*** Ghostbusters *** ตัวจริงของผีที่ตามหา *** Ghostbusters *** ถึงจะไม่เคยดู Ghostbusters เวอร์ชั่นแรก ทั้ง 2 ภาค (ภาคแรกเข้าฉายในปีเกิดของผมพอดี) แต่ก็พอจะทราบว่าหนังเล่าเรื่องราวของ "บริษัทกำจัดผี" ที่มีแกนนำเป็นชาย 4 คน แต่สำหรับเวอร์ชั่น reboot ของผู้กำกับ Paul Feig หนังกลับเลือกที่จะเปลี่ยนตัวละครนำที่เป็นเพศชายล้วนมาเป็นตัวละครเพศหญิงล้วน แน่นอนว่ามันมาพร้อมกระแสต่อต้านจากแฟนหนังรุ่นเก่ามากมาย (ซึ่งผมเองก็ไม่ทราบรายละเอียดมากนัก เพราะไม่ได้ติดตามข่าวสารก่อนหนังฉายเลย บางทีอาจมีประเด็นอื่นร่วมด้วย) แต่เมื่อได้ดูตัวหนังแล้วก็พบว่า ประเด็นหลักของหนังช่างสอดคล้องกับกระแสต่อต้านที่เกิดขึ้น จนบางทีก็อดคิดไม่ได้ว่าผู้กำกับสตรีนิยม (Feminist) อย่าง Paul Feig เลือกใช้หนังเรื่องนี้เป็นเครื่องมือในการเผยให้สังคมได้เห็นอะไรบางอย่างที่ซ่อนอยู่ แม้กระทั่งกับคนที่ไม่ได้ดูหนังเรื่องนี้ก็ตาม หนังให้ภาพการโดนดูถูกเหยียดหยามตั้งแต่เริ่มเรื่อง แม้มันจะถูกนำเสนอในเชิงขบขัน แต่เมื่อคิดว่าเป็นเรื่องจริงมันก็ดูรุนแรงไม่น้อย Dr. Erin Gilbert (Kristen Wiig) คืออาจารย์จ้างที่ต้องคอยทำตามกรอบของศาตราจารย์สูงอายุเพื่อตำแหน่งอาจารย์ประจำที่มหาวิทยาลัย แต่เมื่อเรื่องราวที่เธอเคยแต่งหนังสือเกี่ยวกับเรื่องผีสาง ร่วมกับ Dr. Abby Yates (Melissa McCarthy) ถูกเปิดเผยเธอก็ถูกเชิญออก โดยที่ไม่ได้มีการพิจารณาถึงความเป็นวิทยาศาสตร์ในงานของเธอ สุดท้าย Erin ก็มาร่วมทีมกับ Abby และ Dr. Jillian Holtzmann (Kate McKinnon) นักฟิสิกส์สุดห้าวที่มหาวิทยาลัยแห่งใหม่ แต่ไม่ทันไรเมื่อเรื่องราวงานวิจัยเกี่ยวกับผี และ Video การเผชิญหน้ากับผีของพวกเธอ รู้ถึงผู้ใหญ่ในมหาวิทยาลัย ทั้ง 3 ก็ถูกไล่ออก พร้อมการเหยียดหยามด้วยการทำมือเป็นสัญลักษณ์ “อวัยวะเพศชาย” เพื่อขับไล่พวกเธอออกไป สุดท้ายหลังจากได้สมาชิกคนที่ 4 อย่าง Patty Tolan (Leslie Jones) เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยประจำสถานีรถไฟใต้ดิน พวกเธอก็ได้พิสูจน์ให้คนทั้งเมืองเชื่อว่าผีมีจริง ผ่านวีรกรรมปราบผีในงานคอนเสิร์ต แต่แล้วทั้ง 4 สาว ก็ถูก นายกเทศมนตรี Bradley (Andy Garcia) ในฐานะ “ผู้ปกครองเมือง” เรียกเข้าไป เพื่อขอให้ทั้ง 4 ยุติบทบาทการพิสูจน์เรื่องผีนี้เสีย เพราะในสายตาของผู้ปกครอง การทำให้ผู้คนเชื่อว่า “ผีมีอยู่จริง” ไม่ใช่เรื่องดี และจะสร้างความวุ่นวายเสียมากกว่า จากเนื้อหาข้างต้นจะพบว่า สิ่งที่หนังต้องการเล่าคือเรื่องของ “การพิสูจน์ในสิ่งที่ไม่มีใครเชื่อ (และใครบางคนไม่อยากให้มีคนเชื่อ) แม้มันจะมีอยู่จริงก็ตาม” เมื่อพิจารณาว่าตัวละครทั้ง 4 ถูกนำเสนอในฐานะผู้คนที่ถูกสังคมดูถูกเหยียดหยาม (ซึ่งจะรวมไปถึงตัวร้ายหลักของเรื่องด้วยแล้ว) นี่คือการพิสูจน์ว่า ในสังคมที่ดูเหมือนเท่าเทียมกัน สังคมที่เหมือนเคารพในสิทธิเสรีภาพ ยังมีการดูถูกเหยียดหยาม ยังมีการแบ่งแยก และการเลือกปฎิบัติ นี่เองคือประเด็นที่หนังพยายามพิสูจน์ให้เห็นว่า “ความไม่เท่าเทียม” ยังมีอยู่จริง แม้ผู้คนในสังคมและผู้ปกครองบอกว่า “ความไม่เท่าเทียม” เป็นเรื่องไร้สาระและไม่มีอยู่จริงแล้วในสังคมยุคสมัยนี้ ไม่ต่างกับ “ผี” ที่ถูกมองว่าไม่มีอยู่จริงในโลกของหนัง ดังนั้น "ผี" ในหนังหมายถึง "ความไม่เท่าเทียมกันในสังคม" จากประเด็นข้างต้นจะพบว่า สิ่งที่ทั้ง 4 สาวพยายามพิสูจน์ว่า "ผีมีจริง" ก็คือการที่หนังพิสูจน์ให้เห็นว่า "ความไม่เท่าเทียมมีอยู่จริง" ซึ่งจะว่าไปแล้วนี่เป็นสิ่งที่ต้องยอมรับว่าเป็นจริง เพียงแต่เราควรจะทำความเข้าใจ และพยายามจัดการควบคุม เหมือนสิ่งที่พวกเธอทำกับผีในเรื่อง ต่างกับตัวร้ายของเรื่องที่ถูกเหยียดหยามจนต้องออกมาทำสิ่งที่มากกว่าการเรียกร้องเพื่อให้สังคมเห็นความไม่เท่าเทียม ด้วยการ “แก้แค้น” ผู้คนในสังคมที่เหยียดหยามตัวเขา เพื่อเสริมประเด็นนี้ หนังให้ภาพว่า แม้ในทีมปราบผีของพวกเธอจะมีผู้หญิงผิวดำ ที่ไม่ได้จบ Doctor อย่างผู้หญิงผิวขาวอีก 3 คน แต่ทุกคนก็ไม่ได้แสดงท่าทางดูถูกเหยียดหยามกันภายในกลุ่ม แต่กลับยอมรับในความต่างและร่วมแรงร่วมใจกันทำงาน นี่คือการแสดงให้เห็นว่า “ความไม่เท่าเทียมมีอยู่จริง แต่เราเลือกที่จะปฏิบัติให้เท่าเทียมได้” หากมองพ้นกรอบของเนื้อหาในหนัง สิ่งที่เกิดขึ้นจริงกับ "บางส่วนของผู้คน" ที่รับไม่ได้กรณีที่หนังเลือกเปลี่ยนตัวละครนำจากชายล้วน มาเป็นหญิงล้วนนั้น เป็นการสะท้อนให้เห็นประเด็นของหนังได้อย่างดีว่า แม้ในสังคมที่ให้ค่ากับความเท่าเทียม และสิทธิเสรีภาพ ความไม่เท่าเทียมก็ยังมีอยู่จริง อย่างไรก็ตามหากพิจารณาเนื้อเรื่องให้ละเอียดขึ้นก็จะพบว่า ตัวหนังเองก็มีการเหยียดเพศชายเบาๆ ด้วยการให้ภาพตัวละครเพศชายในเรื่องดูโง่เง่าและหัวโบราณ โดยเฉพาะผู้ช่วยชายของทั้ง 4 