เจ้าชายแห่งรัตติกาล - บัลลังก์ที่ว่างเปล่า ตอนที่ 1 : อยากจะหนีไปจากโลกนี้
ถ้าคนเรามีชีวิตอยู่ในโลกนี้แล้วไม่มีความสุขกับชีวิตที่เป็นอยู่เราควรจะทำเช่นไร? ฟังดูแล้วมันช่างเป็นคำถามที่ดูแสนธรรมดาทว่าไม่ง่ายเลยที่จะตอบคำถามนั้น อันที่จริงชีวิตที่ผ่านมาของทุกคนย่อมมีทั้งความสุขและความทุกข์ระคนกันไป ไม่มีชีวิตใครในโลกนี้ที่จะมีสุขหรือทุกข์เพียงอย่างเดียว หากแต่ว่าอย่างไหนจะอยู่กับเรามากกว่ากัน สำหรับคนที่มีความสุขมากกว่าความทุกข์นั้นนับว่าโชคดีมาก เพราะยังมีชีวิตใครอีกหลายคนบนโลกนี้ที่ต้องเผชิญต่อความทุกข์ยากไม่ว่าทางกายหรือทางจิตใจ แต่สำหรับชีวิตคนอื่น ๆ แม้ว่าจะมีความเศร้าโศกเสียใจเข้ามาแต่เขาก็คงไม่ต้องคิดหนีจากโลกใบนี้เพราะอย่างน้อยมันก็คงพอทนได้ เนื่องจากพวกเขาอาจมีบางสิ่งที่คอยชดเชยความรู้สึกในสิ่งที่ขาดหาย ทว่ายังมีอีกชีวิตของคน ๆ หนึ่งซึ่งทั้งชีวิตต้องใช้ชีวิตอยู่ในมุมมืด ราวกับเขาคนนั้นไม่เคยมีตัวตนในสายตาผู้อื่นแล้วเขาจะทานทนชีวิตที่สร้างให้เขาเป็นเพียงส่วนเกินเช่นนี้ได้อย่างไร ซ้ำร้ายหากคนผู้นั้นเป็นเพียงเด็กชายวัยสิบสองปี

***********


“เฮ้! เบน ตื่นได้แล้ว! นายต้องไปตลาดซื้อของแล้วนะ” เสียงเอวินญาติผู้พี่ของเบนจมินตะโกนเรียกมาแต่ไกล เบนจมินเด็กน้อยอายุสิบสองนอนอยู่บนที่นอนเก่าคร่ำคร่าพอให้มีที่ซุกหัวในบ้านของแซมมวลกับเอมีลี่ สมิธวอลล์ ผู้เป็นลุงและป้าของเด็กน้อย แต่บุคคลทั้งสองเลี้ยงดูเบนจมินไม่ต่างจากคนรับใช้ที่ไร้ค่าจ้างในบ้านหลังนี้ หากคิดในเชิงบวกก็นับได้ว่าโชคชะตาพัดพาให้เด็กกำพร้าคนหนึ่งได้มีที่พักพิงซึ่งก็ถือว่าเป็นเรื่องโชคดีอย่างน้อยสักเรื่องหนึ่งกระมัง ในช่วงหลังสงครามเช่นนี้คงไม่มีใครอยากแบ่งปันที่อยู่อาศัยและอาหารให้กับคนอื่นถึงแม้จะเป็นญาติก็ตามที อันที่จริงลุงแซมมวลเป็นคนที่เงียบขรึม ไม่สนใจอะไรนอกจากการซ่อมนาฬิกา ใช่แล้ว...เขาเป็นช่างซ่อมนาฬิกาที่วัน ๆ เอาแต่ง่วนอยู่กับแว่นขยายที่สวมอยู่บนศีรษะกับอุปกรณ์เล็ก ๆ และนาฬิกาเก่า ๆ มากมาย ด้วยบุคลิกลักษณะที่เฉยเมยต่อสิ่งรอบข้าง แซมมวลเป็นคนสูงวัยที่ไม่ค่อยจะแสดงอารมณ์ ด้วยใบหน้าค่อนข้างกลม ผมสีเทาดวงตาแหลมคมแฝงไปด้วยความชำนาญ (ในเรื่องการซ่อมนาฬิกา) รูปร่างท้วมแต่ไม่ถึงกับอ้วน เขาเป็นคนที่ไม่ใส่ใจในการแต่งตัวเท่าไหร่ ผิดกับเอมิลี่ภรรยาของเขาที่ใส่ใจและพิถีพิถันกับเรื่องเสื้อผ้าอย่างยิ่ง ทำให้เธอยังคงดูมีบุคลิกภาพที่ดีถึงแม้เธอจะเป็นแค่แม่บ้านก็ตาม โดยปกตินอกจากเรื่องนี้แล้วเธอไม่เคยใส่ใจสิ่งอื่นใด นอกจากเอวินและอามอนลูกชายที่แสนจะน่าภูมิใจทั้งสองของเธอ (สำหรับเธอผู้เป็นแม่เท่านั้น) หากไม่มีใครเล่าถึงเธอผู้นี้และถ้ามีใครเห็นเธอบนถนนในเมืองคงไม่มีใครเชื่อเป็นแน่ว่าเธอเป็นเพียงภรรยาของช่างซ่อมนาฬิกาคนหนึ่ง ด้วยลักษณะภายนอกของเธอเหมือนสตรีจากสังคมชั้นสูง ประกอบกับการชอบแต่งตัวทำให้เธอดูดีตลอดเวลา รูปร่างที่สูงเพรียวแม้จะอายุมากแล้ว ใบหน้าเรียวสมส่วน ริมฝีปากบางเหมาะกับวาจาที่ชอบใช้ถางถางทำร้ายผู้อื่น ดวงตาคมกริบที่แฝงไปด้วยความเหย่อยิ่ง หากย้อนหลังไปสมัยที่เธอยังสาว ๆ เธอจัดได้ว่าเป็นคนที่สวยมากคนหนึ่งทีเดียว

“ผมจะรีบไปเดี๋ยวนี้” เบนจมินตอบพร้อมกับรีบลุกขึ้นมาจากที่นอน เขาต้องรีบออกจากบ้านไปซื้อของโดยเร็วแม้ว่าตัวเขาเองนั้นยังไม่ทันที่จะได้ล้างหน้าหรือทำกิจธุระส่วนตัวใด ๆ เงินที่อยู่ในมือของเขามีธนบัตรสองสามใบกับเหรียญที่เย็นยะเยียบ ความรู้สึกเย็นจากกำมือบาดลึกถึงหัวใจ ในบ้านที่เด็กคนหนึ่งรู้สึกเป็นภาระ ไม่สิ ภาระมันอาจฟังดูดีเกินไป น่าจะเป็นส่วนเกินซะมากกว่า บางครั้งอาหารกับที่อยู่อาศัยมันอาจเพียงพอสำหรับช่วยให้สัตว์ชนิดอื่น ๆ บนโลกใบนี้มีชีวิตรอด แต่สำหรับชีวิตมนุษย์ยังต้องการความใส่ใจและความรักเพื่อเป็นพลังด้านจิตใจในการดำรงชีวิต

