ผมเชื่อว่า หลายคนคงจะเคยได้ยินที่การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย เขาโปรโมทให้คนไทยช่วยกันเที่ยวเมืองไทย ภายใต้สโลแกน "เที่ยวไทยครึกครื้น เศรษฐกิจไทยคึกคัก" เราก็เลยต้องช่วยเที่ยวกระตุ้นเศรษฐกิจกันซะทุกเดือนตามที่การท่องเที่ยวฯ ท่านขอมา ปลายเดือนตุลาคมนี้พอดีมีวันหยุดยาวช่วงวันปิยมหาราช ก็เลยเกิดเป็นทริปเที่ยวเมืองกาญจน์ 3 วัน 2 คืนนี้ขึ้นมา โดยมี plan กันไว้คร่าวๆ ว่า จะไปเที่ยวน้ำตกไทรโยคและน้ำตกใกล้ๆ กัน แล้วก็แวะชมโรงถ่ายพร้อมมิตร ฟิล์ม สตูดิโอ และจะพาสองเด็กดื้อแวะสวนสัตว์ซาฟารีปาร์คก่อนเดินทางกลับบ้าน .....วันแรก : จากปราจีนบุรีถึงกาญจนบุรี ทริปนี้จริงๆ แล้วตอนแรกเราก็มีตัวเลือกอยู่หลายที่อยู่เหมือนกัน อย่างเช่น นอนดูทะเลหมอกที่เขาค้อ หรือพักผ่อนในอ้อมกอดขุนเขาที่เขาสก แต่เนื่องจากเรามาคิดได้ช้าไปหน่อย ที่พักฮิตๆ ที่เราอยากไปพักก็เลยเต็มไปหมดแล้ว สุดท้ายก็เลยมาลงเอยที่จังหวัดไม่ใกล้ไม่ไกลอย่างกาญจนบุรีนี่เอง โดยเราได้จองที่พักของอุทยานแห่งชาติไทรโยคไว้ 2 คืน เริ่มออกเดินทางจากปราจีนบุรีประมาณ 9 โมงเศษๆ แต่ครั้งนี้เราไปแบบชิลล์ๆ ไม่รีบร้อน กว่าจะไปถึง "อุทยานแห่งชาติไทรโยค" ที่เราจองบ้านพักเอาไว้ ก็ปาเข้าไปเกือบสี่โมงเย็นแล้ว บ้านพักที่เราจองไว้ก็คือ "บ้านไทรโยค 102" ซึ่งอยู่ตรงโซนชายป่า มี 2 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ เข้าพักได้ 6 คน ..... บ้านไทรโยค 102 ที่พักของเราในทริปนี้ สภาพบ้านภายนอกก็กลางเก่ากลางใหม่ตามสไตล์บ้านพักอุทยานฯ แต่บ้านหลังนี้ก็มีดี ตรงที่ระเบียงบ้านกว้างขวาง สามารถใช้เป็นที่นั่งเล่นสังสรรค์กันได้สะดวกสบาย ภายในห้องนอนแต่ละห้องก็จะมีเตียงนอนขนาด 3 x 5 ฟุตให้ 3 เตียง มีผ้าเช็ดตัวและผ้าขนหนูเช็ดหน้าให้พร้อม และมีน้ำดื่มให้สองขวดเหมือนรีสอร์ทเอกชนด้วย แถมเดี๋ยวนี้มีกระติกน้ำร้อนและชากาแฟให้ด้วย ผมไม่ได้มาพักที่บ้านพักอุทยานฯ ซะนาน จนไม่รู้ว่าเดี๋ยวนี้เขาพัฒนาไปจากสมัยก่อนเยอะเหมือนกัน .....