*** The Girl with the Dragon Tattoo *** รอย "ศักดิ์" และความเท่าเทียม
*** The Girl with the Dragon Tattoo ***
The Girl with the Dragon Tattoo สร้างจากนิยายขายดีสัญชาติ Sweden ของ Stieg Larsson นักข่าวหัวเอียงซ้าย ที่ผลงานนิยายเรื่องแรกของเขาเป็นที่รู้จักก็ต่อเมื่อตัวเขาเองได้ล่วงลับไปแล้ว
ไม่ใช่แค่การ เป็นที่รู้จัก แต่มันกลับโด่งดังจนกลายเป็นหนังฮิตในบ้านเกิด ก่อนจะดังข้ามโลกจน Hollywood ต้องเอามาสร้างใหม่ตามฟอร์ม
ออกตัวไว้ก่อนว่าไม่เคยอ่านนิยาย แต่ได้รับชม version หนัง Sweden ของผู้กำกับ Niels Arden Oplev มาก่อนหน้านี้ ซึ่งในส่วนของการวิจารณ์คงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะเปรียบเทียบกับ version Sweden
เมื่อได้รับชม version นี้ของผู้กำกับ David Fincher และมือเขียนบท Steven Zaillian ก็พบว่า หนังมีรายละเอียดแตกต่างจากต้นฉบับมากพอสมควร ทั้งในส่วนของเรื่องราว และลักษณะนิสัยของตัวละคร ซึ่งก็ตรงกับคำให้สัมภาษณ์ของ Fincher เองว่า นี่เป็นฉบับที่ตีความใหม่จากนิยายต้นฉบับ หาใช่การ remake จาก version หนัง Sweden
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เหมือนกันก็คือประเด็นหลักของเรื่องที่ว่าด้วย ชายผู้เกลียดหญิง เหมือนกับชื่อเรื่องดั้งเดิมที่เป็นภาษา Sweden ว่า Man som hatar kvinnor (Men who hate women)
The Girl with the Dragon Tattoo เล่าเรื่องของ Mikael Blomkvist (Daniel Craig) นักข่าวหัวเอียงซ้ายที่กำลังเดือดร้อน หลังจากบทความในนิตยสาร Millennium ที่เขาเขียนถูก Wennerstrom (Ulf Friberg) นักธุรกิจที่ถูกเขากล่าวหาในบทความฟ้องดำเนินคดี ซึ่งแท้จริงแล้วตัว Wennerstrom นั่นเองที่เป็นผู้ปล่อยข่าวลวงให้ Mikael ติดกับ
แม้จะดิ้นไม่หลุด แต่ Mikael ก็พบโอกาสในการกู้ชื่อเสียงคืน เมื่อ Henrik Vanger (Christopher Plummer) เศรษฐีชราผู้เคยเป็น อดีตเจ้านาย ของ Wennerstrom เชื้อเชิญให้เขามาไขคดีปริศนาว่าด้วยการฆาตกรรม Harriet ผู้ซึ่งเป็นหลานสาวของเขา ซึ่งบุคคลที่ Henrik สงสัยก็คือคนในตระกูลของเขานั่นเอง
นอกจากนี้ Lisbeth Salander (Rooney Mara) แฮกเกอร์สาว ที่คอยตามสืบประวัติของ Mikael ก็เข้ามาร่วมสืบคดีนี้ด้วย
The Girl with the Dragon Tattoo ของ David Fincher เปิดเรื่องมาได้อย่างน่าสนใจด้วย Title sequence ที่คล้ายกับ Series 007 แต่ไร้ซึ่งร่องรอยของตัวละครเพศชายที่มักจะมาพร้อมมาดเท่ห์ หากกลายเป็นภาพกราฟฟิกที่เหมือนเป็นการผสมพันธ์กันระหว่างหญิงสาวกับบรรดาอุปกรณ์ electronic
ราวกับว่านี่คือหนังสายลับ 007 ภาคใหม่ ที่คราวนี้ "สาว Bond" ขอเป็นตัวละครหลัก แล้วถีบส่ง James Bond ตัวจริงอย่าง Daniel Craig ให้กลายเป็นไม้ประดับ
ซึ่งหากพิจารณาถึงเนื้อเรื่อง จะเห็นว่ามีหลายฉากหลายตอนที่ Mikael คล้ายจะเป็นเครื่องบำเรอกามให้กับ Lisbeth (อย่างเต็มใจ) อยู่หลายครั้ง
โดยรวมแล้ว The Girl with the Dragon Tattoo นำเสนอภาพความไม่เท่าเทียมกันในสังคมที่ว่าด้วย ศักดิ์ ที่แตกต่างระหว่างผู้มีอำนาจและผู้ด้อยอำนาจ ซึ่งหนังจงใจแสดงให้เห็นว่า ผู้มีอำนาจ คือลักษณะของ เพศชาย และ ผู้ด้อยอำนาจ คือ เพศหญิง
แน่นอนว่าหนังกำหนดให้ผู้ชมอยู่ข้างเดียวกับตัวละคร เพศหญิง ตั้งแต่ Title sequence และชื่อเรื่องแล้ว ดังนั้นใน The Girl with the Dragon Tattoo จะว่าด้วยการลุกขึ้นมาทวงความยุติธรรมของเพศหญิง
