ว่าด้วยเรื่องการเผาผลาญพลังงานขณะออกกำลังกาย
ร่างกายเก็บสะสมพลังงานอย่างไร?
ร่างกายของเราเก็บสะสมพลังงานจากคาร์โบไฮเดรต, ไขมัน, โปรตีน จากอาหารที่เราทานเข้าไป
คาร์โบไฮเดรต จะถูกสะสมไว้ในรูปของไกลโคเจน อยู่ในตับและกล้ามเนื้อ ร่างกายสามารถเก็บไกลโคเจนไว้ในกล้ามเนื้อได้ประมาณ 400 กรัม และเก็บในตับได้อีกประมาณ 100 กรัม (เราเพิ่มขีดความสามารถของร่างกายในการเก็บไกลโคเจนได้ด้วยการฝึก ออกกำลังกาย) ซึ่งนั่นหมายความว่า เราสามารถเก็บพลังงานประมาณ 2000 กิโลแคลอรี่ไว้ในรูปไกลโคเจน - เพียงพอสำหรับวิ่ง หรือ เดิน เป็นระยะทางราวๆ 32 กม.
เราเก็บสะสมไขมันไว้ทั่วร่างกาย ส่วนใหญ่จะเก็บไว้ใต้ผิวหนังและรอบๆอวัยวะภายใน โดยเฉลี่ยในร่างกายคนมีไขมันประมาณ 15-25% ของน้ำหนักตัว (หรือประมาณ 10 กิโลกรัม ของผู้ที่มีน้ำหนักตัว 60 กิโลกรัม) แต่ในนักกีฬามักจะมีเปอร์เซ็นต์ไขมันต่ำกว่าคนทั่วไป
โปรตีน เป็นวัตถุดิบในการสร้างกล้ามเนื้อ ซึ่งปกติไม่ได้ใช้เพื่อเป็นแหล่งพลังงาน แต่ร่างกายก็สามารถย่อยโปรตีนเพื่อใช้เป็นพลังงานหากอยู่ในสภาวะขาดแคลนพลังงานได้
ร่างกายมีกระบวนการใช้พลังงานอย่างไรในขณะออกกำลังกาย?
ร่างกายใช้พลังงานหลักจากคาร์โบไฮเดรต และไขมัน โดยสัดส่วนของการใช้พลังงานจากคาร์บหรือไขมัน ขึ้นกับรูปแบบวิธีการออกกำลังกายของเรา - ฝึกหนักใช้คาร์บมากกว่าไขมัน ฝึกเบาใช้ไขมันมากกว่าคาร์บ, เราฝึกร่างกายมาดีมากน้อยแค่ไหน - ร่างกายที่ผ่านการฝึกมาดี จะสามารถใช้ไขมันเป็นแหล่งพลังงานได้เต็มที่กว่า, และลักษณะทางกายภาพของเรา - ลักษณะกล้ามเนื้อ กล้ามเนื้อประเภท fast ใช้พลังงานจากคาร์บมากกว่าประเภท slow แต่ละคนมีสัดส่วนของกล้ามเนื้อแต่ละประเภทไม่เท่ากัน ขึ้นกับพันธุกรรม และการฝึก
ระบบพลังงานที่ใช้เมื่อมีการออกกำลังกายมากกว่าหนึ่งนาทีครึ่งขึ้นไป จะเรียกว่า "aerobic" ซึ่งหมายถึง "ใช้ออกซิเจน" สำหรับการใช้พลังงานอย่างเข้มข้นในระยะเวลาสั้นๆ ร่างกายจะใช้ระบบะ "anaerobic" ซึ่งหมายถึง "ไม่ใช้ออกซิเจน" ซึ่งทำได้ในระยะเวลาสั้นๆ และร่างกายจะผลิต "กรดแลคติค" เป็นจำนวนมาก (กรดแลคติคทำให้เกิดความไม่สบายตัว ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ)
ระบบการใช้พลังงานแบบแอโรบิค โดยทั่วไปแล้วจะใช้พลังงานจากสองแหล่งคือ คาร์โบไฮเดรต และ ไขมัน ร่วมกัน (สามารถใช้โปรตีนได้ด้วยหากจำเป็น) สัดส่วนว่าจะใช้คาร์บมากกว่า หรือใช้ไขมันมากกว่า ขึ้นกับความเข้มข้นของการออกกำลังกาย