เงินที่เบนจมินถือมานั้นซื้อได้เพียง ขนมปัง นม ไข่ไก่และผลไม้เพียงเล็กน้อย ในใจของเด็กชายรู้สึกแสนเดียวดาย เขาต้องการเห็นชีวิตอันหลากหลาย เมื่อซื้อของเสร็จแล้วเขาจึงอยากจะเดินไปเรื่อยๆ สักครู่ตามถนนโลวเธอร์ที่แสนจะสวยงามและเงียบสงบ ต้นไม้ร่มรื่นสองข้างทางที่ทอดยาวไกลจนเห็นออกไปลิบ ๆ พื้นของถนนเป็นอิฐโบราณที่ใช้กันมาตลอดช่วงหลายร้อยปีที่ผ่านมา ทำให้ถนนเส้นนี้เหมือนมีมนต์ขลังจากอดีตอันยาวนาน ทุกครั้งที่ออกมาซื้อของเบนจมินรู้สึกแปลก ๆ ไม่สามารถอธิบายได้ รู้สึกประหนึ่งว่าอยากจะเห็นชีวิตของคนอื่น ๆ บ้าง บางทีอาจจะมีคนที่แย่กว่าเขาอย่างเช่นพวกคนเร่ร่อนไร้ที่อยู่ หรืออะไรบางอย่างก็ตามที่ดูย่ำแย่มันก็อาจทำให้เด็กน้อยรู้สึกดีขึ้น เป็นธรรมดาของคนที่ค่อนข้างโดดเดี่ยวเช่นเบนจมินที่มักจะรู้สึกว่าชีวิตของเขาช่างไร้ค่าเสียจริง ๆ ความอ้างว่างเปล่าเปลี่ยวและไร้จุดหมายในจิตใจของเขาเหมือนกับแม่น้ำเค้นท์ที่ไหลเอื่อย ๆ ในยามนี้

เดินเรื่อย ๆ มาสักระยะหนึ่ง เบนจมินมองเห็นผู้หญิงเร่ร่อนคนหนึ่งสวมใส่เสื้อผ้าขาดรุ่งริ่ง เธออยู่กับเด็กอีกสองคน ดูท่าทางแล้วน่าจะเป็นลูกของเธอ สิ่งที่เบนจมินคิดนั้นก็ถูกต้องเมื่อเขาเห็นเด็กสองคนนั่นเรียกเธอว่าแม่ เบนจมินเห็นแล้วอดรันทดใจไม่ได้พลางคิดไปว่านี่ยังไงเล่าคนที่ลำบากกว่าตัวเขา ไม่มีแม้กระทั่งที่ซุกหัวนอน ถ้าเปรียบเทียบกับแม่ลูกทั้งสามคนนี้ เขาก็นับว่าโชคดีกว่ามาก อย่างน้อยเขาก็มีบ้านสำหรับพักผ่อนนอนหลับ มีอาหารให้กินประทังชีวิตไม่ถึงกับต้องเผชิญโชคไปวัน ๆ ทว่าเมื่อเขาเห็นเด็กทั้งสองอยู่ในอ้อมกอดของผู้เป็นแม่ เบนจมินกลับเกิดความรู้สึกอีกแบบหนึ่งว่าต่อให้เขามีที่ซุกหัวนอนแล้วจะอย่างไร ในเมื่อลุงกับป้าของเขาก็ไม่ได้เต็มใจให้เขาอยู่ด้วยสักนิด ในทางกลับกันเด็กชายหวนคิดถึงความอบอุ่นจากอ้อมกอดของแม่ที่เด็กทั้งสองคนได้รับ บางทีมันอาจจะดีกว่าบ้านที่มีแต่ความเย็นชา ที่สำคัญตั้งแต่จำความได้เบนจมินก็ไม่มีเคยได้รับความอบอุ่นจากอ้อมกอดของใครเลย

สิ่งที่เบนจมินได้เห็นบนถนนสายนั้นแทนที่จะรู้สึกดีเขากลับรู้สึกว้าเหว่ยิ่งขึ้น ในใจของเด็กชายโหยหาความรักความอบอุ่นจากครอบครัวที่แท้จริง การมีพ่อแม่อยู่ด้วยกันอย่างพร้อมหน้า รับประทานอาหารร่วมกันอย่างมีความสุขเป็นสิ่งที่เขาปรารถนา แต่นั่นก็เป็นเพียงจินตนาการที่ไม่มีวันเป็นความจริงไปได้ แม้แต่ใบหน้าของพ่อแม่เบนจมินก็ไม่เคยเห็น ดวงตาสีฟ้าที่กำลังเหม่อมองผู้คนด้วยจิตใจที่แสนบริสุทธิ์ เส้นผมสีทองและรูปร่างสูงกว่าเด็กในวัยเดียวกันทำให้เขาดูเหมือนพวกนอร์ดิคซึ่งต่างกับครอบครัวของลุงกับป้าของเขาอย่างยิ่ง ทำให้เกิดเป็นความแตกต่างในการอยู่ร่วมกัน ขณะที่จิตใจของเด็กน้อยโหยหาความรักความอบอุ่น ในใจของเด็กชายก็อดคิดสงสารคนทั้งสามไม่ได้ อีกทั้งเมื่อเขาคิดถึงการกินอาหารโดยพร้อมหน้ากัน ซึ่งมันไม่มีวันเป็นไปได้สำหรับเบนจมิน ความคิดหนึ่งก็ผุดขึ้น เอาก็เอา เขาคิดในใจ

เพื่อเติมเต็มจินตนาการให้ภาพเบื้องหน้าสมบูรณ์แบบ เขาแบ่งขนมปังชิ้นใหญ่ชิ้นหนึ่งให้กับแม่ลูกทั้งสาม

“ไม่เป็นไร พระผู้เป็นเจ้าจะทรงเมตตาพวกเรา”

เสียงจากผู้เป็นแม่คนนั้นถึงจะฟังไม่ชัดเท่าใดนักแต่มันกลับดังกึกก้องในห้วงความคิดของเบนจมิน ในใจของเขาคิดไปว่า พระเจ้านั่นนะหรือ ช่างน่าขันนัก พ่อของเขาตายในสงคราม ส่วนแม่ก็หนีชีวิตที่ยากไร้ไปอยู่ที่อื่น ทิ้งเบนจมินให้อยู่กับญาติที่ไม่เต็มใจรับภาระเลี้ยงดู หากพระองค์สถิตอยู่และทรงมีเมตตาต่อมวลมนุษย์จริง ชีวิตของเขาคงไม่ยากลำบากถึงเพียงนี้ อันที่จริงมันไม่ใช่เรื่องแปลกเลยที่เด็กคนหนึ่งซึ่งไม่เคยได้รับความอบอุ่นจากผู้คนรอบข้างจะไม่เข้าใจและไม่ศรัทธาในอ้อมกอดของพระเป็นเจ้าซึ่งอาจจะเป็นสิ่งที่อยู่ไกลเกินกว่าจินตนาการได้ ตั้งแต่จำความได้ลุงของเขาได้แต่พร่ำบอกว่ามาริเนลพ่อของเขาเป็นนายทหารที่เก่งกล้า ตายในสนามรบเพื่อปกป้องเหล่าผู้ใต้บังคับบัญชาและแผ่นดินเกิดตั้งแต่เบนจมินยังอยู่ในท้องแม่ ส่วนเอลินอร์แม่ของเขาเป็นสตรีที่สวยที่สุดคนหนึ่งในยุคนั้น แต่หลังจากให้กำเนิดเบนจมินได้ไม่นาน เธอก็ทิ้งเขาไว้กับครอบครัวสมิธวอลล์ และนี่จึงเป็นที่มาของคำพูดที่ทิ่มแทงจิตใจของเด็กน้อยเสมอมา ไม่ว่าจะเป็นกาฝาก เหลือไรหรือปลิง ตัวเขาต้องถูกเปรียบเปรยกับสิ่งเหล่านี้อยู่ร่ำไป มันทำให้หัวใจดวงน้อยถูกกัดกร่อน แต่ธรรมอันยิ่งใหญ่ก็มีทางเลือกให้กับผู้ที่ต้องเผชิญหน้ากับเรื่องราวเช่นนี้ เขาอาจจะเป็นคนมองโลกในแง่ลบและไม่เชื่อมั่นในคุณงามความดี แต่สำหรับเบนจมินแล้ว เขากลับมองโลกในอีกแง่มุมหนึ่ง โลกที่ควรจะมีความเอื้ออาทรให้เพื่อนมนุษย์ โลกที่ควรแบ่งปันโอกาสที่ยังพอมีให้แก่ผู้อื่น สิ่งนี้แสดงถึงจิตใจของเด็กน้อยที่พิเศษยิ่ง ในท่ามกลางความยากลำบากทั้งทางร่างกายและจิตใจอย่างแสนสาหัสหัวใจน้อย ๆ กลับสามารถผลิบานความรักและความเอื้ออารีต่อเพื่อนร่วมโลก