ภายในห้องนอน ไม่หรูหราเหมือนตามโรงแรมแต่ก็พออยู่ได้ห้องน้ำเรียบๆ แต่สะอาดใช้ได้ มีที่ทำน้ำอุ่นแบบใช้แก๊สให้พร้อมดื้อเล็กชอบใจ นั่งเล่นสบายๆ ที่ระเบียงบ้านพัก วันแรกของทริปหลังจากเข้าที่พักแล้ว เราก็ไม่ได้ออกไปที่ไหนกันต่อ เพราะยังเมื่อยล้าจากการเดินทาง ก็เลยตกลงกันว่าเย็นวันแรกนี้จะพักผ่อนทำอาหารทานกันที่บ้านพัก แล้วพรุ่งนี้ค่อยออกเที่ยวกัน วันนี้ผมก็เลยได้แต่เก็บภาพบริเวณโดยรอบบ้านพักเท่านั้นเอง ..... ช่วงปลายฝนแบบนี้ ตามพื้นมีมอสเขียวๆ เต็มไปหมดวันที่สอง : เที่ยวสองน้ำตกกับหนึ่งเขื่อน วันรุ่งขึ้นเราตื่นกันแต่เช้า เพราะวันนี้มีโปรแกรมไปเที่ยวกันหลายที่ บรรยากาศยามเช้ารอบบ้านพักวันนี้อากาศเย็นสบายสดชื่น เพราะอยู่ท่ามกลางป่าสักทอง แต่พื้นดินจะชื้นแฉะนิดหน่อยเพราะเมื่อคืนมีฝนตกค่อนข้างหนัก โชคดีที่เช้านี้อากาศสดใสไร้ฝนมากวนใจ หลังทานอาหารเช้ารองท้องกันเรียบร้อยแล้ว เราก็เริ่มเดินทางไปเที่ยวกันที่ "น้ำตกไทรโยคใหญ่" ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากบ้านพัก ..... จากที่จอดรถเดินไปอีกไม่ไกล ประมาณ 200 เมตร ก็ถึงตัวน้ำตกแล้ว แต่ถ้าจะชมน้ำตกแบบชัดๆ ก็ต้องข้ามสะพานแขวนไปอีกฝั่งของแม่น้ำแคว ซึ่งจะมีจุดชมวิวน้ำตกอยู่บนเนินเขา วันที่เราไป น้ำตกไทรโยคใหญ่ดูไม่สดใสนัก น้ำในน้ำตกกลายเป็นสีกาแฟไม่ใสสะอาดเหมือนที่เคย เพราะฝนตกหนักเมื่อคืนพัดพาเอาตะกอนดินปนมากับน้ำจำนวนมาก แต่ก็ดูแปลกตาไปอีกแบบ เพราะเคยมาหลายทีแล้วยังไม่เคยเห็นน้ำตกไทรโยคเป็นสีนี้เลย .....บรรยากาศยามเช้ากับแสงแดดอุ่นๆ ท่ามกลางป่าสักทองอากาศที่นี่ชุ่มชื้นมาก เลยเจอเห็ดสวยๆ ขึ้นอยูทั่วไปสองเด็กดื้อมาดื้อที่น้ำตกไทรโยคใหญ่กันแล้วต้องข้ามสะพานแขวนนี่ไป เพื่อขึ้นไปยังจุดชมวิวน้ำตกน้ำตกไทรโยคใหญ่ดูแปลกตา ในวันที่น้ำกลายเป็นสีกาแฟ หลังจากชมน้ำตกไทรโยคใหญ่กันจนพอใจแล้ว ขณะเดินกลับลงมาจากจุดชมวิวก็มีคนมาเสนอให้นั่งเรือเที่ยวชมวิวแม่น้ำแคว รู้สึกจะคิดราคาเหมาลำ 400 บาทต่อการนั่งเรือประมาณ 40 นาที เรือจะพาเราล่องชมวิวไปตามแม่น้ำแคว พาไปชมน้ำตกสามแห่ง และชมวิวผาหินสวยๆ ริมแม่น้ำ .....ไปนั่งเรือชมทิวทัศน์แม่น้ำแควกันครับ ในภาพดื้อเล็กร้องไห้เพราะตกใจเสียงติดเครื่องเรือวิวสวยๆ ที่ได้พบเห็นระหว่างการล่องเรือน้ำตกอีกแห่งที่เรือพาเราไปชม ไม่ทราบเหมือนกันว่าชื่ออะไร หลังจากล่องเรือเสร็จแล้ว เราก็เดินทางต่อไปยังอำเภอทองผาภูมิ ระหว่างทางก็แวะเที่ยวชม "น้ำตกผาตาด" กันก่อน น้ำตกนี้อยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติศรีนครินทร์ มีทั้งหมด 3 ชั้น โดยชั้นที่ 3 เป็นชั้นที่สูงและสวยที่สุด สูงประมาณ 15-20 เมตรครับ น้ำตกชั้นสามนี้ต้องเดินจากลานจอดรถขึ้นไปประมาณ 350 เมตร เป็นทางเดินเรียบๆ สบายๆ ไม่สูงชันครับ ได้ไปเห็นของจริงแล้วดูยิ่งใหญ่ สวยงามมาก ถือเป็นน้ำตกที่ไม่น่าพลาดอีกแห่งหนึ่ง .....เก็บภาพเป็นหลักฐานว่าครอบครัวเรามาถึงน้ำตกผาตาดกันแล้วน้ำตกผาตาดชั้นแรกส่วนหนึ่งของน้ำตกผาตาดชั้นสาม ของจริงสูงใหญ่กว่าที่เห็นในภาพนี้มาก ออกจากน้ำตกผาตาด เราก็ไปแวะเที่ยวกันที่ "พุน้ำร้อนหินดาด" ซึ่งอยู่ห่างจากน้ำตกผาตาดเพียง 6 กิโลเมตรเท่านั้นเอง เดิมเรียกว่า "น้ำพุร้อนกุยมั่ง" บังเอิญถูกค้นพบโดยทหารญี่ปุ่นที่เกณฑ์เชลยศึกให้สร้างทางรถไฟสายมรณะในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 เชื่อกันว่าน้ำแร่จากบ่อน้ำร้อนแห่งนี้มีสรรพคุณในทางรักษาโรคภัยไข้เจ็บได้หลายอย่าง เช่น โรคเหน็บชา โรคไขข้ออักเสบ จึงมีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้าไปชมและอาบน้ำแร่กันเป็นจำนวนมาก ..... ก่อนไปเราไม่ได้หาข้อมูลพุน้ำร้อนแห่งนี้ไปเลย ตอนแรกก็เลยคิดว่าคงจะเป็นบ่อน้ำพุร้อนคล้ายกับที่แจ้ซ้อนแถวลำปาง แต่พอเข้าไปดูจริงๆ แล้วไม่ได้เป็นแบบนั้นเลย ที่นี่เขาจะทำบ่อน้ำร้อนเป็นบ่อปูนทรงสี่เหลี่ยม เป็นแบบบ่อรวมมีอยู่ 3 บ่อ ให้นักท่องเที่ยวได้ลงไปแช่น้ำร้อนกัน หรือถ้าจะอาบเป็นบ่อส่วนตัวก็มี ข้างๆ บ่อน้ำร้อนก็จะอยู่ติดกับลำธารที่ไหลมาจากน้ำตกผาตาด เรียกว่าถ้าใครแช่น้ำร้อนจนร้อนมากเกินไปแล้ว ก็สามารถข้ามมาเล่นน้ำเย็นในลำธารข้างๆ ได้ทันที .....สองเด็กดื้อที่หน้าทางเข้าพุน้ำร้อนหินดาดบ่อน้ำร้อนจะอยู่ข้างลำธาร วันหยุดแบบนี้คนมาแช่กันเยอะพอสมควร มาถึงอำเภอทองผาภูมิแล้วทั้งที เราก็ไม่พลาดที่จะแวะไปชมทิวทัศน์สวยๆ กันที่ "เขื่อนวชิราลงกรณ" เขื่อนวชิราลงกรณเป็นเขื่อนหินถมแห่งแรกของประเทศไทย เททับหน้าด้วยคอนกรีตเสริมเหล็ก เขื่อนสูงจากฐาน 92 เมตร สันเขื่อนกว้าง 10 เมตร ยาว 1,019 เมตร มีความจุ 8,860 ล้านลูกบาศก์เมตร ..... เขื่อนวชิราลงกรณเป็นเขื่อนเอนกประสงค์โดยมีวัตถุประสงค์ด้านผลิตกระแสไฟฟ้าเป็นหลัก สร้างปิดกั้นแม่น้ำแควน้อยบริเวณตำบลท่าขนุน อำเภอทองผาภูมิ จังหวัดกาญจนบุรี