริมสวน ก็ดูน่าสบายดี หลังจากที่ผมได้พาเที่ยวชมบริเวณภายนอกที่พักกันแล้ว ก็เชิญเข้าไปดูภายในห้องพักกันต่อเลยดีกว่า ห้องพักที่นี่จะค่อนข้างแคบไปซักนิด ถ้าพักกันสองคนก็จะพอดีๆ แต่ถ้าต้องพักมากกว่านั้นก็คงจะอึดอัดน่าดู ตอนนี้เพิ่งติดแอร์ไปได้แค่ 7 ห้อง ที่เหลือยังเป็นห้องพัดลมอยู่ โชคดีที่ห้องที่เราพักมีแอร์ แต่ที่ไม่ดีคือไม่ให้รีโมทแอร์มาด้วย เวลาจะปรับอุณหภูมิต้องไปตามให้พนักงานเอารีโมทมาปรับให้ ทำไมต้องทำให้เป็นเรื่องยุ่งยากแบบนี้ก็ไม่รู้ เอาล่ะครับบ่นมาพอแล้ว ไปดูภาพภายในห้องพักกันเลยแล้วกัน .....ภายในห้องนอน เข้าใจเลือกผ้าคลุมเตียง ดูเข้ากับบรรยากาศปราสาทมากๆ ห้องนอนอีกมุมหนึ่ง ห้องค่อนข้างแคบไปนิดมีทีวีผ่านจานดาวเทียมให้ดูด้วย ภาพชัดใช้ได้เลย แต่ไม่มีตู้เย็นนะครับภายในห้องน้ำ ไม่มีน้ำอุ่นนะครับ สังเกตว่าที่ผนังเริ่มมีสีกระเทาะหลุดร่อนแล้วผนังปราสาทก่อด้วยอิฐเปลือยทั้งหมด ดูดีแต่ถ้ามีเด็กเล็กมาด้วยก็ต้องระวังเป็นพิเศษแต่ละชั้นจะมีระเบียงอยู่ด้านนอก โดยสองห้องจะใช้ระเบียงร่วมกันขึ้นไปดูบนดาดฟ้ากันบ้างดีกว่า บันไดขึ้นค่อนข้างชันต้องเดินระวังหน่อยนะครับบนดาดฟ้าสามารถชมวิวได้ไกลถึงทะเลเลยครับมองจากดาดฟ้าก็จะได้เห็นวิวนี้มุมสวยๆ แบบนี้ ต้องขอเก็บภาพเป็นที่ระลึกกันหน่อยดื้อเล็กชอบใจได้มาเที่ยวอีกแล้วที่นี่มีมุมสวยๆ ให้ถ่ายภาพกันมากมาย หลังจากเข้าที่พัก และดื่มด่ำกับบรรยากาศปราสาทสีชมพูจนเต็มอิ่มแล้ว ในช่วงบ่าย เราก็จัดการติดต่อรถสามล้อเครื่องสกายแลปเพื่อพาเที่ยวตามสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญของเกาะสีชัง ราคาเช่าเหมา 250 บาทต่อวันครับ จุดแรกที่ได้ไปชมกันก็คือ "ชายหาดถ้ำเขาพัง" ซึ่งตั้งอยู่ด้านตะวันตกของเกาะ เป็นชายหาดกว้าง สะอาดและสวยงาม มีทรายละเอียด น้ำใสสะอาดเหมาะแก่การเล่นน้ำ และยังมีกิจกรรมทางน้ำสนุกๆ อย่างบานาน่าโบ๊ต พายเรือคายัค เล่นห่วงยาง ให้ได้เล่นสนุกกันด้วย เป็นชายหาดเดียวบนเกาะสีชังที่นักท่องเที่ยวนิยมมาเล่นน้ำทะเลกันมากที่สุด .....