Group Blog
 
 
สิงหาคม 2556
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
25262728293031
 
30 สิงหาคม 2556
 
All Blogs
 

อุบายร้อนซ่อนกลรัก - 3 > รักเอย...อยู่หนใด?




มธุชากอดหนังสือไว้กับอกแล้วเริ่มส่ายสะโพกโยกกายตามท่วงทำนองการฮัมเพลงอยู่ครู่หนึ่งก็กระโดดขึ้นไปนอนคว่ำหน้าบนเตียง เปิดหนังสือนิยายขึ้น ดวงตากลมโตเปล่งประกายแห่งความหวัง ขณะไล่ดูเหตุการณ์แรกที่ทำให้พระเอกกับนางเอกพบกัน พอเห็นชื่อนางเอก เธอก็พอจะจำได้แล้วว่าเรื่องราวมันเป็นยังไงมายังไงจึงปิดหนังสือลงทันที

“อี๋ เรื่องนี้ตอนแรกพระเอกจน ต้องปากกัดตีนถีบกว่าจะร่ำรวย ไม่เอาหรอก เดี๋ยวเนื้อคู่เราต้องลำบากตรากตรำทำงานหนัก กว่าจะเก็บเงินมาขอได้ เราอาจจะแก่ตายซะก่อน ที่สำคัญเดี๋ยวยายตังได้แต่งก่อน เป็นหมอน่ะรวยจะตายไป เรื่องนี้ยอมไม่ได้เด็ดขาด!”

มธุชาวางนิยายเล่มนั้นลงอย่างไม่ไยดี ก่อนจะกระวีกระวาดไปรื้อกล่องบรรจุหนังสือซึ่งขนมาจากบ้านที่นครปฐมแต่ยังไม่ได้จัดเรียงบนชั้น เพราะเธอเพิ่งย้ายข้าวของมาอยู่ที่นี่เมื่อไม่กี่วันนี้เอง

ขึ้นชื่อว่านักเขียนย่อมเป็นหนอนหนังสือด้วยกันทั้งนั้น จึงไม่แปลกที่ของสะสมของมธุชาจะเป็นหนังสือแทบทุกประเภทตั้งแต่นิทานเด็ก นิยาย วรรณกรรมเยาวชนทั้งไทยและต่างประเทศ ไปจนถึงหนังสือวิชาการ สารคดี และความรู้รอบตัวอีกมากมาย มันมากเสียจนต้องสละห้องหนึ่งในบ้านทำเป็นห้องหนังสือโดยเฉพาะเชียวล่ะ

หญิงสาวไล่เปิดกล่องทีละใบเพื่อดูว่านิยายของเธออยู่ในกล่องไหนบ้าง แล้วจึงหยิบออกมาดูทีละเรื่อง เนื่องจากเธอเขียนนิยายมากว่าสิบปีตั้งแต่สมัยเรียนมัธยมปลาย ตอนนี้จึงมีหนังสือที่ตีพิมพ์แล้วกว่าสี่สิบเรื่อง เหตุที่ต้องหยิบเอาตัวอย่างในนิยายของตนมาใช้ก็เพราะมันเป็นนิยายว่าด้วยความรักเป็นหลัก ฉะนั้นจึงเหมาะมากที่จะเลียนแบบจินตนาการของตัวเองแล้วทำให้สำเร็จสักวิธี

“เผื่อได้เนื้อคู่จากการทำแบบนี้เราจะได้เอาไปเป็นพลอตนิยายเรื่องต่อไปด้วย เริดสุด โฮะๆ”

นักเขียนสาวยิ้มกริ่มอย่างนึกสนุกเมื่อความหวังริบหรี่ที่จะสลัดโสดในเวลาอันจำกัดของเธอเริ่มลุกโชนขึ้นมาอีกครั้ง จับๆ เปิดๆ วางๆ นิยายอยู่หลายต่อหลายเล่มจนมาปิ๊งเอากับเรื่องล่าสุดที่หยิบขึ้นดู