อยู่ห่างจากตัวอำเภอไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ประมาณ 6 กิโลเมตร ตัวอ่างเก็บน้ำอยู่ในท้องที่อำเภอท้องผาภูมิ และอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี มีพื้นที่รับน้ำฝน 3,720 ตารางกิโลเมตร ..... ดื้อใหญ่กับป้ายเขื่อนวชิราลงกรณ "เขื่อนวชิราลงกรณ" เริ่มก่อสร้างในเดือนมีนาคม 2522 เสร็จในปี 2527 แต่เดิมมีชื่อว่า "เขื่อนเขาแหลม" หลังสร้างเสร็จพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินพร้อมด้วย สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี และสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอจุฬาภรณ์วลัยลักษณ์ฯ ทรงประกอบพิธีเปิดเขื่อนวชิราลงกรณ เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 9 มกราคม 2529 และพระราชทานชื่อใหม่ว่า เขื่อนวชิราลงกรณ ..... สันเขื่อนเป็นหินถม สูงใหญ่มากสันเขื่อนอีกมุมมอง แบบใกล้ชิดทิวทัศน์สวยๆ ของอ่างเก็บน้ำเหนือเขื่อน ที่บริเวณสันเขื่อนจะอยู่ติดกับหน้าผา บริเวณนั้นจะมีลิงอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก ทางการไฟฟ้าที่นี่เขาห้ามให้อาหารลิงพวกนี้ เพราะจะทำให้ลิงเกิดความเคยชินไม่ยอมไปหาอาหารกินเองตามธรรมชาติ โดยที่นี่เขาจะมีโครงการคืนลิงสู่ป่า ซึ่งนอกจากจะห้ามให้อาหารลิงแล้ว ยังมีการปลูกไม้ผลหลายๆ ชนิดไว้ให้ลิงได้ใช้เป็นอาหารด้วย แต่จนถึงวันที่เราไปเที่ยวกัน ก็ยังเห็นมีลิงหลายตัวมาด้อมๆ มองๆ อยู่ใกล้ๆ บางตัวก็ถึงกับจะมาแย่งอาหารที่เราปูเสื่อนั่งทานกันอยู่ จนเราต้องเก็บของหนีกันกระเจิงเลยล่ะครับ ใครไปเที่ยวที่นี่ก็ต้องระวังลิงพวกนี้ไว้ให้ดี เกิดโดนกัดขึ้นมาล่ะก็ เป็นเรื่องเลยล่ะครับ .....เจ้าลิงตัวดี มาด้อมๆ มองๆ รออาหารจากนั่งท่องเที่ยวด้วยความเคยชิน หลังจากชมวิวสันเขื่อนแล้ว เราก็ไปแวะพักผ่อนและทานอาหารว่างกันที่ร้านค้าสวัสดิการของเขื่อน ข้างๆ ร้านค้าสวัสดิการ มีสนามเด็กเล่นให้สองเด็กดื้อของผมได้วิ่งเล่นกันเป็นที่เพลิดเพลินไปเลย .....