วัยเด็กเมื่อวันวาน...ตอนจบ ( T T )
มาเล่าเรื่องกันต่อครับ คราวที่แล้วจบเรื่องของพ่อไป คราวนี้มาเรื่องของ

อามั่ง



ถ้าเปรียบพ่อเป็นปีศาจจอมทำลายล้าง อาของเราก็เปรียบเป็นครูไหวใจ

ร้ายได้เลย (สมัยเรียนประถมก็มีคนเรียกแบบนี้นะ) อาเป็นครูสอนเด็กหู

หนวกอยู่ที่โรงเรียนที่เราเรียนสมัยประถม และเป็นครูที่โหดที่สุดในสายนั้น

ก็ว่าได้ คำว่า "ตามใจ" ไม่มีในพจนานุกรมของอาเลยแม้แต่น้อย...ซึ่งอาจ

เป็นลักษณะของคานทองอ่ะนะ พ่อเราเฮี๊ยบเรื่องเรียน แต่อาเราเฮี๊ยบทุก

เรื่องในตัวเรา ไม่ว่าจะเป็นการกระทำใดๆ ล้วนไม่ถูกใจอาแทบทั้งสิ้น...เรา

ก็งงเหมือนกันว่าสมัยเด็กเราเป็นแบบไหนหว่าเลยต้องโดนขนาดนั้น ที่เรา

นึกออกก็อาจเป็นได้ว่าสมัยเด็กเราอาจเป็นคนเฉื่อยๆ เรื่อยเปื่อยด้วยมั๊ง...

ออกแนวเด็กเอ๋อน่ะ อาเราก็เลยต้องเฮี๊ยบทุกเรื่อง จำได้ว่าเราจะโดนบังคับ

ให้ทำนั่นทำนี่หลายอย่าง เช่น เดินบนเส้นที่ขีดไว้ (ฝึกท่าการเดิน การยืน)

การกินข้าวก็ต้องกินแบบใช้ช้อนส้อม เคี้ยวข้าวห้ามมีเสียงแจ๊บๆๆๆ (เด็ก

สมัยนี้อ่อนข้อนี้มาก ไปกินข้าวกับเพื่อนเราเองยังแอบด่ามันในใจเลย) ฝึก

การพูด ร เรื่อต้องกระดกลิ้น (เราทำได้นะแต่หลังๆ ไม่ค่อยทำเพราะพูด

เร็วๆ แล้วลืม) แล้วที่อาจะย้ำเวลาเทศนาเสมอก็คือให้เรามีสติ...ระลึกได้...

เกิดมาครบ 32 ประการถือว่ามีบุญมากแล้วทำตัวดีๆ หน่อย บลาๆๆๆๆ ซึ่ง

หลายๆ อย่างที่อาสอนมันก็ติดตัวเรามาจนโต แต่หลายๆ อย่างอีกแหละที่

สูญเปล่า...เช่นอาจะพยายามให้เรากินเผ็ดๆ เพราะบอกว่าเวลาไปอยู่ใน

สังคมบางทีเราเลือกไม่ได้...แต่ท้ายที่สุด ทุกวันนี้เราก็กินเผ็ดไม่ค่อยได้

ซ้ำร้ายกินทีไรปวดท้องทุกที หรืออย่างเรื่องเรากัดเล็บ...ทุกวันนี้ก็กัดอยู่ (นี่

เป็นสิ่งที่ทุกคนเอือมระอามากแม้กระทั่งตัวเราเอง แต่ดีหน่อยที่ตอนนี้เรา

กัดน้อยลงคือจะกัดเหมือนตัดเล็บไม่ได้กัดรุนแรงจนเหวอะหวะเหมือนสมัย

เด็กและจะไม่ค่อยกัดต่อหน้าคนอื่น จะกัดตอนที่อยู่คนเดียวหรือเวลาที่ใช้

ความคิดหนักๆ เท่านั้น ส่วนสาเหตุวันหลังถ้าว่างๆ จะมาอธิบายให้ฟังอีกที

ว่ามันเกิดจากอะไร) หรืออีกหลายๆ เรื่องเช่นการตื่นนอน (สายโด่งตลอด

ถ้าไม่ได้ไปไหน) ลายมือ (ห่วยยังไงก็ยังห่วยยังงั้น) ความเป็นระเบียบเรียบ

ร้อย (ห้องงี๊สุดยอดรกเลยครับ แต่อาเราอ่ะ แย่กว่าอีก เราเข้าห้องอาไปนึก

ว่าอยู่ในกองขยะ 55555)



