Group Blog
 
<<
กุมภาพันธ์ 2552
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
 
17 กุมภาพันธ์ 2552
 
All Blogs
 
รักเร่ฯ ตอนที่ 2


รถตู้เอนกประสงค์สำหรับเดินทางไกลของหลานเจ้าของไร่ รับผู้ร่วมทางทั้งหมดออกเดินทางไปเมืองจันท์กันแต่เช้าตรู่ จุดนัดพบคือร้านของภานุวัฒน์ อัญชิสา แก้วกัลยาและพักตร์พิลาสทะมัดทะแมงมาในชุดกางเกงยีนส์เสื้อเชิ้ตลำลองดูสบายตา ประภัสสรก็ยีนส์เหมือนกันแต่เสื้อซีฟองสีเขียวของหล่อนรุ่มร่ามรุ่งริ่งกรอมเท้านั่นทำให้หล่อนเหมือนนางไม้ กล้าตะวันจำใจต้องพาหล่อนมาด้วย ก็ใครไม่รู้ไปบอกหล่อนเรื่องการมาพักผ่อนครั้งนี้ ทำให้เจ้าหล่อนมาออดอ้อนจนเขาใจอ่อนหรือเพราะต้องการตัดรำคาญก็ยังไม่แน่ใจ ด้านคุณกรุณาก็บังคับให้พาวรรณรดาแม่สาวน้อยกระเบื้องเคลือบมาด้วย แม้จะรู้ว่าลูกชายทั้งสองต่างก็พาคู่ควงของตนไปด้วยก็ตาม
วรรณรดามาพร้อมพี่เลี้ยงสาวร่างอวบและกระเป๋าใบใหญ่ราวจะไปอยู่สักเดือน ด้วยว่ามารดาเป็นห่วงกลัวจะลำบาก กรชนกอดไม่ได้แอบมากระซิบพี่ชายว่า สงสัยโลกของเจ้าหล่อนคงแคบจัดจนคิดว่าความเจริญมีอยู่แต่ในกรุงเทพฯ กระเบื้องเคลือบของสองพี่น้องสวยน่ารักตามแบบของตนด้วยชุดกระโปรงติดกันสีหวาน หนุ่ม ๆ ต่างมีความเห็นตรงกันว่า ท่าทางนิ่ม ๆ แบบนี้คงจะตามแม่สาวเปรี้ยวปรู๊ดปร๊าดสี่คนที่เหลือนั่นไม่ได้ซะกระมัง
“ไม่เห็นคุณกล้าบอกว่าจะมีแม่พวกนี้มาด้วย” ประภัสสรเริ่มเรื่องก่อนด้วยการต่อว่ากล้าตะวันแต่ก็จงใจให้คนอื่นได้ยิน
“ผมบอกแล้วว่าผมมีเพื่อนมาด้วย แล้วทุกคนที่นี่ก็เป็นเพื่อนผม” เสียงเขาดังพอกัน ชายหนุ่มเองก็ชักจะหมดความอดทน “ถ้าคุณไม่ชอบ เปลี่ยนใจตอนนี้ยังทัน” ท่าทีของเขาทำเอาแม่นางไม้เงียบปากไปได้ และถ้ามองไม่ผิดเขาเห็นรอยยิ้มเยาะเล็ก ๆ ที่มุมปากของพักตร์พิลาส

บ้านไร่สวยงามสมราคาคุย พื้นที่กว้างใหญ่ไพศาลแบ่งเป็นสัดส่วน ทำฟาร์มโคส่วนหนึ่ง ปลูกไม้ผลอีกส่วนหนึ่ง บ้านพักหลังใหญ่สไตล์คันทรี่สร้างกลมกลืนกับบรรยากาศโดยรอบ มองเห็นเทือกเขาสูงต่ำอยู่ไม่ไกล คุณตรัยลงมารับหลานชายด้วยตนเอง ชายสูงวัยร่างทั้งสูงทั้งใหญ่ ผิวสีเข้มเพราะการทำงานกลางแจ้ง คนตัวใหญ่เสียงดังหัวเราะดัง มาดนักเลงรุ่นแรก ทำเอาวรรณรดาแอบไปหลบหลังพี่เลี้ยงโดยไม่รู้ตัว
