กรกฏาคม 2555

1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
28
29
30
31
 
 
จะเป็นพยาบาลเหมือนเดิม หรือเป็นอะไรดี

ย้ายมาอยู่ที่ UK (สกอตแลนด์) ..สิ่งแรกที่คิดเลยคือ  ..จะทำมาหากินอะไรดี..

เรียนจบพยาบาลมาได้ 5 ปี ทำงานพยาบาลจริงๆแค่ 1 ปีครึ่ง ... อีก 3 ปีครึ่งที่เหลือก็ไปตะลอนๆออสเตรเลีย กับหางานอื่นทำ... แต่จนแล้วจนรอด อาชีพที่ทำให้เราอยู่ได้ก็คือ พยาบาล  ..คำว่าอยู่ได้นี่คือ..มีที่อยู่ มีข้าวกิน มีปัจจัยใช้โดยที่ไม่ลำบาก สภาพคล่องดี

เท้าความก่อนว่า สมัยเรียนในมหาวิทยาลัยนี่ ค่อนข้างมีความสุขและทำได้ดีทีเดียว ยินดีทำกิจกรรมทุกอย่าง ภาคปฎิบัติก็เต็มที่ไม่เกี่ยง  จบมาด้วยเกีบรตินิยมทั้งๆที่ไม่ได้ตั้งใจเรียนมากนัก (คือ สามารถทำได้มากกว่านี้)...แต่พอมาทำงาน  ทำไมมันเหมือนหนังคนละม้วนเลยวะ

ความรู้สึกชอบเป็นพยาบาลเริ่มน้อยลงๆๆตามจำนวนวันที่ทำงานนานขึ้นๆ  รู้สึกว่าตัวเองไม่เก่ง ไม่มีความสามารถพอ และไม่สามารถอยู่ท่ามกลางเพื่อนร่วมงานที่มีหลากหลายประเภทได้ แต่ก็ยังทนทำไปด้วยความจริงที่ว่า..เกิดเป็นคน มันก็ต้องทำงานสิวะ

ประจวบกับมาเจอสามี (ที่ขณะนั้นเพิ่งเป็นแฟนกัน)...คนที่ทำให้ในแต่ละวันของเรา จะมีช่วงเวลาเล็กๆที่ทำให้เราหลุดไปจากความวุ่นวายของโลก ความห่วยแตกของปัญหาต่างๆจากที่ทำงาน  และเริ่มเข้ามามีอิทธิพลต่อทัศนะคติของชิวิตการทำงาน

ณ วันนึงก็มาถึง วันที่เราสุดจะทนกับปัญหาต่างๆและไม่อยากที่จะสู้กับมันอีกแล้ว เค้าเป็นคนๆเดียว ที่บอกว่า งานถ้ามันทำให้เราไม่มีความสุขขนาดนั้น ก็ไม่ต้องทนกับมัน.....ผลก็คือ...เราลาออก ด้วยอายุงาน 1 ปี 1 เดือน

เมื่อลาออกมาแล้ว และเริ่มใช้ชีวิตที่ไม่ต้องวางแผนหรือมีตารางอะไร ผลที่ได้คือ ฟันผุ 555 เนื่องจากเข้านอนไม่เป็นเวลา ไม่จำเป็นต้องอาบน้ำเพราะไม่ได้ไปไหน และอยากนอนบนเตียงให้มากที่สุดเพื่อชดเชยกับชิวิตที่ไม่เคยได้พักผ่อนเต็มที่กับเค้าเลย..(คนเป็นพยาบาลคงรู้)

แต่สิ่งที่ร้ายแรงกว่าฟันผุ (ขำว่ะ) ก็คือ เงินที่ต้องใช้ไปแต่ละวัน กับรายได้ที่ไม่ได้มีเข้ามาเลย

ตอนที่ทำงาน เดือนๆนึงผ่านไปเร็วมาก แป๊บๆก็เงินเดือนออก แป๊บๆก็ออก.. เงินในบัญชีเพิ่มเอาๆๆ ไม่มีทีท่าว่าจะหยุด โดยที่แทบไม่มีโอกาสได้ใช้เงินเลย

แต่พอลาออกจากงาน..เงิน 1 หมื่น สามารถหายไปได้ภายในเวลา 1 เดือน !!!