ด้วยความที่อาเป็นครูโรงเรียนเดียวกับเรา เพราะฉะนั้นพฤติกรรมของเรา

จึงมีคนคอยจับตาดูตลอด (ก็ครูๆ ด้วยกันนั่นแหละ จับตาดูเรายังกับอาจ่าย

เงินให้ดูยังงั้นอ่ะ) กระดิกตัวทำอะไรล้ำเส้นไม่ได้นะ เรื่องเป็นต้องถึงหูอา

ทันที เช่นจดงานช้า ให้ไปพูดย่อความดันพูดถึงเนื้อเรื่องทั้งหมดโดยไม่

ต้องใช้หนังสือ (ก็ตอนนั้นไม่เข้าใจคำว่าย่อความว่ามันยังไงนี่หว่า แล้วเรา

คิดว่าเนื้อหามันสำคัญหมดเลยอ่ะ) เรื่องแอบไปซื้อขนมที่ร้านหน้าโรงเรียน

(ไม่เข้าใจมากๆ ทำไมโรงเรียนถึงห้ามไปซื้อขนมร้านนั้น แล้วขนม

โรงเรียนก็นะ ถึงจะเป็นโรงเรียนในรั้วในวังแต่ก็ห่วยแตกสิ้นดีจะให้ทนกินแต่

ขนมโรงเรียนได้ยังไง) อ่านการ์ตูนในเวลาเรียน (อันนี้ไม่เถียงครับว่าแอบ

เลวจริงๆ) แล้วก็อะไรหลายอย่าง เราก็เลยต้องระวังตัวมากๆ แต่เด็กอ่ะ ยัง

ไงก็ต้องมีพลาดแหละ (ยิ่งเอ๋อๆ แบบเราเนี่ย ประจำ) เพราะฉะนั้นเราก็เลย

โดนอาเล่นงานบ่อยๆ บ่อยกว่าพ่ออีก แถมบางเรื่องถ้าซวยจริงๆ พ่อรู้ก็เป็น

เรื่องอีก และช่วงนึงสมัยป.3-5 เราจะโดนอาบังคับให้ไปอยู่ที่ตึกที่อา

สอนอยู่ แล้วต้องจดสมุดบันทึกสิ่งที่อาเราเห็นว่าไม่ดีลงไปเป็นข้อๆ แล้ว

ให้คัดทุกวันๆๆๆๆๆๆ บางทีก็มีการชำระความผิดกันด้วย (บทลงโทษคือวิ่ง

รอบตึกเรียนที่อาสอนอยู่ มันก็ไม่ได้มีระยะทางเยอะอะไรมากนะแต่จำนวน

รอบที่โดนชำระต่ำๆ ก็ 30-50 รอบ ที่เคยโดนหนักๆ เลยนะ เป็นร้อยรอบ

แน่นอนใครจะวิ่งครบ เราวิ่งเองยังนับสับสนเลย) ช่วงเวลาที่เราถึงโรงเรียน

คือประมาณ 6 โมงครึ่ง เพราะฉะนั้นเวลาที่จะต้องโดนแบบนี้ก็เป็นเวลา

ชั่วโมงครึ่งถึง 2 ชั่วโมงเกือบทุกวัน เวลาที่เราจะเอาไปเคลียร์งานหรือไป

เล่นกับเพื่อนในตอนเช้าก็เลยหายไปหมด



ถึงแม้อาจะมีอิทธิพลในการที่หลอมรวมตัวเรามาก เช่นเรื่องมารยาท การ

พูดจา การเข้าสังคม แนวคิดและการกระทำหลายๆ อย่าง แต่อาก็เป็นอีก

บุคคลที่พอโตขึ้นเราไม่มีความเกรงกลัวเลย (เคารพยังมีอยู่บ้าง) เพราะ

อะไรน่ะหรือ ก็วิธีการของอามันก็รุนแรงพอๆ กับพ่อแหละแต่เน้นด่า

มากกว่า (ซึ่งเราติดนิสัยด่าไฟแลบเวลาโมโหมาจากอานี่แหละ) ส่วนการ

ลงโทษก็มีหลากหลาย ให้วิ่งรอบตึกนับตามความผิดอย่างที่เล่าไปแล้ว

(ซึ่งเราไม่เห็นว่าไอ้เรื่องที่เราทำบางอย่างมันจะร้ายแรงอะไรเลย) หรือถ้าตี

ก็ไม่ได้เอาไม้เรียวมาฟาดๆๆๆๆ แบบที่พ่อแม่หลายคนทำ แต่ใช้วิธีตีแบบ

เจ็บปวดๆ เช่นใช้สันไม้บรรทัดตี หรือไม่ถ้าหนักๆ ก็หยิกแล้วกรีดเสียงด่า

อันสยดสยองใส่ แล้วก็หลายๆ อย่างอ่ะนะ ตามแต่อารมณ์ของอา แต่สิ่งที่

เราไม่ชอบที่สุดก็เสียงด่านี่แหละเพราะน่ารำคาญมากแถมเทศนาทีเหมือน

โนบีตะโดนแม่เทศนานั่นแหละเป็นชั่วโมงๆ เลย แล้วเสียงอาก็ใช่ย่อยเคย

ด่าจนเด็กที่หูหนวกได้ยินมาแล้ว (หนวกไม่สนิทอ่ะแต่ต้องเสียงดังมากๆ

ถึงจะได้ยิน ซึ่งวันนั้นเสียงดังขนาดที่เราอยู่นอกบ้านยังได้ยินอ่ะ) แล้วไอ้

การเทศนา ก็รู้ๆ กันอ่ะนะว่ามันเกิดขึ้นได้ทุกเวลาและสถานที่ไม่ว่าจะที่ไหน