“ว่าไงหลานชาย จะมาอยู่กี่วันละคราวนี้” ผู้เป็นลุงโอบกอดหลานชายทั้งสองด้วยความรัก “เจ้ากรไม่เจอกันนาน ลุงว่าขาวไปนะตอนนี้ ขี่ม้าซักสองสามวันน่าจะหาย”
“ลุงพูดยังกับผมเป็นโรคต้องรักษา” แล้วลุงหลานก็หัวเราะให้กัน
“ตามสบายเลยนะ คิดซะว่าเป็นบ้านตัวเอง” คุณตรัยว่าเมื่อสองพี่น้องแนะนำเพื่อน ๆ ให้ลุงของตนรู้จัก “ลุงรอกล้าอยู่ จะเข้าไปในฟาร์ม เด็กมันมาบอกว่านังพาเมล่ามันจะออกลูก ไปด้วยกันไหม” เขาเอ่ยชื่อแม่วัวพันธุ์ดีของฟาร์มที่ตั้งชื่อตามดาราสาวพันธุ์เนื้อนมไข่แห่งฮอลลีวู้ด
“ไปสิครับ กรนายดูแลแขกด้วยนะ” สั่งน้องชายแล้วจึงลุกตามผู้เป็นลุงออกไป ประภัสสรอยากจะถลาตามเหมือนกัน แต่ยังเกร็ง ๆ กับท่าทีของคุณตรัยอยู่ จึงได้แต่มองตามตาปริบ ๆ

“ไอ้แก่น เอ็งมานั่งเป๋ออะไรอยู่นี่” คุณตรัยตวาดเด็กหนุ่มหุ่นเก้งก้าง ที่นั่งพับเพียบเรียบร้อย พอเห็นหน้ากล้าตะวันมันก็ยกมือไหว้ ทำท่าเหมือนลิงจกกะปิ
“ไอ้แก่นมารอนายกล้า” มันปวารณาตัวเป็นลูกน้องคนสนิทของกล้าตะวัน ตั้งแต่สมัยชายหนุ่มเรียนจบกลับมาจากต่างประเทศใหม่ ๆ
“รอทำไมวะ ใครไม่รู้จะหาว่าเอ็งมีอะไรกับข้า” กล้าตะวันคันเบื้องล่างเล็ก ๆ
“คิดถึงเจ้านายจะแย่แล้ว” มันชเลีย แต่สายตาก็เล็งปลายเท้านายไว้ มันรู้ฤทธิ์เท้าคู่นี้ดี ถ้าหลบไม่ทันมีจุกเหมือนกัน
“ข้าจะอ้วกไอ้แก่น” คุณตรัยทนไม่ได้เสียแทน “เอ็งมาก็ดีแล้ว ไปตามต้องตาให้มาช่วยดูแลแขกของนายกล้าก่อน แล้วเอ็งค่อยตามไปเลียนายเอ็งต่อที่โรงพยาบาล” หน่วยดูแลพยาบาลสัตว์ของฟาร์ม มีสัตวแพทย์อยู่สองคน เขาเลยตั้งให้เป็นโรงพยาบาลเสียเลย