ดื้อเล็กกำลังเล่นสนุก ที่สนามเด็กเล่นข้างร้านสวัสดิการเขื่อนวชิราลงกรณ ออกจากเขื่อนวชิราลงกรณก็บ่ายคล้อยมากแล้ว เราจึงตัดสินใจเดินทางกลับบ้านพักที่อุทยานแห่งชาติไทรโยคกันเลย ระหว่างทางเห็นมีป้ายบอกทางไป "ช่องเขาขาด" เราก็เลยแวะเข้าไปเที่ยวชม แต่น่าเสียดายที่เราไปถึงหลังสี่โมงเย็น พิพิธภันฑ์ช่องเขาขาดก็เลยปิดไปซะแล้ว เราจึงเดินลงไปตั้งใจจะไปดูช่องเขาขาดแต่สุดท้ายก็ไปไม่ถึง เพราะกลัวจะเดินกลับมาไม่ทันมืด คงต้องรอไว้แก้ตัวใหม่โอกาสหน้า ขากลับเราแวะทานอาหารเย็นกันที่ร้านอาหารบริเวณตลาดหน้าน้ำตกไทรโยคน้อย จำชื่อร้านไม่ได้แล้วรู้แต่ว่าอาหารอร่อยใช้ได้เลยครับ .....ฟ้าสวยยามเย็น บริเวณตลาดหน้าน้ำตกไทรโยคน้อยวันที่สาม : ตะลุยโรงถ่ายพร้อมมิตรฯ แล้วไปเที่ยวสวนสัตว์ซาฟารี วันนี้เป็นวันสุดท้ายที่เราจะได้อยู่เที่ยวที่กาญจนบุรีกันแล้ว โปรแกรมแรกของเราวันนี้ก็คือการไปเยี่ยมชม "โรงถ่ายพร้อมมิตร ฟิล์ม สตูดิโอ" ซึ่งตั้งอยู่ที่กองพลทหารราบที่ 9 ในค่ายสุรสีห์ เพื่อไปชมฉากที่ใช้ถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง "ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช" โรงถ่ายเริ่มเปิดให้เข้าชมเวลา 10 โมงเช้า เราเลยรีบเดินทางจากที่พักแต่เช้า มุ่งตรงไปยังตำบลลาดหญ้าที่ตั้งของค่ายสุรสีห์ ไปถึงก็เกือบ 10 โมงครึ่งแล้ว มีนักท่องเที่ยวมาเที่ยวกันเยอะทีเดียว วันนี้แดดแรงมากๆ เหมาะกับการถ่ายรูป แต่ก็ทำให้อากาศร้อนมากๆ เช่นกัน ต้องกางร่มให้ดื้อเล็กตลอดเลย ใครจะไปเที่ยวที่นี่อย่าลืมติดร่มหรือหมวกกันแดดกันไปด้วยนะครับ โรงถ่ายนี้เปิดให้เข้าชมทุกวันเวลา 10.00-17.00 น. ค่าเข้าชม ผู้ใหญ่ ชาวไทย 100 บาท เด็ก 50 บาท ชาวต่างชาติ 200 บาท .....บรรยากาศสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราชกำแพงเมืองหงสา จุดนี้มองจากหน้าวัดมหาเถรคันฉ่องวันนี้พาสองเด็กดื้อมาตะลุยโรงถ่ายกัน ทางโรงถ่ายจัดให้เราเที่ยวชมสถานที่ถ่ายทำโดยใช้เส้นทางเดินเป็นวงกลม เดินครบรอบตามแผนที่ที่แจกมาก็จะเที่ยวครบทุกที่พอดี จากจุดต้อนรับนักท่องเที่ยว เดินต่อมาอีกนิดก็จะถึงหมู่บ้านโยเดียซึ่งจำลองมาจากหมู่บ้านของชาวอยุธยาที่ถูกกวาดต้อนไปเป็นเชลยในหงสาวดี ถัดจากหมู่บ้านโยเดียก็จะมาถึงจุดแรกที่เราแวะชมก็คือ "วัดมหาเถรคันฉ่อง" ซึ่งพระนเรศรได้มาบวชเป็นเณรอยู่ที่วัดนี้ตอนยังเด็ก ที่วัดนี้จะเห็นเจดีย์ทรงพม่าสีทององค์ใหญ่ดูสวยงามสมจริงมาก .....