Every Feeling Everyone Every Day

สุนทรภู่สดุดี





สุนทรภู่ครูกวีศรีโวหาร
ร้อยกรองหวานซ่านซึ้งอยู่มิรู้หาย
กวีเอกก้องโลกามิคลาคลาย
ศิลปินผู้่เพริศพรายพรรณรายนาม
อภิวันท์ครูกลอนสุนทรภู่
ท่านคือครูนักกลอนไทยในสยาม
เกียรติกึกก้องเกริกไกรไปทุกคาม
โลกลือนามศิลปินไทยยิ่งใหญ่ยง
กรประณมก้มกราบด้วยซาบซึ้ง
ขอมาพึ่งใบบุญสุนทรส่ง
กราบวันทาอาจารย์แทบบาทบงส์
ด้วยประสงค์จำนงจิตศิษย์สุนทร ฯ




พระสุนทรโวหาร (ภู่) มีนามเดิมว่า ภู่ เป็นบุตรขุนศรีสังหาร (พลับ) และแม่ช้อย
เกิดในรัชกาลที่ ๑ กรุงรัตนโกสินทร์ เมื่อวันจันทร์ เดือนแปด ขึ้นหนึ่งค่ำ ปีมะเมีย จุลศักราช ๑๑๔๘ เวลาสองโมงเช้า
ตรงกับวันที่ ๒๖ มิถุนายน พ.ศ.๒๓๒๙ ที่บ้านใกล้กำแพงวังหลัง คลองบางกอกน้อย
สุนทรภู่เกิดได้ไม่นาน บิดามารดาก็หย่าจากกัน ฝ่ายบิดากลับไปบวชที่บ้านกร่ำ เมืองแกลง
ส่วนมารดาคงเป็นนางนมพระธิดาในกรมพระราชวังหลัง (กล่าวกันว่าพระองค์เจ้าจงกล หรือเจ้าครอกทองอยู่)
ได้แต่งงานมีสามีใหม่ และมีบุตรกับสามีใหม่ ๒ คนเป็นหญิง ชื่อฉิมและนิ่ม
ตัวสุนทรภู่เองได้ถวายตัวเป็นข้าในกรมพระราชวังหลังตั้งแต่ยังเด็ก

สุนทรภู่เป็นคนเจ้าบทเจ้ากลอน สันทัดทั้งสักวาและเพลงยาว เมื่อรุ่นหนุ่มเกิดรักใคร่ชอบพอกับนางข้าหลวงในวังหลัง ชื่อแม่จัน
ครั้นความทราบถึงกรมพระราชวังหลัง พระองค์ก็กริ้ว รับสั่งให้นำสุนทรภู่และจันไปจองจำทันที
แต่ทั้งสองถูกจองจำได้ไม่นาน เมื่อกรมพระราชวังหลังเสด็จทิวงคตในปี พ.ศ. ๒๓๔๙ ทั้งสองก็พ้นโทษออกมา
เพราะเป็นประเพณีแต่โบราณที่จะมีการปล่อยนักโทษ เพื่ออุทิศส่วนพระราชกุศลแด่พระมหากษัตริย์หรือพระราชวงศ์ชั้นสูง
เมื่อเสด็จสวรรคตหรือทิวงคตแล้วแม้จะพ้นโทษ สุนทรภู่และจันก็ยังมิอาจสมหวังในรัก
สุนทรภู่ถูกใช้ไปชลบุรี ดังความตอนหนึ่งในนิราศเมืองแกลงว่า

"จะกรวดน้ำคว่ำขันจนวันตาย แม้เจ้านายท่านไม่ใช้แล้วไม่มา"

แต่เจ้านายท่านใดใช้ไป และไปธุระเรื่องใดไม่ปรากฎ อย่างไรก็ดี สุนทรภู่ได้เดินทางเลยไปถึงบ้านกร่ำเมืองแกลง จังหวัดระยอง
เพื่อไปพบบิดาที่จากกันกว่า ๒๐ ปี สุนทรภู่เกิดล้มเจ็บหนักเกือบถึงชีวิต กว่าจะกลับมากรุงเทพฯ ก็ล่วงถึงเดือน ๙ ปี พ.ศ.๒๓๔๙

หลังจากกลับจากเมืองแกลง สุนทรภู่ได้เป็นมหาดเล็กของพระองค์เจ้าปฐมวงศ์
พระโอรสองค์เล็กของกรมพระราชวังหลัง ซึ่งทรงผนวชอยู่ที่วัดระฆัง
ในช่วงนี้ สุนทรภู่ก็สมหวังในรัก ได้แม่จันเป็นภรรยา
สุนทรภู่คงเป็นคนเจ้าชู้ แต่งงานได้ไม่นานก็เกิดระหองระแหงกับแม่จัน
ยังไม่ทันคืนดี สุนทรภู่ก็ต้องตามเสด็จพระองค์เจ้าปฐมวงศ์ไปนมัสการพระพุทธบาท จ.สระบุรี ในวันมาฆบูชา
สุนทรภู่ได้แต่งนิราศเรื่องที่สองขึ้น คือ นิราศพระบาท
สุนทรภู่ตามเสด็จกลับถึงกรุงเทพฯ ในเดือน ๓ ปี พ.ศ.๒๓๕๐