ต้องตามาถึงบ้านใหญ่ก่อนที่เจ้าแก่นจะไปตาม ร่างโปร่งบางสูงเอาการอยู่เมื่อเทียบกับหญิงไทยทั่วไป สีผิวออกเข้มตามลักษณะของคนพื้นที่ หญิงสาวเป็นลูกสาวของลูกน้องคนสนิทของคุณตรัยที่บุกเบิกถางไร่ถางพงกันมาแต่แรก ทำให้ดูมีศักดิ์และสิทธิ์มากกว่าคนงานทั่วไป พอเรียนจบด้านการเกษตรก็มาช่วยงานในสวนส้ม เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงได้เป็นอย่างดี และรับดูแลเรื่องทั่วไปตามแต่คุณตรัยจะสั่งด้วย
“ทุกคนครับ นี่ต้องตาจะเป็นคนดูแลคุณสาว ๆ ถ้ามีอะไรต้องการอะไรบอกต้องตาได้เลย” กรชนกแนะนำ
“ยินดีต้อนรับค่ะ เชิญค่ะดิฉันจะพาไปห้องพัก” หล่อนเดินนำขบวนแขกขึ้นไปยังชั้นบนของตัวบ้าน เมื่อแนะนำตัวกันเป็นที่เรียบร้อย
อัญชิสากับแก้วกัลยาพักด้วยกัน วรรณรดาพักกับผู้ติดตาม ประภัสสรโวยวายเมื่อรู้ว่าหล่อนต้องพักกับพักตร์พิลาส
“ห้องคุณกล้าตะวันอยู่ไหน ฉันจะพักกับเขา เราเป็นแฟนกัน” หล่อนตะคอกใส่ต้องตา
“คงไม่ได้หรอกค่ะ คุณกล้าตะวันไม่ได้สั่งไว้ว่าจะให้ใครนอนด้วย” ต้องตาบอกหน้าตาเฉย
“ถ้าคุณแพทไม่สะดวกที่จะพักกับดิฉัน สลับกับแอนหรือแก้วก็ได้นะคะ” พักตร์พิลาสเกรงใจเจ้าของบ้าน คนอื่นไม่เห็นมีปัญหา แม่นางแบบไฮโซนี่เรื่องมากชะมัด
“ฉันไม่ชอบนอนกับดาราทีวี” หล่อนสะบัด “อ้อลืมไป คนใช้ส่วนใหญ่มักจะติดละคร คงมีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน”
ต้องตากับพักตร์พิลาสสาวเท้าเข้าหาประภัสสร กรชนกเห็นท่าไม่ดี “งั้นคุณนอนคนเดียวได้หรือเปล่า ห้องพี่กล้าคงไม่สะดวก คุณลุงผมค่อนข้างหัวโบราณ อีกอย่างต้องตาไม่ใช่คนรับใช้ที่นี่ เป็นลูกสาวคนสนิทของคุณลุงผม หวังว่าคุณแพทคงจะเข้าใจ” เขาก็ชักจะไม่ไหวกับคู่ควงของพี่ชาย พี่กล้านี่ยังไง ไหนว่าจะสะบัดให้หลุด ทำไมถึงปล่อยให้ตามมาที่นี่ได้
ประภัสสรนิ่ง “งั้นก็ได้ แพทเอาห้องที่จัดไว้แล้วนี่แหละ คนอื่นให้เขารอห้องที่จัดใหม่แล้วกัน แพทเหนื่อยอยากพัก” หล่อนสรุปง่าย ๆ
“ไม่เป็นไรค่ะคุณกร ดิฉันไม่ค่อยเหนื่อย อยากออกไปดูรอบ ๆ ที่นี่สวยมากค่ะ” พักตร์พิลาสนึกสงสารเจ้าของบ้านที่ต้องมีแขกมารยาทแบบนั้น
“ให้ต้องตาพาไปก็ได้นะครับ” เขาเอื้อเฟื้อ ต้องตาพยักหน้ารับอย่างจริงใจ หล่อนรู้สึกชอบนางร้ายมากกว่าแม่นางแบบกรุยกราย ที่อ้างว่าเป็นแฟนนายกล้านั่นเสียอีก

