|
|
|
|
|
| 1 |
2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 | 8 |
9 | 10 | 11 | 12 | 13 | 14 | 15 |
16 | 17 | 18 | 19 | 20 | 21 | 22 |
23 | 24 | 25 | 26 | 27 | 28 | 29 |
30 | 31 | |
|
|
|
|
|
|
|
|
|
Mr.Terran |
|
|
Location :
[ดู Profile ทั้งหมด]
|
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 39 คน [?]
|
ซิดนี่ย์ เจ.แฮร์ริส เคยกล่าวไว้ว่า "อันตรายที่แท้จริง ไม่ใช่อยู่ที่ว่า Computer จะเริ่มคิดเหมือนมนุษย์ แต่อยู่ที่ว่า มนุษย์ จะเริ่มคิดเหมือน Computer"
ผลงานทุกชิ้นใน BLOG ขอสงวนลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 ห้ามมิให้ดัดแปลง ลอกเลียน หรือนำส่วนหนึ่งส่วนใดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ยกเว้นบทความที่เกี่ยวข้องกับพุทธศาสนา
New Document
|
|
|
|
|
ก็ไม่ถึงกับสอบได้ที่ 1 ตอนอยู่ประถมปีที่ 6-7 อ่านหนังสือจิตวิทยาและปรัชญาแล้ว ถ้ามุ่งเรียนอย่างเดียว คบเพื่อนน้อย แล้วบริหารใจตัวเองไม่ได้ ก็ไม่มีประโยชน์ ผมคิดแบบนี้ตั้งแต่เด็ก จำได้ว่าตอนเรียนอัสสัมชัญ ครูตีเพื่อนผม ผมถามมาสเตอร์ว่า ทำไมไม่ใช้จิตวิทยา ครูก็งง! ว่า เราคิดได้ยังไง
ผมมาจากครอบครัวธรรมดาๆ พ่อแม่ค้าขาย ตอนเด็กๆ ป้าข้างๆ บ้านขายผลไม้ จ้างผมให้อ่านหนังสือพิมพ์ให้ฟัง อ่านแต่ละครั้งก็ได้ผลไม้เป็นค่าจ้าง ผมเป็นลูกคนเล็ก เวลาพี่เรียนอะไร ผมก็เรียนด้วย พ่อแม่ต้องทำธุรกิจ ทิ้งผมให้อยู่บ้านกับยาย พอไม่มีอะไรทำ ผมก็อ่านหนังสือ
+แล้วคุณแปลกแยกจากเพื่อนๆ ไหม
เวลาคนอื่นไปปาร์ตี้เฮฮา ผมนั่งอ่านหนังสือ ผมคิดประหลาดๆ ตอนเรียนมัธยมปีที่ 1เห็นเพื่อนเล่นกีตาร์ ก็ถามเพื่อนว่า ทำไมเล่นกีตาร์เพลงคนอื่น ทำไมไม่แต่งเพลงเอง เวลาใครร้องเพลงอะไรออกมา ผมก็เอามาแปลง คนเราไม่จำเป็น ต้องตามรอยเท้าใคร ผมโดนครูตบและตีบ่อย กลายเป็นตัวประหลาด ในที่สุดผมต้องเงียบ เผด็จการทางการศึกษาเยอะ ผมไม่ค่อยพูดเรื่องพวกนี้กับเพื่อน ก็คุยกับพี่ชาย สมัยอยู่ประถม 6 ผมกับพี่ชายประดิษฐ์เรือดำน้ำเล็กๆเล่นกัน
สมัยเด็กผมเคยได้รางวัลแกะสลัก เ ขาเอาผลงานผมไปประกวดกับรุ่นใหญ่ ตอนแรกๆ เขาหาว่าผมโกง จริงๆ แล้วผมทำเอง เด็กวัยนั้นส่วนใหญ่แกะลายง่ายๆ ผมแกะไม้สักลายกนกสองชั้น แต่ไม่ถึงระดับประตูวัดสุทัศน์นะ
+คุณเป็นนักอ่านตัวยงตั้งแต่เด็กแล้วอ่านหนังสืออะไรบ้าง
อ่านเอ็นไซโคลพิเดียภาษาอังกฤษ 30 เล่มตั้งแต่เรียนมัธยมปีที่1 ผมเป็นนักเสพข้อมูล เรื่องไหนที่ผมไม่เข้าใจ ผมจะพยายามศึกษาจนรู้จริง
อย่างตอนนี้คุณดื่มชา ถ้าคุณถามเรื่องนี้ผมก็อธิบายได้ สมัยเด็กๆ เพื่อนผมหวงกล้องมาก ไม่ให้ผมแตะ ผมอยากรู้ ผมก็เรียนเรื่องถ่ายภาพด้วยตัวเองสุดยอดของการอ่าน ผมค้นพบว่าต้องคบคนที่รู้จริงในศาสตร์นั้นๆและต้องปฏิบัติด้วย