มุมหนึ่งของหาดถ้ำเขาพัง จุดถัดไปที่เราได้ไปชมก็คือ "พระจุฑาธุชราชฐาน" ซึ่งในอดีตเคยเป็นพระราชวังฤดูร้อนในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ปัจจุบันอยู่ในความดูแลของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่พระราชวังแห่งนี้มีพระตำหนักเก่าแก่ให้ได้เที่ยวชมกันอยู่หลายแห่ง แต่จุดแรกที่นับเป็น location สำคัญที่ใครต่อใครที่มาเที่ยวเกาะสีชังมักจะไม่พลาดมาเก็บภาพเป็นที่ระลึก เห็นปุ๊บก็รู้ปั๊บว่ามาเกาะสีชัง ก็น่าจะเป็นที่ "สะพานอัษฎางค์" ซึ่งรัชกาลที่ 5 โปรดให้สร้างขึ้นเพื่อเป็นท่าเทียบเรือ ลักษณะเป็นสะพานไม้สีขาวทอดยาวไปในทะเล ดูสวยคลาสสิกเป็นอย่างมาก .....มุมมหาชนของสะพานอัษฎางค์ ใครมาแล้วไม่ได้ถ่ายรูปที่มุมนี้ก็เหมือนมาไม่ถึงเกาะสีชังดื้อเล็กก็มาเที่ยวสะพานอัษฎางค์แล้วนะคะ หลังจากแวะเก็บภาพเป็นที่ระลึกกันที่สะพานอัษฎางค์แล้ว เราก็พากันเดินเที่ยวชมพระตำหนักเก่า ซึ่งมีอยู่หลายหลัง แห่งแรกที่ได้ไปชมกันก็คือ "เรือนไม้ริมทะเล" เป็นเรือนไม้สีเขียว มีลวดลายสลักสวยงามแบบขนมปังขิง ปัจจุบันใช้เป็นสถานที่จัดแสดงนิทรรศการที่น่าสนใจในเกาะสีชัง และเป็นจุดที่มีร้านขายกาแฟและเครื่องดื่มให้บริการอยู่ด้วย .....เรือนไม้ริมทะเล สีเขียวสดใส มีไม้แกะลวดลายสวยงามด้านหน้าของเรือนไม้ริมทะเลภายในเรือนไม้ริมทะเล มีร้านกาแฟให้นั่งดื่มกาแฟกันในบรรยากาศสบายๆ ถัดจากเรือนไม้ริมทะเล เดินต่อไปอีกนิดก็จะพบกับ "เรือนวัฒนา" ซึ่งสร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 5 โดยพระราชทานนามตามพระนามสมเด็จพระนางเจ้าสว่างวัฒนา พระบรมราชเทวี ลักษณะเป็นตึกสี่เหลี่ยมผืนผ้า อาคารสร้างด้วยอิฐถือปูน หิน ปูน กระเบื้อง พื้นบันไดในอาคารประตู หน้าต่าง เพดาน และโครงสร้างของหลังคา ทำด้วยไม้สัก หลังคาทรงปั้นหยา มุงกระเบื้องเกล็ดเต่า มีเฉลียงด้านหน้า ชั้นล่างเพดานมีเสา 4 ต้น ชั้นบนเป็นเสาไม้ธรรมดา ประตูทางเข้าชั้นล่างมี 3 ประตู ตัวอาคารทาสีเหลืองหม่น รูปแบบของอาคารได้รับอิทธิพลมาจากสถาปัตยกรรมตะวันตก ซึ่งเป็นที่นิยมในสมัยนั้น ปัจจุบันใช้เป็นสถานที่จัดแสดงนิทรรศการเหตุการณ์สำคัญในเกาะสีชังสมัยรัชกาลที่ 5 .....