หรือต่อหน้าใครก็ตาม และบางทีอาเราก็ใช้วิธีทำให้เราอับอายได้ เช่น

เรียกเราออกไปตีนอกแถวต่อหน้าเพื่อนๆ ทั้งชั้นเรียน (อันนั้นเราจำไม่ได้

แต่อามาพูดตอนเราโตแล้วว่าอาไม่น่าทำแบบนั้นเลย เรื่องนี้รู้สึกว่ารอง

ผอ. จะรู้ด้วยนะเลยเรียกอาเราไปเทศนาเหมือนกัน) หรืออีกอันที่เราจำได้

คือตอนป.6 เรากำลังนั่งกินข้าวอย่างเฮฮากับเพื่อน อาเราเดินมาถึงตึกป.6

แล้วเรียกเราไปกินข้าวกับพื้นคนเดียวแล้วก็ด่าไปขณะที่เรากินอ่ะ แน่นอน

เพื่อนๆ ทั้งชั้นเรียนก็เห็นหมดแหละ แต่วิธีการทั้งหลายของอานั้นเอามาใช้

กับเรื่องซึ่งบอกตามตรงว่า "เล็กๆ น้อยๆ" ซะส่วนใหญ่ จนทำให้ตอนเราโต

ขึ้นเรารู้สึกว่าเหมือนมันไร้สาระพิกล ความเกรงกลัวสมัยเด็กก็เลยหายไป

เรื่อยๆ แล้วที่มาหนักในช่วงหลังคือเราต้องช่วยอาทำวิทยานิพนธ์ ซึ่งทำให้

เราเห็นอาเป็นพวกท่าดีทีเหลวไปเลย...คือสอนเราได้แต่เรื่องของตัวเอง

เอาไม่รอด วิทยานิพนธ์เป็นงานของตัวเองก็ทำไม่ได้ต้องมาให้เราซึ่งเรียน

ป.ตรีทำ แล้วทำเหมือนคนทำงานไม่เป็น ไม่มีการจัดระบบระเบียบอะไร

เลย ถามอะไรก็ไม่รู้เรื่อง จนอาจารย์ที่เป็นที่ปรึกษาร่วมเอือมระอาขนาดที่

บอกว่าไม่รู้จะพูดว่ายังไงดีแล้วก็เลยไม่คุยกะอาเราอีกเลยหันมาคุยเรื่องนี้

กับเราแทนเพราะเราคุยกับอาจารย์แล้วพูดกันรู้เรื่องมากกว่า แล้วครั้งแรกที่

ต้องช่วยทำนี่แสบนะมาตอนที่อีกวันนึงเราต้องสอบอ่ะ ผลก็คือติด F ไปตัว

นึง อีกตัวจาก A เหลือ B เพราะเราสอบ 2 วันติด แทนที่กลับมาจะได้อ่าน

หนังสือกลับต้องมานั่งทำแบบทดสอบที่ใช้เก็บข้อมูลวิทยานิพนธ์ซะงั้น

แถมตอนช่วงท้ายๆ มีแสบมากสุดๆ คืออาเราเอาวิทยานิพนธ์ฉบับที่

อาจารย์ขีดแก้ไขไว้ให้ไปลบออกแล้วเอาไปส่งอาจารย์อีกคนอ่ะ (ใช้อะไร

คิด) เล่นเอาอาจารย์ พ่อและเราถึงกับเซ็งเลย แล้วพอเวลาติดปัญหาก็มา

กรี๊ดๆๆ เราเองก็เครียดเหมือนกันเพราะเรารู้สึกว่ามันไม่ใช่งานเราแล้วเรา

มาเดือดร้อนอดหลับอดนอนจนจะเป็นโรคประสาทแล้วมาเจอเสียงกรี๊ดๆๆ

ก็เลยน๊อตหลุดลุกขึ้นชี้หน้าด่าทันที...นั่นเป็นครั้งแรกตั้งแต่เกิดมาที่เราทำ

พฤติกรรมก้าวร้าวสุดขั้วแบบนั้น แล้วมาหลุดอีกทีก็ตอนที่อามาบ้านเราแต่

ไม่มีใครอยู่จนค่ำเพราะเราไปเรียนวันเสาร์แล้วกลับมาช้าเพราะเราติว

หนังสือสอบกับเพื่อนอยู่ พอเราเข้าบ้าน น้องเรากลับบ้านมาซักพักอาก็เข้า

มาอาละวาดในบ้านทันทีเพราะมารอตั้งแต่บ่าย 2 ก็เลยเกิดศึกบ้านแตก

เพราะเราไม่คิดว่าเราผิดอยู่แล้ว...ก็คนไปเรียนแล้วติวหนังสือสอบกลับช้า

มันผิดตรงไหน (คนผิดจริงๆ คือพ่อ จิตหลอนกลัวขโมยขึ้นบ้านมากจน

ต้องโทรให้อามาเฝ้าบ้าน...แล้วอามีกุญแจบ้านซะที่ไหนล่ะ แถมไม่

โทรบอกเราหรือน้องด้วยนะว่าอาจะมาที่บ้าน) เหตุการณ์วันนั้นรุนแรงและ

น่ากลัวมากถึงขั้นเราจะชกหน้าอาเลยเพราะอามาตบหัวเราแรงมาก ถ้า

เพื่อนมันไม่ลากคออกจากบ้านไปในขณะนั้นก็ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น (เรา