อากาศยามบ่ายไม่ร้อนจัดอย่างที่คิด ต้องตาขับรถพาสาว ๆ ชมรอบไร่ พร้อมบรรยายอย่างสนุกสนาน ประภัสสรขอตามมาด้วยเพราะทุกคนมากันหมดหล่อนไม่อยากอยู่บ้านใหญ่ ๆ นั่นคนเดียว คนที่หล่อนคุยด้วยได้มีแต่วรรณรดา ด้วยว่าคนระดับเดียวกันคุยกันรู้เรื่อง คนอื่น ๆ ได้แต่ค่อนอยู่ในใจ ใครก็คุยกับคุณหนูวรรณรู้เรื่อง เพราะหล่อนได้แต่ยิ้มหรือไม่ก็พยักหน้า ค่ะ ค่ะ
ตกเย็นเป็นปาร์ตี้ในสวน คุณตรัยล้มวัวต้อนรับหนุ่มสาวที่กลางสวนพักผ่อนหลังบ้าน ประภัสสรเกาะติดกล้าตะวันตั้งแต่เขากลับเข้ามาเมื่อตอนเย็น ต้องตานั้นคุยถูกคอกันดีกับกลุ่มของพักต์พิลาสอาจเพราะเป็นประเภทไม่ยอมใครเหมือนกัน คนงานในไร่ต่างเขามาแวะเวียนดูดารานางแบบกันเป็นทิวแถว ไม่เว้นแม้แต่พี่เลี้ยงของวรรณรดาที่เพิ่งจะกล้าเห่อดาราทั้งที่เจอกันมาทั้งวันแล้ว ที่ใจกล้าหน่อยก็มีเข้ามาขอถ่ายรูปทั้งพักตร์พิลาส อัญชิสาและแก้วกัลยา จนคุณตรัยอดไม่ได้ต้องเดินไปไล่
“ไอ้พวกนี้...พอ ๆ เก็บไว้วันอื่นบ้างก็ได้ เขายังอยู่กันอีกหลายวัน ให้คุณ ๆ เขากินข้าวได้แล้ว เห่อกันเสียจริง” นั่นแหละขบวน ‘บ้าดารา’ ถึงได้สลายตัว
คนงานในไร่นำเหล้าที่หมักจากผลไม้ในสวนมาให้กล้าตะวันกับกรชนก เพราะรู้ว่าชอบ มาทีไรเรียกหากันทุกที สองหนุ่มรินแจกจายให้ชิมกันโดยทั่ว ต่างลงความเห็นว่าอร่อย มีทั้งแบบหวานหอมสาว ๆ ชอบกันมาก และแบบดีกรีเข้มข้นของผู้ชาย
“หนูวรรณลองหน่อยไหม” กล้าตะวันยื่นแก้วบรรจุน้ำสีสวยให้วรรณรดา
“ไม่ดีกว่าค่ะ เดี๋ยวคุณแม่ทราบจะว่าเอาได้”
“ลองนิดนึงสิคะอร่อยดี รับรองพวกเราไม่ไปฟ้องคุณแม่คุณวรรณหรอกค่ะ” อัญชิสาช่วยเสริม
“โอ๊ย ระดับคุณหญิงแม่ของน้องวรรณ คงให้พวกดาราปลายแถวเข้าพบหรอก” ประภัสสรทำเสียงเยาะเย้ย
“ก็ไม่แน่นะคะ เพราะดาราอย่างพวกเราเนี่ย เวลามีละครการกุศลผู้ดีเขาก็เรียกใช้บ่อย ไม่เหมือนพวกเดินตามแคทวอร์ก เชิญไปก็คงทำอะไรไม่ได้มาก นอกจากเดินเชิด ๆ คอแข็ง ๆ มองไม่เห็นหัวคนอื่น” พักตร์พิลาสทนไม่ไหว ย้อนให้บ้าง