หลังจากแบ่งขนมปังให้แก่ผู้หญิงคนนั้นแล้ว เบนจมินก็รีบเดินทางกลับบ้านเพราะนี่ก็สายมากแล้ว เขาต้องรีบเดินกลับอย่างรีบเร่ง อันที่จริงลุงกับป้าของเขาไม่ได้ตำหนิเบนจมินที่เขากลับมาช้าในครั้งนี้หรอก แต่การนิ่งเฉยที่บางครั้งมันทำให้แย่ยิ่งกว่า เพราะมันเหมือนน้ำแข็งที่เย็นยะเยียบที่คอยกรีดหัวใจของเด็กชายให้รู้สึกว้าเหว่อยู่เสมอ ๆ ส่วนเอวินกับอามอนญาติผู้พี่สองคนก็มักจะใช้แววตาดูถูกเหยียดหยามอยู่ตลอดเวลา แต่หากพิจารณาให้ดีแล้ว พวกเขาก็เหมือนภาพวาดที่สมบูรณ์ พ่อ-แม่ พี่-น้อง ด้วยเหตุนี้เองที่เบนจมินต้องทำตัวเป็นเงาในที่มืดอันไร้ตัวตนในภาพวาดที่ลงตัวของครอบครัวนี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

เบนจมินพยายามให้วันเวลาผ่านไปโดยรวดเร็ว เพื่อที่เขาจะได้โตขึ้นและสามารถออกไปเผชิญโลกได้ด้วยตัวเอง แต่สำหรับเด็กอายุสิบสอง สิ่งที่ทำได้ก็คงมีแต่การเฝ้ารำพึงรำพันถึงปาฏิหาริย์ ซึ่งก็คงต้องใช้เวลาอีกนานกว่าที่เวลาจะช่วยพาให้เขาโบยบินไปอย่างอิสรเสรี ยิ่งช่วงหลังสงครามด้วยแล้ว คงไม่เป็นการง่ายเลยที่จะหางานทำ ความคิดความฝันแต่ละวันที่ผ่านไป ยิ่งทำให้เด็กน้อยเกิดความเบื่อหน่ายในชีวิตประจำวันที่เป็นอยู่ อันที่จริงแม้แต่การเพ้อฝันของเด็กน้อยก็ยังเกิดขึ้นได้ยาก เพราะเขาต้องช่วยทำงานต่าง ๆ ภายในบ้านไม่ว่าจะเป็นทำความสะอาด ล้างจาน ซักผ้า มีแต่ยามค่ำคืนในห้องเก็บของที่มืดมิดเท่านั้นที่เบนจมินสามารถใช้เวลาครุ่นคิดแบบเด็ก ๆ ที่จะคิดหนีจากโลกที่น่าเบื่อนี้ไปซะที ช่วงเวลาค่ำคืนนั้นช่างเป็นเวลาอันแสนวิเศษที่จินตนาการของเด็กน้อยจะได้โผบินอย่างอิสระ และดูเหมือนกับว่าเขาสามารถทำอะไรได้ดังใจที่เขาปรารถนา

ความฝันแม้ไม่เหมือนดังเช่นความเป็นจริง แต่มันก็เป็นเพียงสิ่งเดียวที่ช่วยรักษาเยียวยาจิตใจที่บอบช้ำได้บ้างไม่มากก็น้อย ในยามที่เบนจมินหลับลงด้วยความเหนื่อยล้าจากการงาน เขาเสมือนหนึ่งได้เดินทางไปในดินแดนแห่งเทพนิยาย เขาได้ท่องเที่ยวไปในจินตนาการ อาจจะเป็นด้วยความคิดของเด็กน้อยเองที่หาทางปลดปล่อยจิตใจของเขาให้เป็นอิสระในยามค่ำคืน หรือจะเป็นความอัศจรรย์ที่ยากจะอธิบายก็สุดที่จะล่วงรู้ได้ แต่อย่างน้องสิ่งนี้ก็พอที่จะเยียวยาความเจ็บปวดจากโลกที่โหดร้ายที่เขาต้องเผชิญอยู่ทุกวัน

***********


อรุณรุ่งวันใหม่ได้มาถึง แต่ชีวิตของเบนจมินกลับไม่มีอะไรต่างไปจากเดิม บางทีการได้เดินออกไปซื้อของก็เป็นเรื่องที่ดีเหมือนกัน เบนจมินคิดอย่างนั้นเพราะอย่างน้อยมันก็ช่วยฆ่าเวลาที่ซ้ำซากจำเจน่าเบื่อหน่าย เฉกเช่นเดิม เมื่อซื้อของเสร็จแล้วเด็กน้อยก็อดที่จะเดินเถลไถลไม่ได้ ถึงจะรู้อยู่แก่ใจว่าป้าของเขาจะไม่พอใจก็ตาม แต่มันก็เป็นความสุขเพียงเล็กน้อยสำหรับเด็กอายุสิบสอง การได้เห็นผู้คนหลากหลายอาจเป็นเรื่องที่ช่วยเติมเต็มจินตนาการของเขาได้บ้าง

วันนี้ก็เช่นเดียวกัน เบนจมินเดินตามหาแม่ลูกทั้งสามคนที่พบเมื่อวาน เพราะเขาต้องการแบ่งอะไรก็ตามที่พอให้ได้แก่พวกเขาเหล่านั้น แต่แทนที่จะได้พบกับแม่ลูกพวกนั้น เขากลับเห็นสุนัขพเนจรที่กำลังจะอดตาย มันเป็นสุนัขพันธุ์ดอลลี่สีขาวสลับดำ ดูเหมือนยังอายุไม่มากเท่าไหร่เนื่องจากตัวของมันยังเล็กอยู่ เจ้าสุนัขตัวนั้นมันช่างผอมโซเสียเหลือเกิน มันผอมจนเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก ในใจของเขาก็สงสารแต่อีกใจหนึ่งก็อดคิดไม่ได้ว่านั่นคงเป็นชะตากรรมของมันเอง แค่อาหารมื้อหนึ่งจะประทังชีวิตสุนัขที่กำลังจะตายนี้ไปได้สักเท่าใด บางทีการจากโลกนี้ไปก็อาจจะเป็นสุขยิ่งกว่าการมีชีวิตอยู่สำหรับมันด้วยซ้ำ เมื่อคิดดังนั้นแล้วเด็กน้อยจึงเดินเลยจากไป แต่พอเดินไปได้เพียงสองสามก้าวเขาก็เกิดเปลี่ยนใจฉุกคิดว่า บางทีโชคชะตาอาจจะไม่เรียบง่ายเช่นนั้น ถ้าเขาแบ่งอาหารให้สุนัขตัวนี้แล้วสามารถต่อชีวิตมันได้สักช่วงเวลาหนึ่ง ตอนนั้นก็อาจจะมีคนใจดีเก็บมันไปเลี้ยงก็ได้ หรืออย่างน้อยก็อาจมีคนคิดอย่างเขาให้อาหารมันกินอีกซักมื้อมันก็จะมีชีวิตอยู่รอดต่อไป เด็กน้อยจึงแบ่งนมเทใส่พาชนะเก่า ๆ ที่ถูกทิ้งอยู่แถวนั้นให้มันกิน