ซึ่งกำลังอารมณ์เดือดสุดๆ เลยโทรไปหาพ่อแล้วว๊ากพ่อต่อทันทีในฐานะ

ตัวต้นเหตุ วันนั้นพ่อคงอึ้งทึ่งเสียวไปเหมือนกันเพราะพ่อไม่ได้แสดง

อาการอะไรเลยนอกจากพูดว่า...ใจเย็นลูกๆๆๆๆๆ ก็ปกติเราเคยแสดง

อาการก้าวร้าวแบบนั้นเสียที่ไหนล่ะ) ตั้งแต่นั้นมา เราก็เลยไม่กลัวอาอีก

เลย เพราะเราถือว่าถ้าอะไรที่เราไม่ผิด เราก็ไม่จำเป็นที่จะต้องไปก้มหน้า

รับอารมณ์ของคนอื่นซึ่งเขาไม่รู้ต้นสายปลายเหตุแล้วเอาโทสะของเขามา

ลงที่เรา ก็เลยเป็นแบบนี้แหละน่ากลัวไหมล่ะ



ที่เล่ามานี่ขอย้ำนะว่าไม่ได้ภูมิใจอะไร เพียงแต่อยากให้เห็นว่าบางทีถ้าเรา

เคี่ยวกับใครมากเกินไป พอเค้าโตมาแล้วเค้ายังฝังใจอยู่นะกับการกระทำที่

เราเคยทำไว้กับเขา แล้วอีกอย่างก็คือถ้าเขาคิดแล้วว่าเรื่องที่เราเคี่ยวกับ

เขามันไม่ได้ร้ายแรงขนาดถึงขั้นไฟแดงแต่ทำเหมือนผ่าไฟแดงนี่เค้าจะ

มองว่าเราเป็นคนไร้เหตุผลใช้แต่อารมณ์นะ ซึ่งพอเค้าเริ่มมีความคิดมาก

ขึ้นๆ เค้าเริ่มหาเหตุผลมาอธิบายการกระทำของเค้าได้ เค้าจะมองว่าเรา

เป็นคนไม่มีเหตุผลไปในทันที แล้วถ้าการกระทำเราออกแนวแม่ปูลูกปูล่ะก็

จบนะครับความนับถือในตัวเราจะหมดไปทันที ทีนี้ล่ะสั่งสอนอะไรไปก็ไม่

เชื่อฟังแล้วล่ะเพราะเค้าเห็นแล้วว่าตัวเราเองก็ทำอย่างที่สอนไม่ได้ทำไม

เค้าต้องเชื่อฟังล่ะ



อีกเรื่องนึงที่สำคัญมากๆ คือ...อาจะมองว่าเราเป็นเด็กขี้โกหกและจะไม่

เชื่อใจเราตลอด อันนี้รวมไปถึงพ่อก็มองเราแบบนั้นด้วย ตัวอย่างชัดๆ เลย

คือสมัยเด็กเราจะเป็นคนที่ถูกแกล้งบ่อยๆ แล้วเราจะไม่เล่าให้ใครฟัง

เลยเพราะเราเกลียดพฤติกรรมขี้ฟ้องแบบที่น้องเป็น และความรู้สึกตอนเด็ก

คือ...ผู้ใหญ่ทุกคนในโรงเรียนเป็นศัตรู เราก็เลยเลือกที่จะไม่เล่าให้ใครฟัง

(แล้วครูในโรงเรียนเราก็บอกตรงๆ ใช้ไม่ได้...ไม่อยากใช้คำแรงกว่านี้ เรา

โดนแกล้งโดนทำร้ายร่างกายสารพัดแต่ไม่มีใครใส่ใจที่จะคุ้มครองเรา ทำ

เหมือนว่าเราเป็นเด็กเลวอ่ะ) แต่การไม่ฟ้องมันไม่ได้ปิดเรื่องได้ บางทีเราก็

หลุดมาเวลาเราอัดอั้นมากๆ หรือไม่ก็ตามร่างกายมันมีรอยต่างๆ มันจะ

ฟ้องของมันเอง ซึ่งพอบอกว่าเราโดนแกล้ง ผู้ใหญ่ก็ต้องไปสอบสวนว่า

จริงไหม แล้วไอ้พวกที่แกล้งๆ เรา มันอยู่เป็นคู่ มันเตี๊ยมกันมาว่าเราพูด

โกหกแล้วเราจะเอาทนายที่ไหนไปโต้แย้งล่ะครับ เรื่องนี้มันเกิดขึ้นตอนป.6

เราโดนคนนึงมันต่อยเกือบทุกวันจนแขนเขียวเป็นวง ดูยังไงก็รู้ว่าโดนต่อย

แต่พออาเราไปถามมันเอาเพื่อนมันมายืนยันว่าเราตกลงมาตอนเล่นต่อตัว

ในวิชาพละจนแขนเขียวแล้วอากับพ่อเราเชื่อว่าเราโกหก (อยากจะบอก

มากเลยว่ามีวิจารณญาณมั่งไหมว่าถ้าตกลงมาแล้วเอาแขนลงอ่ะมันไม่ได้

เป็นรอยวงๆ แบบนี้หรอก แขนหักไปแล้ว) ครั้งนั้นพ่อเรากับอาเราเชื่อสนิท

ถึงขั้นพูดจาทิ่มแทงใจกันสุดๆ เพราะเค้าคิดว่าเราเองเป็นคนโกหกทั้งๆ ที่

จริงๆ แล้วเราไม่ได้โกหกแต่เราไม่มีทนายแก้ต่างเท่านั้นเอง...เรื่องที่เล่า

มาอันนี้ไม่ใช่อะไร อยากจะบอกว่า จะตัดสินลูกคุณ กรุณาใช้วิจารณญาณ

ให้เยอะๆ นะครับ พิจารณาสิ่งต่างๆ ให้ดีก่อนที่จะตัดสิน เพราะถ้าคุณ

ตัดสินใจที่จะเชื่อคนอื่นมากกว่าลูกคุณแล้วลูกคุณไม่ผิดอ่ะนะ ถึงเค้าจะไม่

ได้เลิกรักคุณ แต่หนามอันนี้จะฝังในใจเค้าไปจนวันตายเหมือนที่เราเป็น

แย่กว่านั้นจะทำให้เค้ารู้สึกว่าการโกหกเป็นการเอาตัวรอดที่ดีที่สุด ทีนี้ล่ะ

ลูกคุณจะกลายเป็นเด็กขี้โกหกอย่างเต็มตัวเลยล่ะ แต่ถ้าลูกคุณผิดแล้วคุณ

เข้าข้างลูกเกินไปโดยที่ไม่ใช้วิจารณญาณ ลูกคุณก็จะกลายเป็นไอ้ขี้โกหก

อย่างที่ไอ้ 2 คนนั้นมันเป็นนั่นแหละเพราะเค้าคิดว่าการโกหกทำให้เค้ารอด

ได้...เชื่อใจลูกแต่ขอให้มีวิจารณญาณนะครับ



เล่าไปทั้ง 2 คนแล้ว วันนี้คงจบซักที ออกแนวระบายความรู้สึกไปนิดนึงแต่

ก็หวังว่าพ่อแม่ทั้งหลายที่ได้อ่านคงมีข้อคิดอะไรติดไม้ติดมือกลับไปใช้

ปฏิบัติกับลูกบ้างนะครับ อย่าลืมนะครับว่า


1. คุณเป็นคนปั้นตัวตนของลูกนะครับ การกระทำอะไรที่คุณกระทำกับเขา

มันจะฝังอยู่ในตัวเขานั่นแหละ


2.อย่าทำอะไรที่ทำให้ดูเหมือนว่าคุณไม่เห็นค่าและความเป็นตัวตนของ

เขาเพียงเพราะเขาไม่ถูกใจคุณแล้วคุณบอกว่าคุณทำไปเพราะคุณรักเขา

อยากให้เขาได้ดี(แบบที่ถูกใจคุณ)