“พระเอกเป็นนักวิชาการจากซานฟรานซิสโก ลูกครึ่งไทย-อเมริกันสุดหล่อ ร่ำรวย นิสัยดี และฉลาดปราดเปรื่องที่สุด เดินทางมาเมืองไทยเพื่อแลกเปลี่ยนบุคลากรระหว่างประเทศเป็นเวลาสามเดือน เดินสวนกับนางเอกครั้งแรกที่รถไฟฟ้าใต้ดิน ก่อนจะชนกันอย่างจังที่แอร์พอร์ตและเกิดเป็นความประทับใจทั้งสองฝ่าย เริดเว่อร์ เพอร์เฟกต์ที่สุด!”

หญิงสาวดีดนิ้วเปาะพร้อมรอยยิ้มมาดหมาย

ปฏิบัติการสลัดโสดในเวลายี่สิบเก้าวันเริ่มต้น ณ บัดนี้!



มธุชาเริ่มต้นปฏิบัติการสลัดโสดด้วยการเดินตามรอยนิยายของตัวเองจากการใช้รถไฟฟ้าใต้ดินที่ใกล้บ้านมากที่สุด เธอขับรถคู่ใจไปจอดทิ้งไว้ใกล้ๆ สถานีรถไฟฟ้า MRT จตุจักร ก่อนจะเดินทำหน้าสวยๆ เข้าไปด้านใน พยายามสอดส่ายสายตามองหาผู้ชายที่จะมาเป็นเนื้อคู่

อาจจะมีสักคนที่ใช่ เขาอาจจะอยู่ที่นี่และกำลังรอคอยเธออยู่ก็ได้...

หญิงสาวบอกตัวเองเช่นนั้น แต่ก็พลันนึกได้ว่าการพบกันในสถานการณ์ธรรมดาไม่ค่อยสร้างความประทับใจสักเท่าไร มันต้องมีเหตุการณ์บางอย่างเกิดขึ้นเพื่อดึงดูดความสนใจของอีกฝ่าย เป็นต้นว่าเดินชนแล้วทำเอกสารของเขาหล่น ทำกาแฟหกรดเสื้อนอกของเขา หรือเดินชนกันแรงๆ จนเสียหลักแล้วพระเอกของเธอก็เข้ามารับร่างเธอไว้ได้ทัน สบตากันและตกหลุมรัก โรแมนติกที่สุด

มธุชายิ้มกริ่ม ตัดสินใจที่จะเป็นฝ่ายหาโอกาสให้ตัวเอง การจะรอให้พระพรหมดลบันดาลประทานเนื้อคู่ให้มาพบเจอกันคงไม่ทันกิน ฉะนั้นถ้าเห็นใครเข้าตาและมีแนวโน้มว่าจะมีคุณสมบัติครบ 9 ประการ เธอต้องพุ่งเข้าชนในทันที

เมื่อคิดได้ดังนั้นมธุชาก็เตรียมพร้อมสำหรับการพุ่งเข้าชนเป้าหมาย รถไฟฟ้ากำลังจะเข้าเทียบชานชาลา ผู้คนมากมายที่เฝ้ารออยู่ต่างก็เตรียมพร้อมสำหรับการเดินทางของตน หญิงสาวสูดลมหายใจลึก หันไปมองรอบกายเพื่อค้นหาเป้าหมายที่รอคอย

ดวงตาคู่สวยเบิกขึ้นนิดเมื่อพบชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ ใบหน้าคมคายเกลี้ยงเกลาแสนสะดุดตา เขาเดินผ่านหน้าเธอไป ตอนนี้กำลังรอให้ประตูรถไฟฟ้าเปิดออก เขาแต่งตัวดี หน้าตาดี ท่าทางจะอายุมากกว่าเธอด้วย

คนนี้แหละ เข้าตากรรมการที่สุด!