เจดีย์สีทองอร่ามตาที่วัดมหาเถรคันฉ่องภายในกุฏิของมหาเถรคันฉ่อง ห้องข้างๆ จะเป็นที่เก็บพระแสงปืนต้นข้ามแม่น้ำสะโตง ออกจากบริเวณวัดมหาเถรคันฉ่องแล้ว ก็จะเข้าสู่เขตเมืองหงสาวดี จะเห็นกำแพงเมืองสีอิฐสร้างไว้ยาวหลายสิบเมตร มีคูน้ำขุดไว้ด้านหน้ากำแพงเมืองซึ่งเราเคยผ่านตากันมาบ้างแล้วจากในหนังทั้งสองภาค .....บริเวณกำแพงเมืองหงสาวดีเดินผ่านประตูเมืองนี้ไปก็จะเข้าสู่เขตเมืองหงสาวดีแล้วครับ ผ่านเข้ามาในเขตเมืองหงสาวดีแล้ว ก็จะเจอรูปปั้นสิงห์คู่ตัวใหญ่โตมโหฬารยืนต้อนรับเราอยู่ตรงหน้า ซึ่งสิงห์ดังกล่าวตามตำนานจริงแล้วนั้นไม่มี แต่ทางพร้อมมิตรฯ ได้สร้างขึ้นมาเพื่อแสดงให้เห็นถึงความยิ่งใหญ่ของเมืองหงสาวดี เดินผ่านสิงห์คู่มาก็จะมาเจอฉากที่น่าสนใจจุดที่สอง ซึ่งก็คือ สีหสาสนบัลลังก์ แห่งอาณาจักรหงสาวดี ฉากท้องพระโรงแห่งนี้สร้างออกมาได้ยิ่งใหญ่ตั้งแต่ภายนอกตัวอาคารซึ่งจำลองมาจากพระราชวังมัณฑเลย์ของพม่า จนถึงรายละเอียดลวดลายไม้แกะสลักต่างๆ ก็เป็นไปตามแบบศิลปกรรมพม่าแท้ๆ ดูแล้วอลังการมากๆ .....สิงห์คู่ ตัวใหญ่มาก ลองเทียบกับอาคารข้างๆ ดูนะครับรูปปั้นสิงห์ตัวใหญ่ เป็นเสมือนองครักษ์พิทักษ์เมืองเดินต่อไปอีกนิดก็จะถึงสีหสาสนบัลลังก์อาคารท้องพระโรงภายนอก สร้างได้สวยงามอลังการมากลวดลายแกะสลักอันวิจิตรบรรจงของสีหสาสนบัลลังก์ ด้านข้างของท้องพระโรงสีหสาสนบัลลังก์ก็จะเป็นห้องที่จัดฉากเป็น "คุกใต้ดินเมืองหงสา" ซึ่งใช้คุมขังเชลยชาวเมืองคังที่ถูกจับกุมมา ฉากส่วนใหญ่ก็ทำด้วยโฟมและปูนแต่พ่นสีให้เหมือนประตูและลูกกรงเหล็กกล้า ดูเผินๆ แล้วเหมือนของจริงมาก .....ภายในคุกเมืองหงสาฉากนี้อยู่ในพระราชวังพระยาละแวก อยู่ด้านหลังสีหสาสนบัลลังก์ ออกจากคุกใต้ดิน ก็ต้องเดินต่อไปอีก 300-400 เมตร พอเดินผ่านจุดที่ให้ลองปืนไฟโปรตุเกสไปอีกหน่อย ก็จะมาถึงทางเข้าจุดที่น่าสนใจอีกแห่ง นั่นก็คือ "พระที่นั่งสรรเพชรปราสาท" ซึ่งพระที่นั่งแห่งนี้สร้างจำลองขึ้นถึงแค่ส่วนของเพดานหลังคาเท่านั้นไม่ได้สร้างครบทั้งส่วนบนหลังคา ทราบมาว่าพระที่นั่งแห่งนี้ได้ถูกเผาทำลายโดยพม่าตั้งแต่ครั้งเสียกรุงครั้งที่สอง จนไม่เหลือสภาพเดิมให้เห็นเลย ในฉากที่สร้างขึ้นนี้ก็อาศัยจินตนาการจากข้อมูลทางประวัติศาตร์ที่บันทึกไว้เท่านั้นเอง แต่เท่าที่ได้ไปชมมาก็พบว่าสร้างออกมาได้สวยงามวิจิตรบรรจงมาก .....