ช้างเอราวัณ เป็นช้างทรงของพระอินทร์ผู้สถิตอยู่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ มีลักษณะเด่นคือ มีสามเศียร ชาวไทยเราส่วนใหญ่รู้จักช้างเอราวัณกันเป็นอย่างดีทั้งจากในวรรณคดี และจากรูปเคารพต่างๆ แต่ถ้าพูดถึงช้างเอราวัณที่ยิ่งใหญ่และอลังการงานสร้างที่สุดในบ้านเรา ก็คงหนีไม่พ้นช้างยักษ์ขนาดความสูงเท่าตึก 14 ชั้น ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ "พิพิธภัณฑ์ช้างเอราวัณ" ที่จังหวัดสมุทรปราการ ที่ผมจะพาไปเที่ยวชมกันในวันนี้นั่นเอง ..... ช้างที่นี่มีขนาดใหญ่จนได้รับการยอมรับว่าเป็นประติมากรรมลอยตัวที่ทำด้วยวิธีเคาะขึ้นรูปด้วยมือที่ใหญ่ที่สุดในโลก ผมได้ยินกิติศัพท์มานานแล้ว เพิ่งจะได้มีโอกาสได้ไปพิสูจน์ด้วยตาตัวเองเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมานี้เอง น่าเสียดายในวันที่ผมไปเที่ยว อากาศขมุกขมัว ท้องฟ้ามีแต่เมฆครึ้มไร้สีสัน เลยถ่ายภาพออกมาไม่สดใสเท่าที่ควร .....+++ ช้างเอราวัณขนาดมหึมา ยืนเด่นเห็นได้แต่ไกล ที่พิพิธภัณฑ์ช้างเอราวัณ +++ "พิพิธภัณฑ์ช้างเอราวัณ" สร้างขึ้นตามความประสงค์ของคุณเล็ก วิริยะพันธุ์ (ผู้สร้างเมืองโบราณและปราสาทสัจธรรม) โดยมุ่งหวังว่าพิพิธภัณฑ์แห่งนี้จะเป็นที่เก็บรักษาโบราณวัตถุล้ำค่าที่สะสมไว้ให้อยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ ปลอดภัย และให้คนรุ่นหลังได้ชื่นชม แรกเริ่มเดิมทีคุณเล็กก็ยังคิดไม่ออกว่าจะสร้างอาคารแบบไหนจึงจะปลอดภัยและดูเป็นศิลปะ จนกระทั่งเพื่อนชาวต่างชาติคนหนึ่งมาเยี่ยมและเล่าให้ฟังว่าที่เมืองนอกมีคนคิดสร้างอาคารงำเมืองเป็นรูปผลแอปเปิ้ลเพื่อให้คนไปชมและดูวิวเมือง ด้วยความที่คุณเล็กเคยอยากสร้างช้างเอราวัณที่บางปะกงอยู่แล้วแต่ไม่สำเร็จ จึงยกเอาความคิดนั้นมาสร้างที่นี่แทน .....+++ ก่อนเข้าไปชมพิพิธภัณฑ์ ต้องซื้อบัตรเข้าชมที่ซุ้มด้านหน้ากันก่อน ++++++ จากซุ้มขายบัตร เดินต่อไปอีกนิดก็ถึงตัวพิพิธภัณฑ์แล้วครับ +++ สัญลักษณ์ของพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ คือ "ช้างเอราวัณ 3 เศียร" ขนาดมหึมา อยู่ในท่าเคลื่อนไหวส่ายเศียรยืนอยู่เหนือยอดโดมของตัวอาคารพิพิธภัณฑ์ที่รองรับ ดูราวกับช้างตัวนี้เหยียบอยู่บนโลก สิ่งก่อสร้างนี้สูง 43 เมตร เทียบเท่าความสูงของตึก 14 ชั้น ตัวช้างเอราวัณหนักเกือบ 300 ตัน สร้างจากแผ่นทองแดงมากกว่าหนึ่งแสนชิ้น ..... แผ่นทองแดงแต่ละชิ้นถูกขึ้นรูปด้วยมือ ใช้ช่าง 270 คน เพื่อประกอบแผ่นทองแดงทั้งหมดเข้าด้วยกันเป็นประติมากรรมชิ้นเอกรูปช้างเอราวัณ 