มกราคม 2556

 
 
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
16
17
18
19
20
21
22
24
25
26
27
28
29
30
31
 
 
เมื่อเราเลือกขึ้นรถคันหนึ่ง...ก็ย่อมเป็นธรรมดาที่เราต้องพลาดอีกคัน
++เมื่อเราเลือกขึ้นรถคันหนึ่ง...
ก็ย่อมเป็นธรรมดาที่เราต้องพลาดอีกคัน++

ในช่วงที่ตลาดหุ้นวิ่งขึ้นด้วยจังหวะ Step Up 3D ทำนิวไฮ (New High) กันไม่เว้นแต่ละวัน วันนี้ว่านิวไฮในรอบ 60 ปีแล้ว พรุ่งนี้ยังมีที่ไฮกว่า ไม่ว่าจะเป็นนิวไฮของดัชนีตลาดหุ้น หรือนิวไฮของราคาหุ้นรายตัว

ในช่วงเวลาแบบนี้ ไม่ว่ามองไปทางไหน ก็เห็นผู้คนออกมาร้องรำทำเพลงเต้นรำเฉลิมฉลองกับหุ้นที่ถืออยู่ในมือ บางคนก็เฉลิมฉลองกับหุ้นหนึ่งเด้ง (+100%) บางคนได้สองเด้ง (+200%) ส่วนบางคนที่กอด หุ้นในอกมานานหน่อย ได้ลุ้นสิบเด้งกันเลยก็มี หรือบางทีหุ้นอาจจะไม่ลุ้นเด้ง แต่ก็ได้ลุ้นซิลลิ่ง (Ceiling) กันแทน ถ้าวันๆนึงสิงสถิตย์อยู่ในบอร์ดเกี่ยวกับหุ้น กระทู้ทำนองว่า "ลิ่งแล้วจ๊า" ก็จะป๊อปอัพให้เราเห็นเป็นระยะๆ ใครที่ไม่มีหุ้นซิลลิ่งอยู่ในมือก็ต้องทนอิจฉาตาร้อน กัดฟันโพสแสดงความยินดี แต่ในใจนึก "รู้งี้วันนั้นซื้อดีกว่า" หรือไม่ก็แอบด่า "ทำไมไม่บอกก่อนว๊า แม่ม รวยอยู่คนเดียว" เข้าใจว่า ร้อยทั้งร้อยคนคงไม่มีใครฟันธงได้หรอกว่าหุ้นตัวไหนมันจะซิลลิ่ง ณ วันนี้

ในช่วงที่ตลาดหุ้นร้อนแรง มองไปทางไหนก็เห็นแต่คนหน้าเขียว (เพราะพอร์ตหุ้นบวกเขียวปี๋มันสะท้อนจากหน้าจอ) สำหรับคนที่พอร์ตหุ้นยังคงติดตัวแดงๆ หรือเต้นลีลาศไม่ยอมเขยิบไปไหน คงต้องมีอันร้อนรน นั่งไม่ติดเก้าอี้ หุ้นตัวนู้นก็เด้ง ตัวนี้ก็ลิ่ง ตัวนั้นก็บวกเอาๆไปหลายเปอร์เซ็นต์แล้ว หุ้นตัวโน้นเจ้ามือเข้ามาอีก ป๊าด กราฟราคาหุ้นวิ่งขึ้นแทบจะ 90 องศาในหนึ่งนาที 

เอาเป็นว่าหุ้นทุกตัวมันทะยานพุ่งขึ้นกันหมด ยกเว้นหุ้นตัวที่เราถือ...