ทำไมมันช่างง่ายดายอย่างนี้

จำได้ว่าก่อนลาออก ทำงาน 1 ปี 1 เดือน มีเงินในบัญชี 98,xxx บาท พอลาออกต้องใช้ทุนคืนมหาวิทยาลัย เนื่องจากออกก่อนหมดสัญญาทำงาน 2 ปี ก็จ่ายไป 44,xxx บาท ก็ยังชิวๆ คิดว่า เงินทองของนอกกาย หาใหม่ก็ได้วะ แต่ประเด็นคือ มันไม่ได้หานี่สิ และค่าเช่าห้องก็ต้องจ่าย ค่ากิน ค่าอาหารกระต่าย 2 ตัว โอ้ว....ลดฮวบๆเลยแหละ

เอ๊ะ..เท้าความเยอะจริง ว่าจะพูดเรื่องว่าจะทำงานอะไรดีที่ UK ทำไมกลายมาเป็นแบบนี้ไปได้

กลับมาต่อ สรุปว่า ลาออกด้วยความที่รู้สึกว่าไม่มีความสุขกับอาชีพพยาบาล รู้สึกว่าตัวเองไม่เก่ง ไม่มีความรู้ความสามารถพอ และไม่อยากอยู่กับผู้ร่วมงานบ้าๆบอๆ จากนั้นชีวิตก็ต่อด้วย..

-ไปเที่ยวบ้านแฟนที่สกอตแลนด์ 5 เดือน (มีความสุขมาก เหมือนหลุดไปจากโลกความจริง ไม่ต้องหางานทำ ไม่ต้องกังวลใดๆ บอกตัวเองว่า หมด 5 เดือน กลับไทยไปค่อยกังวล)

-กลับมาไทย หางานพยาบาลทำ ได้ทำงาน 3 ที่ ลาออกทั้ง 3 ที่ในเวลา 5 วัน, 4 วัน และ 1 เดือน ตามลำดับ (พยายามไม่ทำให้แม่ผิดหวัง หาๆๆๆงาน แต่ทำปุ๊บ ร้อนปั๊บ เหมือนผีโดนข้าวสารเสก ทนไม่ได้)

-อยู่ว่างๆ 4 เดือน แล้วไปออสเตรเลีย 1 ปี ระหว่างที่อยู่นั้นก็ ทำสวน ทำไร่ เลี้ยงเด็ก เสริฟร้านอาหาร ไปตามเรื่อง (ในเมื่อทำพยาบาลแล้วก็ออกๆๆๆอย่างนี้  ก็ไม่ต้องทำ เดินทางหาตัวเองดู....ได้เพื่อนแท้เพิ่มมา 1 คน ได้ปสก.ที่ดี เป็นความทรงจำที่จะอยู่ในใจตลอดไป)

กลับมาเผชิญความเป็นจริงที่ไทย ด้วยเรซูเม่ที่ระบุประสบการณ์ด้านพยาบาลครั้งสุดท้ายเมื่อ 1 ปีครึ่งที่แล้ว อายุการทำงานรวมทั้งหมด 1 ปีครึ่งทั้งๆที่จบมาได้เกือบ 4 ปี ...เฮ้ย มันไม่ไหวแล้วนะ และเราก็เริ่มวางแผนว่า ต้องจริงจังกับชีวิตได้แล้ว ที่ผ่านมาเหมือนเล่นๆมาก

ก็เลยคุยกับแฟน (ยังอยู่นะ ไม่ได้ไปไหน) ว่าโอเค พร้อมแล้ว(คือ กรูเที่ยวพอแล้ว)  ..เราจะแต่งงานกัน (ก่อนหน้านั้นเค้าขอแต่งงานตั้งแต่คบกับปีแรกแล้ว แต่เราไม่พร้อม อยากโสด) ก็เลยคิดกันว่า ตกลงเราจะไปอยู่สกอตแลนด์กับเค้า ไปหางานทำ อาจจะเป็นพยาบาลหรือไม่ก็ได้..สามีเรารู้ว่า เราไม่มีความสุขกับการทำพยาบาลมากๆ และเค้าก็ไม่ได้เห็นว่า พยาบาลจะดีเด่ไปกว่าชนชั้นแรงงาน หาเช้ากินค่ำตรงไหน (ถ้ามีเวลาจะอธิบายเรื่องนี้ให้ฟังนะ ยาวววว)