“หล่อนว่าใคร” คู่กรณีจ้องหล่อนราวจะกินเลือดกินเนื้อ
“ใครอยากได้ก็รับไปสิคะ”
“จะมีใครนอกจากชั้นที่เดินบนแคทวอร์ก”
“แน่ใจหรือคะ ดิฉันกับแอนก็ได้รับเชิญไปเดินแบบออกจะบ่อย” หล่อนเน้นคำว่า ‘รับเชิญ’ ชัดถ้อยชัดคำ “ไม่เห็นจะเดือดร้อน หรือว่าคุณเป็นประเภท คอแข็งมองไม่เห็นหัวคนอื่น”
“คุณกล้าดูแม่นางร้ายนี่สิคะ ว่าแพทฉอด ๆ” นางแบบสาวเริ่มหาพวก
“ผมว่าเราอย่ามาเถียงกันเลยดีไหมครับ สนุกกันดีกว่านะ” กล้าตะวันตัดบท ไม่อยากโทษตัวเองที่พาคนไม่ถูกกันมาด้วยกันจนได้ ขยันหาเรื่องจิกกัดกันเสียจริง
“แม่สาวคนนี้ของแก ท่าทางรักแกน่าดู” ผู้เป็นลุงอดกระซิบล้อ ๆ ไม่ได้ เมื่อเห็นหน้าตาเต็มกลืนของหลานชาย
“โธ่ลุงครับ ช่วยผมหน่อยสิ เห็นกรว่าเมื่อบ่ายอาละวาดต้องตาด้วย”
“โอ๊ย เดี๋ยวไอ้ต้องมันจัดการเอง ไม่ต้องเป็นห่วง ไอ้นั่นมันยอมใครที่ไหน”
“แล้วเจ้ากรน่ะ มันรักแม่ดารานั่นจริงเร้อ” คุณตรัยบุ้ยใบ้ไปทางหลานชายคนเล็ก
“คงดูกันไปเรื่อย ๆ มั้งครับ”
“คงไม่ดูอย่างเดียวมั้ง ท่ามันจะคลำซะด้วย” พยักเพยิดให้หลานชายคนโตดู กรชนกกับอัญชิสาที่นั่งตัวติดกันไม่ยอมห่าง “แกล่ะคลำไปหรือยัง คงไม่ทิ้งกันเท่าไรมั้ง ไม่งั้นคงไม่ติดแกขนาดนี้” คนเป็นลุงพูดตรง ๆ “ระวังแต่แม่แกเถอะ”
ก่อนที่กล้าตะวันจะเถียงกับคุณตรัยว่าอะไรต่อ เจ้าแก่นก็ถือถาดอาหารร่อนเข้ามา
“มาแล้วคร้าบ จานโปรดของนายกล้ากับนายกร ไอ้แก่นปรุงเองกับมือ” มันวางอาหารลงตรงหน้าสองนายหนุ่ม แล้วก็นั่งพับเพียบรออยู่อย่างนั้นเอง
“แล้วเอ็งจะรออะไร” กล้าตะวันขยับเท้า
“นายชิมซักหน่อยสิ เป็นกำลังใจ ไอ้แก่นทำสุดฝีมือ” มันทำท่าน่าสงสาร
“อะไรคะนี่ หน้าตาเหมือนเสต็ก” พักตร์พิลาสชะโงกหน้ามาดูใกล้ ๆ เจ้าแก่นบิดไปมาไม่กล้าตอบ คนสวยพูดด้วยกะมัน พรุ่งนี้มันจะโม้ให้ทั่วไร่
“ลีลา เดี๋ยวปั๊ด” คุณตรัยหมั่นไส้
“เนื้อย่างแบบอังกิด นายกรสอนไอ้แก่นตอนกลับมาใหม่ ๆ ขอรับ” มันยังเอียงไปเอียงมา
“ไม่เห็นเคยรู้เลยว่ามีตำรานี้ด้วย” อัญชิสาขำ