3.กาลเวลาและสิ่งที่คุณกระทำไปแล้ว...มันย้อนกลับไม่ได้นะครับ ถึงคุณ

จะทำอะไรชดเชยแค่ไหน จิตใจที่มันแตกหักไปแล้ว...มันไม่มีทางกลับมาดี

เหมือนเดิมได้หรอกครับ




***ถ้าฉันสามารถกลับไปเลี้ยงลูกได้ใหม่***


ถ้าฉันมีโอกาสกลับไปเลี้ยงลูกได้ใหม่

ฉันจะสร้างให้เขาภูมิใจในคุณค่าของตัวเขาให้มากๆ

ฉันจะเลิกเปรียบเทียบเขากับพี่น้องคนอื่น

ฉันจะชมเขามากกว่าวิจารณ์ด่าทอเขา


ฉันจะ แนะแนว มากกว่า แนะนำ

ฉันจะให้กำลังใจเขา ไม่ซ้ำเติมเมื่อเขาผิดพลาด

ฉันจะมีเวลาให้เขามากขึ้น ลดงานและข้ออ้างต่างๆ ให้น้อยลง

ฉันจะกอดเขา และบอกให้เขารู้ว่าฉันรักเขาทุกวัน


ฉันจะพูดกับเขา แทนการแสดงอำนาจกับเขา

ฉันจะมองเขา รับฟังเขาให้มากขึ้น

พยายามจะได้ยินในสิ่งที่เขาอยากสื่อให้ฉันฟัง

ฉันจะไม่ผลักดัน หรือคาดหวังให้เขาต้องมาเติมความฝัน

ที่ฉันเองเติมให้กับตนเองไม่ได้


ฉันจะไม่นำความรักของฉัน มาเป็นเงื่อนไขบีบบังคับ

ให้เขาต้องมาเป็นบุคคลที่ฉันต้องการ

ฉันจะบอกให้เขารู้ว่า ไม่ว่าเขาจะเป็นเช่นไร

ฉันจะรักเขาอย่างที่เขาเป็น


**********

ดร. นวลศิริ เปาโรหิตย์

จากหนังสือ "สอนลูกให้มีวินัย ฝึกเด็กและวัยรุ่นอย่างไรให้ยอมรับและไม่ต่อต้านคุณ"



****by the way****



เปลี่ยนมาคุยเรื่องอื่นบ้าง เปิดเทอมมา 2 วัน รู้เลยว่าการเรียนโทนี่มันใช้

พลังมากจริงๆ แค่เปิดเทอมมาก็รู้สึกล้าๆ แล้ว แต่ก็สนุกดีนะเพราะว่า

อาจารย์จะไม่ได้สอนแบบที่เราเจอมาตอนป.ตรี และอีกอย่างเป็นสาขาที่

เราชอบ เราเข้าใจ เพราะงั้นตอนเรียนเราก็เลยทั้งตอบคำถามและก็ถก

ประเด็นของอาจารย์ได้สบายๆ แต่ๆๆๆ ดวงซวยยังไม่สิ้น อาจารย์สั่งให้หา

งานวิจัยมา 4 งาน เกี่ยวกับการจูงใจในการทำงาน ต้องเป็นภาษาไทย 3

ภาษาอังกฤษ 1 ที่มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกัน แปลบทคัดย่อภาษาอังกฤษ แล้ว

เขียนบทความของตัวเองออกมา 1 ชิ้น เริ่มพรีเซนต์ในอีก 2 อาทิตย์ แล้ว

ชื่อแรกที่โดนก็เรานี่แหละซวยชิบเลย งานก็พอกๆ อยู่เจอรายงานเสียแล้วก็

เลยกะว่าเรื่องบล๊อกคงห่างไปซัก 2 อาทิตย์ ขอเขียนงานให้เสร็จก่อนแล้ว

ค่อยมาอัพต่ออีกที (แต่จะแวะมาตอบเมนท์บ่อยๆ อยากถกประเด็นหรือ

เสนออะไรมาก็ได้นะครับ)



วันนี้เจอเรื่องชุ่มชื่นใจจนได้ ตอนเช้าๆ อาจารย์งดสอนเราเลยเดินไปหา

เพื่อนที่ภาควิชาที่เราจบมา (มันต่อโทสาขาเดิม แต่เราเปลี่ยนสาขา)

กำลังคุยๆ อยู่ก็มีรุ่นน้องผู้หญิงคนนึงน่ารักดีเดินเข้ามาถามเราว่า พี่ทั้งสอง

คนใช่รุ่นพี่ MA รึเปล่าคะ...ก็ใช่อ่ะครับน้องทำไมเหรอ...คือนู๋จะมาขอลาย

เซ็นรุ่นพี่น่ะค่ะพี่เซ็นได้ไหมคะ (กิจกรรมล่าลายเซ็นครับอย่าคิดมาก)

เพื่อนเราก็บอกไปว่า...พี่เซ็นได้ครับแต่ว่าพวกปี 2 มันจะรู้จักพี่เหรอ...น้อง

ก็หน้าจ๋อยๆ ไปแล้วก็พูดว่า...งั้นไม่เป็นไรขอบคุณค่ะแล้วก็เดินไป เราคุย

ต่อซักพักนึงมันเข้าไปเรียนต่อก็เลยเดินมาทักทายกับพี่ป.โทที่เราเคยทำ

สัมนาเรื่องเดียวกัน ก็เห็นน้องคนนั้นนั่งคุยโทรศัพท์กับเพื่อนคนเดียว เราก็

เลยเดินไปนั่งคุยด้วย แล้วจริงๆ เราก็สงสารนะที่เขามาขอลายเซ็นแล้วไม่

ได้ (คงเสียความรู้สึกน่าดู...เราก็เคยเป็นตอนปี 1) ก็เลยบอกว่า พี่เซ็นให้ก็

ได้นะเอาสมุดมาสิ น้องเค้าก็ยื่นให้ เราก็เซ็นให้ (ต้องเซ็นกำกับรุ่น+บอก

ด้วยว่าถ้าจะยืนยันตัวเราให้ไปหาปี 3 คนนึงซึ่งเคยทำแลบฟิสิกส์กับเรา

เมื่อปีที่แล้ว และเป็นหลานในสายรหัสเราด้วย) แล้วก็คุยแนะนำตัวกันไป

แล้วน้องเค้าก็ขอเบอร์มือถือเรา...เราก็ให้ไปแต่เราดันไม่ขอเบอร์มือถือ

เค้า...ซื่อบื้อจริงๆ แต่ไงๆ ก็เจอกันอีกแหละ แต่...เจอแล้วจะขอเบอร์น้อง

เขาดีมะนี่ (จริงๆ อยากรอให้น้องเขาโทรมานะ แต่ก็คิดไปว่าเค้าขอไป

เพราะว่าเวลามีปัญหาจะได้ขอความช่วยเหลือได้ ไม่ได้รู้สึกดีอะไรกะเรา

หรอก เพราะงั้นคงยากที่เขาจะโทรมาถ้าไม่เดือดร้อนอ่ะนะ)



นานๆ ทีจะกล้าทำแบบนี้ซักครั้งนะนี่...อยู่ๆ เดินเข้าไปคุยกับผู้หญิงเนี่ย



Create Date : 30 พฤษภาคม 2550
Last Update : 30 พฤษภาคม 2550 4:26:31 น.
Counter : 596 Pageviews.

