หน้าร้อนมาถึงแล้ว ถ้าให้นึกถึงที่เที่ยวช่วงนี้ก็คงหนีไม่พ้น "ทะเล" ใช่ไหมครับ ฤดูร้อนแบบนี้ ทั้งร่างกายและจิตใจก็เริ่มเรียกร้องหาทะเลสวยๆ น้ำทะเลใสๆ หาดทรายขาวละเอียด จริงๆ แล้วผมอยากไปเที่ยวทะเลแถวอันดามันมาก เคยไปเที่ยวแถวๆ เกาะพีพีมาแล้ว ยังติดใจในความงามของทะเลแถวนั้นอยู่เลย แต่ติดที่ว่ามีเวลาน้อย จะเดินทางไปไกลถึงพังงาหรือกระบี่ก็คงไม่ไหว ทริปเที่ยวทะเลครั้งนี้ของผมก็เลยต้องเลือกใกล้ๆ บ้านหน่อย แต่ขอให้มีน้ำใสๆ และหาดทรายขาวสะอาด คิดไปคิดมาก็มาลงเอยที่ "เกาะเสม็ด" นี่แหละครับ เพราะเดินทางจากบ้านผมไม่ไกลและอีกอย่างผมก็ไม่ได้ไปเกาะเสม็ดมานานมากแล้วด้วย ไปครั้งสุดท้ายก็ตั้งแต่ยังไม่มีเจ้าสองเด็กดื้อเลยล่ะครับ เลยถือโอกาสนี้พาเด็กๆ ไปพักผ่อนเล่นทรายและเล่นน้ำทะเลกันซักสามวันสองคืน ในช่วงวันจักรีที่ผ่านมา+++ ไปเที่ยวเกาะเสม็ดด้วยกันนะครับ พร้อมแล้วแบกเป้ตามมาเลยครับ +++ จากปราจีนบุรีบ้านผม ขับรถมาถึง "บ้านเพ" จังหวัดระยอง ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมงเศษๆ ก็มาถึงแล้ว ที่บ้านเพเป็นจุดที่มีท่าเรือข้ามไปเกาะเสม็ดอยู่หลายท่า ท่าเรือที่คนส่วนใหญ่นิยมใช้บริการก็เห็นจะเป็น "ท่าเรือนวลทิพย์" แต่ครั้งนี้ผมเลือกไปขึ้นเรือที่ "ท่าเรือโชคกฤษฎา" ซึ่งอยู่ถัดจากท่าเรือนวลทิพย์ไปนิดเดียว เพราะที่ท่าเรือนี้ จะมีบริการที่จอดรถในร่มมีหลังคาคลุมไม่ต้องจอดตากแดด และเรือที่ให้บริการก็ค่อนข้างใหม่ เราต้องเสียค่าฝากรถคืนละ 60 บาท และค่าเรือข้ามไปเกาะเสม็ดแบบไปกลับอีกคนละ 100 บาทตามราคามาตรฐาน เกาะเสม็ดอยู่ห่างจากฝั่งระยองประมาณ 6.5 กิโลเมตร ใช้เวลานั่งเรือประมาณ 30 นาที ก็มาถึง "ท่าเรือหน้าด่าน" ที่เกาะเสม็ดแล้วล่ะครับ+++ เรือประมงที่พบระหว่างนั่งเรือข้ามไปเกาะเสม็ด ++++++ สองดื้อบนเรือข้ามฟากไปเกาะเสม็ด ไม่ลืมใส่ชูชีพเพื่อความปลอดภัย +++ จากท่าเรือหน้าด่าน จะมีรถโดยสารสีเขียว ให้บริการพาไปส่งตามหาดต่างๆ บนเกาะ ครั้งนี้เราเลือกไปพักที่ "หาดทรายแก้ว" เพราะชอบตรงที่หาดทรายที่นั่นจะละเอียดและขาวสะอาดราวกับแป้ง อีกทั้งยังเป็นหาดที่มีกิจกรรมคึกคักทั้งกลางวันและกลางคืน เราเสียค่าโดยสารรถจากท่าเรือมาหาดทรายแก้วคนละ 10 บาท รถมาจอดส่งหน้าที่ทำการอุทยานฯ ต้องเสียค่าผ่านเข้าอุทยานฯ อีกคนละ 40 บาทสำหรับผู้ใหญ่ จากที่ทำการอุทยานฯ เดินต่อไปอีกนิดเดียวก็มาถึงที่พักของเราแล้ว ครั้งนี้เราจองที่พักไว้ที่ "Samed Sand Sea Resort" ซึ่งอยู่ติดชายหาดทรายแก้วเลยครับ ที่พักยังค่อนข้างใหม่เพราะเพิ่งสร้างเสร็จได้ประมาณสองปีกว่าๆ บ้านพักที่นี่สวยน่ารักสมราคา แถมยังอยู่ไม่ไกลจากร้าน seven eleven สามารถเดินไปซื้อของได้สะดวกมาก บ้านพักมีทั้งแบบพักได้สี่คนและสองคน บ้านที่เราจองมาเป็นบ้านแบบพักสองคน ตกแต่งสไตล์บ้านปีกไม้สวยดีเหมือนกัน ที่ชอบก็คือที่รีสอร์ทนี้ จะปลูกต้นไม้ไว้เยอะมากมาก ดูแล้วสดชื่นและร่มรื่นดีครับ+++ มาถึงที่ทำการอุทยานฯ แล้ว ต้องเสียค่าเข้าอุทยานฯ คนละ 40 บาท ++++++ มาเสม็ดครั้งนี้เราเลือกพักที่ Samed Sand Sea resort ++++++ เดินจากที่ทำการอุทยานฯ มานิดเดียวก็ถึงทางเข้ารีสอร์ทแล้ว ++++++ บ้านพักที่เราเข้าพักตกแต่งแบบบ้านปีกไม้สไตล์คันทรี่ ++++++ ภายในรีสอร์ทปลูกต้นไม้ไว้ร่มรื่นดี ++++++ หน้าบ้านพักมีชานไม้ให้นั่งพักผ่อนแบบสบายๆ ด้วย ++++++ เข้าไปดูภายในห้องนอนกันบ้าง ++++++ ห้องนอนขนาดกะทัดรัด แต่ก็ไม่รู้สึกคับแคบ ++++++ อุปกรณ์อำนวยความสะดวกมีพร้อม ทีวีรับได้ครบทุกช่อง ++++++ ห้องน้ำที่นี่กว้างขวางมาก +++ "เกาะเสม็ด" ช่วงที่ผมไป อากาศตอนกลางวันจะค่อนข้างร้อนจัด เพราะย่างเข้าสู่เดือนเมษายนซึ่งเป็นเดือนที่ร้อนที่สุดของปีแล้ว แดดก็แรงสุดๆ แต่นักท่องเที่ยวต่างชาติส่วนใหญ่ไม่กลัวแดด บ้างก็นอนอาบแดดอ่านหนังสือริมชายหาด บ้างก็เล่นน้ำทะเลเป็นที่สนุกสนาน ส่วนผมก็ใช้ช่วงเวลากลางวันแบบนี้ เดินฝ่าเปลวแดดที่แสนจะร้อนแรงเพื่อเก็บภาพทะเลสวยๆ ของเกาะเสม็ดมาฝากให้ชมกัน ไปชมภาพกันเลยดีกว่าครับ+++ ด้านหน้า Samed Sand Sea Resort อยู่ติดหาดทรายแก้วเลยครับ ++++++ หาดทรายแก้ว เป็นหาดที่กว้างที่สุดและคึกคักที่สุดบนเกาะเสม็ด ++++++ น้ำทะเลที่นี่ใสสะอาดมากๆ ++++++ กิจกรรมทางน้ำก็มีให้เลือกเล่นมากมาย อย่างบานาน่าโบ๊ตสีสวยลำนี้ ++++++ หรือจะเล่นแพยางเต่าเขียวแบบนี้ก็สนุกดี ++++++ เกาะเสม็ดวันนี้ฟ้าใสดีเหมือนกันนะ ++++++ เตียงนอนชายหาดยามนี้ยังร้างผู้คน เพราะแดดร้อนมาก ++++++ อีกมุมมองหนึ่งครับ ++++++ เดินมาสุดหาดทรายแก้ว ก็เริ่มจะมีโขดหินสวยๆ ให้เห็นบ้างแล้ว ++++++ หาดทรายขาวสะอาดก็ต้องคู่กับน้ำทะเลใสๆ ++++++ ดื้อใหญ่เดินตามมาเที่ยวจนถึงสุดหาดทรายแก้วเลยครับ ++++++ พระอภัยมณีและนางเงือกท้ายหาดทรายแก้ว ที่ดื้อใหญ่อยากมาดู ++++++ Walk Alone on the Beach +++ ถัดจากหาดทรายแก้ว เดินต่อไปอีกหน่อยก็มาเจอกับ "อ่าวไผ่" ซึ่งเป็นเวิ้งอ่าวเล็กๆ มีชายหาดสั้นๆ และมีรีสอร์ทและร้านอาหารดูหรูหราอยู่ด้วย ผมเดินเลียบชายหาดอ่าวไผ่อยู่ซักพัก ในที่สุดก็สู้กับแสงแดดร้อนแรงยามใกล้เที่ยงไม่ไหว ต้องยอมถอยทัพกลับมารับแอร์เย็นๆ ที่บ้านพัก รอเวลาแดดอ่อนยามเย็นจะได้พาสองเด็กดื้อไปเล่นทรายกัน+++ โขดหินสวยๆ ตัดกับหาดทรายขาวๆ ที่อ่าวไผ่ ++++++ มุมสวยๆ แบบนี้ ต้องฝ่าเปลวแดดออกไปหา ++++++ อีกมุมมองจากอ่าวไผ่ ++++++ ซุ้มต้นไม้ดูแปลกตาดี ++++++ น้ำทะเลใสๆ แบบนี้แหละครับ ที่ชักนำให้ผมมาเกาะเสม็ด +++ ช่วงบ่ายเราใช้เวลาพักผ่อนแบบสบายๆ นั่งอ่านหนังสือที่ซื้อมานานแล้วแต่ไม่มีเวลาอ่าน จนเวลาประมาณห้าโมงเย็นเศษๆ แสงแดดเริ่มอ่อนแสงลง สองเด็กดื้อของผมเริ่มเรียกร้องอยากไปเล่นทรายและเล่นน้ำทะเลกันแล้ว เราจัดแจงเปลี่ยนชุดว่ายน้ำให้เด็กๆ และไม่ลืมทาครีมกันแดดให้ด้วย เตรียมตัวพร้อมแล้วก็ตามสองดื้อไปชายหาดกันเลยครับ+++ สองดื้อเตรียมพร้อมที่จะไปเล่นทรายแล้วครับ ++++++ ขอโชว์ชุดว่ายน้ำสวยๆ กันหน่อย ++++++ ดื้อใหญ่ขอรายงานตัวครับ ไปเล่นทรายด้วยกันนะ++++++ ดื้อเล็กขอติดตามไปด้วยนะคะ ++++++ ถึงชายหาดแล้ว สองดื้อเล่นทรายกันสนุกไปเลย ++++++ ดื้อเล็กวันนี้สนุกเป็นพิเศษเลย ++++++ เล่นทรายเพลินจนไม่อยากเลิกเลยครับ ++++++ ดื้อเล็กขอครีเอทท่าเป็นนางแบบหน่อย ท่านี้ดื้อเล็กคิดเองเลยนะเนี่ย ++++++ ดื้อใหญ่มาขอแจมด้วย ++++++ เล่นทรายเบื่อแล้ว ก็ไปเล่นน้ำทะเลกันบ้าง ใส่เสื้อชูชีพพร้อมแล้ว ก็ไปลุยกันเลย +++ สองดื้อของผมเล่นน้ำเล่นทรายกันจนเย็น สนุกติดใจจนลืมเวลาไปเลยครับ หลังเล่นน้ำเสร็จก็รีบจัดแจงอาบน้ำอาบท่า เตรียมตัวไปทานอาหารเย็นกัน ที่หาดทรายแก้วมีร้านอาหารดังๆ อยู่หลายร้าน ที่ขึ้นชื่อที่สุดก็เห็นจะเป็นร้าน "พลอยทะเล" เพราะทุกคืนจะมีการแสดงควงกระบองไฟที่น่าตื่นตาตื่นใจโดยเหล่าหนุ่มๆ ไฟร์แมน เย็นวันนั้นโต๊ะที่ตั้งไว้ริมหาดเลยแน่นขนัดไปด้วยผู้คน เราไปยืนเมียงๆ มองๆ อยู่พักนึง ดูเหมือนเด็กเสิร์ฟจะยุ่งจนไม่มีเวลาสนใจเรา ผิดกับร้านข้างๆ ที่ดูคนจะน้อยกว่าไม่วุ่นวายมาก สุดท้ายเย็นนั้นเราเลยต้องยอมตัดใจจากร้านพลอยทะเล เปลี่ยนไปทานที่ร้าน "ปรายทะเล" ที่อยู่ติดกันแทน ที่ร้านนี้ก็มีโชว์ควงกระบองไฟเหมือนกัน แม้จะไม่อลังการเท่าร้านพลอยทะเล แต่ร้านนี้มีดีที่การบริการเร็ว และภายในร้านยังมีโคมไฟสวยๆ ตกแต่งอยู่ทั่วไปหมด เห็นมีคนมาถ่ายรูปกับโคมไฟที่หน้าร้านกันแทบไม่ขาดสาย อาหารรสชาติพอใช้ได้ พอถึงเวลาสองทุ่มก็มีการโชว์ควงกระบองไฟ เป็นโชว์เล็กๆ แต่ก็ดูน่าตื่นตาตื่นใจพอใช้ได้เลยล่ะครับ+++ บรรยากาศยามค่ำคืนที่ร้านปรายทะเล ++++++ ดื้อใหญ่กับแสงสีจากโคมไฟสวยๆ หน้าร้านปรายทะเล ++++++ โคมไฟประดับยามค่ำคืนแบบนี้ สวยจริงๆ ++++++ Samed in Love โคมไฟรูปหัวใจ ++++++ การแสดงโชว์ควงกระบองไฟที่ร้านปรายทะเล ++++++ หนุ่มน้อยรายนี้ฝีมือควงกระบองไฟ เก่งไม่ใช่เล่น +++ หลังทานอาหารค่ำเสร็จแล้ว เราก็เดินกลับบ้านพัก พาสองเด็กดื้อกลับไปพักผ่อน เพราะวันนี้เล่นกันทั้งวันแทบไม่ได้นอนกลางวันกันเลย พอหัวถึงหมอนปุ๊บไม่นานก็หลับกันหมด เช้าวันรุ่งขึ้น มีผมคนเดียวที่สมัครใจตื่นแต่เช้ามืดเพื่อไปชมพระอาทิตย์ขึ้น ส่วนคนอื่นๆ ขอนอนหลับสบายอยู่บนเตียง ที่หาดทรายแก้วนี้เป็นจุดชมพระอาทิตย์ขึ้นที่สวยมากแห่งหนึ่งในเกาะเสม็ดเลยล่ะครับ เช้าวันนั้นกว่าดวงอาทิตย์จะโผล่หน้ามาทักทายก็เป็นเวลาหกโมงเศษๆ แล้ว+++ ทะเลยามเช้าก่อนอาทิตย์ขึ้น ดูเหงาๆ เหมือนกันนะ ++++++ ผมต้องตื่นตั้งแต่ตีห้ากว่าๆ เพื่อรอเก็บภาพนี้ล่ะครับ ++++++ แสงสีเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ++++++ ลองเปลี่ยน White balance ดูบ้าง ได้สีสันสวยไปอีกแบบ +++เช้าวันนี้กว่าสองดื้อจะตื่นก็สายมากแล้ว หลังตื่นนอนก็พากันไปทานอาหารเช้ากันที่ห้องอาหารของรีสอร์ท อาหารเช้าที่นี่มีให้เลือกระหว่าง American breakfast หรือข้าวต้ม เป็นอาหารชุดไม่ได้เป็นบุฟเฟ่ต์นะครับ +++ บรรยากาศในห้องอาหารของรีสอร์ท ++++++ สองดื้อเตรียมทานอาหารเช้ากันแล้วครับ น้ำท่ายังไม่ทันได้อาบเลย ++++++ อาหารเช้าของเรา +++ ว่ากันว่าเวลาแห่งความสุขมักจะผ่านไปอย่างรวดเร็วเสมอ ช่วงเวลาสามวันสองคืนที่เราอยู่บน "เกาะเสม็ด" ก็เช่นกัน มันช่างผ่านไปอย่างรวดเร็วจริงๆ ทริปนี้ถือได้ว่าเราได้มาพักผ่อนอย่างแท้จริงทั้งร่างกายและจิตใจ การได้ตื่นเช้า ชมอาทิตย์ขึ้น นั่งอ่านหนังสือที่ชอบ เล่นน้ำทะเล ตกกลางคืนชมโชว์ที่น่าตื่นตาตื่นใจ เท่านี้ก็สุขสุดๆ แล้ว เรียกว่าแทบไม่อยากกลับมาทำงานเลยล่ะครับ แต่ทำยังไงได้ล่ะครับ ละครยังมีวันจบ การเดินทางท่องเที่ยวของเราก็เช่นกัน ถึงวันกลับก็ต้องกลับ แต่เราตั้งใจไว้ว่าจะต้องหาเวลากลับมาพักผ่อนที่ "เกาะเสม็ด" อีกอย่างแน่นอน ไม่วันใดก็วันหนึ่ง สำหรับทริปนี้ก็ขอจบเพียงเท่านี้ ไว้ไปเที่ยวกับสองเด็กดื้อใหม่ทริปหน้านะครับ สวัสดีครับ
รูปสวยมากเลย
เข้ามาแล้วสบายใจจัง