แผนของเราคือ เราต้องรักษาสถานะความเป็นพยาบาลไว้ก่อน (คนที่เป็นพยาบาลคงรู้ คือตอนนี้จะเป็นพยาบาลหรือไม่เป็น ไปขายประกัน ไปเป็นแอร์ ไปเป็นเซล อะไรก็ตาม แต่ต้องรักษา "ใบประกอบวิชาชีพ" เอาไว้ถ้าไม่ลำบากจนเกินไป ซึ่งต้องต่อทุกๆ 5 ปี  เผื่ออนาคตไม่มีอะไรกิน ไม่รู้จะทำอาชีพอะไร ยังไงก็ยังเป็นพยาบาลได้   และเนื่องจากเราไม่ได้เป็นพยาบาลมาปีครี่ง มีปสก.การทำงาน.น้อยนิดเมื่อเทียบกับปีที่จบมา  เราจึงลงเอยที่ โรงพยาบาลเอกชนที่บ้านเกิด...(ทั้งๆที่ไม่อยากทำเลย)

แม่ดีใจ แฟนดีใจ คนรอบข้างดีใจ โห....ในที่สุด   มัน(เราเอง) ก็ทำงานจริงจังซักที ..(หารู้ไม่ เราพยายามหางานอื่นๆในจังหวัดเราทำ แต่ไม่ได้สักอัน คือเค้าไม่เอาเรา หรือไม่ก็เราไม่เอาเอง เช่น สัญญาการทำงาน 4 ปี โห..)  วันที่ไปสมัครงานนี่ เพื่อนสนิทตั้งแต่มัธยมที่เป็นพยาบาลเหมือนกันและทำงานโรงพยาบาลนั้น พาไปสมัคร ตอนไปก็บอกกับมันว่า กรูไม่อยากทำเลยว่ะ บ่นแบบนี้ไปตลอดทาง  จนมันถามว่า นี่แกพร้อมสมัครไหม ไม่สมัครก็ได้นะ แต่แกจะไปทำอะไร...ตกลงเราก็สมัครอยู่ดี ก็คือ จริงของมันไง ถ้าไม่ทำพยาบาล แล้วจะไปทำอะไร

พอเดินเข้าไปในโรงพยาบาล...สิ่งที่เป็นทุกครั้ง เป็นมานานเท่าไรแล้วจะไม่ได้ ก็คือ จุกแน่นหน้าอก ชิวิตเศร้าหมอง อยากหันหลังกลับ อยากจะอ้วก อยากจะไปให้พ้นๆ ไม่อยากเห็นโรงพยาบาล ...พูดง่ายๆก็คือ ไม่อยากมาทำงานในนี้นั่นเอง   แต่ก็ทำเป็นไม่สนใจความรู้สึกแบบนั้น  เอาวะ...มาสมัครก็คือมาสมัคร   ตอนสัมภาษณ์ หัวกน้าฝ่ายการพยาบาลไม่ได้สนใจอะไรเล้ย  คือจะรับอย่างเดียว เป็นพยาบาลก็ดีอย่างนี้แหละ ขอให้เป็นพยาบาลเหอะ กรูรับหมด (ไม่มช่ทุกที่ แต่ส่วนใหญ่จะเป็นแบบนี้ ถ้าเป็นโรงพยาบาลชั้นแนวหน้ามากๆเค้าต้องสกรีนปสก.อยู่แล้ว ไม่รับง่ายๆ)

ตกลงได้อยู่หวอดที่สบายที่สุดในสามโลก นั่นคือ หวอดหลังคลอด หรือหวอดสูติ นั่นเอง ทุกคนที่รู้ข่าวดีใจมากและยินดีต้อนรับเรามากๆ โหน้อง ได้อยู่หวอดสบายว่ะ งานไม่หนัก หัวหน้าใจดี บลาๆๆๆๆ ขอตัดมาตอนจบเลยนะคะ...ทุกอย่างที่นี่ดีจริงค่ะ เพื่อนร่วมงานดีมาก งานไม่หนัก ทุกอย่างมันดีมากจริงๆ แต่ !!!!!!!! เราไม่มีความสุขอีกแล้วค่ะ แต่ถ้าถามตอนนี้ เราขอบอกว่า เราผิดเองที่ไม่ทนค่ะ การเริ่มงานหรือการทำงานมันก็เป็นแบบนี้ทั้งนั้น แต่เราไม่ทนจนผ่านมันไปได้ เราเลย เลิกๆๆๆๆตลอดเวลา