***********


“ฉันจะไม่เตือนแกแล้วนะ ถ้าขืนแกยังทำตัวอย่างนี้อีก เราจะได้เห็นดีกัน” ป้าเอมีลี่พูดเสียงดัง เบนจมินคิดว่าอันที่จริงป้าเอมีลี่อยากจะพูดว่า ออกไปจากบ้านหลังนี้ซะ แต่ก็คงเห็นแก่พระเจ้าหรือเธออาจเห็นแก่มนุษยธรรมที่ไม่อยากทำร้ายจิตใจเด็กกำพร้าคนหนึ่งก็เป็นได้ อย่างไรเสียเขาก็รู้สึกขอบคุณป้าของเขาที่ไม่ซ้ำเติมความรู้สึกให้เขาต้องแย่ไปกว่านี้

“ทีหลังนายก็หัดทำตัวเป็นประโยชน์บ้างซิ ไม่ใช่เที่ยวเดินเรื่อยเปื่อยอย่างสบายใจ ในขณะที่คนอื่นต้องแบกภาระเลี้ยงดูนาย” เอวินพูดด้วยน้ำเสียงถากถาง จากนั้นก็หันไปพูดกับแม่ของเขา

“แม่ครับ ผมกับอามอนขอออกไปเล่นข้างนอกนะครับ”

“แล้วอย่ากลับค่ำละ” เสียงป้าเอมีลี่พูดอย่างห่วงใย ฟังดูแล้วเหมือนไม่ใช่เสียงเมื่อสักครู่นี้เลยสักนิด

เบนจมินเริ่มทำงานของเขาตามเดิม เขาง่วนอยู่กับการล้างจาน ถูบ้าน ซักผ้า เก็บกวาดข้าวของต่าง ๆ ในขณะที่เขาง่วนอยู่กับการทำงานเขาได้แต่ลอบคิดในใจ ขออย่าให้ป้าของเขารู้สึกผิดปรกติกับจำนวนอาหารที่ซื้อมาเลย มิเช่นนั้นเขาเองอาจจะต้องมีชะตากรรมไม่ต่างไปจากแม่ลูกสามคนนั้น โชคดีที่ป้าของเขาไม่ทันสังเกตว่าของที่ซื้อมานั้นมีจำนวนลดลงกว่าเมื่อก่อน โดยเฉพาะขวดนมที่มีร่องรอยการเปิด และปริมาณนมที่พร่องไปถึงหนึ่งในสี่ของขวด

***********


ฤดูหนาวที่กำลังจะมาเยือนในไม่ช้า สิ่งนั้นยิ่งทำให้จิตใจของเด็กน้อยห่อเหี่ยวยิ่งขึ้นมากกว่าเดิม อีกหนึ่งปีที่ชีวิตเด็กกำพร้าของเบนจมินได้ดำเนินต่อไป และดูเหมือนมันจะยังคงดำเนินต่อไปเรื่อย ๆ อย่างไม่มีที่สิ้นสุด ใบไม้สีน้ำตาลที่ค่อย ๆ ร่วงหลุดล่วงหล่นจากต้น ทำให้บรรยากาศรอบตัวดูหงอยเหงาเศร้าสร้อยพิกล มันจะมีอะไรแย่ไปกว่านี้อีกเล่า ก็แค่หิมะสีขาวที่เริ่มโปรยปรายเหมือนการไว้อาลัยให้กับชีวิตที่สิ้นหวังของเบนจมิน เขาคิดถึงพ่อที่จากไปอย่างไม่มีวันหวนกลับ ท่านได้ฝากสมุดบันทึกไว้กับลุงแซมมวลเล่มหนึ่ง มันไม่ได้มีบันทึกอะไรมากนัก มีเพียงกระดาษหน้าแรกที่เขียนว่า “แด่ เบนจมิน....ลูกรัก สำหรับทุกจินตนาการของลูกที่จะกลายเป็นจริง ไม่ว่าสุขหรือทุกข์จงเขียนมันไว้ เพื่อเตือนใจ” และสมบัติอีกชิ้นหนึ่งก็คือนาฬิกาพกของแม่ มันช่างสวยงามมากเสียจนไม่น่าเชื่อว่านาฬิกานี้จะเป็นสิ่งที่มนุษย์ประดิษฐ์ขึ้น ที่ฝาด้านหน้าของนาฬิกาพกเรือนนี้ถูกสลักเสลาอย่างงดงามว่า “เวลาที่แสนวิเศษถูกเก็บซ่อนอยู่ในความทรงจำ” แต่น่าเสียดายที่ตั้งแต่เขาได้รับมันมาจากลุงแซมมวลมันก็หยุดเดินอยู่แล้ว และเขาก็ไม่กล้าที่จะขอร้องให้ลุงแซมมวลซ่อมให้จึงได้แต่เก็บมันเอาไว้ แต่อย่างไรก็ตาม นาฬิกาเรือนนี้มันจะบอกเวลาได้หรือไม่นั้นไม่ใช่สิ่งสำคัญสำหรับเบนจมิน เพราะสำหรับเขาแล้วนาฬิกาพกเรือนนี้ราวกับว่าเป็นสิ่งวิเศษที่เป็นของดูต่างหน้าจากแม่เหมือนกับสมุดบันทึกของพ่อ เบนจมินคิดว่ามันคงเป็นของขวัญที่แม่ของเขาได้จากใครสักคน ทั้งสองสิ่งนี้แม้ไม่ใช่สิ่งที่มีค่าอะไรแต่ก็เป็นสิ่งที่เป็นเครื่องหมายแทนครอบครัว แทนความหวังและความฝันว่าสักวันเขาจะได้พบหน้าแม่ของเขาอีกครั้ง

สำหรับสมุดบันทึกนั้นมันก็ยังคงว่างเปล่า ไม่ใช่ว่าเด็กน้อยเขียนหนังสือไม่เป็นหรือไม่อยากจะเขียนอะไรลงไปหรอกนะ แต่เขากลัวว่าถ้อยคำที่เขาจะเขียนลงไปนั้นมันจะไม่คุ้มค่า ด้วยตัวเขามีเพียงสองสิ่งนี้เหมือนเป็นครอบครัว ทุกครั้งที่เปิดไดอารี่เห็นลายมือของพ่อ เบนจมินรู้สึกถึงความเปล่าเปลี่ยวเดียวดายอย่างบอกไม่ถูก หน้ากระดาษที่ว่างเปล่านั้นเปรียบเหมือนหิมะสีขาวที่กำลังเริ่มโปรยปรายลงมาในเวลานี้