3 เศียรขนาดมหึมา ถึงแม้ตามตำนานไตรภูมิพระร่วงจะบรรยายลักษณะของช้างเอราวัณไว้ว่า มี 33 เศียร แต่เมื่อยึดความงามของสถาปัตยกรรมเป็นหลัก งานศิลปะทั่วไปจึงทำรูปช้างเอราวัณลดเหลือเพียง 3 เศียรแบบที่เราเห็นกันอยู่ทุกวันนี้ ..... +++ ด้านข้างของพิพิธภัณฑ์ช้างเอราวัณ ในวันที่ฟ้าไร้แดด ++++++ แวะถ่ายภาพที่ร้านขายของที่ระลึกด้านหน้าพิพิธภัณฑ์กันก่อนครับ +++ ในพิพิธภัณฑ์แบ่งพื้นที่ออกเป็น 3 ส่วนตามหลักไตรภูมิ ส่วนที่ 1 อยู่ชั้นล่างสุด เรียกว่า "ชั้นบาดาล" ในส่วนนี้มีโบราณวัตถุมีค่ามากมายที่คุณเล็ก วิริยะพันธุ์ได้สะสมไว้ เช่น เครื่องลายคราม แจกันจากประเทศจีนสมัยราชวงศ์หมิงและราชวงศ์ชิง ถ้วยชามสังคโลกสมัยสุโขทัย เครื่องเคลือบเขียวสมัยอยุธยา พระพุทธรูปสำคัญประมาณค่ามิได้ ฯลฯ นอกจากนี้ยังจัดแสดงนิทรรศการ เกี่ยวกับการสร้างเมืองโบราณ ปราสาทสัจธรรมและพิพิธภัณฑ์ช้างเอราวัณ น่าเสียดายที่ในส่วนนี้จะห้ามถ่ายภาพ จึงไม่มีภาพมาให้ชมกัน .....+++ ตามดื้อเล็กเข้าไปชมด้านในพิพิธภัณฑ์กันเลยครับ ++++++ ในชั้นบาดาลจะห้ามถ่ายภาพ ขอเอาภาพศิลปวัตถุจากชั้นอื่นมาให้ชมแทนแล้วกันครับ +++ ส่วนที่ 2 ของพิพิธภัณฑ์ที่เป็นฐานของช้าง เรียกว่า "ชั้นมนุษย์โลก" ส่วนนี้เป็นห้องโถงทรงโดม มีซุ้มพระเกตุประดิษฐานพระโพธิสัตว์กวนอิมอายุเก่าแก่ถึง 1,300 ปี มีเสา 4 ต้น หุ้มด้วยแผ่นดีบุกดุนลายนูน เสาทั้งสี่ต้นเปรียบเสมือนพรหมวิหารสี่ คือ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา อันเป็นธรรมะที่ค้ำจุนโลกมิให้ล่มสลาย แต่ละเสาจะบรรจุเรื่องราวศาสนาของโลก คือ พุทธ คริสต์ อิสลาม และฮินดู ..... นอกจากนี้บริเวณบันได ซุ้มประตูทางเข้าและบริเวณต่างๆ ภายในตัวอาคาร ยังมีรูปปูนปั้นฝีมือของอาจารย์สำรวย เอมโอษฐ์ ช่างเมืองเพชรบุรีและทีมงาน โดยมีลักษณะพิเศษตรงที่มีการประดับลวดลายด้วยเครื่องเบญจรงค์ มีทั้งที่ตัดเป็นชิ้นเล็ก ๆ และที่ใช้เครื่องถ้วยเบญจรงค์ทั้งชิ้น สลับลวดลายสอดสีอย่างน่าดู .....+++ เดินผ่านเข้าประตูมาก็จะเจอกับมุมสวยๆ แบบนี้ ++++++ เก็บภาพที่ระลึกในชั้นมนุษย์โลกกันก่อน ++++++ ขึ้นบันไดไปชมด้านบนกันเลยครับ ++++++ บริเวณชานพักตรงกลางระหว่างบันไดสูงทั้งสองข้าง เป็นซุ้มพระเกตุที่ประดิษฐานรูปสลักหินเจ้าแม่กวนอิม ++++++ บันไดทางขึ้นที่เห็นทางด้านซ้ายของภาพเป็นสีขาว แทนบันไดเงิน ++++++ บันไดทางขึ้นที่เห็นทางด้านขวาของภาพเป็นสีชมพู แทนบันไดทอง ++++++ มุมมองลงมาจากด้านบนบันไดเงิน ++++++ ด้านใต้บันไดทั้งสองข้าง จะมีปลาอานนท์หนุนอยู่ด้วย +++ จุดเด่นอีกอย่างหนึ่งของส่วน "โลกมนุษย์" นี้ ก็คือเพดานห้องโถงทรงโดมจะประดับด้วยกระจกสี Stained Glass แบบศิลปะตะวันตก เป็นภาพแสดงทวีปทั้งห้า มีมหาสมุทรอยู่ตรงกลาง ซึ่งศิลปินชาวเยอรมัน Mr.Jacob Schwarzkopf ใช้สีสันสดใสเพียงสี่สีเท่านั้น เพื่อแสดงสัญลักษณ์ของธาตุทั้งสี่ที่ประกอบกันขึ้นมาเป็นโลก คือ สีเหลืองคือดิน สีขาวคือลม สีแดงคือไฟ สีฟ้าคือน้ำ และล้อมรอบด้วยภาพวาดจักรราศี 12 ราศี ถัดออกไปเป็นภาพชีวิตของมนุษย์ในโลก สื่อให้เห็นถึงอิทธิพลของดวงดาวที่มีต่อชีวิตของมนุษย์ โดยใช้แนวคิดของศิลปะตะวันตกมาผสมผสาน .....+++ เพดานห้องโถงประดับด้วยกระจกสีแบบศิลปะตะวันตก ตรงกลางเป็นภาพแผนที่ทวีปทั้งห้า ++++++ ภาพสวยๆ ที่ประดับด้วยกระจกสี stained glass ++++++ ลวดลายปูนปั้นฝีมือช่างเพชรบุรี วิจิตรบรรจงมาก ++++++ รูปปั้นหัวช้างสี่เศียรที่ใช้ช้อนกระเบื้องตกแต่งเป็นหูช้าง งดงามจริงๆ ครับ ++++++ รูปปั้นพญานาคห้าเศียร แปลกตรงที่แต่ละเศียรจะเป็นหัวสัตว์ต่างชนิดกัน ++++++ ตัวอย่างถ้วยเบญจรงค์ชนิดต่างๆ ที่นำมาใช้ประดับบนปูนปั้น ++++++ รูปนูนต่ำเกี่ยวกับศาสนา ทำจากดีบุกดุนนูนที่เสาแต่ละต้น ++++++ แสงและเงา มองผ่านลวดลายฉลุเหนือซุ้มประตูทางเข้า +++ พื้นที่ ส่วนที่ 3 อยู่ในท้องช้าง ถูกสมมุติให้เป็น "สวรรค์ชั้นดาวดึงส์" นักท่องเที่ยวสามารถเข้าไปในส่วนนี้ โดยเดินทางผ่านขาช้าง มีบันไดวนอยู่ในขาหลังขวาของช้าง ส่วนขาหลังซ้ายมีลิฟท์ ภายในขาหน้าขวาของช้างมีสายไฟฟ้า ท่อน้ำ และ ท่อของเครื่องปรับอากาศ ส่วนขาหน้าซ้ายเป็นที่เก็บระบบดับเพลิง มีการติดตั้งสายล่อฟ้าไว้ที่ขาช้างทั้ง 4 ข้าง เพราะตัวช้างสร้างด้วยทองแดง ..... การจัดแสงในส่วนที่ 3 ทำให้นักท่องเที่ยวรู้สึกสงบมีสมาธิ เมื่อนักท่องเที่ยวเข้ามาในส่วนนี้จะพบกับพระพุทธรูปปางลีลาเป็นพระประธาน จำลองแบบมาจากวัดเบญจมบพิตร ที่บนยอดพระเกตุมาลาบรรจุพระบรมธาตุ ถัดขึ้นไปมีพระพุทธสิหิงค์จำลองประดิษฐานอยู่ในพระเจดีย์จุฬามณี และรอบๆ ตั้งแสดงโบราณวัตถุศักดิ์สิทธิ์ที่มีค่า เช่น พระพุทธรูปและเทวรูปโบราณ ส่วนผนังและเพดานตกแต่งด้วยภาพเขียนสีฝุ่นรูปสุริยจักรวาล .....