เรือนวัฒนา หนึ่งในพระตำหนักโบราณด้านข้างของเรือนวัฒนา มุมนี้เห็นฟ้าสีสดตัดกับตัวตึกดีเลยเก็บภาพมาด้วย นอกจากนี้ยังมีพระตำหนักอีกสองแห่งคือ "เรือนผ่องศรี" และ "เรือนอภิรมณ์" แต่เนื่องจากเวลาจำกัดเราจึงไม่ได้แวะชม ถัดจากบริเวณหมู่พระตำหนักก็จะมีบันไดทางเดินลัดเลาะขึ้นไปบนเขา พาเราไปยัง "พระเจดีย์อุโบสถ วัดอัษฎางคนิมิตร" ซึ่งเป็นพระอุโบสถที่มีลักษณะแตกต่างจากที่อื่น คือ มีพระอุโบสถอยู่ใต้เจดีย์ทรงกลมแบบลังกา ตัวพระอุโบสถสร้างตามรูปแบบสถาปัตยกรรมแบบโกธิค บริเวณพระเจดีย์อุโบสถยังมีต้นศรีมหาโพธิ์ ซึ่งนำหน่อมาจากพุทธคยา ประเทศอินเดีย ปลูกไว้ด้วย พระเจดีย์อุโบสถนี้ตั้งอยู่บนเขา ณ ตำแหน่งที่สูง มองเห็นได้ชัด และจากองค์พระเจดีย์สามารถมองเห็นทัศนียภาพบริเวณพระราชฐานโดยรอบ รวมถึงภูมิทัศน์ทางทะเลที่สวยงามคุ้มค่ากับการเดินขึ้นเขามาชมเลยล่ะครับ .....เดินไม่ทันเหนื่อยก็มาถึงพระเจดีย์อุโบสถ วัดอัษฎางคนิมิตรแล้วดื้อเล็กนั่งพัก ระหว่างทางเดินไปวัดอัษฎางคนิมิตรภาพเบื้องหลังวิธีขึ้นสู่พระเจดีย์วัดอัษฎางคนิมิตรของดื้อเล็กอีกมุมมองหนึ่งของพระเจดีย์ด้านในพระอุโบสถ เป็นศิลปะแบบโกธิคช่องแสงประดับด้วยกระจกสี สวยงามมากสระน้ำระหว่างทางเดินลงจากพระเจดีย์ ถ้าดูดีๆ สระนี้จะคล้ายรูปหัวใจ เราใช้เวลาเดินเที่ยวชม "พระจุฑาธุชราชฐาน" อยู่ชั่วโมงเศษๆ ก็ออกเดินทางต่อโดยรถสกายแลปคันเดิม มุ่งตรงไปยัง "ศาลเจ้าพ่อเขาใหญ่" ศาลแห่งนี้ ตั้งอยู่บนเขาคยาศิระ เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่บรรดาชาวจีนทั้งในไทยและต่างประเทศ ให้ความเคารพสักการะ ศาลเจ้าเป็นอาคารใหญ่ ลักษณะทรงวิหารจีน นอกจากองค์เจ้าพ่อเขาใหญ่แล้ว ภายในยังเป็นที่ประดิษฐานของเจ้าพ่อเห้งเจีย ศาลเจ้าแม่กวนอิม วิหารพระสังกัจจายน์ ฯลฯ ในช่วงตรุษจีนจะมีผู้คนมาบวงสรวงสักการะเนืองแน่น ด้วยความเชื่อว่าจะทำให้กิจการค้าขายรุ่งเรือง .....ตึกรามบ้านช่องในเกาะสีชัง วันหยุดแบบนี้ยังดูเงียบสงบไม่พลุกพล่านทางขึ้นศาลเจ้าพ่อเขาใหญ่ จากตรงนี้ต้องเดินขึ้นบันไดไปอีกร้อยกว่าขั้นขึ้นมาถึงด้านบนแล้ว ก็จะได้เห็นวิวสวยๆ นี้เป็นรางวัลทางเข้าไปนมัสการเจ้าพ่อเขาใหญ่ ลักษณะจะเป็นถ้ำลึกเข้าไปภายในถ้ำเจ้าพ่อเขาใหญ่เจ้าพ่อเขาใหญ่ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ชาวจีนทั่วไปให้ความเคารพสักการะหน้าถ้ำเจ้าพ่อเห้งเจีย