สุนทรภู่มีบุตรกับแม่จัน ๑ คน ชื่อหนูพัด แต่ชีวิตครอบครัวก็ยังไม่ราบรื่นนัก ในที่สุดแม่จันก็ร้างลาไป
พระองค์เจ้าจงกล (เจ้าครอกทองอยู่) ได้รับอุปการะหนูพัดไว้ ชีวิตของท่านสุนทรภู่ช่วงนี้คงโศกเศร้ามิใช่น้อย
ประวัติชีวิตของสุนทรภู่ในช่วงปี พ.ศ.๒๓๕๐ - ๒๓๕๙ ก่อนเข้ารับราชการ ไม่ชัดแจ้ง
แต่เชื่อว่าท่านหนีความเศร้าออกไปเพชรบุรี ทำไร่ทำนาอยู่กับหม่อมบุญนาคในพระราชวังหลัง
ดังความตอนหนึ่งในนิราศเมืองเพชร ที่ท่านย้อนรำลึกความหลังสมัยหนุ่ม ว่า

"ถึงต้นตาลบ้านคุณหม่อมบุญนาค เมื่อยามยากจนมาได้อาศัย
มารดาเจ้าคราวพระวังหลังครรไล มาทำไร่ทำนาท่านการุญ"

นักเลงกลอนอย่างท่านสุนทรภู่ ทำไร่ทำนาอยู่นานก็ชักเบื่อ ด้วยเลือดนักกลอนทำให้ท่านกลับมากรุงเทพฯ
หากินทางรับจ้างแต่งเพลงยาว บอกบทสักวา จนถึงบอกบทละครนอก บางทีนิทานเรื่องแรกของท่านคงจะแต่งขึ้นในช่วงนี้
การที่เกิดมีนิทานเรื่องใหม่ๆ ทำให้เป็นที่สนใจมาก เพราะสมัยนั้นมีแต่กลอนนิทานจักรๆ วงศ์ๆ ไม่กี่เรื่อง
ซ้ำไปซ้ำมาจนคนอ่านคนดูรู้เรื่องตลอดหมดแล้ว

นิทานของท่านทำให้นายบุญยัง เจ้าของคณะละครนอกชื่อดังในสมัยนั้นมาติดต่อว่าจ้างสุนทรภู่ ท่านจึงได้ร่วมคณะละคร
เป็นทั้งคนแต่งบทและบอกบท เดินทางเร่ร่อนไปกับคณะละครจนทั่ว
ดังตอนหนึ่งในนิราศสุพรรณคำโคลง ท่านรำลึกถึงครั้งเดินทางกับคณะละครว่า

" ๏ บางระมาดมิ่งมิตรครั้ง คราวงาน
บอกบทบุญยังพยาน พยักหน้า
ประทุนประดิษฐาน แทนฮ่อง หอเอย
แหวนประดับกับผ้า พี่อ้างรางวัล "

นิทานเรื่องสำคัญที่สุด คือ เรื่องพระอภัยมณี ก็น่าจะเริ่มแต่งในช่วงนี้ด้วย (เป็นแต่เริ่มแต่ง มิได้แต่งตลอดทั้งเรื่อง)
นิทานเรื่องนี้แปลกแหวกแนวยิ่งกว่านิทานจักรๆ วงศ์ๆ เรื่องใดที่เคยมีมา ทำให้คณะละครนายบุญยังโด่งดังเป็นพลุ
เป็นที่ต้องการของใครต่อใคร และแน่นอนชื่อเสียงของท่านสุนทรภู่ก็โด่งดังไปไม่แพ้กัน
ทั่วทั้งกรุงเทพฯ และหัวเมืองใกล้เคียง

พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ทรงเป็นมหากวีและทรงสนพระทัยเรื่องการละครเป็นอย่างยิ่ง
ในรัชสมัยของพระองค์ได้กวดขันการฝึกหัดวิธีรำจนได้ที่ เป็นแบบอย่างของละครรำมาตราบทุกวันนี้
พระองค์ยังทรงพระราชนิพนธ์บทละครขึ้นใหม่อีกถึง ๗ เรื่อง มีเรื่องอิเหนาและเรื่องรามเกียรติ์ เป็นต้น
มูลเหตุที่สุนทรภู่ได้เข้ารับราชการ น่าจะเนื่องมาจากเรื่องละครนี้เอง ไม่น่าจะเกี่ยวข้องกับกรณีทอดบัตรสนเท่ห์
เพราะจากกรณีบัตรสนเท่ห์นั้น คนที่มีส่วนเกี่ยวข้องถูกประหารชีวิตถึง ๑๐ คน
แม้แต่นายแหโขลน คนซื้อกระดาษดินสอ ก็ยังถูกประหารชีวิตด้วย มีหรือสุนทรภู่จะรอดชีวิตมาได้
นอกจากนี้ สุนทรภู่เป็นแต่เพียงไพร่ มีชีวิตอยู่นอกวังหลวง ช่วงอายุก่อนหน้านี้ก็วนเวียนและเวียนใจอยู่กับเรื่องความรัก
ที่ไหนจะมีเวลามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องการเมือง (กรณีวิเคราะห์นี้ มิได้รับรองโดยนักประวัติศาสตร์
เป็นความเห็นของคุณปราโมทย์ ทัศนาสุวรรณ เขียนไว้ในหนังสือ "เที่ยวไปกับสุนทรภู่" ซึ่งเห็นว่ามูลเหตุที่สุนทรภู่ได้เข้า
รับราชการ น่าจะมาจากเรื่องละครมากกว่าเรื่องอื่น ซึ่งข้าพเจ้าพิเคราะห์ดูก็เห็นน่าจะจริง ผิดถูกเช่นไรโปรดใช้วิจารณญาณ)

อย่างไรก็ดี สุนทรภู่ได้เข้ารับราชการในปี พ.ศ.๒๓๕๙ ในกรมพระอาลักษณ์
เรื่องราวของกวีที่ปรึกษาท่านนี้ ที่ได้แสดงฝีมือเป็นที่พอพระทัยของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
เล่าว่าครั้งหนึ่ง เมื่อพระองค์ทรงพระราชนิพนธ์บทละครเรื่องรามเกียรติ์ ถึงตอนนางสีดาผูกคอตาย

บทพระราชนิพนธ์รัชกาลที่ ๑ ซึ่งเล่นละครกันมา กล่าวบทนางสีดาตอนเมื่อจะผูกคอตายว่า

"เอาภูษาผูกศอให้มั่น แล้วพันกับกิ่งโศกใหญ่
หลับเนตรจำนงปลงใจ อรไทก็โจนลงมา"

ต่อนี้ถึงบทหนุมานว่า

"๏ บัดนั้น วายุบุตรวุฒิไกรใจกล้า
ครั้นเห็นองค์อัครกัลยา ผูกศอโจนมาก็ตกใจ
ตัวสั่นเพียงสิ้นชีวิต ร้อนจิตดังหนึ่งเพลิงไหม้
โลดโผนโจนลงตรงไป ด้วยกำลังว่องไวทันที
ครั้นถึงจึงแก้ภูษาทรง ที่ผูกศอองค์พระลักษมี
หย่อนลงยังพื้นปัถพี ขุนกระบี่ก็โจนลงมา" (เชิด)

ทรงติว่าบทเก่าตรงนี้ กว่าหนุมานจะเข้าไปแก้ไขนางสีดา นางสีดาก็คงตายไปแล้ว
จึงทรงพระราชนิพนธ์ตอนนี้ใหม่ หวังจะให้หนุมานเข้าไปช่วยนางสีดาได้โดยเร็ว ทรงแต่งบทนางสีดาว่า

"จึงเอาผ้าผูกพันกระสันรัด เกี่ยวกระหวัดกับกิ่งโศกใหญ่"

แล้วก็เกิดขัดข้องว่า จะแต่งบทหนุมานอย่างไรให้แก้นางสีดาโดยเร็ว
เหล่ากวีที่ปรึกษาไม่มีใครสามารถแต่งบทให้พอพระราชหฤทัยได้ จึงโปรดให้สุนทรภู่ที่หมอบเฝ้าอยู่ด้วยลองแต่งดู

สุนทรภู่แต่งต่อว่า

"ชายหนึ่งผูกศออรไท แล้วทอดองค์ลงไปจะให้ตาย
๏ บัดนั้น วายุบุตรแก้ได้ดังใจหมาย"

ปรากฏว่าเป็นที่พอพระราชหฤทัยเป็นอย่างยิ่ง ทรงยกย่องสุนทรภู่ว่าเก่ง

อีกคราวหนึ่งเมื่อทรงพระราชนิพนธ์เรื่องรามเกียรติ์ตอนศึกสิบขุนสิบรถ ทรงพระราชนิพนธ์บทชมรถทศกัณฐ์ว่า

