All Blog
|
นัดหมายในความมืด「暗いところで待ち合わせ」- โอตสี อิจิ ++นัดหมายในความมืด「暗いところで待ち合わせ」++ ผู้เขียน โอตสี อิจิ ผู้แปล พรพิรุณ กิจสมเจตน์ "คุณรู้จักความเหงาดีพอหรือยังคะ" ประโยคคำถามนี้ถูกตั้งจั่วหัวไว้เป็นประโยคแรกในหน้าคำนำผู้แปล เมื่อรวมกับชื่อ "โอตสึ อิจิ" ที่ทางประเทศญี่ปุ่นยกย่องให้เป็น "ผู้เชี่ยวชาญเรื่องความเศร้า" แล้ว ประโยคคำถามเรื่องความเหงาดูมีน้ำหนักรุนแรงขึ้นมาทันที "นัดหมายในความมืด" อาจจะไม่ใช่หนังสือที่ "เศร้า" ที่สุดของ "โอตสี อิจิ" แต่แน่นอนว่ามันเป็นหนังสือที่ "เหงา" ที่สุดของโอตสี อิจิในความรู้สึกเมื่ออ่านจบลง ถ้าใครไม่ค่อยสนิทชิดเชื้อกับความเหงา หนังสือเล่มนี้จะสอนให้รู้จักกับ "ความเหงา" ได้เป็นอย่างดี จากปกหลัง...มิจิรุต้องตาบอดเพราะอุบัติเหตุ เธอถูกความพิการกักขังไว้ในโลกไร้แสง และต้องใช้ชีวิตอย่างโดดเดี่ยวหลังการตายของพ่อซึ่งเป็นครอบครัวเพียงคนเดียว อากิฮิโระ พนักงานหนุ่มเติบโตในครอบครัวอันอบอุ่น แต่จิตใจเขากลับหม่นดำด้วยการปฏิเสธผู้คนและสังคม ทั้งสองได้มาพบกันในวันที่เกิดคดีฆาตกรรม อากิฮิโระเป็นผู้ต้องสงสัย ส่วนมิจิรุเป็นผู้ให้ที่ซ่อนผู้ต้องสงสัยโดยเธอไม่รู้ตัว เนื่องจากอากิฮิโระใช้ดวงตาอันมืดมิดของเธอเป็นเครื่องกำบัง แต่แล้วในความมืดนั้นเอง ความผูกพันของทั้งสองก็ก่อตัวขึ้นอย่าเงียบเชียบ ไปพร้อมกับปริศนาฆาตกรรมที่กำลังคลี่คลาย ถ้าใครเคยตกอยู่ในห้วงภาวะเหงามาแล้วสักระยะนึง คงจะอินไปกับความรู้สึกของมิจิรุ ด้วยภาษาและบรรยากาศที่เงียบงันและเยือกเย็นตามสไตล์ โอตสี อิจิ Genre ยิ่งทำให้อารมณ์ความรู้สึกของมิจิรุโดดเด่นจนเข้ามาเกาะกุมหัวใจได้ไม่ยาก จนบางครั้งแอบเผลอน้ำตาไหลให้กับมิจิรุ หรือตัวเอง...ความรู้สึกของมิจิรุบนโลกที่ดวงตามืดบอด ทำไมมันช่างคล้ายคลึงกับโลกความเหงาของคนอกหักซ้ำแล้วซ้ำเล่าขนาดนี้ เริ่มจากการปิดกั้นตัวเองเพราะชีวิตที่ผ่านมาพบเจอกับการลาจากและเจ็บปวดหลายครั้ง จึงคอยย้ำกับตัวเองว่าขอเลือกทางที่จะอยู่คนเดียวดีกว่า จะได้ไม่ต้องเจ็บปวดและลาจากอีก ดังเช่นที่มิจิรุว่า... "การได้พบเจอใครบางคน ได้ดีใจ เสียใจ เจ็บปวด และในที่สุดก็ต้องแยกจากกัน เหตุการณ์ที่เกิดซ้ำไปซ้ำมาเช่นนี้ มันช่างน่าเหนื่อยใจ ถ้าเป็นแบบนั้นขออยู่คนเดียวเสียแต่แรกจะดีกว่า" ตามมาด้วยการปกป้องตัวเองด้วยการเลือกมีชีวิตอยู่อย่างมีความสุขตามอัตภาพ เลิกหลงใหลใฝ่ฝันถึงชีวิตที่จริงๆก็แอบวาดหวังไว้แต่กลัวว่ามันคงไม่เป็นจริง และคอยย้ำบอกกับตัวเองว่า "ชั้นอยู่คนเดียวได้" "สิ่งที่มิจิรุควรทำคือ อยู่แต่ในบ้าน ไม่ต้องออกไปไหน ตราบใดที่ทำเช่นนั้น เธอก็จะไม่ต้องหลงใหลใฝ่ฝันสิ่งใด เมื่อไม่หลงใหลใฝ่ฝัน เวลาเอื้อมมือไขว่คว้าสิ่งใดแล้วพลาด เธอก็จะไม่ต้องเจ็บปวดหัวใจ" "มิจิรุกลัวจนปากสั่น แต่เธอต้องทนให้ได้ ชีวิตของเธอจะอยู่ได้อีกนานแค่ไหนกัน ทำงาน แต่งงาน มีลูกน่ะหรือ เธอไม่จำเป็นต้องมีชีวิตแบบนั้นก็ได้ แม้จะมองไม่เห็น เธอก็สามารถอยู่ได้โดยลำพัง" แต่ในความเป็นจริง...ลึกๆก็รู้ว่าสิ่งที่ตัวเองต้องการนั้นคืออะไร และในวันที่อ่อนแอขึ้นมา ความรู้สึกนั้นก็ชัดเจนเด่นชัดขึ้น ที่ผ่านมามันก็เป็นแค่การหลอกและปลอบใจตัวเองเท่านั้น จริงๆแล้วก็แอบคาดหวังที่จะมีความสุขเหมือนคนอื่นๆเค้า "มิจิรุยืนนิ่งบนพื้นครัว และตระหนักชัดในชั่วขณะนั้นว่า ที่เธอประกาศว่าสามารถอยู่ได้โดยลำพังนั้นเป็นการโกหก" "มิจิรุเคยคิดว่าวิถีชีวิตแบบนั้นไม่เลวร้ายนัก และมันคงนำความสุขอันเรียบง่าย กะทัดรัด และสมถะมาสู่ตัวเธอได้ ทว่าเมื่อมองดูคนอื่น เธอกลับอดเศร้าใจไม่ได้ เพราะความสุขของเธอเมื่อเทียบกันกับของคนอื่นแล้ว มันช่างน้อยนิด แต่เธอก็คิดไปเองว่าวิถีชีวิตคล้ายต้นไม้ในกระถางแบบนั้นไม่เลวร้ายนัก" และในวันที่มีใครบางคนเดินผ่านเข้ามาในชีวิต ความกลัวก็จะเริ่มก่อตัว กลัวว่าตัวเองจะเปิดใจรับใครบางคนเข้ามาซึ่งทำให้ตัวเองอ่อนแอลง เมื่ออ่อนแอลง ก็อาจจะไม่สามารถกลับไปใช้วิถีชีวิตแบบเดิมซึ่งพยายามทำมาจนเริ่มชินชานั้นได้อีกครั้ง ต้องเริ่มนับหนึ่งใหม่ทั่งๆที่เริ่มจะคุ้นชินกับชีวิตแบบนั้นแล้ว และที่แย่ไปกว่านั้น คือความกลัวว่าคนๆนั้นจะเดินออกไปจากชีวิตในสักวันหนึ่ง และต้องเจอกับความเจ็บปวดใจอีกครั้งหนึ่ง "เธอควรสบายใจเมื่อรู้สึกว่ามีคนคอยปกป้องไหมนะ ไม่สิ อย่าคิดถึงมันเลยดีกว่า มิฉะนั้นเธอจะรู้สึกว่าตนเองอ่อนแอเหลือเกิน มิจิรุรู้สึกราวกับว่าสิ่งที่ทำมาตลอดโดยลำพังอาจพังทลายลงมา จากนี้ไปเรื่องต่างๆ ที่เธอเคยวางเฉยไม่สะทกสะท้านคงจะกลายเป็นเรื่องน่าเศร้า" "วินาทีที่รับรู้ว่ากำลังเดินคิดเรื่องของเขา มิจิรุรู้สึกว่าตนเองช่างอ่อนแอ เพราะอย่างน้อยตอนเขายังไม่ปรากฎตัว เธอไม่เคยต้องใช้สมองคิดเรื่องแบบนั้น ไม่เคยต้องเจ็บปวดใจเมื่อนึกถึงภาพบ้านที่ไร้เงาของเขา" นอกจากมิจิรุแล้ว ในเรื่องยังมีคนเหงาอีกหนึ่งคน "อากิฮิโระ" ชายหนุ่มซึ่งไม่สามารถเข้าเพื่อนร่วมงานได้เพราะเป็นคนเงียบเฉย เข้าสังคมไม่เก่ง อากิฮิโระก็ใกล้เคียงกับมิจิรุตรงที่ต่างฝ่ายต่างก็ต้องการมีชีวิตในแบบที่ตัวเองใฝ่ฝัน