สาวอย่าง Kevin Beckman (Chris Hemsworth) ที่เป็นตัวละครที่ดูโง่ทึ่ม และเป็นได้แค่วัตถุทางเพศ คล้ายกับเป็นการแก้แค้นที่หนังส่วนมากมักให้ตัวละครประเภทนี้เป็นเพศหญิง หากตัดเรื่องประเด็นที่หนังต้องการสื่อสารออกไปแล้ว ส่วนตัวคิดว่า Ghostbusters เป็นหนังที่สร้างความบันเทิงได้พอสมควร มุขตลกในหนังมีทั้งที่เข้าเป้าและไม่เข้าเป้าคละเคล้ากันไป ส่วน climax ที่น่าจะสนุกได้มากกว่านี้กลับทำออกมาได้ธรรมดาเกินไป ส่วนหนึ่งเป็นเพราะการเลือกที่จะแก้ไขปัญหาที่ตัวละครต้องเผชิญอย่างรวบรัดและง่ายดาย แต่สิ่งที่น่าชมคือการแสดงที่ดูเข้าขาของตัวละครหลัก รวมถึงบทหนังที่สร้าง character ของทั้ง 4 คนได้อย่างชัดเจน และมีการกระจายบทบาทให้ทุกคนได้อย่างลงตัว ในฐานะหนังเพื่อความบันเทิง Ghostbusters สามารถสร้างความสนุกสนานได้พอประมาณ นี่มันอาจจะไม่ใช่หนังที่ยอดเยี่ยม แต่ก็ไม่ถึงขั้นน่าเบื่อ แต่ที่น่าสนใจกว่าคือการที่หนังสามารถนำเสนอประเด็นที่ต้องการได้ตั้งแต่หนังยังไม่ฉาย (ซึ่งอาจเป็นแค่ความบังเอิญ ?) เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวละครในเรื่องและกระแสที่มีต่อตัวหนังเอง ก็สะท้อนประเด็นที่หนังต้องการนำเสนอได้อย่างดีเยี่ยม 7 / 10   Create Date : 21 กรกฎาคม 2559 3 comments Last Update : 21 กรกฎาคม 2559 9:43:48 น. Counter : 2456 Pageviews. Share Tweet

สวัสดีค่ะ เคยดูภาคที่แล้ว หลายปีมากล่ะ จะได้ดูภาคต่อบ้างล่ะ สนุกดีนะค่ะ โหวตให้เลยค่ะ บันทึกการโหวต Blog ในวันนี้ ผู้เขียน Blog หมวดเนื้อหา Blog ได้รับโหวต ก้นกะลา Music Blog ดู Blog Raizin Heart Movie Blog ดู Blog tuk-tuk@korat Travel Blog ดู Blog คนดีผีคุ้ม Travel Blog ดู Blog Sweet_pills Travel Blog ดู Blog navagan Movie Blog ดู Blog   โดย: อ้อมแอ้ม (คนผ่านทางมาเจอ ) 21 กรกฎาคม 2559 11:35:39 น.

กระทู้ที่ตั้งใน pantip //pantip.com/topic/35403555   โดย: navagan 26 กรกฎาคม 2559 22:00:11 น.

น่าดูค่ะบันทึกการโหวต Blog ในวันนี้ ผู้เขียน Blog หมวดเนื้อหา Blog ได้รับโหวต ข้ามขอบฟ้า Music Blog ดู Blog ปลาแห้งนอกกรอบ Travel Blog ดู Blog ALDI Klaibann Blog ดู Blog ร่มไม้เย็น Dharma Blog ดู Blog เตยจ๋า Topical Blog ดู Blog ออโอ Book Blog ดู Blog navagan Movie Blog ดู Blog   โดย: newyorknurse 27 กรกฎาคม 2559 2:01:07 น.