"๏ รถที่นั่ง บุษบกบัลลังก์ตั้งตระหง่าน
กว้างยาวใหญ่เท่าเขาจักรวาล ยอดเยี่ยมเทียมวิมานเมืองแมน
ดุมวงกงหันเป็นควันคว้าง เทียมสิงห์วิ่งวางข้างละแสน
สารถีขี่ขับเข้าดงแดน พื้นแผ่นดินกระเด็นไปเป็นจุณ"

ทรงพระราชนิพนธ์มาได้เพียงนี้ ทรงนึกความที่จะต่อไปอย่างไรให้สมกับที่รถใหญ่โตปานนั้นก็นึกไม่ออก
จึงมีรับสั่งให้สุนทรภู่แต่งต่อ สุนทรภู่แต่งต่อว่า

"นทีตีฟองนองระลอก กระฉอกกระฉ่อนชลข้นขุ่น
เขาพระเมรุเอนเอียงอ่อนละมุน อนนต์หนุนดินดานสะท้านสะเทือน
ทวยหาญโห่ร้องก้องกัมปนาท สุธาวาสไหวหวั่นลั่นเลื่อน
บดบังสุริยันตะวันเดือน คลาดเคลื่อนจัตุรงค์ตรงมา"

กลอนบทนี้เป็นที่โปรดปรานของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยยิ่งนัก
นับแต่นั้นก็นับสุนทรภู่เป็นกวีที่ปรึกษาด้วยอีกคนหนึ่ง ทรงตั้งเป็นที่ขุนสุนทรโวหาร
พระราชทานที่ให้ปลูกเรือนที่ท่าช้างและให้มีตำแหน่งเฝ้าฯ เป็นนิจ
แม้เวลาเสด็จประพาสก็โปรดฯ ให้สุนทรภู่ลงเรือพระที่นั่งไปด้วย
เป็นพนักงานอ่านเขียนในเวลาทรงพระราชนิพนธ์บทกลอน

วันที่ ๒๑ กรกฎาคม พ.ศ.๒๓๖๗ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยเสด็จสวรรคต
นอกจากแผ่นดินและผืนฟ้าจะร่ำไห้
ไพร่ธรรมดาคนหนึ่งที่มีโอกาสสูงสุดในชีวิตได้เป็นถึงกวีที่ปรึกษาในราชสำนักก็หมดวาสนาไปด้วย
สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงพระนิพนธ์ไว้ถึงเหตุที่สุนทรภู่ไม่กล้ารับราชการต่อ
ในแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯ ดังนี้

"เล่ากันว่า เมื่อทรงพระราชนิพนธ์บทละครเรื่องอิเหนา ทรงแต่งตอนนางบุษบาเล่นธาร เมื่อท้าวดาหาไปใช้บน
พระราชทานให้พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อยังดำรงพระยศเป็นพระเจ้าลูกยาเธอกรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ทรงแต่ง"
เมื่อทรงแต่งแล้ว ถึงวันจะอ่านถวายตัว พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว มีรับสั่งวานสุนทรภู่ตรวจดูเสียก่อน
สุนทรภู่อ่านแล้วกราบทูลว่า เห็นดีอยู่แล้ว ครั้นเสด็จออก เมื่อโปรดให้อ่านต่อหน้ากวีที่ทรงปรึกษาพร้อมกัน ถึงบทแห่งหนึ่งว่า

" 'น้ำใสไหลเย็นแลเห็นตัว ปลาแหวกกอบัวอยู่ไหวไหว'"

สุนทรภู่ติว่ายังไม่ดี ขอแก้เป็น

" 'น้ำใสไหลเย็นเห็นตัวปลา ว่ายแหวกปทุมาอยู่ไหวไหว'"

โปรดตามที่สุนทรภู่แก้ พอเสด็จขึ้นแล้ว พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวก็กริ้ว
ดำรัสว่า เมื่อขอให้ตรวจทำไมจึงไม่แก้ไข แกล้งนิ่งเอาไปไว้ติหักหน้ากลางคัน เป็นเรื่องที่ทรงขัดเคืองสุนทรภู่ครั้งหนึ่ง"

อีกครั้งหนึ่ง รับสั่งให้พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงแต่งบทละครเรื่องสังข์ทอง ตอนท้าวสามลจะให้ลูกสาวเลือกคู่
ทรงแต่งคำปรารภของท้าวสามลว่า

" 'จำจะปลูกฝังเสียยังแล้ว ให้ลูกแก้วสมมาดปรารถนา'"

ครั้นถึงเวลาอ่านถวาย สุนทรภู่ถามขึ้นว่า 'ลูกปรารถนาอะไร' พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวต้องแก้ว่า