เมื่อประตูรถไฟฟ้าเปิดออก คนที่เดินทางถึงที่หมายแล้วต่างก็ตบเท้าก้าวออกมา จากนั้นก็ถึงคราวของคนที่รอคอยอยู่ได้ก้าวเข้าไปบ้าง ผู้คนหลั่งไหลเข้าไปจนเกือบหมด เป้าหมายของเธอยืนพิงหลังกับผนังรถไฟฟ้าฝั่งตรงข้ามกับประตูทางเข้า

เป้าหมายมีไว้พุ่งชน!

มธุชาบอกตัวเองอย่างมาดมั่น เมื่อล็อกเป้าเรียบร้อยก็สูดลมหายใจลึก

ตอนนี้แหละ วิ่ง!!

ร่างบางออกตัวอย่างแรงประหนึ่งว่าเพิ่งมาถึงสถานีรถไฟฟ้าในเวลาอันฉิวเฉียด กลัวว่าประตูจะปิดลงก่อนจึงต้องวิ่งหัวซุนเข้าไป และชนกับชายหนุ่มรูปงามผู้นั้นโดยไม่ตั้งใจ เขาจะรับเธอไว้ สบตากันและตกหลุมรักตามสเต็ป

หญิงสาวพุ่งตัวเข้าชนเป้าหมายอย่างจัง ก่อนจะเซถลาพร้อมเสียงกรีดร้องด้วยความตกใจ

“อ๊าย!!”

ร่างบางทรุดฮวบลงทันที สะโพกกระแทกกับพื้นแข็งโป๊กจนเจ็บจี๊ดถึงทรวง ใบหน้าบิดเบ้แสดงถึงความเจ็บปวดปนมึนงง

เสียงใครร้องวะ ฉันเปล่านะ

“อะไรกันยะหล่อน พุ่งเข้ามาได้ จะรีบไปไหน ผัวหายรึไงกันยายชะนีเปิ่น!”

มธุชาเงยหน้าขึ้นมองคนพูด ก่อนจะอึ้งกิมกี่ ช็อกตาตั้งในบัดดล

กรี๊ดด ไม่นะ! สุดหล่อของฉันเป็นเกย์เหรอเนี่ย พระพรหมใจร้าย!

ผู้คนที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างอึ้งไปตามๆ กัน สายตาทุกคู่จ้องเป๋งไปยังสุดหล่อไม่ขอแลหญิง เหมือนเขาเพิ่งจะรู้ตัวจึงรีบปรับสีหน้าจากฉุนเฉียวเป็นเรียบเฉย ก้มลงเก็บกระเป๋าที่มธุชาชนร่วง ก่อนเชิดหน้าขึ้นแล้วเดินวางมาดแมนไปจากโบกี้นั้นแบบไม่เหลียวหลัง

มธุชากะพริบตาปริบๆ ทั้งเจ็บตัวและเจ็บใจ แถมยังอับอายขายหน้าคนเขาไปทั่ว

คนสวยรับไม่ได้!

ในขณะที่หญิงสาวก้มหน้าก้มตาหนีความอายและพยายามทรงกายลุกขึ้นยืนก็มีมือหนึ่งยื่นมาตรงหน้า เธอนิ่งไปนิด สำรวจความใหญ่ยาวของนิ้วมือแล้วก็รู้ทันทีว่าเป็นผู้ชาย แล้วก็คิดแบบนิยายเช่นเคย

ไม่ใช่คนนั้น แต่อาจจะเป็นคนนี้ ผู้ชายที่รอคอยเธอตลอดมา...

หญิงสาวเงยหน้าขึ้นสบตาอีกฝ่ายพร้อมรอยยิ้มเขินๆ แล้วชายหนุ่มผู้มีน้ำใจก็ส่งยิ้มอบอุ่นมาให้ เขาเป็นผู้ชายหน้าตาดี แต่งตัวก็ดี ดูจากใบหน้าแล้วน่าจะอายุราวสามสิบปีเศษๆ จากการพิจารณาขั้นต้น เธอลงมติว่า...ผ่าน!