ผมอ่านหนังสือเร็วมาก 2-3 เล่มหนาๆ อ่านแค่คืนสองคืน ครูบรรณารักษ์ก็งง! ถามว่า อ่านจริงหรือเปล่า ผมบอกให้ถามเรื่องราวในหนังสือที่อ่าน หนังสือเล่มบางๆ หรือหนังสือกำลังภายใน ผมอ่านไม่นาน ผมหันมาเป็นพุทธเมื่อ 6 ปีที่แล้ว เมื่อก่อนนับถือศาสนาคริสต์ ตอนนั้นสับสนในศาสนาตัวเอง ผมทะเลาะกับนักบวช เขาบอกให้แก้บาป รับศีล ผมอ่านคัมภีร์ไบเบิล ผมเถียงไปว่า ในใบเบิลไม่มีแก้บาป รับศีล มนุษย์รุ่นหลังเขียนขึ้นเอง พอผมเถียง เขาก็ว่าผมเป็นแกะดำ (หัวเราะ)
เวลาผมอ่านหนังสือ ถ้าเล่มไหนชอบมากจะอ่านทุกตัว ถ้าเป็นหนังสืออ่านยากๆ ก็จะเขียนโน้ตสรุปความคิดรวบยอด อ่านจบบรรยายได้เลย เล่มไหนไม่ชอบก็อ่านแค่วิธีคิด พออ่านมากๆ ก็เดาแนวทางคนเขียนออกอ่าน แค่ตัวอย่างและประสบการณ์เพื่อจำไว้สอนคนอื่น ผมอ่านหนังสือบริหารประมาณ 50%, อ่านหนังสือธรรมะ 30% และที่เหลือเป็นหนังสือประวัติศาสตร์
+คุณค่อนข้างใฝ่รู้ในทุกๆ เรื่องแล้วจัดการองค์ความรู้อย่างไร
ตอนผมเรียนเมืองนอก ผมไปพิพิธภัณฑ์บ่อยมาก เวลาผมดูภาพวาด ผมชอบคุยกับเจ้าหน้าที่ ผมอยากรู้ว่าภาพวาดชุดนี้โด่งดังได้อย่างไร องค์ประกอบภาพ การใช้สี ความกลมกลืนระหว่างศิลปะ เราตั้งคำถามว่า ทำไมศิลปินดังๆ ใช้พู่กันปากเป็ดเพียงอันเดียวก็สามารถวาดรูปได้สวย
เราไม่ได้มองแค่ภาพ แต่มองลึกลงไปถึงปรัชญาที่ซ่อนอยู่ อย่างภาพวาดอาจารย์ถวัลย์ ดัชนี หรือเฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ มองแค่ความงามอย่างเดียวไม่ได้ ต้องมองลงไปถึงวิธีคิดและอารมณ์ที่ใส่ลงไป สุดท้ายมองความว่างในใจเขา
ผมสนใจทุกอย่าง ทุกเรื่อง ไม่ได้มั่ว ผมคิดว่า ท่ามกลางพายุที่สับสน ผมจับลมปราณของมันได้ ผมจับได้ทุกวิชา อย่างประวัติศาสตร์สะท้อนอารมณ์และจิตใจคนยุคนั้นๆ ผมคิดต่อว่า ทำไมเขาตัดสินทำแบบนั้น พอมาถึงยุคปัจจุบัน เหตุการณ์ใกล้เคียงกัน ก็นำมาใช้กับการวางยุทธศาสตร์ ทุกเรื่องเกี่ยวข้องกันหมด หากขึ้นไปที่ต้นแม่น้ำจะเจอเรื่องเดียวกันคือ ตาน้ำ การศึกษาก็เหมือนกัน ถ้าเรารู้จักอ่านหนังสือ ก็จะเจอแก่นของมัน จะวิพากษ์อะไรก็ได้ เพราะเราเข้าใจ
+แล้วคิดว่า ตัวเองเก่งกว่าคนอื่นไหม
ไม่ครับ ผมเป็นมิสเตอร์ประนีประนอม ผมชอบการวางยุทธศาสตร์ ประสานให้คนโน้นรักกับคนนี้ ผมไม่ใช่คนเรียนเก่งจนได้ที่ 1 ผมเป็นพวกชอบเข้าห้องสมุด มีโลกเป็นของตัวเอง ร่างกายไม่แข็งแรง สมัยก่อนผมเป็นคนจนในโรงเรียนรวย ถูกเปรียบเทียบตลอด บางทีถูกประจานหน้าโรงเรียน เพราะไม่จ่ายค่าเล่าเรียน เรื่องหลงตัวเอง ก็เลยไม่มี อีกอย่างผมมีนิสัยชอบให้อภัย อย่างมีคนขับรถปาดหน้ารถพ่อแม่ผม พ่อก็บอกว่า ให้เขาไปเถอะ เมียเขาคงจะคลอดลูก
+ตอนนั้นคุณวางแผนการเรียนไว้อย่างไร
ผมอยากเป็นแพทย์มาก แต่ตอนอยู่มัธยมปีที่ 5 สงสัยเล่นไพ่บริดจ์และหมากรุกมากไป ผมชอบเกมที่ใช้ยุทธศาสตร์ ผมจึงเข้ามาทำงานวางแผนพัฒนาให้บริษัทต่างๆ อย่างกระทรวงแรงงาน กระทรวงวิทยาศาสตร์ ก็เคยไปช่วย