" 'จำจะปลูกฝังเสียยังแล้ว ให้ลูกแก้วมีคู่เสน่หา'"

ทรงขัดเคืองสุนทรภู่ว่าแกล้งประมาทอีกครั้งหนึ่ง แต่นั้นก็ว่าพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว
ทรงมึนตึงต่อสุนทรภู่มาจนตลอดรัชกาลที่ ๒ ... "

จะโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ เพียงคิดได้ด้วยเฉพาะหน้าตรงนั้นก็ตาม สุนทรภู่ก็ได้ทำการไม่เป็นที่พอพระราชหฤทัย
ประกอบกับความอาลัยเสียใจหนักหนาในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย สุนทรภู่จึงลาออกจากราชการ
และตั้งใจบวชเพื่อสนองพระมหากรุณาธิคุณ สุนทรภู่ได้เผยความในใจนี้ ในตอนหนึ่งของนิราศภูเขาทอง ว่า

"จะสร้างพรตอตส่าห์ส่งบุญถวาย ประพฤติฝ่ายสมถะทั้งวสา
เป็นสิ่งของฉลองคุณมุลิกา ขอเป็นข้าเคียงพระบาททุกชาติไป"

เมื่อบวชแล้ว ท่านได้ออกจาริกแสวงบุญไปยังที่ต่างๆ เล่ากันว่า ท่านได้เดินทางไปยังหัวเมืองต่างๆหลายแห่ง
เช่น เมืองพิษณุโลก เมืองประจวบคีรีขันธ์ จนถึงเมืองถลางหรือภูเก็ต
และเชื่อกันว่า ท่านคงจะเขียนนิราศเมืองต่างๆ นี้ไว้อย่างแน่นอน เพียงแต่ยังค้นหาต้นฉบับไม่พบ

ราวปี พ.ศ.๒๓๗๐ ท่านก็กลับมาจำพรรษาที่วัดราชบูรณะ หรือวัดเลียบ
แต่หลังจากกลับมาอยู่ได้ไม่นานสุนทรภู่เกิดอธิกรณ์กับพระในวัด
อาจด้วยเหตุทะเลาะวิวาทอย่างใดอย่างหนึ่ง (บางแห่งสันนิษฐานว่าท่านเมาสุรา) จึงถูกขับออกจากวัด
เมื่อรับกฐินในปลายปี พ.ศ.๒๓๗๑ ท่านก็ออกเดินทางไปกรุงเก่า และได้แต่งนิราศภูเขาทอง
อันเป็นนิราศเรื่องเยี่ยมที่สุดของท่าน และเป็นวรรณกรรมชิ้นเอกของวงการกวีไทย
เหตุที่คาดว่าท่านเกิดการวิวาทกับพระในวัด ด้วยความตอนหนึ่งในนิราศภูเขาทองกล่าวว่า

"โอ้อาวาสราชบูรณะพระวิหาร แต่นี้นานนับทิวาจะมาเห็น
เหลือรำลึกนึกน่าน้ำตากระเด็น เพราะขุกเข็ญคนพาลมารานทาง
จะหยิบยกอธิบดีเป็นที่ตั้ง ก็ใช้ถังแทนสัดเห็นขัดขวาง
จึ่งจำลาอาวาสนิราศร้าง มาอ้างว้างวิญญาในสาคร"

เมื่อกลับจากกรุงเก่า พระสุนทรภู่ได้ไปจำพรรษาอยู่ที่วัดอรุณราชวราราม หรือวัดแจ้ง ปี พ.ศ.๒๓๗๒
เจ้าฟ้ากุณฑลทิพยวดีในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ทรงฝากเจ้าฟ้ากลางและเจ้าฟ้าปิ๋ว
พระโอรสองค์กลางและองค์น้อยให้เป็นศิษย์สุนทรภู่ การมีศิษย์ชั้นเจ้าฟ้าเช่นนี้จึงทำให้พระสุนทรภู่สุขสบายขึ้น
พระสุนทรภู่อยู่วัดอรุณฯ ราว ๒ ปี จึงข้ามฟากมาจำพรรษาอยู่ที่วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม หรือวัดโพธิ์
เล่ากันถึงสาเหตุที่พระสุนทรภู่ย้ายวัดมา ก็เพราะสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรสทรงชักชวนให้มาอยู่ด้วยกัน
สมเด็จฯ ทรงเป็นกวีองค์สำคัญของกรุงรัตนโกสินทร์พระองค์หนึ่ง เชื่อว่าคงจะทรงคุ้นเคยกับสุนทรภู่ในฐานะที่เป็นกวีด้วยกัน
โดยเฉพาะสมัยที่สุนทรภู่เป็นขุนสุนทรโวหารในรัชกาลที่ ๒