ผลสุดท้ายก็คือลาออก...มีโจ๊กมาเล่านิดนึง เพื่อนที่สนิทกันคนนึงและรู้จักเราดีมาก เพราะเรามีไรก็เล่าให้มันฟังตลอด พอมันรู้ว่าเรามาสมัครพยาบาล(อีกแล้วหรอ) มันก็บอกว่า...กรูจะดูดิ๊ เมิงจะทำลายสถิติตัวเองได้ไหม เคยทำงานพยาบาลน้อยสุด 4 วัน ครั้งนี้จะเอากี่วัน หรือกี่ชม.  !?!?

เราไปทำงานก็จะกลับมาออนเอ็มแล้วเปลี่ยนสถานะเป็นนับวันตลอด เพื่อนคนนี้มันก็จะเห็นและคอยเป็นกำลังใจให้  ตอนนั้นเราแย่มากจริงๆ แต่เกิดมาโชคดีมาก มีแต่คนดีๆ เพื่อนดีๆคอยเป็นกำลังใจอยู่ข้างๆ จนในที่สุดเราก็ลาออกมาด้วยอายุการทำงาน 8 วัน

ตอนที่ทำครบ 5 วัน อีเพื่อนสนิทของเราถึงกับโทรมาคุย...เฮ้ย เมิงทำได้!!! เมิงผ่าน 4 วันมาแล้ว 555

พอลาออกก็ต้องมีคำอธิบายไปบอกแม่ ก็คือ เราวางแผนจะไปอยู่สกอตแลนด์ ไม่รู้ว่าจะเป็นพยาบาลหรือเปล่า ถ้าไม่ได้เป็นขอมีวิชาชีพอื่นๆติดตัวบ้าง งั้นหนูขอไปเรียนทำเล็บกับทำผมนะแม่ !!

เราจึงสมัครเรียนทำเล็บกับทำผมที่กทม. เรียนฟรีน่ะ ก็ไปขออาศัยเพื่อนสนิทที่เราพูดถึงข้างบนอยู่ห้องฟรี ตอนนั้นมีเงินติดตัว 3,xxx เนื่องจากกลับมาจากออสเตรเลียก็ให้เงินแม่ไปหมด(ยืมเขาไปออส) แล้วเราใช้เงินที่เหลืออยู่ในบัญชี 8,xxx ก่อนที่จะไปออสนั่นเอง  แล้วเราก็เอาอีแปดพันนี้ไปซื้อชุดพยาบาลใหม่(ชุดเก่าใส่ไม่ได้ คับมาก) หมดไป 2,400 บาท ก็กะว่าจะไปเป็นพยาบาล เดือนเดียวก็ได้เกือบสองหมื่นแล้ว เลยไม่ได้แคร์ไรมาก แต่กลายเป็นลาออกไปซะ ทำงาน 8 วันไม่ได้เงินนะ ค่ารถ ค่ากินก็เสียไป  ก็เข้ากทม.ด้วยเงิน 3,xxx นั่นแหละ กะว่าเรียนทำผมทำเล็บจบ เดือนนึงก็ไปหางานทำได้แระ ได้ หกพัน-แปดพัน ก็อยู่ได้ละ

ช่วงนั้น กินข้าววันละมื้อค่ะ ช๊อบ..ชอบอ่ะ จริงๆนะ เพราะเราคำนวณไว้แล้วว่า เวลา 30 วัน มีเงิน สามพัน ต้องกิน ต้องไปเรียน ค่าซื้ออุปกรณ์อีก จะใช้วันละเท่าไร  แลดูเครียดเนอะ แต่เราสนุกอ่ะ เวลาไปซื้อข้าวเหนียวไก่ย่าง เราเอาข้าวเหนียว 2 เท่า เอาไก่ไม้เดียว คือแบบ..มันจืดมาก 555 มีแต่ข้าวเหนียว แต่รู้สึกสะใจที่ได้ทรมานตัวเอง ชอบทำตัวแบบคนจน ไม่มีจะกินอ่ะ หลังๆชักว่ามันแพงไป เพราะเงินไปหมดกับค่าอุปกรณ์การเรียน เลยเอามาม่าดีกว่่า 5-6 บาทเอง ก็กินอยู่อย่างนี้