***********


ยามค่ำคืนอันเป็นเวลาปลอบประโลมใจของเขาได้ผ่านไปอย่างรวดเร็ว ช่วงเวลาเช้าที่หนาวเหน็บของฤดูเหมันต์ก็เริ่มต้นขึ้น เหมือนที่ผู้ใหญ่ชอบพูดกันเสมอ ๆ ว่า เวลาแห่งความสุขมักผ่านไปอย่างรวดเร็วแต่ในห้วงเวลาแห่งความทุกข์เวลามักผ่านไปอย่างเชื่องช้า เบนจมินก็ยังคงมีหน้าที่เดินไปซื้อของที่ตลาด ในสภาพอากาศที่หนาวเหน็บแบบนี้ทำให้เขาอยากจะรีบกลับบ้านโดยเร็ว บ้านที่ถึงแม้จะไม่ได้ให้ความรักความอบอุ่นกับจิตใจ แต่ก็ยังให้ความอบอุ่นกับร่างกายได้ เขาคิดว่าจะรีบซื้อของแล้วเดินกลับบ้านทันที โดยไม่สนใจผู้คนรอบข้างอีกแล้ว

ในขณะที่เดินผ่านถนนโลว์เธอร์ที่ทอดยาว หิมะที่โปรยปรายเริ่มหนาขึ้นทุกที ๆ ทำให้การเดินของเบนจมินค่อย ๆ ช้าลงเรื่อย ๆ อากาศที่หนาวเย็นจับใจ เสื้อผ้าที่เขาสวมใส่ถึงแม้มันจะเก่าแต่ก็ยังป้องกันความหนาวได้ดี แต่คนพวกนั้นเล่าจะเป็นอย่างไรบ้าง ในห้วงคำนึงของเบนจมินตอนนี้ เขานึกถึงแม่ลูกทั้งสามคนนั่นกับเจ้าสุนัขผอมโซจรจัดที่เขาตั้งชื่อให้เป็นของขวัญกับมันว่า “โฮป” ชื่อนี้มาจากความคิดแวบหนึ่งที่เกิดขึ้น ขอให้พวกเราที่เผชิญโชคชะตาอยู่ในโลกใบนี้จงมีชีวิตต่อไปด้วยความหวัง ความหวังที่ทำให้ชีวิตดำเนินอยู่ต่อไป นี่คือที่มาของชื่อว่าโฮป ตัวเบนจมินเองนั้นก็อยากให้ความหวังเป็นดังแสงที่ช่วยนำทางให้ชีวิตที่แสนจะเปลี่ยวเหงานี้เปลี่ยนแปลง หรือไม่ก็...สิ้นสุดไปซะที

เมื่อเดินตามทางกลับบ้าน เขามองเห็นแสงไฟสลัว ๆ ในมุมมืดของถนนโลว์เธอร์ นั่นมันแม่ลูกทั้งสามคนนี่ ในใจลึก ๆ ของเบนจมินรู้สึกดีใจที่คนทั้งสามยังคงมีชีวิตอยู่จึงรีบเดินเข้าไปหา แต่ก็ต้องพบกับความยากลำบากมากขึ้น เพราะหิมะที่เริ่มตกหนักขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อเขาเข้าไปใกล้เขาก็พบว่า ทั้งสามคนกอดกันกลมทีเดียว เด็กน้อยรู้สึกเสียวแปลบเข้าไปที่หัวใจ ด้วยสิ่งที่เขาโหยหามาตลอดและก็จะไม่มีวันได้รับอีกแล้วได้อยู่เบื้องที่หน้าเขานั่นเอง แต่สิ่งนี้ไม่เหมือนดังเช่นสิ่งอื่นใด แม้อยู่เบื้องหน้าแต่ก็ไม่อาจไขว่คว้ามาได้ แต่ก็ช่างเถิด เวลาเช่นนี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาคิดอิจฉาใคร ความเหน็บหนาวไม่เคยปราณีผู้คน และหากว่าพระเจ้ามีอยู่จริง ความเหน็บหนาวนี้ก็คงเป็นเครื่องยืนยันว่าพระองค์ทรงเย็นชากับผู้คนทั้งหลายเช่นตัวเขา แม่ลูกพวกนั้นและเจ้าโฮป นี้คือสิ่งที่อยู่ในความคิดของเด็กน้อย บางครั้งความว้าเหว่เปลี่ยวเหงานี่เองที่ช่วยผลักดันให้เบนจมินที่แม้จะอายุยังน้อยแต่ก็มีความคิดที่ละเอียดอ่อนลึกซึ้งกว่าเด็กในวัยเดียวกันมาก เพราะเขาต้องอยู่กับความคิดของตัวเองมากกว่าที่จะพูดคุยกับคนอื่น ในบางครั้งคำว่า “เด็กกำพร้า” “ลูกไม่มีพ่อแม่” “เหลือบไร” ก็ไม่ควรที่จะผ่านเข้าหูของเด็กอายุสิบสอง เขายังเด็กเกินไปที่จะต้านทานคำพูดถากถางรุนแรงเช่นนี้ แต่ใครจะรู้เล่า ธรรมชาติอันยิ่งใหญ่อาจเป็นแรงผลักดันและทำให้เราเข้มแข็งขึ้นจากแรงกดดันเหล่านี้ เบนจมินจึงมีความคิดที่เติบโตกว่าร่างกายเขามากนัก ไม่เช่นนั้นเขาจะทานทนกับคำพูดและการกระทำเหล่านี้ไม่ได้เลยทีเดียว

“คุณป้ากับลูก ๆ คงหนาวมากสินะครับ ผมจะให้เสื้อนอกของผมกับลูก ๆ ของคุณป้านะครับ แล้วนี่ขนมปังเล็กน้อยครับ ผมพอจะแบ่งให้ได้เท่านี้แหละครับ” เบนจมินกล่าวกับหญิงจรจัดผู้นั้น

“ขอบคุณพระองค์ที่โปรดส่งเธอมา ฉันขอบใจเธอมากนะ แล้วตัวเธอจะทนหนาวไหวเหรอ” ผู้เป็นแม่กล่าวขอบคุณ เบนจมินเมื่อได้ยินคำพูดขอบคุณพระองค์ก็ทำให้เกิดความรู้สึกขัดเคืองอยู่ลึก ๆ พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่เหนือสรรพชีวิตทั้งปวง แต่ก็ไม่เคยมีสักครั้งที่จะยื่นพระหัตถ์มอบความช่วยเหลือแก่เด็กกำพร้าคนหนึ่ง

“บ้านผม---เอ่อ (อันที่จริงมันไม่ใช่บ้านของเขาสักนิด)---อยู่อีกไม่ไกลแล้วครับ” เบนจมินกล่าวตอบจากนั้นเขาก็รีบเดินจากมาทันที

เด็กน้อยรู้สึกปลอดโปร่งใจอย่างบอกไม่ถูก การช่วยเหลือผู้อื่นในขณะที่ตัวเองก็ยังลำบากแสดงถึงน้ำใจที่กล้าหาญ จึงไม่แปลกที่ความรู้สึกอิ่มเอิบใจจะนำพาความรู้สึกดี ๆ ซึมผ่านส่วนลึกของจิตใจ เรื่องที่เขากระทำนี้จะถือเป็นเรื่องมหัศจรรย์ได้หรือไม่ คงมีแต่เทพเจ้าที่จะกล่าวตอบได้ เรื่องที่ยิ่งใหญ่บางครั้งก็อาจเกิดขึ้นจากจุดเริ่มต้นเล็ก ๆ ก่อนกระมัง เบนจมินรีบเดินกลับบ้านและพยายามเดินเข้าบ้านให้เร็วที่สุด เพราะอากาศข้างนอกช่างเหน็บหนาวเสียเหลือเกิน อีกประการหนึ่งเขาสายมากแล้วและไม่อยากให้มีใครสังเกตเห็นว่าเสื้อนอกที่เขาสวมอยู่หายไป แต่เมื่อผ่านประตูบ้านเข้ามา สิ่งแรกที่เขาพบเจอก็เป็นสิ่งที่เขาไม่อยากพบเจอมากที่สุดนั่นเอง