+++ บันไดเวียนทางขึ้นชั้นสวรรค์ อยู่ที่ขาหลังขวาของช้าง ++++++ ไฟประดับลายสวย บริเวณเพดานเหนือบันไดเวียน ++++++ วิวมุมสูงมองจากหน้าต่างชมวิวบนท้องช้าง ในภาพจะเห็นว่าสูงระดับเดียวกับเศียรช้างตรงมุมซ้ายของภาพ ++++++ ก้าวพ้นบันไดเวียนขึ้นมาก็จะพบกับชั้นสวรรค์ในภาพนี้ครับ ++++++ ชั้นสวรรค์ จัดแสงให้เกิดความรู้สึกสงบ มีสมาธิ ++++++ ภาพเขียนสีฝุ่นรูปสุริยจักรวาล บนเพดานชั้นสวรรค์ ++++++ ขอเก็บภาพที่ระลึกบนชั้นสวรรค์กันหน่อยครับ ++++++ ภาพบรรยากาศโดยรวมภายในพิพิธภัณฑ์ +++ รอบอาคารพิพิธภัณฑ์ เป็นบ่อน้ำ พื้นบ่อปูด้วยหินสีดำ บ่อน้ำนี้ใช้เป็นสถานที่สำหรับนักเที่ยวมาขอพรโดยนำดอกบัวมาลอยน้ำ เพื่อเป็นเครื่องบรรณาการแก่ช้างเอราวัณ บริเวณใกล้เคียงมีสวนพฤกษศาสตร์ ซึ่งปลูกพรรณไม้หายากในประเทศไทย และพรรณไม้ในวรรณคดีไทย นอกจากนี้ในสวนยังประดับด้วยรูปปั้นงดงามเป็นรูปสัตว์ในวรรณคดีอยู่หลายชิ้น ..... บริเวณด้านหน้าอาคารพิพิธภัณฑ์มีร้านขายเครื่องดื่มและร้านขายของที่ระลึก ให้ได้เลือกซื้อเป็นของฝากติดไม้ติดมือกลับบ้านกันด้วย ของที่ระลึกส่วนใหญ่ก็จะมีส่วนเกี่ยวข้องกับช้างเอราวัณ เช่น รูปปั้นจำลองของช้างเอราวัณ กระปุกออมสินน่ารักๆ กระเป๋าผ้า และอื่นๆ อีกมากมาย .....+++ ดอกบัวที่ใช้ลอยในบ่อน้ำ ไม่ต้องเสียเงินซื้อเพราะรวมอยู่ในค่าบัตรเข้าชมแล้ว ++++++ เอาดอกบัวมาลอยที่บ่อน้ำด้านข้างพิพิธภัณฑ์ตรงจุดนี้ได้เลยครับ ++++++ การลอยดอกบัวถือเป็นบรรณาการและขอพรจากช้างเอราวัณ ++++++ รูปปูนปั้นสัตว์ป่าหิมพานต์ ในสวนด้านข้างช้างเอราวัณ ++++++ ร้านขายเครื่องดื่มและขายของที่ระลึกของพิพิธภัณฑ์ช้างเอราวัณ ++++++ ของที่ระลึกส่วนใหญ่จะเป็นรูปช้างเอราวัณ ++++++ ช้างเอราวัณแบบน่ารักๆ ก็มีนะครับ ++++++ มีดอกบัวสีสวยหลากหลายพันธุ์ ให้ได้ชมกันโดยรอบอาคารพิพิธภัณฑ์ ++++++ ดอกบัวสวยๆ อีกซักภาพ +++ จากการที่ผมได้ไปเที่ยวชมพิพิธภัณฑ์ช้างเอราวัณ แม้จะเป็นเพียงช่วงเวลาสั้นๆ แค่ไม่กี่ชั่วโมง แต่ก็พอจะทำให้ผมได้ทราบว่าพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ ไม่ได้มีดีแค่เพียงความใหญ่โตมหึมาของช้างเอราวัณเท่านั้น แต่ยังมีของดีซ่อนอยู่ภายในตัวช้างอีกมากมาย ของดีที่ว่าก็คือความงดงามวิจิตรตระการตาของงานศิลปะที่ประดับตกแต่งอยู่ภายใน รวมทั้งศิลปะวัตถุล้ำค่าที่จัดแสดงไว้ให้ชม ซึ่งล้วนแล้วแต่น่าตื่นตาตื่นใจเกินกว่าที่คาดหวังไว้เสียอีก ถ้าใครชอบโบราณวัตถุเก่าๆ และศิลปะแบบไทยๆ ลองแวะไปชมกันดู รับรองไม่ผิดหวัง สำหรับทริปสั้นๆ แบบวันเดียวของผมทริปนี้ ก็คงต้องขอจบลงเพียงเท่านี้ ไว้พบกันใหม่ทริปหน้า สวัสดีครับ .....
อ้อมแอ้มก็เคยไปไหว้มาเมื่อปีก่อน..
ได้ลอยดอกบัวด้วยค่ะ..อลังการงานสร้างจริงๆนะค่ะ..
น้องหนูน่ารักมากๆเชียวค่ะ..สวยเหมือนคุณแม่