แต่ความสนุกสะใจที่ต้องบริหารเงินที่มีอยู่น้อยนิดก็มาถึงจุดจบ  เมื่อเงินเหลืออยู่แค่ 500 บาท ขนาดว่าประหยัดค่ากินแล้ว ก็ไปหมดกับค่าหัวหุ่น ยาทาเล็บ สีอะคริลิค บลาๆๆ นั่นแหละ  เราก็ไม่เครียดมากมายหรอก คิดว่ายังไงก็มีทางออก ก็เลยโทรขอยืมเงินแฟน

เน้นว่าขอยืมนะ...แฟนเราเป็นคนสกอตแลนด์ ตั้งแต่คบกันมาเราเป็นพยาบาล เงินเหลือกินเหลือใช้มากๆ ก็ไม่เคยขอเงินแฟน และไม่เคยพูดถึงเรื่องเงินกับเขา แต่ช่วงที่เราเข้าๆออกๆพยาบาล เราก็เคยบ่นกับเค้าว่า เราลาออกไม่ได้หรอก เราต้องหาเงิน มีอยู่ครั้งนึงเค้าก็บอกเราว่า ออกไปเหอะ เดี๋ยวเค้าส่งเงินให้เอง ... แต่เราก็ไม่เคยขอ และเค้าก้ไม่เคยส่งนะ เพียงแต่รู้ว่า ถ้าเรามีปัญหาที่แก้ไม่ได้ เค้าต้องช่วยเราแน่นอน

จนมาถึงอีคราวนี้แหละ เราเงินเหลือ 500 ก็โทรไปขำๆ คุยเล่นยิ้มแย้มกับเค้าว่า เออ..ขอยืมเงินหน่อยดิ เงินหมด ซื้ออุปกรณ์ เดี๋ยวมีงานทำแล้วคืน บลาๆๆๆ เราก็เล่าให้เค้าฟังไป แต่...........คำตอบที่ได้รับคือ  ฮีไม่ให้คร่าาาาา...โอ้ววววว เราอึ้งมาก อึ้งมากจริงๆ ก็เลยถามเค้าว่าอะไร ยังไง ทำไม มันผิดอะไร บลาๆๆ สรุปๆก็คือ เค้าบอกว่า แถวบ้านเค้า ครอบครัวเค้า เพื่อนที่ทำงาน จะไม่มีใครเข้าใจแน่นอนว่า ทำไมเค้าต้องส่งเงินให้เราใช้ ในเมื่อเราก็มีมือมีตีนหาเงินเองได้ เรื่องนี้ยาวอ่ะ ขี้เกียจพิมพ์ แต่เอาเป็นว่า เราทะเลาะกัน เนื่องด้วย เราไม่เข้าใจว่าทำไมเป็นแฟนกันจะช่วยกันไม่ได้ เราก็ไม่ได้ขอมากเลย 300 ปอนด์ (หมื่นสองโดยประมาณ ณ ค่าเงินตอนนั้น) และก็ไม่เคยขอมาก่อนด้วย เราทะเลาะกันจนถึงขั้นที่ว่า เราคิดว่า จะไม่แต่งงานกับคนๆนี้แล้ว เพราะทัศนะคติมันต่างกันมากโดยสิ้นเชิง แต่เค้าโอนมาให้นะ แล้วก็บอกเราว่าไสหัวไป 555 จริงๆนะ    แต่สุดท้ายเราก็เคลียร์กันค่ะ เค้าเป็นคนมาเคลียร์ ถ้าไม่เคลียร์คงเลิกไปแล้วจริงๆ เวลาทั้งหมดประมาณ 5-6 วันนะตั้งแต่เอ่ยปากขอแล้วทะเลาะกัน เราไม่โกรธเค้านะ และเข้าใจเค้าด้วย คนไทยอ่อนกว่า ยอมรับความต่างของคนอื่น แต่ฝรั่งหายากกว่าอ่ะ ที่จะมองว่าคนที่ต่างจากพวกเค้าไม่แปลก ...คนไทยดีที่ 1 จริงๆ