“แกไปเถลไถลที่ไหนมา ทำไมมาถึงเอาป่านนี้” ป้าเอมิลี่พูดด้วยน้ำเสียงอันดุดัน

“คือผม---ผม---เอ่อ”

“ไม่ต้องมาเถียงกับชั้น” ยังไม่ทันที่เด็กน้อยจะพูดอะไร ป้าเอมี่ก็ชิงพูดขึ้นก่อนด้วยน้ำเสียงอันแสนจะขัดเคือง มันยิ่งทำให้เด็กน้อยรู้สึกจิตใจห่อเหี่ยวมากขึ้นยังไงก็ไม่รู้ ป้าเอมิลี่มองเขาด้วยสายตาราวกับเหยี่ยวที่พร้อมจะโฉบเหยื่อแล้วก็ตะคอกด้วยเสียงอันดังมากกว่าเมื่อครู่

“แล้วนี่เสื้อแกหายไปไหน”

เหมือนดังโลกทั้งใบถล่มทลายลงไปตรงหน้า สิ่งที่เบนจมินคาดหวังนั้นไม่เป็นจริงเสียแล้ว ป้าของเขารู้แล้วว่าเสื้อของเขาหายไป

“ผม---ถอดให้คนอื่นไปแล้วครับ” เบนจมินกล่าวตอบด้วยเสียงแผ่วเบา

“อ๋อ เดี๋ยวนี้แกปีกกล้าขาแข็งแล้วรึ ยังหาเงินเองไม่ได้สักแดง ก็รู้จักสุรุ่ยสุร่าย แล้วอย่านึกว่าฉันไม่รู้นะ ไอ้ของที่แกซื้อมามันน้อยกว่าแต่เดิม แกแอบกินไประหว่างทางใช่ไหม” ป้าของเขาพูดด้วยเสียงอันดุดัน

“เปล่าครับ ผมไม่เคยขโมยกินของที่ซื้อมาเลยสักนิด” เบนจมินเริ่มไม่อาจต้านทานความรู้สึกที่แสนเจ็บปวดในใจ เขาจึงเผลอกล่าวคำด้วยเสียงที่ดังขึ้น

“แกบังอาจขึ้นเสียงกับคนที่ให้ที่กินที่อยู่กับแกเชียวรึ แกคงลืมไปแล้วซินะว่าถ้าไม่ได้ลุงของแก ป่านนี้แกคงต้องไปเร่ร่อนอยู่ข้างนอกโน่น อีกอย่างหนึ่งทำไมถึงได้ของมาแค่นี้ บอกฉันมาเดี๋ยวนี้ ถ้าแกไม่ได้ขโมยกินแล้วมันหายไปไหน” เสียงป้าเอมีลี่ดังขึ้นเรื่อย ๆ

“ช่างเถอะน่า เอมิลี่ ยังไงเขาก็เป็นหลานของผม ไว้ผมจะคุยกับเขาเอง” เสียงของลุงแซมมวลที่เงียบอยู่เป็นเวลานานก็ดังขึ้นเพื่อตัดบท

“คุณมันก็เป็นอย่างนี้แหละ แม่มันยังไม่เลี้ยงมันเลย ชอบหาพวกเหลือบไรมาเกาะกินอยู่ได้ ลำพังเงินที่ได้จากค่าซ่อมนาฬิกามันก็ไม่พอจะใช้จ่ายอยู่แล้ว นี่ต้องให้ฉันออกไปทำงานนอกบ้านหาเลี้ยงเด็กนี่คุณถึงจะพอใจใช่ไหม” เสียงประชดประชันของป้าเอมีลี่ดังเข้าไปในหัวใจที่กำลังบอบช้ำของเบนจมิน

น้ำตาของเบนจมินเอ่อล้นอยู่ในอก ใครจะเชื่อในสิ่งที่เขาทำละ ต่อให้ป้าเอมีลี่เชื่อว่าเป็นเช่นนั้น มันก็ไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้น ไม่ว่าจะขโมยขนมปังเหล่านั้นกินหรือให้คนอื่น สำหรับคนใจแคบเช่นป้าของเขามันไม่ได้แตกต่างกันเลย ในใจของเด็กน้อยก็คิดต่อไปว่า แม้ว่าสิ่งที่เขาทำไปก็ไม่เคยหวังความดีอะไร แต่ผลของมันก็ไม่ควรจะออกมาในลักษณะเช่นนี้

“ฉันจะลงโทษแก่ให้หลาบจำ เย็นนี้แกไม่ต้องกินข้าว! ก็แกแอบกินมาจนอิ่มแล้วนี่” เสียงป้าเอมีลี่ดังมาอีกครั้ง

”ใช่ฮะแม่ ต้องเป็นมันนี่แหละที่แอบกินขนมปังกับนม มาอาศัยบ้านเราอยู่แล้วยังทำนิสัยเป็นขโมยอีก”

“นั่นซิ พวกเด็กที่ไม่มีคนอบรมสั่งสอนก็มักเป็นอย่างนี้แหละ!” เสียงเอวินกับอามอนพูดเสริม

“หยุดเดี๋ยวนี้นะ แกสองคนนี่เอาใหญ่แล้ว แกอยู่สุขสบายดีก็ไม่ควรที่จะไปดูถูกคนอื่นเขา” เสียงลุงแซมมวลว่ากล่าวลูกชายทั้งสอง

“คุณมันก็เป็นอย่างนี้ ชอบเข้าข้างเจ้ากาฝากจนมันได้ใจ” เสียงป้าเอมีลี่ดังขึ้นอีกครา คราวนี้กลับเป็นลุงแซมมวลที่เงียบเสียงลงเพราะโดยปกติลุงแซมมวลเถียงสู้ป้าเอมีลี่ไม่ได้อยู่แล้ว

เบนจมินคิดอยากจะหนีไปให้พ้น ๆ จากสถานการณ์ที่เขาเผชิญอยู่ แต่เขาจะทำอะไรได้เล่า ในห้องที่มีเพียงแสงไฟสลัว ๆ สมุดบันทึกของพ่อเป็นสิ่งที่ปลอมประโลมใจเด็กน้อยได้ดีที่สุดในยามนี้ เขาตั้งใจว่าจะบันทึกเรื่องราวที่เกิดขึ้นในวันนี้ลงไป อย่างน้อยมันจะเป็นหลักฐานเพื่อยืนยันความบริสุทธิ์ของเขา อีกอย่างหนึ่งเด็กน้อยคิดว่าคนอื่นไม่เชื่อเขาก็ไม่เป็นไร ขอเพียงแต่พ่อกับแม่เชื่อเขาก็พอแล้ว

เขาเริ่มเขียนบันทึกเรื่องราวที่ได้ประสบมา เมื่อเขียนถึงตอนท้ายเด็กน้อยรู้สึกถึงน้ำอุ่น ๆ ที่ดวงตามันเอ่อล้น ทำไมโลกใบนี้ถึงได้โหดร้ายกับเขานัก เขาจึงเขียนลงท้ายไว้ว่า “ผมไม่อยากอยู่ที่นี่ ผมอยากจะหนีไปจากโลกนี้...”