“ขอบคุณมากค่ะ” เธอส่งมือให้เขาช่วยอย่างเต็มใจ

“ไม่เป็นไรครับ”

เขายิ้มกว้างและช่วยฉุดเธอลุกขึ้น เป็นตอนนั้นเองที่มธุชาเริ่มจะยิ้มไม่ออก

อี๋ ฟันเหลืองอ๋อยเลย เกิดมาเคยแปรงฟันบ้างรึเปล่าคะเนี่ย ขอถาม!

“คุณไม่เป็นไรนะครับ” เขาถามอีกเมื่อหญิงสาวยืนได้มั่นคงแล้ว

เธอยิ้มแหย สั่นหน้าหวือ ก่อนจะทำมือเป็นเครื่องหมาย OK แต่ไม่ยอมพูดกับเขาอีก ถ้าจะให้ดี เธอคิดว่าเขาเองก็ควรหยุดอ้าปากด้วย แบบนั้นจะดูดีกว่าเยอะ

“คุณเจ็บรึเปล่าครับ มานั่งตรงนี้ดีกว่า” อีกหนึ่งหนุ่มทักขึ้นเบื้องหลังมธุชา แน่นอนว่าเขามีที่นั่งอยู่แล้วและลุกขึ้น รอให้หญิงสาวนั่งแทน

สาวสวยใจชื้นขึ้นอีกนิด

อาจจะเป็นคนนี้ก็ได้นี่นา...

คิดแล้วก็หันไปส่งยิ้มหวานให้เต็มที่ ก่อนจะหุบปากแทบไม่ทันด้วยความตกใจ เมื่อเห็นรูปร่างหน้าตาของอีกฝ่ายชัดเจน

เตี้ย ล่ำ ดำ สิว หัวเถิก พุงยื่น ฟันเหยินอีกต่างหาก พระพรหมเจ้าขา...จะแกล้งมัดไปถึงไหนคะ ขอถาม!

“เชิญนั่งครับ” เจ้าของรูปกายที่ตัดสินไม่ได้ว่าอัปลักษณ์กว่าเงาะป่าของรจนาหรือไม่เอ่ยขึ้น

“ขอบคุณมากค่ะ”

เธอรับน้ำใจของเขาไว้เพราะรู้สึกเจ็บระบมที่สะโพกขึ้นมาตงิดๆ ถอนใจแล้วเหล่มองไปรอบด้าน พลันสายตาก็สะดุดเข้ากับหนุ่มหล่อ มาดดีสุดๆ ที่กำลังกางหนังสือพิมพ์ออกอ่านอย่างไม่สนใจใคร

หญิงสาวแอบมองเขาอย่างแนบเนียนจนรถไฟฟ้าเข้าเทียบสถานีสักแห่งซึ่งมธุชาก็ไม่ได้สนใจ จุดหมายของเธอไม่มีวันสิ้นสุดจนกว่าจะได้พบเจ้าชายในฝัน

ผู้ที่เดินทางถึงที่หมายต่างก็ก้าวออกไป ผู้คนกลุ่มใหม่ก้าวสวนเข้ามา หญิงวัยกลางคนหอบหิ้วกระเป๋าใบใหญ่มาด้วยและหยุดยืนใกล้ๆ พ่อรูปหล่อของเธอ

มธุชาแอบดูต่อไปว่าเขาจะลุกให้ผู้หญิงนั่งหรือไม่ เขาเงยหน้าขึ้นและสบตากับหญิงผู้นั้น แต่แล้วพ่อหนุ่มรูปงามราวเทพบุตรนั่นก็ก้มหน้าหลบตาโดยเร็ว แล้วก็สนใจแต่หนังสือพิมพ์ของเขาต่อไป ไม่ได้ไยดีสุภาพสตรีผู้มีภาระในการหอบหิ้วกระเป๋าใบใหญ่นั่นสักนิด

หญิงสาวกะพริบตาอึ้งๆ ความฉุนโกรธประดังประเดเข้ามา วันนี้เธอต้องผิดหวังถึงสี่ครั้งในเวลาแค่ไม่กี่นาที เริ่มจากถูกเกย์ด่าแถมยังมาสะบัดก้นงอนๆ ใส่อีก พอเจอชายหนุ่มมาดดีมีน้ำใจอีกคนก็กลับกลายเป็นพวกไม่สนใจตัวเอง แม้กระทั่งฟันในปากยังไม่รู้จักดูแล ปล่อยให้เหลืองอ๋อยได้ขนาดนั้น เขาคงสนใจดูแลเธอหรอกนะ อีกคนก็มีน้ำใจดีหรอก แต่รูปชั่วตัวดำปานนั้นคงต้องใช้เวลาเรียนรู้นิสัยใจคอกันนานหน่อยกว่าความดีจะเอาชนะรูปกายภายนอกได้ เธอไม่มีเวลามากขนาดนั้น

และที่สำคัญคนสวยทำใจไม่ได้ เดี๋ยวยายสิตางศุ์ได้ค่อนแคะกันพอดีว่า...คนนี้ แน่ใจนะ ว่า ‘เลือก’ แล้ว?

ส่วนคนสุดท้ายนี่เด็ดสุด สิ่งที่เขาทำราวกับตบหน้าสวยๆ ของเธอกลางรายการทีวีสุดฮิตที่กำลังออกอากาศไปทั่วประเทศ ผู้ชายที่มีรูปร่างหน้าตาหล่อเหลาราวเทพบุตรแต่กลับไร้น้ำใจสิ้นดี เห็นแก่ตัวได้อย่างน่ารังเกียจที่สุด เทียบกับพ่อหนุ่มฟันเหยินของเธอไม่ได้สักกระผีก เห็นแล้วมันของขึ้น!

มธุชาสิ้นสุดความอดทนลงเท่านั้น ร่างบางผุดลุกขึ้นแล้วเดินกะเผลกไปหยุดตรงหน้าพ่อเทพบุตรหัวใจทมิฬ (ได้ชื่อนิยายเรื่องใหม่ของตัวเองพอดี) กระชากหนังสือพิมพ์ในมืออีกฝ่ายออกอย่างแรง ก่อนจะยิ้มหวานหยดขัดกับความรู้สึกเป็นที่สุด

เขาเงยหน้าขึ้นมองอย่างตกใจ “อะไรกันครับคุณ”

“คุณป้าคนนี้หิ้วกระเป๋าหนักมากเลยนะคะ แล้วคุณก็เป็นผู้ชายคนเดียวที่มีเก้าอี้ในตอนนี้ คุณมัวแต่อ่านหนังสือพิมพ์คงไม่ทันมองใช่มั้ยคะ” หญิงสาวกัดฟันพูดเสียงหวาน รอยยิ้มอาบยาพิษดีๆ นี่เอง

ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าทุกคนในโบกี้นี้รวมถึงโบกี้ติดกันต่างก็หันมามองชายหนุ่มกับหญิงสาวเป็นตาเดียว หนุ่มหล่อจึงยิ้มเจื่อนๆ และขยับกายลุกขึ้นอย่างไม่มีทางเลือก

“เชิญนั่งครับคุณป้า”

“ขอบใจจ้ะแม่หนู” แทนที่จะพูดกับชายหนุ่มผู้สละที่นั่งให้ในสภาวะจำยอม ป้าคนนั้นกลับหันมาพูดกับมธุชา

หญิงสาวยิ้มตอบอย่างจริงใจ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มของนางมารร้ายเมื่อตวัดดวงตากลับมาที่หนุ่มหล่อล่ำผู้นั้น