ในสภาวะตลาดที่ใครๆเค้าก็ได้กำไรกัน แต่หลายๆคนกลับต้องเผชิญกับอาการ "ตกรถ" คือขึ้นรถไม่ทัน ยังไม่ทันได้ขึ้นรถ รถเค้าก็วิ่งไปถึงไหนต่อไหนแล้ว หรือตอนหุ้นนิ่งๆ ราคายังต่ำๆ ยังไม่สะท้อนพื้นฐานราคาที่แท้จริงของหุ้นตัวนั้น ดันไม่ยอมซื้อ พอหุ้นมันวิ่งขึ้นไปแล้ว ก็เสียดาย "รู้งี้" 


เวลาเราเล่นหุ้น เรามักจะกลัวตกรถบ้าง (ไม่ได้ซื้อหุ้น) กลัวขึ้นรถช้าเกินไปบ้าง (ซื้อที่ราคาแพงเกินไป) บางทีก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าต้องขึ้นรถคันไหน (ไม่รู้จะซื้อหุ้นตัวไหน) คันไหนมันจะออกตัวแล้ว (หุ้นตัวไหนจะวิ่งขึ้น) คันไหนมันแค่สตาร์ทเครื่องหลอกๆ แต่ที่ไหนได้ คนขับยังนั่งตัดเล็บอยู่ที่อู่เลย (ซื้อแล้วมันดันนิ่งไม่วิ่งไปไหน) จะหลับหูหลับตาขึ้นก็ไม่ได้อีก เกิดรถมันดอกยางล้อไม่ดี ขึ้นไปแล้วรถมันดันไถลลื่นถอยหลังลงมา คราวนี้ก็ได้หนาวโดดเดี่ยวบนที่สูงคนเดียวอีก (ซื้อหุ้นตอนราคาแพงเกินไป ราคาหุ้นปรับฐานลงมา) สารพัดความกลัวที่จะเกิดขึ้นได้ในตลาดหุ้น

เรากลัวการ "ตกรถ" ในตลาดหุ้น แล้วเราเคยกลัวการ "ตกรถ" ในชีวิตกันบ้างหรือเปล่า...

ยิ่งวนเวียนอยู่กับตลาดหุ้น ยิ่งรู้สึกว่าการลงทุนในหุ้นนั้น แท้จริงแล้วก็ไม่ต่างอะไรกับการลงทุนในชีวิต โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับในเรื่องของ "ความรัก" คงต้องชี้แจงให้รับทราบเสียก่อนว่า เราไม่ได้เป็นเซียนหุ้น พอๆกับที่ไม่ได้เป็นเซียนรัก (เอิ่ม ดูลูกทุ่งจัง) ทั้งหมดอยู่ในขั้นตอนของการเรียนรู้ทั้งสิ้น และทั้ง "หุ้น" และ "ความรัก" หากเปิดตำราเรียนทฤษฎี ก็คงไม่เข้าใจเท่ากับการลงมือปฎิบัติ เล่นจริง เจ็บจริง โนสแตนด์อิน โนสตั๊นท์ ถึงจะเข้าใจ แล้วจึงค่อยลงมือเก็บเกี่ยวประสบการณ์มาใช้ต่อในการลงทุนครั้งต่อๆไป...หุ้นใหม่...คนใหม่



หลายครั้งที่ชีวิตคนเรามีสิ่งดีๆ คนดีๆผ่านเข้ามาแวะเวียนเยี่ยมชมและทักทาย และก็อีกหลายครั้งที่เรา "ปล่อยผ่าน" สิ่งดีๆ คนดีๆเหล่านั้นให้จากไป ในโลกใบที่ทุกคนแย่งกันใช้ชีวิต แค่ใช้ชีวิตตัวเองก็ลำบากมากพอแล้ว จะเหลือใจไปอำนวยความสะดวกให้ชีวิตใครได้อีก นิยามของคำว่า "คนดีๆ" จึงไม่ใช่อะไรที่พบเห็นได้ทั่วไป แล้วจะเข้าไปเลือกชมจับจ่ายซื้อหาได้ตามท้องถนน 

"คนดีๆ" ก็หายากพอๆกับ "หุ้นดีๆ" ที่ราคายังไม่ปรับตัวสูงเกินไปในวันที่ตลาดหุ้นร้อนแรง 