ค่ำคืนนี้เป็นคืนที่เหน็บหนาวกว่าทุกคืน ท้องก็หิว จิตใจก็เปล่าเปลี่ยว แต่เขาก็ไม่รู้จะทำอย่างไรจึงได้แต่พยายามข่มตาให้หลับ

“เบนจมินลูกรัก พ่อกับแม่ไม่ได้ไปไหน พ่อกับแม่เฝ้าดูลูกอยู่เสมอ พ่อกับแม่รักลูกนะ เบนจมิน” ในภาพแห่งความฝันที่ชัดเจนยิ่งขึ้น บนโต๊ะอาหารที่เต็มไปด้วยขนมและผลไม้นา ๆ ชนิด มีสตรอเบอร์รี องุ่น ลูกพลัม พร้อมกับขนมพุดดิ้งที่ตกแต่งอย่างสวยงาม เด็กน้อยกินขนมไปมองหน้าพ่อกับแม่ของเขาไป แต่ว่าภาพดวงหน้าของคนทั้งสองมันช่างเลือนลางยิ่ง และแล้วความฝันที่แสนหวานก็ปลาสนาการไป พร้อมกับความอิ่มท้องในจินตนาภาพ ฝันในค่ำคืนนั้นช่างเหมือนจริงซะนี่กระไร แต่ยิ่งเหมือนจริงเท่าไรเด็กน้อยก็ยิ่งเจ็บปวดเท่านั้น เพราะเมื่อเขาตื่นขึ้นมาสิ่งทั้งหลายจะหายไปโดยที่ยังไม่ทันตั้งตัว

***********


เช้าวันนี้เบนจมินก็ยังคงต้องออกไปซื้อของเช่นเดิม เพราะอย่างไรเสียเอวินกับอามอนก็ไม่มีทางเดินฝ่าอากาศที่หนาวเหน็บเพื่อไปซื้อของเป็นแน่

“หนาวจะตายไป ผมไม่ไปนะครับ” นี่เป็นคำพูดของเอวิน

“เอ่อ ผมไม่ค่อยสบายฮะ” ไม่ทันที่จะสิ้นเสียงเอวินเสียงอามอนก็ดังขึ้นตามมา ในฤดูหนาวเช่นนี้อะไรจะดีไปกว่าการได้อยู่ในบ้านที่อบอุ่นอีกเล่า

“ถ้าแกแอบกินอะไรระหว่างทางอีก ทีนี้ฉันจะให้แกไปนอนที่นอกบ้าน จำไว้” เสียงป้าเอมมีลี่ดังไล่หลังเบนจมินแม้ว่าเขาจะเดินออกมาไกลแล้วก็ตาม

เบนจมินเดินตามทางเพื่อมาหาซื้ออาหารเช่นเคย ในใจก็ภาวนาว่าวันนี้เขาคงไม่ต้องเจอใครที่จะต้องช่วยเหลืออีก หรือแม้ว่าถ้าเจอเขาก็คงต้องทำเป็นไม่สนใจ เพราะเป็นการดีที่สุดที่ต้องช่วยตัวเขาเองจากสถานการณ์ที่เลวร้ายก่อน วันนี้เด็กน้อยจึงพกสมุดบันทึกเล่มนั้นติดตัวมาด้วย ส่วนนาฬิกานั้นโดยปกติเขาพกติดตัวอยู่ตลอดเวลาอยู่แล้ว นอกจากมันเป็นของที่สื่อถึงแม่ที่ไม่เคยได้เห็นหน้าแล้วมันยังทำให้เขาดูเป็นผู้ใหญ่ด้วย

เมื่อเบนจมินซื้อของเสร็จเขาก็รีบเดินกลับบ้านทันที เขาก็ไม่ต้องการให้ป้าของเขาขัดเคืองใจไปมากกว่านี้ อย่างไรเสียเขายังไม่พร้อมที่จะต้องใช้ชีวิตตามลำพังในโลกภายนอก เขารีบเดินอย่างรวดเร็วผ่านถนนโลว์เธอร์มาถึงแม่น้ำเค้นท์ แม่น้ำสายเล็กที่ทอดยาวที่บัดนี้ได้กลายเป็นน้ำแข็ง ภาพที่ปรากฏมันช่างสวยงามเสียจริง เหมือนลำธารอัญมณีที่สะท้อนแสงเป็นประกาย ในขณะที่เด็กน้อยกำลังจะข้ามสะพานมิลเลอร์ สะพานหินโบราณอันสวยงามของที่นี่ เขาก็เหลือบไปเห็นเจ้าโฮป สุนัขจรจัดที่น่าสงสาร มันกำลังเดินอยู่บนพื้นน้ำที่กลายเป็นน้ำแข็งเย็นยะเยือก มันคงทนไม่ไหวแน่ ๆ เด็กน้อยคิดอยู่ในใจ แต่ถ้าเขากลับบ้านช้าคงต้องโดนป้าเอมีลี่เล่นงานอย่างหนัก หรือไม่เขาก็คงต้องออกไปนอนนอกบ้านเสียเอง เขาจึงพยายามทำเป็นไม่สนใจแล้วทำท่ารีบจะเดินจากไปให้เร็วที่สุด ขณะที่กำลังคิดอยู่นั้นเหมือนเกิดสัมผัสอะไรอุ่น ๆ ตรงบริเวณหน้าอก

เบนจมินพกสมุดบันทึกของพ่อมาด้วย พ่อเขาเป็นนายทหารตายในสนามรบอย่างลูกผู้ชาย เพื่อปกป้องคนอื่นพ่อถึงกับยอมสละแม้ชีวิตของตน แล้วเขาจะเดินจากไปอย่างไม่ใยดีในขณะที่เพื่อนร่วมโลกกำลังจะหนาวตายได้อย่างไร เขาควรช่วยเหลือเพื่อนร่วมโลกอย่างเจ้าโฮปเพราะมันเป็นสัตว์ที่ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ในขณะนี้ และเพื่อแสดงให้เห็นว่าไม่ต้องอาศัยความกรุณาของพระผู้เป็นเจ้า พวกเราเหล่ามนุษย์และสัตว์ทั้งหลายก็สามารถที่จะมีน้ำใจช่วยเหลือซึ่งกันและกันได้

เหตุผลที่ทำให้เบนจมินไม่ศรัทธาในพระเจ้าก็เพราะเขาต้องเผชิญกับชีวิตที่ยากลำบากเปลี่ยวเหงามาตั้งแต่จำความได้ แม้อ้อมกอดของบิดาและมารดาเขาก็ไม่เคยได้สัมผัสสักครั้ง เช่นนี้แล้วการจะให้เขาเชื่อในความรักของพระผู้เป็นเจ้าคงเป็นเรื่องที่ยากลำบาก เพราะแม้แต่คนใกล้ตัวของเขาเช่นลุงกับป้าและญาติผู้พี่เหล่านั้น ก็ไม่เคยคิดจะแบ่งความรักความอาทรให้เบนจมินเลยแม้แต่น้อย