“ของคุณค่ะ” เธอส่งหนังสือพิมพ์คืนให้ ก่อนจะสะบัดบ๊อบใส่อย่างไม่แคร์สื่อ

ขณะนั้นรถไฟฟ้าเดินทางมาถึงสถานีพอดี เธอเดินกลับไปส่งยิ้มให้ชายหนุ่มฟันเหลืองกับผู้ชายรูปชั่วตัวดำและรวยน้ำใจแล้วบอกลา

“ขอบคุณมากนะคะ ฉันถึงที่หมายแล้ว ขอให้พวกคุณโชคดีค่ะ”

มธุชาเชิดหน้าเดินออกจากรถไฟฟ้าใต้ดินเมื่อบานประตูเปิดออก

“พอกันทีรถไฟฟ้า ไม่เวิร์กอย่างแรง เชอะ!”



ชินดนัยขับรถมาถึงสนามบินสุวรรณภูมิก่อนเวลาเครื่องลงเล็กน้อย แต่รอเป็นชั่วโมงแล้วก็ยังไม่เห็นวี่แววของพี่ชาย เขาคิดว่าเครื่องอาจดีเลย์ เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้ตลอดเวลาจึงไปหาอะไรรองท้องก่อน ถ้าพี่ชายมาถึงแล้วไม่เจอเขารออยู่ที่จุดนัดก็คงโทรหาเอง

เมื่อกินอาหารเสร็จก็เป็นเวลาบ่ายสองโมงยี่สิบห้านาที แต่ชินดนัยยังไม่ได้รับโทรศัพท์จากพี่ชายจึงรีบกลับไปรอที่จุดนัดพบ ด้วยความเร่งรีบทำให้เขาลืมโทรศัพท์อีกเครื่องไว้บนเก้าอี้ เพราะอาชีพช่างภาพทำให้ชินดนัยมีคนรู้จักเยอะแยะมากมาย เขาต้องแยกเบอร์ติดต่อเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัวไว้คนละเครื่อง และงานของเขาก็ไม่มีวันหยุดราชการ ดังนั้นโทรศัพท์ทั้งสองเครื่องจึงต้องพกติดตัวเสมอ

ยกเว้นช่วงพักร้อน เขาจะปิดมือถือที่ใช้ติดต่อเรื่องงานเอาไว้เลยอย่างไม่เสียดายโอกาส พักก็คือพัก เขาถือว่าเวลาทำงานก็ทำอย่างเต็มที่ เมื่อตั้งใจพักก็ต้องเต็มที่กับความสุขสงบเช่นกัน



มธุชาจำเป็นต้องนั่งรถไฟฟ้าใต้ดินกลับมาที่สถานีรถไฟฟ้า MRT จตุจักร เพื่อขับรถคู่ใจไปยังสนามบินสุวรรณภูมิ

อันที่จริงหญิงสาวเริ่มถอดใจแล้วกับการตามหาเจ้าชายในฝันด้วยวิธีเดินตามรอยนิยายของตัวเอง แต่ระยะเวลาที่กระชั้นชิดเข้ามาบังคับให้เธอต้องลุยต่อ มีเวลาแค่ยี่สิบเก้าวันเท่านั้น ถ้าขืนหยุดเสียตั้งแต่ตอนนี้ก็เหมือนยอมแพ้บิดาแล้ว

คนอย่างนางสาวมธุชา เมธากุล ไม่มีทางยอมรับการแต่งงานแบบคลุมถุงชนของผู้ใหญ่เด็ดขาด และเธอต้องจบเรื่องนี้เสียที!

กว่าจะถึงที่หมายก็ปาเข้าไปบ่ายสองโมงครึ่ง หญิงสาวรู้สึกหิวและหมดแรงจึงเริ่มต้นด้วยการหาอะไรรองท้องเติมพลังก่อน แต่เธอยังแอบหวังว่าเจ้าชายในฝันอาจจะหิวแล้วก็เข้ามาหาอะไรกินในร้านเดียวกันนี้ก็ได้จึงชำเลืองมองไปรอบร้านขณะกินมื้อเที่ยงแบบง่ายๆ

ไม่มีใครเข้าตากรรมการสักคน เฮ้อ!