เลยเป็นข้อคิด 1 ข้อเลยว่า เรื่องเงินนี่ จะติ๊ต่าง คืดเอาเองจากไม่ได้ ต้องคุย ต้องถาม จับเข่าคุยจริงๆจังๆ อย่าปล่อยให้เวลาล่วงเลยไปนาน (ของเรา 4 ปี)

เราคืนดีกันค่ะ (แอบผิดหวังเล็กน้อย เพราะทำใจไว้แล้วว่าต้องเลิกกันแน่ๆ) เรื่องนี้เป็นเหตุให้เราหาหนังสือเรื่อง Thailand Fever มาอ่าน (ดังในหมู่ภรรยาฝรั่ง) แล้วก็ได้ข้อคิด และเข้าใจทั้งตัวเองและฝรั่งมากขึ้น เพราะเค้าจะบอกตั้งแต่รากเหง้าที่เป็นเหตุให้เราคิดอย่างนึง เค้าคิดอย่างนึง หนังสือไม่ได้ดีเลิศประเสริฐศรี แต่ก็ทำให้เรารู้อะไร เข้าใจอะไรๆมากขึ้น ^^

ไม่จบซะทีอ่ะ เบื่อแล้วเนี่ย ...ต่อนะ..กำลังเรียนๆทำผม ทำเล็บ 7 วันต่อสัปดาห์ ก็มีพรหมลิขิตให้เราได้คุยกับเพื่อนเก่าคนนึง เค้าทำงานอยู่ที่บริษัททัวร์แห่งหนึ่งในกทม. และเค้ากำลังหาพยักงานทำวีซ่ าคนใหม่พอดี!! เราก็เลยลองสมัครดู เพราะเราเองก็ชอบเรื่องการขอวีซ่า การเดินทางต่างประเทศ อะไรแนวๆนี้อยู่แล้ว ก็เลยไปสมัครและเค้าก็รับ ด้วยเงินเดือน 9500 คร่า ..อกอีแป้นจะแตก ขบพยาบาลมาเกือบ 5 ปีนะคร้า.. แต่ก็ทำนะ งานบริษิท ฟังดูดีและไม่เคยได้ลอง มีโอกาสก็ลองหน่อยละกัน  ก็เลยได้เข้ามาทำ ตอนแรกชิวๆ ง่ายมากกกกกกก ขอบอก โอ๊ย....ชิวววว แต่ก็มาปรอทแตกกับลูกค้าที่แสนจะไฮโซและพูดไม่รู้เรื่องเพราะชีรู้เยอะ (ลูกค้าที่นี่กลุ่มไฮโซค่ะ ไฮโซจนคนธรรมดาที่ชอบความจนอย่างเราทนไม่ได้) สุดท้ายก็ลาออกอีก.......เชิญค่ะ เชิญด่าเราได้ตามสบาย เพราะคุณไม่ใช่คนแรกที่คิดค่ะ เราโดนมาเยอะแล้ว เรารู้ว่าเราเป็นยังไง เราเข้าใจดี แต่มันเป็นตัวเราจริงๆ คนที่ไม่ทนกับอะไรที่คิดว่าทำไมต้องทน ชิวิตเราถึงเป็นแบบนี้ไง ตอนนี้ 27 แล้วนะ ยังไม่มีแก่นสารเลย.. ไม่ขอให้ใครเข้าใจ และไม่อยากให้ใครทำตามค่ะ

พอลาออกคราวนี้ เหมือนเราเรียนรู้เพิ่มขึ้นทุกๆครั้งเนอะ...เราหางานทำทันทีและได้งานภายใน 1 วันค่ะ !! ต้องให้บอกมั้ยคะว่างานอะไร...ฮ่าๆๆๆๆๆ................