เมื่อคิดได้ดังนี้แล้วเบนจมินจึงเดินย้อนกลับลงไปยังแม่น้ำเค้นท์ที่มีสภาพเป็นน้ำแข็ง เจ้าโฮปเดินสะโหลสะเหลอยู่ที่กึ่งกลางแม่น้ำพอดี เขาจึงวางอาหารที่ซื้อมาเอาไว้ที่ริมฝั่งแม่น้ำแล้วเดินออกไป ในขณะที่กำลังจะถึงตัวเจ้าโฮป เบนจมินได้ยินเสียงผู้คนจากบนสะพานมิลเลอร์ตะโกนลงมา

“อันตราย อย่าขยับ ๆๆๆ”

“เจ้าหนู ยืนอยู่เฉย ๆ อย่าขยับนะ”

เสียงโหวกเหวกดังไปทั่วบริเวณโดยเฉพาะจากด้านบนสะพานมิลเลอร์ เบนจมินไม่รู้ว่าคนเหล่านั้นกำลังพูดถึงใคร เขาได้แต่ก้าวเดินต่อไปจนถึงตัวเจ้าโฮป ในขณะที่เบนจมินกำลังจะก้มลงกอดมันเพื่อให้ความอบอุ่นแล้วพามันเดินกลับมายังฝั่งแม่น้ำ เขาก็ได้ยินเสียงลั่นดังเปรี้ยะ ๆ ๆ เขาเพิ่งตระหนักเดี๋ยวนี้เองว่าน้ำแข็งในส่วนที่เขาเหยียบอยู่นี่มันบางเอามาก ๆ ยังไม่ทันที่จะคิดอะไรต่อไปมันก็แยกออกจากกัน เด็กน้อยจมลงสู่พื้นน้ำที่เย็นยะเยือกพร้อมกับเจ้าโฮป เหมือนมีมีดจำนวนนับพันเล่มกรีดลงมายังร่างกายของเขา น้ำในฤดูหนาวนี้มันช่างเย็นมากจริง ๆ ถึงแม้ไม่อาจเทียบความเย็นชาของผู้คนได้ก็ตาม ในขณะที่เขาพยายามจะตะเกียกตะกายเอาชีวิตรอด เขาก็พลัดเข้าไปใต้แผ่นน้ำแข็งพร้อมกับเจ้าโฮป ขณะที่เบนจมินมองโลกผ่านแผ่นน้ำแข็งเป็นครั้งสุดท้าย ความคิดแวบหนึ่งเกิดขึ้นอย่างฉับพลัน ในที่สุดเขาก็ได้หนีจากโลกอันแสนโหดร้ายนี้ซะที สองชีวิตที่ไม่มีใครต้องการบนโลกที่แสนโหดร้าย บัดนี้พวกเขากำลังจะจากโลกนี้ไปแล้ว ปิดฉากเรื่องราวทุกข์ทรมานทั้งหลายทั้งปวงในโลกนี้ แม้สองชีวิตจะลาลับ แต่เหตุการณ์ต่าง ๆ ในไม่ช้ามันก็จะดำเนินไปอย่างปรกติประหนึ่งว่าไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น เพราะอย่างไรเสียทั้งสองก็เป็นเพียงชีวิตที่ไม่ได้มีความสลักสำคัญอะไรให้ผู้คนต้องจดจำ





Create Date : 13 กรกฎาคม 2554
Last Update : 14 มีนาคม 2555 11:11:21 น.
Counter : 2319 Pageviews.

11 comments
  
เดี่ยวนี้แต่งนิยายแล้วหรอเพ่
โดย: OhBoW วันที่: 18 กรกฎาคม 2554 เวลา:4:29:03 น.
  
ป่าว ของเพื่อนน่ะ เอามาลงไว้ให้อ่านกันก่อนจะตีพิมพ์
โดย: DarthTrowa วันที่: 20 กรกฎาคม 2554 เวลา:12:35:21 น.
  
แจ่มจ้า



Best review vacuum cleaner










โดย : kitchen standmixer
โดย: jaratse วันที่: 17 กันยายน 2554 เวลา:10:47:14 น.
  
สนุกดีครับ ขอให้ขายได้เยอะๆ นะครับ ขอบคุณที่แวะไปทักทาย
โดย: ฉันรอเธออยู่ วันที่: 18 มกราคม 2555 เวลา:11:04:55 น.
  
มีตอนอื่นมั๊ยคะ ...."เจ้าชายแห่งรัตติกาล ตอนบัลลังก์ที่ว่างเปล่า"... อ่านจบแล้วอ่ะค่ะ อยากอ่านตอนต่อไปอ่ะค่ะ
โดย: รอตอนต่อไป IP: 180.183.65.109 วันที่: 26 กุมภาพันธ์ 2555 เวลา:22:58:06 น.
  
มีครับแต่ยังไม่ได้เอามาลง จริงๆ หนังสือเล่มนี้ก็จะออกวางขายที่ b2s แล้วครับ
โดย: DarthTrowa วันที่: 6 มีนาคม 2555 เวลา:10:10:37 น.
  
ชอบมากเลย 10หน้าสุดท้ายไม่อยากอ่านเลยค่ะ เพราะไม่อยากให้จบเลย มีเล่มต่อไปเมื่อไหร่เอ่ย
โดย: เมเม่ IP: 183.89.82.15 วันที่: 13 มีนาคม 2555 เวลา:4:05:59 น.
  
เล่มต่อไปยังไม่ใช่เรื่องของเบนจมินนะครับ แต่จะเป็นเรื่องสั้นตอนพิเศษชื่อเรื่องว่า กุหลาบสีน้ำเงินแห่งเอราดูอิน (ชื่อประมาณนี้มั๊งครับ แต่กุหลาบสีน้ำเงินนั่นชัวร์ครับ) ตอนนี้ตัวผู้เขียนกำลังพยายามกลั่นกรองออกมาอยู่ครับ ส่วนเรื่องของเบนจมินภาคใหม่ ก็ยังไม่มีใครทราบครับว่าจะเป็นยังไงต่อ แต่มีชื่อตอนครบหมดแล้ว ถ้ารวมเจ้าชายแห่งรัตติกาลไปด้วย ก็ประมาณ 4 เล่มจบครับ ยังไงก็จะเขียนให้ครบแน่นอน...

(ป.ล. ผมไม่ใช่คนเขียนนะครับ)

โดย: DarthTrowa วันที่: 14 มีนาคม 2555 เวลา:21:29:52 น.
  
ขอบคุณ คุณเมเม่มากเลยครับ สำหรับเล่มต่อไปที่มีชื่อว่า "ตำนานรักกุหลาบสีน้ำเงิน" เป็นเรื่องตำนานรักอันยิ่งใหญ่ของเจ้าชายแห่งอิสทารีอาร์กับเจ้าหญิงแห่งมูร์ ติดตามอ่านนะครับเน้นคุณค่าของจิตใจครับเหมือนเดิม
โดย: ณ.นิรนาม IP: 58.9.193.40 วันที่: 14 มีนาคม 2555 เวลา:22:36:59 น.
  
เข้ามาอ่าน เล่มนี้ผมซื้อแน่ครับ
โดย: kaze IP: 124.121.168.73 วันที่: 26 มีนาคม 2555 เวลา:0:42:29 น.
  
ขอบคุณครับ ตอนนี้มีวางขายที่ B2S เป็นแบบปกแข็งครับ
โดย: Darth Trowa IP: 58.9.205.81 วันที่: 27 มีนาคม 2555 เวลา:0:23:01 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

DarthTrowa
Location :
กรุงเทพฯ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



กรกฏาคม 2554

 
 
 
 
 
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
31
 
 
MY VIP Friend