ชีพจรลงเท้าสุนทรภู่อีกครั้ง เมื่อท่านเกิดไปสนใจเรื่องเล่นแร่แปรธาตุและยาอายุวัฒนะ ถึงแก่อุตสาหะไปค้นหา
ทำให้เกิดนิราศวัดเจ้าฟ้า และนิราศสุพรรณ

ปี พ.ศ.๒๓๘๓ สุนทรภู่มาจำพรรษาอยู่ที่วัดเทพธิดาราม ท่านอยู่ที่นี่ได้ ๓ พรรษา คืนหนึ่งเกิดฝันร้ายว่าชะตาขาด จะถึงแก่ชีวิต
จึงได้แต่งเรื่องรำพันพิลาป ซึ่งทำให้ทราบเรื่องราวในชีวิตของท่านอีกเป็นอันมาก
จากนั้นจึงลาสิกขาบทเมื่อปี พ.ศ.๒๓๘๕ เพื่อเตรียมตัวจะตาย

เมื่อสึกออกมา สุนทรภู่ได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว
ครั้งทรงพระยศเป็นสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้ากรมขุนอิศเรศรังสรรค์ โปรดอุปถัมภ์ให้สุนทรภู่ไปอยู่พระราชวังเดิมด้วย
ต่อมา กรมหมื่นอัปสรสุดาเทพ ทรงพระเมตตาอุปการะสุนทรภู่ด้วย กล่าวกันว่า ชอบพระราชหฤทัยในเรื่องพระอภัยมณี
จึงมีรับสั่งให้สุนทรภู่แต่งต่อ นอกจากนี้ สุนทรภู่ยังแต่งเรื่องสิงหไตรภพถวายกรมหมื่นอัปสรฯ อีกเรื่องหนึ่ง

แม้สุนทรภู่จะอายุมากแล้ว แต่ท่านก็ยังรักการเดินทางและรักกลอนเป็นที่สุด
ท่านได้แต่งนิราศไว้อีก ๒ เรื่องคือนิราศพระประธม และนิราศเมืองเพชร

สุนทรภู่ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็น "พระสุนทรโวหาร" ในปี พ.ศ.๒๓๙๔ ขณะที่ท่านมีอายุได้ ๖๕ ปีแล้ว
ท่านถึงแก่อนิจกรรมเมื่อปี พ.ศ.๒๓๙๘ รวมอายุได้ ๖๙ ปี


รวมผลงานสุนทรภู่ เรียงตามลำดับ เวลาที่แต่ง ตามหลักฐานที่ปรากฏ

๑. นิทานคำกลอน เรื่องโคบุตร ( ราว พ.ศ. ๒๓๔๘ - ๒๓๔๙ ) แต่งในรัชกาลที่ ๑
๒. นิราศเมืองแกลง ( พ.ศ. ๒๓๕๐ )
๓. นิราศพระบาท ( พ.ศ. ๒๓๕๑ )
๔. นิทานคำกลอน เรื่องพระอภัยมณี แต่งในรัชกาลที่ ๒ และแต่งต่อไปจน รัชกาลที่ ๓ ( เริ่มแต่งในระยะติดคุก )
๕. เสภาเรื่องขุนช้างขุนแผน ตอนกำเนิดพลายงาม แต่งในรัชกาลที่ ๒
๖. สวัสดิรักษา ( ราว พ.ศ. ๒๓๖๔ - ๒๓๖๗ ) แต่งเมื่อเป็นครูของเจ้าฟ้าในรัชกาลที่ ๒
๗. เห่กล่อมพระบรรทม แต่งในรัชกาลที่ ๒
๘. นิทานคำกลอน เรื่องสิงหไกรภพ แต่งในรัชกาลที่ ๒
๙. นิราศภูเขาทอง ( ราว พ.ศ. ๒๓๗๑ )
๑๐. เพลงยาวถวายโอวาท ( ราว พ.ศ. ๒๓๗๓ )
๑๑. กาพย์พระไชยสุริยา แต่งในรัชกาลที่ ๓
๑๒. นิราศวัดเจ้าฟ้า ( พ.ศ. ๒๓๗๕ )
๑๓. นิราศเมืองสุพรรณ ( ราว พ.ศ . ๒๓๘๔ ) แต่งในรัชกาลที่ ๓
๑๔. นิราศอิเหนา ( ราว พ.ศ. ๒๓๘๕ ) แต่งในรัชกาลที่ ๓
๑๕. นิราศคำกลอนเรื่องลักษณวงษ์ แต่งในรัชกาลที่ ๓
๑๖. นิราศพระประธม ( พ.ศ. ๒๓๘๕ ) แต่งในรัชกาลที่ ๓
๑๗. รำพันพิลาป ( ราว พ.ศ. ๒๓๘๕ )
๑๘. นิราศเมืองเพชร ( ระหว่าง พ.ศ. ๒๓๘๘ - ๒๓๙๒ ) แต่งปลายรัชกาลที่ ๓
๑๙. บทละครเรื่องอภัยนุราศ แต่งในรัชกาลที่ ๔
๒๐. เสภาพระราชพงศาวดาร แต่งในรัชกาลที่ ๔
๒๑. สุภาษิตสอนเด็ก แต่งในรัชกาลที่ ๔
๒๒. บทเห่กล่อม ๔ เรื่อง แต่งในรัชกาลที่ ๔ ได้แก่
- เห่เรื่องจับระบำ
- เห่เรื่องกากี
- เห่เรื่องพระอภัยมณี
- เห่เรื่องโคบุตร






