การได้พบเจอคนที่ดีกับเราจริงๆ รักและใส่ใจความรู้สึกของเราอย่างแท้จริง คนที่พร้อมจะอยู่เคียงข้างกันไป ไม่ว่าจะเกิดอุปสรรคปัญหาใดๆก็ตาม ก็เหมือนการถูกล็อตเตอรี่รางวัลที่หนึ่ง หรือในตลาดหุ้น ก็คงเหมือนการค้นพบหุ้น "Turnaround" หรือหุ้นที่ฟื้นตัวจากผลประกอบการติดลบมานานสามารถกลับมาทำกำไรอย่างสวยงามและสม่ำเสมอ เมื่อกำไรดีขึ้น ราคาของหุ้นก็จะขึ้นเพื่อสะท้อนความสามารถทางธุรกิจของหุ้นนั้นๆ และหลายครั้ง หุ้น Turnaround ก็จะเป็นหุ้นที่ทำกำไรได้มากมายในระยะเวลาไม่นาน หรือไม่ก็เป็นหุ้นทองคำที่นักลงทุนแนวคุณค่า "VI (Value Investor)" ชื่นชอบ หุ้นที่ราคาหุ้นในตลาดยังไม่สะท้อนมูลค่าที่แท้จริงของบริษัทที่สามารถมีโอกาสเติบโตในทางธุรกิจในอนาคต

แต่หลายครั้ง เราก็มักจะมองข้ามหุ้นดีๆไป เพราะเราคิดว่าเราสามารถหาหุ้นตัวที่ดีกว่า หรือบางทีเราก็มัวแต่ไปจับจ้องอยู่กับหุ้นตัวเก่าตัวเดิมที่เราเคยถือไว้ในอดีต แต่ปัจจุบันปล่อยขายไปแล้ว ไม่ว่าจะปล่อยขายไปแบบขาดทุน หรือกำไรก็ตาม แต่เราก็ยังจ้องมองและแอบหวังว่าเราจะได้กลับไปถือมันอีกครั้ง ทั้งๆที่บางทีพื้นฐานหุ้นก็เปลี่ยนแปลงไปแล้ว ไม่ดีพอที่เราจะเข้าไปถือ หรือราคาสูงเกินกว่าที่เราจะเข้าไปซื้อได้อีกครั้ง หรือบางครั้ง เราก็หันไปชะเง้อมองหุ้นตัวอื่นที่เรายังไม่ได้รู้จักมักคุ้นอะไรเลยเสียด้วยซ้ำ "บ๊ะ โลกนี้ชักอยู่ยากขึ้นทุกวัน"

มันคงจะไม่เป็นไรหากหุ้นดีๆที่เรามองข้ามไปไม่ได้เติบโตมากมายอะไรนัก แต่หากหุ้นดีๆที่เราปล่อยไปเป็น "หุ้น Turnaround" ที่แม้จะเพิ่งรู้จักกันไม่นาน แต่กลับทำให้เรามีความสุขได้มากมาย หรือ"หุ้นทองคำของนักลงทุน VI" ที่ยิ่งรู้จัก ยิ่งมีคุณค่าต่อชีวิตเรามากมายล่ะ ?

เมื่อเราเลือกขึ้นรถคันหนึ่ง ก็ย่อมเป็นธรรมดาที่เราต้องพลาดอีกคัน...