“ไม่ใช่สูตรอังกฤษอะไรหรอกครับ เนื้อย่างธรรมดาหมักเครื่องเทศนิดหน่อย ผมทำกินตอนอยู่อังกฤษอร่อยดี กลับมาก็เลยมาสอน จะได้ไม่ต้องทำเอง” กรชนกอธิบาย
“พี่กรกับพี่กล้าเป็นนักเรียนอังกฤษทั้งคู่เลยหรือเปล่าคะ” ได้แอลกอฮอล์เข้าไปหน่อยทำให้วรรณรดากล้าคุย
“ครับ เราจบบริหารกันทั้งคู่ แต่พี่กล้าเขาข้ามไปเรียนเรื่องการจัดการฟาร์มต่อที่อเมริกา”
“พี่พักตร์ก็อยู่อังกฤษ ไม่เจอกันบ้างเหรอคะ” แก้วกัลยาถามเล่น ๆ ทำเอาทุกคนหันมามองพักตร์พิลาสอย่างสนใจ ตลอดเวลาหล่อนไม่เคยปริปากเรื่องของหล่อนให้ใครฟัง นอกจากเพื่อนที่สนิทกันจริง ๆ
“ท่าทางจะไปขายตัว” ประภัสสรพูดไม่ดังนัก แต่กล้าตะวันก็ได้ยินเพราะอยู่ใกล้สุด เขาไม่ชอบคนพูดจาดูถูกคนด้วยถือว่าเป็นนิสัยน่ารังเกียจที่สุดของมนุษย์ แต่ดูเหมือนคนอื่นจะไม่ได้ยินอย่างเขา จึงเฉยเสีย
“นั่นสิครับ สังคมเด็กไทยที่ลอนดอนออกจะแคบ แล้วอายุเราก็ไม่น่าจะห่างกันมาก น่าจะเจอกันบ้าง ไม่เจอพี่กล้าก็น่าจะเจอผม” กรชนกซักอย่างจริงจัง
“พักตร์อยู่ซัสเซกส์น่ะค่ะ ตามพ่อกับแม่ไปทำร้านอาหารไทยที่นั่น ไม่ได้เข้าลอนดอนเท่าไร แล้วก็ไม่มีเพื่อนคนไทยเลยค่ะ ไม่ค่อยมีคนรู้ด้วยว่าเป็นคนไทย” พอเห็นทุกคนทำหน้างง หล่อนเลยต้องอธิบายต่อ “พักตร์อยู่โน่นตั้งแต่อายุสิบสอง จนเรียนจบ พึ่งกลับมาอยู่เมืองไทยได้ไม่ถึงสามปีเลยค่ะ”
“ภาษาไทยหนูชัดมากเลยนะ ดีกว่าเด็กที่โตเมืองไทยบางคนเสียอีก” คุณตรัยชม
“ก่อนไปโน่น แม่เป็นครูภาษาไทยค่ะ ถูกบังคับให้อ่านทั้งหนังสือแล้วก็วรรณคดีที่แม่ส่งลงเรือตามไปด้วย หลายร้อยเล่มอยู่เหมือนกัน ตอนกลับมาใหม่ ๆ พักตร์พูดจาเป็นภาษาหนังสือมาก”
“แล้วตอนนี้พ่อแม่หนู ยังอยู่โน่นหรือ”
“คุณแม่เสียแล้วค่ะ ตั้งแต่พักตร์จบไฮสคูล เหลือคุณพ่อกับภรรยาใหม่ดูแลร้านที่โน่น”
“เสียใจด้วยนะหนู แต่หนูเก่งนะเข้มแข็งมาก”
“ขอบคุณค่ะ” หล่อนยกมือไหว้คุณตรัยได้สวยกว่าหลายคนที่เกิดและเติบโตในเมืองไทย
ทุกคนต่างแสดงความเสียใจเรื่องมารดาของหญิงสาว และถามเรื่องราวของหล่อนอีกหลายประโยค พักตร์พิลาสไม่เคยปิดบังเรื่องของตนเอง แต่ก็ไม่เคยเล่าให้ใครฟัง เมื่อมีคนถามหล่อนก็ตอบตามจริง