 

Create Date : 22 กุมภาพันธ์ 2551
15 comments
Last Update : 26 เมษายน 2551 15:28:38 น.
Counter : 1463 Pageviews.

 

สวัสดีราตรีสวัสดิ์ขอรับ



 

โดย: คนสาธารณะ 23 กุมภาพันธ์ 2551 0:22:21 น.  

 


" สุนทรภู่ " กวีเอกของไทย
หลากหลายผลงานของท่านงดงามเสมอไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าใด

ขอบคุณเรื่องดีๆ ค่ะ

มีแต่ความสุขมากๆ นะคะ

 

โดย: ทิวาจรดราตรี 24 กุมภาพันธ์ 2551 12:44:30 น.  

 

มาดูๆ ย้ายบ้านไปถึงไหนแล้ว

 

โดย: Lin IP: 118.174.8.94 24 กุมภาพันธ์ 2551 13:09:42 น.  

 


สิบนิ้วนบจบกระหม่อมไหว้จอมครู
ชนเชิดชูชื่นชมคารมกลอน
เป็นแบบอย่างสร้างสรรค์วรรณวิจิตร
เสนาะสนิทยิ่งนักในอักษร
สัมผัสพราวราวระนาดปี่พาทย์มอญ
บรรเลงซ้อนเสียงสลับเพราะจับใจ
หวานวิเวกเอกทุ้มนุ่มนวลโสต
ลางตอนโอดคร่ำครวญโหยหวนไห้
แล้วรัวเร่งเพลงสะบัดสะบิ้งไป
ทะยอยไล่"ลูกหมด"ท้ายบทตอน
ยามตกยากตรากตรำระกำหมอง
ก็ร้อยกรองกลอนระบายทุกข์ถ่ายถอน
ยามสมหวังดังจิตลิขิตกลอน
เป็นอักษรซึ้งซ่านสำราญรมย์
เรียบเรียงร่ำพร่ำไว้ในนิราศ
หลายรสชาติหวานชื่นคละขื่นขม
ลางตอนนั้นขันขำใช้คำคม
คนนิยมแยบยลนิพนธ์ตาม
กลอนนิยายหลายเรื่องกระเดื่องชื่อ
คนเล่าลือทั่วแคว้นแดนสยาม
จักสาธกยกย่อแต่พองาม
ให้เห็นความรอบรู้ของครูกวี
เช่นเรื่องพระอภัยมณีนาถ
เล่าฉลาดว่านาเวศวิเศษศรี
อาจแล่นได้ในจังหวัดปัฐพี
แต่ก่อนนี้คนเห็นเป็นนิทาน
แต่เดี๋ยวนี้มีใช้ใช่สิ่งแปลก
มิผิดแผกคำกลอนสุนทรขาน
ฝรั่งไทยใช้เพรื่อเรือรำบาญ
ขนทหารขึ้นบนหาดพร้อมศาสตรา
เรียกกันว่านาวีแอมฟีเบียน
ไทยเราเปลี่ยนแปลงความตามภาษา
"สะเทิ้นน้ำสะเทิ้นบก"ยกโยธา
ลงชลาแล้วแล่นบนแผ่นดิน
อีกเรื่องนั้นฝันเฟื่องถึงเครื่องเสียง
ส่งสำเนียงดนตรีคีตศิลป์
จากผนังดังไกลคนได้ยิน
ศิลปินขับร้องทำนองเพลง
ความคิดที่มีมาแต่ครานั้น
อัศจรรย์จำเพาะแม่นเหมาะเหม็ง
ท่านก้าวล้ำนำสมัยนึกได้เอง
แบบละเบงหีบเสียงพอเพียงกัน
คนประดิษฐ์คิดขึ้นมาในคราหลัง
เป็นฝรั่งชื่อทอมัสเอดิสัน
ทุกคนเห็นเป็นสิ่งมหัศจรรย์
ท่านภู่บรรยายแบบไว้แยบยล
"พอเหยียบบันไดไพล่พลิกเสียงกริกกร่าง
ระฆังหง่างเหง่งตามกันสามหน"
คนครั้งนั้นสั่นเศียรเขียนชอบกล
พิลึกล้นหลากเหลือจะเชื่อตาม
สมัยนี้มีใช้ทั่วไปหมด
เกิดปรากฏจริงแท้หลายแหล่หลาม
ตามห้างใหญ่ไปดูจะรู้ความ
ไม่มียามรักษาหน้าประตู
เหมือนกับมีปีศาจฉลาดเลิศ
คอยปิดเปิดใบบานทวารอยู่
อีกเรื่องคล้ายทายไว้บอกให้รู้
เรื่องธนูผาดแผลงสำแดงฤทธิ์
"ธนูนั้นลั่นทีละเจ็ดลูก
หมายให้ถูกที่ตรงไหนก็ไม่ผิด"
คือจรวดนำวิถีที่ชี้ทิศ
ไล่ตามติดสังหารผลาญไพรี
จะรำพันสรรเสริญเกินวิสัย
ไม่มีใครทาบทัดรัศมี
ยิ่งตัวฉันด้อยปัญญาบารมี
แต่งกวีวรรณนากลอนพาไป
เหมือนหิ่งห้อยน้อยแสงขืนแข่งแข
ก็รังแต่คนจะหยันและหมั่นไส้
ขอจบคำจำเจียมเสงี่ยมใจ
ผิว์ร่ำไรกลัวผู้อ่านรำคาญเอยฯ