เมื่อก่อนจะมีกระดาษแดงติดบนเพดานถ้ำเต็มไปหมดแต่ตอนนี้ถูกแกะออกไปหมดแล้ว หลังจากที่เราได้ไปสักการะเจ้าพ่อเขาใหญ่เรียบร้อยแล้ว ก็เป็นเวลาเย็นแล้ว จุดสุดท้ายที่เราจะแวะไปเที่ยวกันในวันนี้ก็คือ "ช่องอิศริยาภรณ์ (เขาขาดและหาดหินกลม)" ซึ่งมีลักษณะเป็นช่องเขาที่ขาดออกจากกัน เป็นจุดชมพระอาทิตย์ตกที่สวยงาม สามารถมองเห็นพระอาทิตย์จมหายลับสู่ขอบน้ำได้เป็นอย่างดี วันนี้เราจะไปรอชมพระอาทิตย์ตกกันที่นี่ .....ศาลาชมวิว เหมาะกับการชมพระอาทิตย์ตกมากชมความงามของพระอาทิตย์ตกทะเลกันที่ช่องเขาขาด หลังจากชมความงามของพระอาทิตย์ตกกันที่ช่องเขาขาดเรียบร้อยแล้ว เราก็เดินทางกลับที่พักของเราที่ "มาลีบลู" กลับไปถึงฟ้าก็มืดพอดี อาคารแต่ละหลังของมาลีบลูมีการเปิดไฟสว่างไสวสวยงาม จนผมอดไม่ได้ต้องเก็บภาพของปราสาทมาลีบลูในยามค่ำคืนมาให้ชมกัน .....ปราสาทมาลีบลูในยามค่ำคืน ก็สวยไปอีกแบบอาคารแต่ละหลังประดับไฟไว้สวยงามมากโคมไฟสวยๆ มีให้เห็นอยู่ทั่วไปมุมนี้มองจากยอดปราสาท เห็นไปไกลถึงฝั่งศรีราชา ค่ำนี้เราทานอาหารเย็นกันที่ร้านอาหารมาลีบลู รสชาติอาหารพอใช้ได้ ส่วนราคาก็ไม่สูงมากนัก แต่จะสูงกว่าที่ร้านอื่นบนเกาะหรือเปล่าอันนี้ผมคงตอบไม่ได้เหมือนกัน เพราะไม่ได้ไปทานอาหารที่ร้านอื่นเลย หลังทานอาหารเสร็จ เราใช้เวลาหลังอาหารนั่งพักผ่อนและดื่มด่ำไปกับบรรยากาศที่พักสวยๆ ยามค่ำคืนกันอยู่พักใหญ่ ก็ได้เวลาพาเจ้าเด็กดื้อเข้านอนเพื่อเตรียมตัวเดินทางกลับบ้านในวันรุ่งขึ้น .....ค่ำนี้เราทานอาหารเย็นกันที่มาลีบลู จากการที่ได้ไปสัมผัสกับเกาะสีชังมา แม้จะเป็นเพียงช่วงเวลาสั้นๆ แค่สองวันกับหนึ่งคืน แต่ก็เพียงพอที่จะทำให้ผมได้ทราบว่า แท้จริงแล้วสีชังนั้นชังแต่ชื่อจริงๆ เกาะสีชังไม่เคยชังใคร และยังยินดีต้อนรับนักท่องเที่ยวที่มาเยือนด้วยรอยยิ้มและมิตรภาพอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน จนถึงตอนนี้ผมยังจำได้ถึงเสน่ห์แบบเรียบง่ายของเกาะ รอยยิ้มของผู้คน ตลอดจนน้ำทะเลใสๆ หากมีเวลาเมื่อใด คงได้กลับไปเยือนเกาะสีชังอีกครั้ง ทริปนี้ก็ขอจบลงเพียงเท่านี้ ไว้เจอกันใหม่ในทริปหน้า สวัสดีครับ .....
หลับฝันดีราตรีสวัสดิ์จ้าขอบคุณที่พาไปเที่ยวนะจ๊ะ
แต่ยังหาเวลามาไม่ได้เลย
สวยดีนะคะ