สำหรับมิจิรุมันคือการมีใครสักคนอยู่เคียงข้างในวันที่โลกของเธอมืดสนิท ส่วนอากิฮิโระ ความปรารถนาลึกๆแล้วนั้นคือการได้เป็นส่วนหนึ่งของสังคมรอบตัว ได้ยิ้มได้หัวเราะร่วมกับคนอื่น ทั้งสองเลือกทางเดินเดียวกัน คือ ปิดกั้นเมื่อประสบพบกับความล้มเหลวบ่อยครั้ง เริ่มปฎิเสธว่าสิ่งเหล่านั้นไม่ใช่สิ่งที่ตัวเองต้องการ และสร้างกลไกการป้องกันตัวขึ้นมา เพื่อให้ตัวเองดำรงอยู่ในโลกที่ตัวเองสร้างขึ้นมาเอง...โลกที่ "ชั้นไม่ได้ต้องการใคร" และเพื่อไม่ให้ตัวเองต้องเจ็บปวดกับความล้มเหลวอีกครั้ง ลืมบอกไปว่า หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือที่โรแมนติกด้วยนะ สิ่งที่คนเราต้องการก็คือใครสักคนที่ยอมรับในตัวตนที่เราเป็น ใครสักคนที่นั่งเงียบๆอยู่ข้างๆกัน แต่ก็ทำให้รู้สึกอบอุ่นและเติมเต็ม จริงๆแล้วมันก็คงแค่นั้นแหล่ะ นี่คงเป็นบล็อคที่เหงา เศร้า และสปอยล์ที่สุดตั้งแต่เคยเขียนมา.... ป.ล. ไม่ต้องเป็นห่วงเจ้าของบล็อคนะคะ ไม่ได้เป็นอะไร เจ้าของบล็อคเป็นคนอารมณ์ศิลปินเลยอินกับอะไรง่ายๆ พวกหนังสือ เพลง ภาพยนตร์ ส่วนตอนนี้ก็อินกับ "นัดหมายในความมืด" และมิจิรุ เท่านั้นเอง ชอบผลงานของโอตสึ อิจิ เหมือนกันค่ะ ติดตามอ่านได้หลายเล่มแล้วล่ะค่ะ แต่... เล่มนี้ยังไม่ได้อ่านเลย
โดย: หวานเย็นผสมโซดา วันที่: 3 กันยายน 2555 เวลา:10:33:48 น.
ปกติ อ่านแต่บันทึกการเดินทาง :)
ต่อไปต้องหาแนวนี้มาอ่านลอวดูบ้างเเล้วค่ะ น่าสนใจดีจัง แต่กลัวว่าอ่านแล้วจะอินจัดนี่สิ อิอิ โดย: Nepster วันที่: 3 กันยายน 2555 เวลา:11:44:57 น.
ป.ล. ไม่ต้องเป็นห่วงเจ้าของบล็อคนะคะ ไม่ได้เป็นอะไร เจ้าของบล็อคเป็นคนอารมณ์ศิลปินเลยอินกับอะไรง่ายๆ พวกหนังสือ เพลง ภาพยนตร์ ส่วนตอนนี้ก็อินกับ "นัดหมายในความมืด" และมิจิรุ เท่านั้นเอง << เล่นเอาซะยิ้ม
โดย: lifeinmono วันที่: 3 กันยายน 2555 เวลา:13:20:47 น.
แค่เห็นชื่อเรื่องกะภาพหน้าปก ก็พาลไม่อยากอ่านแล้ว เพราะไม่อ่านแนวนี้ ฮ่าๆๆ แต่เคยอ่านเรื่องคิชเช่น ของบานาน่านะคะ แต่เล่มนั้นไม่หนักอกหนักใจอะไรมาก
ปล แต่อ่านบล็อกนี้แล้วก็อินตามนะ อินแบบรู้สึกว่าเจ้าของบล็อกติสท์ๆๆจริงๆแหละ โดย: settembre วันที่: 3 กันยายน 2555 เวลา:17:30:48 น.
@คุณ sebbembre 55+ เล่มนี้ต่างจากคิชเช่นมากมายค่ะ แต่จริงๆก็ไม่ใช่แนวฆาตรกรรมนะคะเล่มนี้ ให้เป็นดราม่าบวกโรแมนติกค่ะ น่าอ่านนะคะ ^^
โดย: narumol_tama วันที่: 4 กันยายน 2555 เวลา:9:55:38 น.
อ่านรีวิวของคุณ แล้วยิ่งอยากอ่านจังเลยค่ะ :)
โดย: แฟนlinKinPark วันที่: 6 กันยายน 2555 เวลา:0:00:11 น.