หญิงสาวถอนใจยาว แล้วจู่ๆ ก็มีเสียงเรียกเข้ามือถือดังขึ้นข้างตัว เธอย่นคิ้ว มองหาต้นเสียงเพราะมันไม่ใช่เสียงเพลงเรียกเข้าของเธอแน่นอน เครื่องมือสื่อสารรุ่นใหม่แม้ไม่ล่าสุด แต่ก็เพิ่งจะออกวางขายได้ไม่นาน เรียกว่ายังไม่ตกเทรนด์ กำลังสั่นสะเทือนและส่งเสียงกรีดร้องอยู่บนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามเธอ

มธุชามองไปรอบตัวเผื่อเจ้าของโทรศัพท์จะยังอยู่แถวนี้ แต่ไม่มีใครทำท่าเหมือนเป็นเจ้าของเลย นอกจากมองเธอด้วยสายตาตำหนิ ประมาณว่า...รีบๆ รับสายเข้าสิยะหล่อน อะไรเทือกนั้น

หญิงสาวจึงเอื้อมมือไปหยิบมือถือเครื่องนั้นขึ้นมากดรับ แล้วปลายสายก็เอาแต่พูดเรื่องงานถ่ายภาพอะไรก็ไม่รู้อยู่ประมาณห้านาทีได้ จนกระทั่งถึงเวลาที่เขาต้องการคำตอบ เธอจึงได้กรอกเสียงตอบกลับไปเรียบๆ

“ขอโทษนะคะ ฉันไม่ใช่เจ้าของมือถือเครื่องนี้ เจ้าของคงจะลืมไว้น่ะค่ะ ตอนนี้ฉันอยู่ร้านอาหารที่สนามบินสุวรรณภูมิ ท่าทางคุณจะรู้จักกับเจ้าของเครื่อง ยังไงช่วยติดต่อเจ้าของแล้วบอกด้วยว่าเขาลืมมือถือไว้ ให้มารับคืนได้เลย ฉันจะฝากไว้ที่ร้านอาหาร โอเคนะคะ”

“เอ่อ...ขอโทษทีครับ งั้นเดี๋ยวผมจะโทร. บอกเขาเดี๋ยวนี้เลย ขอบคุณมากนะครับ”

หญิงสาววางโทรศัพท์มือถือเครื่องนั้นลงแล้วกินอาหารต่อ กะว่ากินเสร็จแล้วถึงจะเอามันไปฝากไว้กับเจ้าของร้าน



เมื่อชินดนัยกลับมารอที่จุดนัดพบได้ราวสิบห้านาที ร่างสูงตรงของธรณินทร์ก็เดินจูงมือเด็กชายวัยแปดขวบตรงมาหา ชายหนุ่มจำทั้งสองคนได้ทันทีจึงโบกมือให้พร้อมรอยยิ้มขี้เล่น

“ไงตัวแสบ ไม่เจอกันนาน หล่อขึ้นเป็นกอง” ชินดนัยย่อตัวลงโยกศีรษะเด็กชายอธิศหรืออาร์ตี้อย่างรักใคร่

“หวัดดีฮะอาสอง อาสองก็หล่อไม่เปลี่ยนเลย” อาร์ตี้ยิ้มร่าพร้อมชูกำปั้นขึ้นชนกับชินดนัยอย่างที่เคยทำกันมาตลอด

คนเป็นอาหัวเราะชอบใจกับความปากหวานของหลานชาย “ให้มันได้อย่างนี้สิ แบบนี้ค่อยน่ารักสมกับเป็นหลานอาหน่อย”

“เครื่องดีเลย์น่ะ รอนานเลยสิ” คนเป็นพี่ออกตัวเสียงขรึม หลังปล่อยให้ลูกชายกับน้องชายทักทายกันครู่หนึ่ง