15 comments
  
มาอ่านแต่ยังไม่เม้นท์ความเห็นนะ
โดย: แม่น้องนิก IP: 4.131.153.14 วันที่: 30 พฤษภาคม 2550 เวลา:8:23:42 น.
  
มันเป็นวิธีแสดงความรักของอากับพ่อน่ะครับ

ถ้าแกไม่รัก ก็คงเลี้ยงแบยบทิ้งๆ ขว้างๆ ไม่มีการศึกษาล่ะครับ

โดย: เสี่ยวเหลียงจือ IP: 124.121.193.126 วันที่: 30 พฤษภาคม 2550 เวลา:17:32:29 น.
  
สวัสดีครับ

เล่าเรื่องได้สนุกจริงๆ
มีรสมีชาติ
และรู้สึกยินดีด้วยที่หลุดกรอบออกจากความกลัวในสิ่งที่ไม่ควรกลัวได้ แต่ก็ไม่จำเป็นต้องโต้ตอบกลับหรอก

ในวัยเด็กคุณเจออะไรร้ายๆเหมือนกันนะ
แต่ทว่าเมื่อโตขึ้นแล้วกลับเปลี่ยนแปลงหาที่ที่ยืนได้เหมาะสม
และคุณอยากบอกพ่อแม่คนอื่นๆว่าอย่าทำกับลูกอย่างนี้

คุณน่ารักมากครับ!

ได้อ่านเรื่อง"ค้นหา" บทกวีของอาจารย์นวลศิริ เปาโรหิตย์ด้วยหรือเปล่าครับ

เล่มนั้นผมก็ชอบ เป็นบทกวีแนวจิตวิทยา

แต่ก่อนนี้คุณทำอาร์ตเวิร์คอยู่ในแมกกาซีนเล่มไหนนะ
หรือในหนังสืออะไร ?

โดย: พ่อพเยีย IP: 124.121.23.226 วันที่: 30 พฤษภาคม 2550 เวลา:19:43:27 น.
  
สวัสดีครับ

เล่าเรื่องได้สนุกจริงๆ
มีรสมีชาติ
และรู้สึกยินดีด้วยที่หลุดกรอบออกจากความกลัวในสิ่งที่ไม่ควรกลัวได้ แต่ก็ไม่จำเป็นต้องโต้ตอบกลับหรอก

ในวัยเด็กคุณเจออะไรร้ายๆเหมือนกันนะ
แต่ทว่าเมื่อโตขึ้นแล้วกลับเปลี่ยนแปลงหาที่ที่ยืนได้เหมาะสม
และคุณอยากบอกพ่อแม่คนอื่นๆว่าอย่าทำกับลูกอย่างนี้

คุณน่ารักมากครับ!

ได้อ่านเรื่อง"ค้นหา" บทกวีของอาจารย์นวลศิริ เปาโรหิตย์ด้วยหรือเปล่าครับ

เล่มนั้นผมก็ชอบ เป็นบทกวีแนวจิตวิทยา

แต่ก่อนนี้คุณทำอาร์ตเวิร์คอยู่ในแมกกาซีนเล่มไหนนะ
หรือในหนังสืออะไร ?

โดย: พ่อพเยีย IP: 124.121.23.226 วันที่: 30 พฤษภาคม 2550 เวลา:19:43:30 น.
  
อ่านแล้ว ฉงฉานพี่เอ็ม อ่า
ตอนเด็ก โดนทารุณ เล็กน้อยถึงปานกลาง
แต่พอโตมา นี่ทำไม ใจดีจังอ่ะ
ไม่เป็นไรเนอะๆ เรื่องร้ายๆ แย่ๆ ที่ทำให้เสียใจ
ก็ลืมๆ มันไปบ้างถือเป็นประสบการณ์ชีวิตก็แล้วกัน
โดย: นักเคมี IP: 125.24.162.205 วันที่: 30 พฤษภาคม 2550 เวลา:21:05:48 น.
  
ตอบพ่อพเยียครับ

เล่มนั้นผมยังไม่ได้อ่านเลยครับ เอากันจริงๆ หนังสือที่ผมยกกลอนของอ.นวลศิริมาก็เป็นหนังสือเล่มแรกของท่านที่ผมอ่าน ไม่นับหนังสือเรียนของที่รามนะครับ

ส่วนหนังสือที่ผมทำ เป็นหนังสือนิตยสารพระเครื่องชื่อสปีริตครับ(ชื่อน่ะมีสปีริตแต่เจ้าของบ.ไร้สปีริตที่สุด...อาจารย์ผมพูดนะครับ) เล่มสุดท้ายที่ผมทำก็เดือนธันวาคมปีที่แล้ว ตอนนี้รับงานจัดหนังสือศาสตร์มหามงคลครับแต่ยังไม่เสร็จเลย แต่คิดว่าเสร็จเล่มนี้ต้องหยุดงานทั้งหมดแล้วครับเพราะเรียนหนักเหลือเกิน

ขอบคุณมากนะครับที่ติชมและให้กำลังใจ

------------------------------------

ตอบนู๋แอม คนที่เคยเจออะไรที่โหดร้ายๆ สมัยเด็กจะเป็นคนที่ใจดีมากกว่าปกติครับ (เอามาจากการ์ตูนที่อ่านสมัยเด็กนะ)
โดย: Darth Trowa IP: 58.9.165.106 วันที่: 30 พฤษภาคม 2550 เวลา:21:55:48 น.
  