จนล่วงเข้าสู่วันใหม่ทุกคนถึงได้แยกย้ายกันไปนอน ก่อนจะนัดกันว่าถ้าใครตื่นไหวจะได้ไปดูพระอาทิตย์ขึ้นจากยอดเขาท้ายไร่ โดยมีกรชนกอาสาเป็นไกด์ตลอดรายการ

พักตร์พิลาสตื่นตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่าง แต่งตัวเรียบร้อยรอไกด์กรชนกที่สัญญาว่าจะพาไปชมพระอาทิตย์ขึ้นแต่เช้า เดินลงมาหาข้างล่างไม่เห็นใครสักคน หรือว่าหล่อนตื่นสาย
“คุณไม่ง่วงบ้างหรือไง” เสียงกล้าตะวันทักขึ้น เขาเดินออกมาจากในครัว ในมือถือถ้วยกาแฟหอมกรุ่น “กาแฟซักถ้วย?” เขาเชิญชวน
“เช้าไปค่ะ ขอบคุณ”
“จะไปดูพระอาทิตย์ขึ้นละสิ โดนเจ้ากรหลอกแล้วละ ไปกับผมไหม”
“รอคุณกรดีกว่าค่ะ”
“คงไม่มีใครไปกับคุณไหวหรอก ตอนผมตื่นยังเห็นเล่นไพ่กันอยู่เลยทั้งแกงค์ เพิ่งเข้าไปนอนได้สักพักนี่เอง”
“ขี่ม้าเป็นไหม?” จู่ ๆ เขาก็ถามขึ้น
“คะ?” หล่อนไม่แน่ใจในคำถาม
“ขี่ม้าได้หรือเปล่า จะพาขี่ม้าไปไม่ไกลหรอก” หล่อนส่ายศีรษะ “ไม่เป็นไรงั้นไปตัวเดียวกันก็ได้”
พักตร์พิลาสหน้าแหย “ทำหน้าเหมือนผมจะพาไปฆ่า” เขาเดินกลับเข้าไปในครัว ไม่นานนักแม่บ้านก็ถือกระติกเก็บความร้อนอย่างดีใส่กาแฟมาส่งให้ “น่า...ผมไม่ทำคุณหล่นหรอก ไปเถอะเดี๋ยวไม่ได้เห็นพระอาทิตย์ขึ้นกันพอดี”

“คุณรออยู่นี่นะ เดี๋ยวผมมา” เขาหายไปสักพักก่อนกลับมาพร้อมม้าตัวใหญ่ “ส่งมือมาสิ” เขายื่นมือมาให้ หล่อนกล้า ๆ กลัว ๆ “ตัวนี้ชื่อซัมเมอร์ มันเชื่องมาก ผมเลี้ยงมาเองกับมือไม่ต้องกลัวหรอก ไว้ใจได้” พักตร์พิลาสลังเลอยู่พักใหญ่ ในที่สุดก็ยอมส่งมือให้เขาจับส่งหล่อนขึ้นไปบนหลังม้า ตามด้วยกระติกกาแฟให้หล่อนถือ แล้วจึงโหนตัวเองขึ้นตามไปซ้อนหลังหล่อน “ทำตัวตามสบายอย่าเกร็ง” เขาว่าก่อนจะพาทั้งคนทั้งม้ามุ่งหน้าไปทางท้ายไร่ แผ่นหลังของหล่อนแนบกับแผ่นอกกว้าง จนได้กลิ่นหอมของน้ำยาหลังโกนหนวด แสงสว่างยามเช้าเริ่มรำไรแล้ว จนในทึ่สุดเขาก็พาม้าและหล่อนเหยาะย่างพ้นทิวไม้สู่พื้นที่ที่เป็นต้นลำธารสายที่ผ่านเข้าไปกลางไร่ เหมือนหลุดเข้ามาอยู่อีกโลกหนึ่ง ไม่นานนักก็หยุดม้าใต้ต้นไม้ใหญ่