การ "ตกรถ" ในสนามหุ้น เราก็แค่ได้กำไรน้อยลงเพราะเราไม่มีหุ้นตัวนั้นในพอร์ต วันดีคืนดี เราก็ยังย้อนกลับไปซื้อมาถือได้ แต่การ "ตกรถ" กับคนดีๆในชีวิต บางทีการสูญเสียอาจไม่ได้จบที่ "กำไรที่น้อยลง" อาจเผลอรวมไปถึง "การขาดทุน" ก็เป็นได้ ขาดทุนเวลา ขาดทุนความรู้สึกที่เสียไปกับคนอื่น หรือคนเก่าๆ ที่เราไม่คู่ควรเอาใจเราไปยึดติด และที่สำคัญ...หลายครั้ง เราก็ไม่สามารถย้อนกลับไปจับจองคนดีคนนั้นได้อีกครั้ง 

ชอบชื่อหนังสือเล่มหนึ่งของ "หนุ่มเมืองจันท์" มาก คือ "ให้โอกาสกับสิ่งที่เราไม่รู้" แม้ชีวิตในวันนี้จะรีบเร่ง แต่ก็ไม่ควรจะเร่งรีบในการตัดสินใจ ให้โอกาสตัวเองได้เรียนรู้สักนิดก่อนตัดสินใจ...เพราะค่าเสียโอกาสมันต่างกัน ระหว่าง "หุ้น" กับ "คน"



หมายเหตุ:
Ceiling คือราคาสูงสุดที่จะเกิดขึ้นได้ในวันนั้น โดยปกติแล้ว ราคาของหุ้นสามัญธรรมดา จะสามารถขึ้นหรือลงได้สูงสุด 30% ของราคาปิดในวันก่อนหน้า





Create Date : 15 มกราคม 2556
Last Update : 16 มกราคม 2556 17:21:14 น.
Counter : 1336 Pageviews.

4 comments
  
เขียนดีมากๆเลย แม้ช่วงต้นจะงงกับภาษาหุ้น 55 แต่ช่วงหลังชอบมากที่โยงมันเข้ากับชีวิตและความรักได้ลงตัวมาก เพิ่งรู้ว่าเซียนหุ้นก็ไม่จำเป็นต้องเป็นเซียนรัก อิอิ
โดย: เพื่อนที่ดีที่สุด IP: 27.55.14.245 วันที่: 15 มกราคม 2556 เวลา:22:38:26 น.
  
ประโยคนี้ เราก็เขียนไปได้เนอะ ลูกทุ่งจุงเบย
โดย: narumol_tama วันที่: 15 มกราคม 2556 เวลา:22:58:38 น.
  
ชอบน่ะ เชียนดีจนงงว่านี่คือน้องหนูที่เรารู้จักกินหมูปิ้งหรอ wowww



โดย: putsa IP: 27.55.9.12 วันที่: 23 มกราคม 2556 เวลา:19:17:49 น.
  
^
^
เอิ่มมมมมมมมมมมมมมมมมมมมม

เพราะกินหมูปิ้ง จึงเขียนได้ดี 55 I eat therfore I am
โดย: narumol_tama วันที่: 28 มกราคม 2556 เวลา:16:26:12 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

natcharat
Location :
GaNG-NaM, SeoUL  Korea

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 34 คน [?]



ตั้งใจเปิดบล็อคนี้ขึ้นมาระบายอารมณ์เวลาอ่านหนังสือแต่ละเล่มจบ เพราะชอบอ่านหนังสือมากๆ (จริงๆชอบอย่างอื่นด้วย ดูหนัง ฟังเพลง กิน เที่ยว ช็อปปิ้ง)

แอดเป็นเพื่อนกันที่ Facebook ได้นะคะ http://www.facebook.com/narumol.pichedpun

"ลิขสิทธิ์ของงานเขียนทุกชิ้นในบล็อกนี้ เป็นของเจ้าของบล็อกตามกฎหมาย หากต้องการคัดลอก ดัดแปลง หรือนำส่วนหนึ่งส่วนใดไปเผยแพร่ต่อ ด้วยวิธีใดๆ กรุณาติดต่อขออนุญาตจากเจ้าของบล็อกก่อนนะคะ เพราะงานเขียนบางชิ้นติดลิขสิทธิ์ค่ะ" [สงวนลิขสิทธิ์ ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ.2539]
New Comments