ชินดนัยลุกขึ้นยืนเต็มความสูงหนึ่งร้อยแปดสิบห้าเซนติเมตรซึ่งไล่เลี่ยกับพี่ชายที่สูงน้อยกว่าเพียงเซนเดียว นัยน์ตาคมดำมองสำรวจสีหน้าเคร่งขรึมของอีกฝ่ายอย่างเปิดเผย “มีเรื่องอะไรรึเปล่าพี่หนึ่ง สีหน้าดูเครียดๆ นะ”

ธรณินทร์หลบตาน้องชายนิด ก่อนจะเฉไฉไปเรื่องอื่น “พี่อยากได้กาแฟเย็นหน่อย นายพาอาร์ตี้ไปรอที่รถก่อนนะ”

“ไปกันเหอะอาสอง อาร์ตี้อยากกลับบ้านอาสองแล้ว นั่งเครื่องตั้งหลายชั่วโมง เมื่อยมากเลยฮะ” เด็กชายรบเร้าด้วยท่าทีอ้อนๆ

“โอเคๆ เจอกันที่รถนะพี่หนึ่ง จอดไว้ที่เดิมแหละ ถ้าหาไม่เจอก็โทร. เข้ามือถือละกัน”

ชินดนัยยอมแพ้ลูกอ้อนของหลานชาย ตัดสินใจเก็บความสงสัยเอาไว้ก่อน พาอาร์ตี้ไปรอที่รถและช่วยรับกระเป๋าของพี่ชายไปด้วย

ธรณินทร์มองตามร่างสูงของน้องชายกับลูกชายไปจนลับตา ก่อนจะถอนใจยาวแล้วเดินไปที่ร้านกาแฟ



เสียงโทรศัพท์มือถือของชินดนัยดังขึ้น ชายหนุ่มล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกงยีนตัวเก่ง หยิบมือถือขึ้นมากดรับโดยไม่ได้ดูหน้าจอ เพราะจำเสียงเรียกเข้าได้ว่าเป็นเครื่องที่ใช้ติดต่อกับเพื่อนฝูง

“แกไปทำอะไรที่สนามบินวะสอง”

คำถามแรกจากเพื่อนสนิทและเพื่อนร่วมงานคนสำคัญที่ดังผ่านลำโพงมือถือออกมาทำให้คิ้วเข้มขมวดมุ่น

“แกรู้ได้ไงว่าฉันอยู่สนามบิน”

“ก็ฉันโทร. เข้าอีกเบอร์ของแกไง ผู้หญิงรับสาย เสียงเพราะซะด้วย หน้าตาคงจะสวยไม่หยอก ถ้าแกยังไม่ออกจากสนามบินก็แวบกลับไปเอามือถือที่ร้านอาหารดิ ดูหน้าแม่สาวคนนั้นด้วยนะเว้ย ฉันอยากรู้ว่าจะสวยมั้ย”

“ตายห่าแล้ว! เครื่องนั้นมีแต่เบอร์ลูกค้าซะด้วย แค่นี้ก่อนนะเว้ย ฉันจะลองโทร. เข้าเครื่องนั้นดู เก็บธุระของแกไว้ก่อน โอเคนะ”

ว่าแล้วชินดนัยก็กดตัดสาย แม้จะได้ยินเสียงโวยวายของฐานทัพอยู่ก็ตาม ชายหนุ่มรีบโทร. เข้าอีกเบอร์ของตัวเองทันที








 

Create Date : 30 สิงหาคม 2556
0 comments
Last Update : 30 สิงหาคม 2556 0:38:00 น.
Counter : 922 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


nawapat
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]




...เขียนเรื่อยๆ เหนื่อยก็พัก หนักก็หยุด สนองนี้ดมันไปตามอารมณ์ ^^"...
Friends' blogs
[Add nawapat's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.