 

โดย: เอื้อ มณีรัตน์ IP: 203.155.40.12 13 มีนาคม 2551 11:22:55 น.  

 

 

โดย: น้องหนู คนกลอน IP: 61.19.231.4 20 เมษายน 2551 13:51:04 น.  

 

มาขอข้อมูลค่ะ

 

โดย: malarn cha 23 พฤษภาคม 2551 10:56:21 น.  

 

ข้อมูลดีมากค่ะ

 

โดย: ด่าวร้ยนว IP: 118.174.85.116 16 มิถุนายน 2551 20:04:05 น.  

 

...
แถ่ก...ทวง....แถ่ก

 

โดย: สิงห์อมบ๊วย 23 มิถุนายน 2551 15:26:06 น.  

 

...
แถ่ก...ทวง....แถ่ก

 

โดย: สิงห์อมบ๊วย 23 มิถุนายน 2551 15:26:17 น.  

 




Missing you.

 

โดย: Opey 25 มิถุนายน 2551 7:56:56 น.  

 

ปี่ อยู่นี่เอง

อ่ะล้อเล่น ค่ะ

oh lun la lun la @~@

 

โดย: iceblue IP: 222.123.121.202 25 มิถุนายน 2551 20:14:43 น.  

 

 

โดย: Opey 26 มิถุนายน 2551 18:12:24 น.  

 



วันนี้วันสุนทรภู่
...ได้มาอ่านในนี้แล้วดีจังค่ะ

คลิกๆๆ รูปสวยๆน่ารักๆไว้ส่งต่อเพียบ...

 

โดย: โสดในซอย 26 มิถุนายน 2551 22:41:15 น.  

 

สวัสดีจ้า เจนนี่แวะมาเยี่ยมทักทายค่ะ และขอบคุณมากน่ะคะ ที่แวะไปทักทายเจนนี่ที่บล็อค วันนี้เจนนี่เอารูปต่อเติมหลังบ้านมาให้ชมกันค่ะ ว่างๆก็อย่าลืมแวะไปชมรูปในบล็อคของเจนนี่ได้น่ะคะ ไว้เจนนี่ว่างอีกเมื่อไหร่ เจนนี่จะกลับมาทักทายและเยี่ยมชมบล็อคนี้อีกน่ะคะ ขอบคุณค่ะ

 

โดย: สาวอิตาลี 27 มิถุนายน 2551 13:33:11 น.  

 

อ๊าก ชวนไปแล้วเพิ่งเห็นว่ามีห้องสุนทรภู่สดุดี ตอนนี้ตีหนึ่งแล้ว ขอตัวไปสลบก่อน แล้วจะแวะเข้ามาอ่านโดยละเอียดครับผม

 

โดย: คุณพีทคุง ณ (ลายปากกา ) 27 มิถุนายน 2551 22:05:43 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


ณธีร์
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




๏ กลั่นความรู้สึกวันละนิด
กรองความคิดวันละหน่อย
คั้นอารมณ์วันละน้อย
เรียงร้อยรอยลักษณ์อักษรา ฯ

Group Blog
 
 
กุมภาพันธ์ 2551
 
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
242526272829 
 
22 กุมภาพันธ์ 2551
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add ณธีร์'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.