บางที..ตอนนี้ผู้ใหญ่เขาก็คงรู้ล่ะว่า
เขาทำผิดต่อเราไป..แต่ผู้ใหญ่บางคน
ก็มีวิธีการง้อที่ไม่เหมือนกันนะ
อันนี้พี่เข้าใจ

เหมือนพ่อสามีพี่ ที่ทำอะไรลงไป จนป่านนี้
ไม่เคยคิดว่าลูกโต อยากว่าก็ว่า บางที
เขาก็รู้ว่าเขาทำไม่ถูก ง้อลูกไม่เป็น
แต่เชื่อมั๊ยว่า..แม้ลูกที่ทำเขาเจ็บปวดที่สุด
และเขาก็ทำร้ายจิตใจลูกอย่างไม่รู้ตัวน่ะ
เขาก็ไม่เคยตัดสิทธิออกจากกองมรดก
ที่เขาทำเอาไว้

นี่แหละ..น้ำใจของคนเป็นพ่อบางคน

อย่างน้อยๆ Darth ก็ยืนมาได้ด้วยความใฝ่ดี
ตรงนี้ เราจะยกเครดิตให้พ่อบ้างได้มั๊ย
พี่เคยบอกสามีว่า..วันนี้ที่ยูยืนได้อย่างเข้มแข็ง
โดยไม่พึ่งพาใคร ส่วนนึงก็เป็นเพราะสิ่งที่พ่อยู
ทำต่อยูในอดีตน่ะแหละ ที่มันทำให้ยูแกร่งมาได้
โดย: แม่น้องนิก IP: 4.232.144.224 วันที่: 31 พฤษภาคม 2550 เวลา:9:02:13 น.
  
ถ้าจะยกเครดิตให้ ก็คงเรื่องนึงครับ

เพื่อนๆ ผมหลายคนบอกว่า ผมเป็นคนที่มีความอดทนสูงมาก...ในหลายๆ เรื่อง มากกว่าเพื่อนๆ คนอื่นๆ เพราะว่าผมโดนแบบที่เล่ามาตั้งแต่เด็ก แล้วเราไม่รู้จะไประบายกับใคร แถมโดนมาเยอะแยะจนกระทั่งมันรู้สึกว่าเรื่องอื่นมันเล็กๆ น้อยๆ ก็เลยเป็นคนที่อดทนสูง (แต่ที่ระเบิดออกมา 2 ครั้งนั้นสุดๆ จริงๆ ครับ ปกติผมไม่ทำแบบนั้นหรอก)
โดย: Darth Trowa IP: 58.9.165.106 วันที่: 31 พฤษภาคม 2550 เวลา:12:10:07 น.
  
แหม..Darth พูดมา เหมือนพี่เห็นตัวตนของสามีพี่
ในตัวเธอเลย ความอดทนสูง แต่เวลาระเบิดนี่
ไม่อยากเข้าใกล้เลยล่ะ ไม่โสภาซักเท่าไหร่

คนอย่าง Darth เวลาสร้างครอบครัว คงนำบทเรียน
หลายๆอย่างมาเป็นเครื่องเตือนใจเป็นอย่างดี
แต่บางเรื่อง อย่าได้ย้อนรอยพ่อเลยนะ บางอย่าง
ที่darth มองว่ามันดี มันอาจจะใช้ไม่ได้ในอีกช่วงเวลานึง

เหมือนอย่างสามีพี่ เขามักไม่ค่อยให้อะไรกับลูก
มันแล้วแต่ความพอใจที่เขาเห็นว่า..อะไรที่เหมาะสม
ในความรู้สึกเขาน่ะนะ บางเรื่องที่พี่คิดว่าไม่เหมาะสม
มันกลายเป็นความเหมาะสมสำหรับเขา เพราะเขาไม่เคย
มีในวัยเด็ก..

พี่เลยบอกเขาว่า..อย่าเอาสิ่งที่พ่อยูทำกับยู
มาใช้กับลูกตัวเองเลย ถามความรู้สึกของตัวเองดีกว่า
ว่าอยากหรือไม่อยากให้ กันแน่..

เพราะหลายๆครั้งที่เขาปฏิเสธลูก แล้วชอบมาพูดทีหลัง
กับพี่ว่า..ผมน่าจะให้ลูกนะ ทำนองนี้ แต่เด็กอ่ะมันเสียใจ
ไปแล้วไง..
โดย: แม่น้องนิก IP: 4.232.135.148 วันที่: 1 มิถุนายน 2550 เวลา:0:57:22 น.
  
รับทราบครับผม

วันนี้ไปอยู่กับเด็กมา มันมากเลยครับพี่ (บ้านที่ว่าแม่ตามใจเยอะๆ อ่ะ)

เด็กมันงอนที่ผมกับอีกคนรุมแกล้งตอนเล่นซ่อนหา แล้วพองอนหนัก พี่แกไปนั่งปิดประตูขังตัวเองในห้องน้ำ กว่าจะเข้าไปได้แทบแย่ แถมเข้าไปไม่ยอมออก ผมเลยต้องไปนั่งคุยในห้องน้ำอ่ะ นานมาก...

เด็กมันโวยวายสารพัดเลย กลัวแม่ว่าไม่ท่องศัพท์ แล้วก็ว่าผมเรื่องที่รุมกันแกล้ง เพื่อนล้อว่าอ้วน อะไรหลายอย่าง ผมฟังแล้วจะสลบ แถมเวลาโมโหหนักๆ เอากระป๋องมาตีหัวตัวเองครับพี่...ผมจะบ้าตาย (มีบีบคอตัวเองด้วยนะ)

ผมเลยวิเคราะห์ว่า เหมือนเรียกร้องความสนใจให้คนทำตาม อะไรทำนองนี้ กลัวนั่นกลัวนี้ไปหมดทุกอย่าง ก็แปลกดี ทั้งๆ ที่ผมว่าในชีวิตเขาไม่เห็นมีอะไรต้องกลัวเท่าไหร่เลย แม่ก็ใจดีกว่าพ่อกะอาผมตั้งเยอะ ยังต้องกลัวอะไรอีก เลยสรุปว่า...เรียกร้องความสนใจให้คนทำตามนั่นแหละ

แต่เจอแบบนี้ก็บอกตรงๆ นะ ไม่รู้จะรับมือยังไงจริงๆ แต่ผมก็ไม่ตีไม่อาละวาดตะคอกอะไรนะ ก็คุยแบบใช้เหตุผลไล่ต้อนเอามากกว่า เด๋วซักพักก็สงบไปเอง (แต่เล่นเอาเหนื่อยมักๆๆๆๆๆ)
โดย: Darth Trowa IP: 58.9.165.109 วันที่: 1 มิถุนายน 2550 เวลา:1:13:54 น.
  