ผ่านประตูนี้ไปก็จะถึงพระที่นั่งสรรเพชรปราสาทแล้วภายนอกพระที่นั่งสรรเพชรปราสาท เฉพาะส่วนหลังคาจะไม่ได้สร้างจำลองมาด้วยภายในพระที่นั่ง จำลองออกมาได้สวยงามดีแท้ๆขอถ่ายภาพครอบครัวกันหน่อย ออกจากพระที่นั่งสรรเพชรปราสาทเดินไปอีกหน่อยก็จะเจอกับจุดที่มีบริการรถรางไฟฟ้าที่จะพาเราไปยังจุดท่องเที่ยวถัดไป ที่จุดขึ้นรถรางไฟฟ้านี้มีช้างน้อยน่ารักมาแสดงโชว์ให้เราได้ดูกันด้วย พอขึ้นรถกันพร้อมแล้ว รถก็วิ่งพาเราผ่านที่ต่างๆ หลายจุดแต่ไม่ได้แวะให้ รถรางมาจอดส่งคนลงที่ "ท้องพระโรงเมืองหงสา" หรือตำหนักบุเรงนอง ฉากนี้ก็สร้างออกมาได้สวยงามวิจิตรไม่แพ้จุดอื่นๆ เลย .....ดื้อเล็กภายในท้องพระโรงเมืองหงสาดื้อใหญ่ขอลองเก๊กท่ายิงปืนซะหน่อยด้านข้างของท้องพระโรงเมืองหงสาก็จะเป็นสโตร์หรือห้องที่สร้างขึ้นเพื่อใช้เก็บอุปกรณ์ประกอบฉากทุกอย่าง มีหมวกเหล็กหรืออาวุธให้ได้ลองหยิบจับถ่ายรูปเป็นที่ระลึกด้วยนะครับ .....อาวุธพร้อมแล้ว ดื้อใหญ่ขออาสาไปสู้กับพม่ารามัญดื้อเล็กไม่น้อยหน้า ขอสู้ด้วย แต่ขอเครื่องทุ่นแรงหน่อยนะ ปุ้งๆหุ่นโชว์คอสตูมหรือชุดที่นักแสดงใส่ในภาพยนตร์รูปปั้นนี้ในหนังดูใหญ่โตมาก แต่ของจริงเล็กนิดเดียว ออกจากห้องโกดังเก็บอุปกรณ์ประกอบฉากก็จะเข้าสู่จุดสุดท้ายก่อนกลับแล้ว ซึ่งก็คือ "ร้านขายของที่ระลึก" นั่นเอง ของที่ขายก็คล้ายๆ กับที่เคยเอามาขายที่ร้าน 7-11 ตอนที่หนังออกฉายนั่นแหละครับ อย่างเช่นเสื้อโปโล แผ่น VCD และ DVD หนังทั้งสองภาค นอกจากนั้นก็เป็นพวกพวงกุญแจ ที่ห้อยโทรศัพท์มือถือ ปฏิทินตั้งโต๊ะ เข็มกลัดและของกระจุกกระจิกอื่นๆ แล้วก็มีโมเดลหุ่นผ้าจำลองมาจากตัวละครในหนังด้วย .....เสื้อโปโลเท่ห์ๆ ที่ระลึกจากหนังโมเดลหุ่นผ้าจำลองจากตัวละครในหนัง ออกจากโรงถ่ายพร้อมมิตร สตูดิโอก็บ่ายแล้ว เราแวะทานผัดไทยกันที่ร้านแถวๆ สี่แยกลาดหญ้า หลังอิ่มหมีพีมันกันดีแล้ว เราก็ไปเที่ยวกันต่อที่ "สวนสัตว์เปิดซาฟารีปาร์ค" ตั้งใจจะพาสองเด็กดื้อไปสัมผัสกับสัตว์ป่าตัวเป็น ๆ ไม่ใช่แค่เห็นจากในรายการโทรทัศน์ สวนสัตว์แห่งนี้อยู่ที่อำเภอบ่อพลอย ห่างจากตัวเมืองกาญจนบุรีออกไปประมาณ 40 กิโลเมตร แต่ถ้าออกจากเดินทางจากโรงถ่ายพร้อมมิตรก็จะไปอีกไม่ไกลก็ถึง ..... เคยได้ยินมาว่า ก่อนหน้านี้ที่นี่ประสบปัญหานักท่องเที่ยวมาเที่ยวกันน้อย รายได้ก็เลยน้อยตามไปด้วย