เมื่อลองพิจารณาเราจะพบว่า เหล่าตัวละครผู้ถูกกระทำในหนังจะเป็นเพศหญิงทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็น Harriet ที่ถูกพ่อ และ Martin (Stellan Skarsgard) ผู้เป็นพี่ชายล่วงละเมิดทางเพศ
Lisbeth เองก็โดน Bjurman (Yorick van Wageningen) ผู้ปกครองหื่นกามใช้อำนาจในทางมิชอบคุกคามทางเพศ ขณะที่บรรดาเหยื่อทั้งหลายของ Martin ก็ล้วนแต่เป็นหญิงสาว
ฉะนั้น อาวุธสำคัญของหญิงแกร่งยุคใหม่ก็คือวิทยาศาสตร์ และ Technology ซึ่งถูกสื่อออกมาเป็นการรวมร่างผสมพันธ์กันแบบที่เห็นใน Title sequence นั่นเอง
อย่างที่บอกว่า ในยุคปัจจุบัน ศักดิ์ ระหว่างชายกับหญิงได้เปลี่ยนไปแล้ว และผู้ชายหลายคนก็อยู่ฝ่ายเดียวกับผู้หญิง ดังนั้นคงจะไม่ถูกต้องนักที่จะบอกว่า The Girl with the Dragon Tattoo คือหนังที่ว่าด้วย สงครามระหว่างหญิงกับชาย
ซึ่งนี่เป็นจุดที่ดีกว่า version Sweden (และถือว่าดีกว่ามาตรฐานหนังสืบสวนทั่วๆไปอีกด้วย)
ด้วยการเพิ่มเติมรายละเอียดให้มากขึ้น และกล้าที่จะเปลี่ยนแปลงเนื้อหาบางส่วน รวมถึงการลำดับเรื่องราวที่แตกต่างไปจาก version Sweden นั่นทำให้อารมณ์ลุ้นระทึกและสนุกไปกับการติดตามเรื่องราวยังมีอยู่เต็มเปี่ยม (และอาจจะมากไปกว่า version Sweden ด้วยซ้ำ) ทั้งๆที่รู้อยู่แล้วว่าเนื้อเรื่องและบทสรุปทั้งหมดเป็นอย่างไร
อย่างไรก็ตาม หนังอาจละเลยความเป็นไปได้ในบางจุด อย่างช่วงสุดท้ายที่ Lisbeth เข้าไปในห้องลับของ Martin ได้อย่างรวดเร็ว ทั้งที่มันเป็นห้องลับ แถมมีระบบ รักษาความปลอดภัยที่ค่อนข้างรัดกุม
งานด้านภาพ และการออกแบบในหนัง ยังคงเป็นจุดแข็งสำคัญเช่นเดียวกับทุกผลงานก่อนหน้านี้ของ Fincher หนังสร้างบรรยากาศที่หนาวจับใจ และไม่น่าไว้วางใจไปพร้อมๆกัน ขณะที่ดนตรีประกอบของ Trent Reznor แห่ง Nine Inch Nails ก็ช่วยสร้างความระทึก ได้เป็นอย่างดี
นั่นทำให้บรรยากาศของ version นี้ ต่างจาก version Sweden ที่เน้นไปที่ความหนาวเย็นยะเยือกแบบนิ่งๆ แฝงความเย็นชา กลายมาเป็นหนังระทึกขวัญ ขายสไตล์อีกรูปแบบหนึ่ง
Rooney Mara มอบการแสดงที่น่าจดจำในบท Lisbeth แม้อาจจะไม่ใช่การแสดงที่ดีที่สุดในรอบปี แต่ก็ต้องถือเป็นการแสดงที่ทุ่มเทที่สุดในรอบปีก็ว่าได้
ซึ่งใน version นี้ Lisbeth ดูมีเลือดมีเนื้อ มีมิติทางอารมณ์ที่มากขึ้น ด้วยบทหนังที่เผยแง่มุมอ่อนไหวและเพิ่มแง่มุมอันซับซ้อนมากขึ้น
เชื่อแน่ว่าหลายคนที่ชื่นชอบ Lisbeth ที่ Noomi Rapace ฝากฝีมือไว้ใน version Sweden อาจไม่ชอบ version นี้ สาเหตุก็เป็นเพราะว่าสถานะที่เหมือนฮีโร่เหนือมนุษย์ของเธอถูกดึงลงมาเป็นผู้หญิงธรรมดามากขึ้นนั่นเอง
ส่วนตัวแล้วคิดว่าแต่ละ version ก็มีดีต่างกันเปรียบเทียบกันยากเพราะการตีความในตัวละครนี้ที่แตกต่างกันของผู้สร้างและนักแสดงจากทั้งสอง version
ใน version Sweden เหมือนว่า Lisbeth จะถูกตีความให้เป็นหญิงแกร่งที่มีลักษณะแบบฮีโร่ในหนังที่สามารถสร้างแรงบันดาลใจได้ ขณะที่ version นี้ Lisbeth ถูกตีความว่าเป็นตัวละครที่มีมิติคล้ายผู้หญิงธรรมดามากกว่า
ลองเปรียบเทียบจากฉาก Sex ครั้งแรกระหว่าง Lisbeth และ Mikael ในหนัง ก็พอจะบอกได้ว่า Lisbeth version ไหนเป็นอย่างไร ซึ่งไม่ขออธิบายนะครับ เดี๋ยวติดเรท
ฉากจบของ version นี้ อาจทำให้สาวกเก่าของหนังผิดหวัง กับการนำเอา Lisbeth หญิงแกร่งของพวกเขา มาเปลี่ยนแปลงให้กลายเป็นหญิงสาวที่อ่อนไหวกับรักครั้งใหม่ได้อย่างคาดไม่ถึง
แต่ส่วนตัวคิดว่า มันเป็นเหตุเป็นผลมากว่า version Sweden ในแง่ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ที่จะเกิดขึ้นต่อไป