ผมมาเรียนคณะวิศวกรรม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ถึงผมจะไม่ชอบ ผมก็เรียน เพราะครอบครัวมีเงินจำกัด พอเรียนจบผมต่อรองกับพ่อแม่ว่า จะไม่เอามรดก แต่ขอค่าเครื่องบินไปเรียนเมืองนอก ถ้าพลาดผมจะไปแบกถาดเสิร์ฟอาหาร
+ชอบวางยุทธศาสตร์การบริหารมาตั้งแต่เมื่อไหร่
โดยสันดานแล้ว ผมสนใจทุกอย่าง ทำกับข้าวก็สนใจ อยู่อเมริกาลองไปเป็นกุ๊กร้านอาหาร ตอนนั้นผมไม่ค่อยมีเงิน และคิดว่าถ้าเราต้องทำกับข้าวกินทุกวัน จะทำอย่างไรให้อร่อย ผมก็ไปเป็นลูกมือ พัฒนาตัวเองเรื่อยๆ ตอนนั้นผมเป็นนักเคมีเทคนิค พอมาจับศาสตร์เรื่องอาหาร ก็ใช้ศิลปะมาผสมผสาน ผมได้เป็นกุ๊กร้านอาหารไทยของเพื่อน ช่วยทำกับข้าวและบริหารร้านอาหาร โหราศาสตร์ผมก็สน แต่ไม่ได้เรียนรู้เพื่อการทำนาย ผมชอบสังเกตคน ทำให้ง่ายในการบริหาร อ่านเกมขาด อย่างเจอสาวราศีกันย์ เธอชอบความมีระเบียบ ความสะอาด ผมเอาหลายๆ ศาสตร์มารวมกันแล้วบูรณาการ
+ทำไมองค์การอวกาศนาซา อยากได้คนอย่างคุณมาทำงานด้วย
ในนาซามีคนไทยประมาณ 10 คน ทางนาซาต้องการคนที่มีคุณสมบัติอย่างผม คือจบปริญญาตรีด้านวิศวเคมี ปริญญาโทด้านวัสดุศาสตร์วิศวกรรม ผมเก่งชีววิทยาและวิศวกรรมด้วย ตอนผมเรียนปริญญาโททำวิทยานิพนธ์เรื่องเหล็กดามในกระดูกมนุษย์ นาซาต้องการจับฉ่ายวิศวกรรม
หาคนแบบนี้ในโลกได้ยากและหามานาน 3 ปี ผมเป็นคนเดียวในโลกที่มีลักษณะเหมาะกับโครงการใหม่ตอนนั้น เซรามิคเคลือบไอพ่น
ตอนนั้นนาซาถามไปที่อาจารย์ต่างๆ ในมหาวิทยาลัย อาจารย์ที่ปรึกษาผม ทำวิจัยที่นาซา ก็เลยแนะนำวรภัทร์ องค์การอวกาศนาซามีวิศวกรกว่า 3,000 คน ตอนนั้นนาซาส่งผมเรียนปริญญาเอก ออกค่าใช้จ่ายให้หมด ผมทำงานในแล็บด้านวัสดุเคลือบยาน มีเลขานุการหนึ่งคน เราทำงานเป็นทีมมีหลายชาติด้วยกัน งานวิจัยของผมเรื่องเครื่องยนต์ไอพ่นดีเด่นเมื่อปี 2528 คว้ารางวัลที่ 1 ของโลกให้นาซา
+ได้ประสบการณ์อะไรจากนาซาบ้าง
อยู่นาซาสนุกครับ ผมทำงานวิจัยออกแบบและทดลอง ทุก 6 เดือนต้องมีผลงานวิจัยออกมา เข้าแล็บใช้หุ่นยนต์เคลือบเซรามิคบนไอพ่น
แล้วประกอบลูกไอพ่นติดบนยานอวกาศ เพื่อให้บินขึ้นฟ้า เราก็ใช้คอมพิวเตอร์คำนวณแก้สูตร พวกอเมริกันเก่งเรื่องกระบวนการคิด ทำงานเป็นทีม ทำคนเดียวไม่ได้หรอก จึงยากในการขโมยความคิด
ผมได้เรียนรู้จากนาซามาก เวลาสอนอาจารย์จะโยนหนังสือมาให้เล่มหนึ่ง อ่านภายในหนึ่งสัปดาห์ แต่เราอ่านเร็วอยู่แล้ว ที่นั่นใช้วิธีสอนเหมือนไม่สอน ซักถามและวิเคราะห์กันหนักๆ อย่างเช่น คุณเห็นใบไม้ที่โคนกิ่งไม้ ลองคำนวณว่ามีแรงกี่ปอนด์
แต่ผมกลับถามตัวเองว่า ทำไมเราต้องไปถึงสุดขอบจักรวาล 450 ล้านปีแสง เรากำลังบ้าหรือเปล่า สุดท้ายเราทำอะไร ณ วินาทีนี้ ถ้าเราอยู่ขอบจักรวาล เราจะทำอะไร ผมว่า มันไร้สาระ