พวกสัตว์ต่างๆ ก็เลยผอมโซกันเป็นแถว ไปเมืองกาญจน์เที่ยวนี้เราเลยต้องไปช่วยอุดหนุนเขาหน่อย เผื่อจะได้มีตังค์ไปเลี้ยงสัตว์ให้อ้วนท้วนแข็งแรงขึ้น ค่าเข้าชมสำหรับผู้ใหญ่ 120 บาท เด็ก 70 บาท ที่นี่เราสามารถขับรถส่วนตัวเข้าไปชมสัตว์เองก็ได้ หรือจะขึ้นรถของทางซาฟารีปาร์คไปก็ได้ เราเลือกใช้บริการรถของทางสวนสัตว์ เพราะกว้างขวาง ถ่ายภาพได้สะดวกกว่าเอารถไปเอง ก่อนไปชมสัตว์ก็อย่าลืมซื้อผักต่างๆ ไว้ไปป้อนอาหารสัตว์กันด้วยนะครับ .....ไปชมชีวิตสัตว์กันด้วยรถของทางสวนสัตว์คันนี้โซนแรกเป็นโซนกวางครับ แต่ละโซนจะกั้นแบ่งกันด้วยประตูเหล็กถึงสองชั้นดื้อใหญ่ชอบใจได้ป้อนอาหารกวางอย่างใกล้ชิดถัดมาเป็นโซนเสือโคร่ง จุดนี้ต้องปิดหน้าต่างรถให้สนิทเลยนะครับโซนสิงโต เห็นสิงโตอยู่ไกลๆอันนี้ถือเป็น highlight ของที่นี่ เพราะเหล่ายีราฟแสนเชื่องมุดเข้ามากินอาหารกันถึงในรถเลยทีเดียว ดื้อใหญ่ตื่นเต้นมากครับที่ได้สัมผัสกับสัตว์ต่างๆ อย่างใกล้ชิด จะมีก็แต่ดื้อเล็กนี่แหละครับ ที่ไม่ชอบเอาซะเลยเพราะวันนี้ดื้อเล็กกลัวสัตว์ โดยเฉพาะตอนที่ยีราฟมุดหัวเข้ามาในรถ ดื้อเล็กตกใจกลัวร้องไห้ลั่นรถไปเลย หลังชมสัตว์ในโซนต่างๆ ครบแล้ว รถก็จะมาจอดส่งเราลงตรงจุดที่มีการแสดงโชว์ของสัตว์ โดยจะมีการแสดงโชว์ของสัตว์หลายชนิด ได้แก่โชว์ช้าง โชว์สุนัขและโชว์จระเข้ ในแต่ละวันก็จะมีหลายรอบ แต่ช่วงที่เราไปกำลังมีการแสดงโชว์ช้างอยู่พอดี .....โชว์ช้างเดินข้ามอาสาสมัครช้างไต่ถัง ยืนสองขาเสร็จการแสดงแล้ว นักท่องเที่ยวสามารถถ่ายรูปกับช้างได้อย่างใกล้ชิด ออกจากสวนสัตว์ซาฟารีปาร์คประมาณบ่ายสามโมงครึ่ง ถึงเวลาต้องกลับบ้านกันแล้วล่ะครับ หากรอช้าเดี๋ยวจะถึงบ้านดึกจนเกินไป ทริปนี้เป็นอีกทริปหนึ่งสำหรับคนที่ไม่ต้องการเดินทางไกลมาก เพราะกาญจนบุรีเป็นจังหวัดที่อยู่ไม่ไกลเลย แถมยังมีที่เที่ยวเยอะอีกต่างหาก นี่ผมไปสามวันยังเที่ยวได้ไม่หมดเลย ไว้มีโอกาสหรือมีวันหยุดอีก คงต้องกลับมาตามเก็บสถานที่ท่องเที่ยวอื่นๆ ที่ยังไม่ได้ไป ก็ต้องขอจบทริปนี้กันดื้อๆ ตรงนี้เลยนะครับ ไว้ปลายเดือนหน้าก็จะมีรีวิวทริปหน้ามาให้อ่านกันอีก สวัสดีครับ .....
แต่ได้เที่ยวแบบเต็มอิ่มเลยนะคะ
เด็กดื้อสองคนน่ารักจังเลยค่ะ
เดี๋ยวต้องเก็บโปรแกรมนีไว้ในลิสต์ซะแล้ว
น่าสนค่ะ