อ่านตอนนี้ยิ่งเหงาหนัก...ฝนตกมากมายเลย นั่งหน้าคอมคนเดียว...เหี่ยวใจ
โดย: normalization วันที่: 6 กันยายน 2555 เวลา:10:57:18 น.
วรรณกรรมชิ้นนี้นัดหมายในความมืด
ทำให้นึกถึงซีรีย์ญีปุ่นเรื่องนึง ทีชื่อSmile ความจริงเรื่องก็ไม่คล้ายกันหรอก แต่ว่าเรื่องของเหงา หยามเหยียด อคติทางเชื้อชาติ ตลอดจนการพิพากษาทางสังคม เสรีภาพบุคคล ส่วนอิจิซัง เหมือนจะยังไม่มีซีรีย์ เอามาทำส้กเรื่องนะครับ โดย: Mr.Chanpanakrit วันที่: 8 กันยายน 2555 เวลา:11:50:58 น.
แบบว่าชอบทำตัวเป็นนักประชาสัมพันธ์เจแปนซีรีย์
ถ้าหาซีรีย์ที่เข้าหลักเกณฑ์ เหงา-ดาร์ก-ฆาตกรรม one million stars falling to the sky ที่ทาคุยะเล่น innocent love อันนี้เป็นพี่น้องผู้พลัดพราก โดยเชื่อว่าพี่ตนเองไม่ใช่ฆาตกรรม มีโฮชิโนะ มากิกับฮิโรกิแสดงนำ byukuyaku คล้ายๆกับinnocent love ที่ดาร์กกว่า มีฮารุกะ อายะเสะ และฮิโรยูกิกลับมาคู่กันอีกครั้ง และsleeping forrest อันนี้ปมฆาตกรรมยกครัวเมื่อสิบห้าปีก่อนในคืนคริสตมาส กับชายปริศนาที่โผล่มาเพื่อเตือนความทรงจำ จิตวิทยาเต็มสูบ พลิกสถานการณ์ตลอด วันไหนที่ฟ้าสว่าง แต่อยากเสพงานฆาตกรรม วันนั้น ค่อยมาว่ากันต่อ โดย: Mr.Chanpanakrit วันที่: 9 กันยายน 2555 เวลา:19:07:18 น.
สวัสดีค่ะ ชอบชื่อเรื่องจัง "นัดหมายในความมืด" ปกติเป็นคนไม่ชอบแนวนี้ค่ะ แต่ไม่รู้เป็นไร รู้สึกได้ดูซีรีย์ตลอด 555 แต่ว่าหนังสือช่วงหลังๆ มาไม่ค่อยได้อ่านเลยค่ะ มาติดซีรีย์แทน
โดย: prysang วันที่: 10 กันยายน 2555 เวลา:16:38:10 น.
วันนี้แวะมาเยี่ยมบล็อกของคุณค่ะ อ่านบรรณนิทัศน์หนังสือเรื่อง นัดหมายในความมืดแล้ว รู้สึกว่า ตรงกับความรู้สึกจริง ๆ ของ คนเหงา คนเคยผิดหวัง เคยพลัดพรากกันจริง ๆ แค่คนเขียนบรรณนิทัศน์ หนังสือเรื่องนี้แล้ว ก็ซึ้งในความรู้สึกที่คุณเขียนไว้ ค่ะ เขียนได้แจ่มชัด ได้อารมณ์ความรู้สึกดีค่ะ ขอชื่นชมค่ะ
โดย: อาจารย์สุวิมล (อาจารย์สุวิมล ) วันที่: 14 กันยายน 2555 เวลา:11:15:53 น.
|
natcharat
Rss Feed Smember ผู้ติดตามบล็อก : 34 คน [?] ตั้งใจเปิดบล็อคนี้ขึ้นมาระบายอารมณ์เวลาอ่านหนังสือแต่ละเล่มจบ เพราะชอบอ่านหนังสือมากๆ (จริงๆชอบอย่างอื่นด้วย ดูหนัง ฟังเพลง กิน เที่ยว ช็อปปิ้ง) แอดเป็นเพื่อนกันที่ Facebook ได้นะคะ http://www.facebook.com/narumol.pichedpun "ลิขสิทธิ์ของงานเขียนทุกชิ้นในบล็อกนี้ เป็นของเจ้าของบล็อกตามกฎหมาย หากต้องการคัดลอก ดัดแปลง หรือนำส่วนหนึ่งส่วนใดไปเผยแพร่ต่อ ด้วยวิธีใดๆ กรุณาติดต่อขออนุญาตจากเจ้าของบล็อกก่อนนะคะ เพราะงานเขียนบางชิ้นติดลิขสิทธิ์ค่ะ" [สงวนลิขสิทธิ์ ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ.2539]
Friends Blog
|