การออกกำลังกายแบบความเข้มข้นต่ำ (เช่น เดิน วิ่งช้าๆ หัวใจเต้นไม่เร็วนัก) กล้ามเนื้อจะดึงพลังงานจากไขมันมาใช้เป็นหลัก แต่ถ้าออกกำลังกายที่ความเข้มข้นสูงขึ้น (เช่น วิ่งเร็วขึ้น ปั่นจักรยานขึ้นเขา ต่อยมวย เวทเทรนนิ่ง) กล้ามเนื้อต้องการพลังงานมากขึ้น เร็วขึ้น ก็จะเพิ่มสัดส่วนการดึงพลังงานจากคาร์บมาใช้มากขึ้น สัดส่วนของคาร์บที่ใช้ไล่ตั้งแต่ 10% ไปจนถึง 90% ของพลังงานทั้งหมดที่เผาผลาญ
อย่างที่กล่าวไปตอนต้น คาร์บที่ใช้นำมาจากไกลโคเจนที่ถูกเก็บไว้ในกล้ามเนื้อ และตับ ซึ่งโกดังเก็บพลังงานี้มีพื้นที่จำกัด ร่างกายจะใช้คาร์บมากขึ้นเมื่อพลังงานจากไขมันไม่พอ (ออกกำลังกายความเข้มข้นสูง ไขมันถูกดึงมาใช้ไม่ทัน เพราะมีขั้นตอนมากกว่าในการดึงไขมันมาเผาผลาญ ร่างกายจะเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานจากคาร์บ) [อย่างไรก็ตามร่างกายไม่สามารถดึงไขมันมาใช้ได้หากไม่มีมีคาร์บเหลือเลย] เมื่อโกดังเก็บไกลโคเจนว่างเปล่า ร่างกายก็จะเริ่มย่อยโปรตีนจากกล้ามเนื้อมาใช้ เพื่อรักษาระดับน้ำตาลในเลือดไว้
ผู้ที่ลดความอ้วน หากจำกัดการทานอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตมากเกินไป และยังออกกำลังกายร่วมด้วย เมื่อพลังงานจากไกลโคเจนหมด ร่างกายก็จะไม่สามารถเผาผลาญไขมันได้ ก็จะย่อยโปรตีนจากกล้ามเนื้อมาใช้แทน ผลคือ กล้ามเนื้อหาย ไขมันเหลือเต็มตัว - ทานน้อย ลดแป้ง ขยันเบิร์น - หายนะของการลดความอ้วน
ถ้าเราออกกำลังกายแบบเข้มข้นสูง จนระบบแอโรบิคของร่างกายผลิตพลังงานสำหรับเผาผลาญไม่ทัน ก็จะเริ่มเข้าสู่ระบบ anearobic ซึ่งร่างกายใช้พลังงานจากไกลโคเจนเป็นหลัก ซึ่งมีข้อดีคือมีประสิทธิภาพในการผลิตพลังงานได้สูง โดยไม่ต้องใช้ออกซิเจน (ตอนเหนื่อยมากหายใจไม่ทัน) แต่ก็มีข้อเสียคือ ทำได้จำกัด (จะอยู่ในโหมดนี้ตลอดไม่ได้ ทำได้ในระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น) และได้กรดแลคติคเป็นของแถมจากกระบวนการเผาผลาญ
ในการฝึก เราสามารถเพิ่มขีดความสามารถให้ร่างกายในการเปลี่ยนเชื้อเพลิง(คาร์บ/ไขมัน) ให้เป็นพลังงาน โดย :
1. สอนร่างกายให้ดึงไขมันมาใช้ได้เก่งขึ้น จะทำให้เราออกกำลังกายได้หนักขึ้น ในขณะที่ยังใช้พลังงานหลักจากไขมัน และเก็บไกลโคเจนซึ่งมีจำกัดไว้ นี่จึงเป็นเหตุผลว่า ทำไม การซ้อมวิ่งมาราธอน จึงต้องวิ่งช้า แต่ระยะทางไกลๆ
2. เพิ่มขีดความสามารถของร่างกายในการสะสมไกลโคเจน โดยเฉพาะในกล้ามเนื้อ / เพิ่มขีดความสามารถของร่างกายในการสะสมปริมาณไกลโคเจนรวม
Create Date : 03 ตุลาคม 2555 |
Last Update : 3 ตุลาคม 2555 17:02:23 น. |
|
26 comments
|
Counter : 30244 Pageviews. |
|
|