เราเป็นพยาบาล(อีกแล้ว)ค่ะ   เป็นคลินิคเดิมที่เราทำงาน 1 เดือนก่อนจะไปออสเตรเลีย..เรากลับไปสมัครที่นั่นและเค้าก็รับเราทันที (อย่าคิดมากค่ะ เราไม่ได้เก่งอะไรเลย ฝีมือห่วยแตกสุดในคลินิคนั้นแล้วค่ะ แค่เค้ากำลังขาดคนพอดี และพยาบาลมันก็เป็นวิชาชีพเนอะ ไม่รับพยาบาลแล้วจะรับใครมาทำ)  ไม่ทันทำอะไร ก็ได้งาน เราทำที่นี่แบบจำยอมอ่ะค่ะ ชอบไหม..ไม่ชอบค่ะ  แต่ทนได้ ที่นี่เป็นที่ที่เราทนทำได้  เราเคยทำได้มาแล้ว เราก็จะทำอีก  ต้องขอขอบคุณเพื่อนที่ทำงานคนนึง ซึ่งก็เป็นเพื่อนเรียนพยาบาลด้วยกันมานี่แหละค่ะ ที่เค้าพูดว่า...แกต้องให้เวลาตัวเองนะ 1 เดือนเป็นอย่างน้อย แกจะทำอะไรไม่ได้เลย ไม่รู้ขั้นตอนการทำงาน จำอะไรไม่ได้ซักอย่าง แต่ทนให้ได้ 1 เดิอน แล้วแกจะผ่านมันไปได้...

แล้วมันก็เป็นจริงอย่างที่เพื่อนบอกน่ะค่ะ 1 เดิอนแรกที่ห่วยแตก ทำอะไรไม่ได้เรื่องซักอย่าง แต่ก็ทนๆๆๆๆ คิดอย่างเดียว ไม่ทำอันนี้แล้วจะไปทำอะไร เงินได้ขนาดนี้ หาอาชีพไหนที่เราทำได้อีก  และแล้วก็ผ่านไปค่ะ 1 เดือน...2 เดือน....3 เดือน...4 เดือน... 5 เดือน และแล้วเวลาที่เรารอคอยก็มาถึง เดือนธันวานั่นเอง เวลาที่เราจะบินไปอยู่กับสามีแบบถาวร ไม่ต้องไปๆมาๆ และเราไม่ต้องจากกันอีกต่อไป และแล้วเราก็ทำได้ค่ะ

ป.ล. จริงๆเราไม่ได้เปลี่ยนไปเลยนะ 55 เพราะงานที่นี่ ใครอยู่ทำไม่ได้ก็บ้าแล้วค่ะ งานสบาย เงินดี เพื่อนร่วมงานเริ่ด....ตอนออกยังคิดอยู่เลยว่า ไม่ออกดีไหมวะ ถ้ากลับมาอีกครั้งเค้าไม่รับแน่ๆ งานแบบนี้หาไม่ได้แล้ว เฮ้อออ คิดแล้วก็ยังเสียดาย ถึงแม้จะไม่มีความสุขมากกกก แต่เป็นที่ที่เราทนทำได้อ่ะ เปรียบเทียบกันอี 4 วัน 5 วัน นั่นแล้วก็สลดใจ...เฮ้ออ

นี่ก็เป็นเรื่องเล่าทั้งหมดที่ทำให้เกิดบลอคนี้...5555 นั่นก็คือ จะเป็นพยาบาลเหมือนเดิมดี หรือจะเป็นอะไรดีที่สกอตแลนด์

จากนี้ไปก็เป็นเรื่องชีวิตในสกอตแลนด็แล้วล่ะ.....




Create Date : 27 กรกฎาคม 2555
Last Update : 27 กรกฎาคม 2555 1:14:26 น.
Counter : 17753 Pageviews.

1 comments
  
อยากไปเป็นพยาบาลที่ต่างประเทศเหมือนกันคะ

แต่ที่ดูๆเนี่ยเป็นพยาบาลที่ออสเตรเลีย

ขอบคุณนะคะ ที่แชร์ประสบการณ์ให้อ่าน

โดย: ขนมเปียกปอนด์ วันที่: 10 พฤศจิกายน 2556 เวลา:7:49:02 น.
ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
 *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

Stinky Cat
Location :
Glasgow  United Kingdom

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]



ผู้หญิงที่ คิด ทำ และพูดแปลกๆ
New Comments
  •  Bloggang.com