คุณเล่าเรื่องได้สนุกนะแฝงด้วยสาระมากมายหากใครอ่านผ่านๆคงคิดว่าตานี่มาบ่นอะไรแต่ถ้าคิดตามล้วนแฝงคำสอนทั้งนั้น

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็อยู่ที่ตัวเราอย่างที่คุณว่านะ เราเลือกเองได้จะดีจะชั่ว

วีรกรรมของลูกศิษย์คุณนี่ก็ใช่ย่อยเลยนะ แต่ก็ขอให้คุณเอาชนะเค้าได้ในที่สุดนะค่ะ (แอบเหนื่อยแทนค่ะ แค่มีหลานซนๆก็จะแย่แล้ว)

แล้วก็ขอให้ทำงานส่งอาจารย์ผ่านไปได้ด้วยดีนะค่ะ

ว่าแต่คุณเรียนรามรุ่นไหนหรือค่ะ
โดย: มัยดีนาห์ วันที่: 1 มิถุนายน 2550 เวลา:21:24:43 น.
  
เออนะ..เด็กสมัยนี้มีอะไรแปลกๆ
พี่เคยเจออย่างนี้มาก่อนอ่ะ เหมือนไม่ปกติไงไม่รู้
อะไรมันจะเรียกร้องความสนใจขนาดนั้น
เล่นเอาใจไม่ดี..แม่ตามใจมากจนลูกสร้างเงื่อนไข
ไปทำกับคนอื่นได้หน้าตาเฉย

Darth เห็นหรือยังล่ะ..ในความรักของพ่อแม่
บางทีก็ทำร้ายลูกอย่างไม่รู้ตัว ทั้งรักที่มากเกินไป
และรักอย่างขีดเส้นไปหมด..พี่ระมัดระวังกับเรื่องอย่างนี้
มากเลยทีเดียวล่ะ

การมีลูกช้า บางทีก็ทำให้รู้สึกว่า เราแก่เกินกว่า
จะเข้าใจเด็ก แค่บางทีเท่านั้นแหละนะ
โดย: แม่น้องนิก IP: 4.232.141.40 วันที่: 1 มิถุนายน 2550 เวลา:23:53:26 น.
  
ก็เขียนสนุกได้เฉพาะเรื่องนี้แหละครับ หมดจากนี้ก็ไม่รู้จะเขียนได้สนุกแบบนี้รึเปล่า...เอาว่าจะเขียนเรื่องอะไรยังไม่รู้เลย ใจน่ะอยากเขียนแนวจิตวิทยาแบบนี้แหละ แต่บางทีก็คิดไม่ออกเหมือนกัน...ช่วงนี้ไม่ได้คิดด้วยซ้ำ เรื่องที่คิดหนักๆ เลยก็รายงานนี่แหละครับ อีก 2 อาทิตย์ต้องส่ง+พรีเซนต์แต่ผมยังหาเนื้อหา Jornal ไม่ได้เลยซักอันนึง แล้วยังเรื่องงานหนังสือที่ทำอีก ตอนนี้เซ็งมากไม่มีอารมณ์ทำเท่าไหร่เลย...ส่วนเรื่องที่แวบมาเรื่องสุดท้าย ก็เรื่องน้องปี 1 แหละครับ อยากเจอมากเลยแต่ไม่รู้จะเจออีกเมื่อไหร่ (ช่วยเชียร์ๆ กันหน่อยนะครับ)

ส่วนผมเรียนรามรุ่นไหนผมก็ไม่ทราบครับ รหัสผม 44 นี่ก็ ปี 50 เข้าไปแล้ว...ก็ 6-7 ปีแล้วอ่ะ ต้องรีบเก็บให้ครบแล้วครับอีก 5 วิชาเอง (5 วิชาสุดหิน ดองไว้นานจนเหลือแค่ 5 วิชานี่แหละครับ)

ส่วนเรื่องการเลี้ยงลูก การที่เรารักมาก กลัวมาก ก็เลยขีดเส้นในชีวิตเขามากไป...ก็กลายเป็นเด็กที่เก็บกดแข็งกร้าว แต่เลี้ยงแบบปล่อยๆ มากไป ก็กลายเป็นเด็กเอาแต่ใจ มีปัญหา...การเลี้ยงลูกนี่มันยากแท้เน้อ
โดย: Darth Trowa IP: 58.9.166.42 วันที่: 2 มิถุนายน 2550 เวลา:2:56:54 น.
  
มารออ่าน
อย่าทิ้งบล็อกไว้นานเกินไปนะครับ
มีคนเขารออ่านอยู่
โดย: พ่อพเยีย วันที่: 2 มิถุนายน 2550 เวลา:9:37:15 น.
  

เรียนรามไม่ได้อยากอย่างที่คิด( แอบยืมสำนวนของศรรามสมัยประชาสัมพันธ์ให้ทหารเกณฑ์มา เหอๆ)

เราเป็นรุ่นพี่ล่ะสิเพราะเรารหัส42 จบมาก็หลายปีแล้ว(พ่อขุนไม่รักบอกว่ารีบๆจบเถอะลูก ก็เลยจบในสี่ปีตามเกณฑ์)

อีก5 เล่มเองสู้ๆค่ะ แต่คุณยุ่งๆแบบนี้มันจะมีเวลาอ่านหนังสือพอหรือเปล่านี่สิปัญหา เอาใจช่วยรุ่นน้องค่ะ สู้ๆ

แล้วก็เอาใจช่วยเรื่องน้องปีหนึ่งด้วยนะค่ะ
โดย: มัยดีนาห์ วันที่: 4 มิถุนายน 2550 เวลา:21:42:36 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

DarthTrowa
Location :
กรุงเทพฯ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



พฤษภาคม 2550

 
 
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
17
18
19
20
21
22
25
26
28
29
31
 
 
All Blog
MY VIP Friend