“ถึงแล้วหรือคะ ไม่เห็นอะไรเลย” พักตร์พิลาสมองไปรอบ ๆ
“ต้องขึ้นไปดูบนโน้น” กล้าตะวันชี้ไปบนต้นไม้ หล่อนมองตามมือไป เห็นบ้านต้นไม้หลังไม่เล็กนักอยู่บนคาคบสูงขึ้นไป
“น่ารักจังเลยค่ะ”
กล้าตะวันโดดลงไปยืนที่พื้นเรียบร้อยแล้ว ก่อนส่งมือมารับกระติกกาแฟ แล้วก็รับหญิงสาวลงจากหลังม้า เขาปีนขึ้นไปก่อน แล้วจึงโยนบันได้เชือกให้หญิงสาวตามขึ้นไป
บ้านต้นไม้นี้แข็งแรงมาก มีเบาะรองนั่งกับหมอนสามเหลี่ยมสองสามลูกวางอยู่บนเบาะผ้าขนาดนอนได้สี่ห้าคน ชายหนุ่มวางกระติกกาแฟลงบนโต๊ะเล็ก ๆ ติดข้างฝา
“เป็นจุดชมวิวที่สวยที่สุดของที่นี่เลยนะ ตั้งแต่เด็ก ๆ ผมกับกรชอบมาปีนต้นไม้ต้นนี้ขึ้นมาเพื่อดูวิว ลุงตรัยก็เลยสร้างบ้านนี้ให้เราสองคน ช่วงไหนที่แกรู้ว่าผมจะมากัน ก็จะส่งคนมาทำความสะอาดจัดที่จัดทางให้พร้อมใช้ตลอดเวลา” เขาดึงหล่อนให้เดินตามเขาไปทางด้านที่เปิดโล่ง “ดูโน่น อีกไม่เกินห้านาทีคุณจะได้เห็นพระอาทิตย์ขึ้นเป็นคนแรกของไร่นี้” เขาชี้ให้หล่อนมองไปทางเทือกเขาสลับซับซ้อนไกลออกไป ส่วนตัวเองกลับไปทิ้งตัวลงนอนอิงหมอนสบายอารมณ์
ไม่นานนักพักตร์พิลาสก็ได้เห็นพระอาทิตย์ดวงกลมโตสีแดงโผล่พ้นยอดเขา ให้ความสว่างแก่พื้นดินสีเขียวขจี สะท้อนพื้นน้ำในลำธารกว้างให้เป็นสีแดงไปด้วย
“สวยจังเลยค่ะ” หล่อนถอยลงมานั่งคู่เขาแล้ว ตรงนี้สบายกว่าจริงด้วย มิน่าเขาถึงไม่ขยับไปไหน ชายหนุ่มรินกาแฟใส่ฝากระติกให้หญิงสาว ส่วนตนเองนั้นกระดกจากกระติก
“ใช่ สวยจริง ๆ” แต่ตาเขาไม่ได้มองที่ทิวทัศน์ด้านนอกเลยแม้แต่น้อย กลับจับจ้องที่หญิงสาว เวลาหล่อนไม่แต่งหน้านี่ก็สวยไปอีกแบบ ดูอ่อนเยาว์ ไม่เหลือเค้าไม่ยอมคนให้เห็น ผมยาวสลวยรวบเป็นหางม้าไว้ด้านหลัง กลิ่นหอมของมันยังติดจมูกเขาตั้งแต่บนหลังม้า เหมือนรู้ตัวหล่อนหันมาทางเขา ประกายกล้าจากตาคมนั่นทำหล่อนสะท้านได้เหมือนกัน โชคดีที่แสงสว่างยังไม่ชัดเจนนัก ไม่งั้นเขาคงเห็นหน้าหล่อนแดงแน่ ๆ
“คุณรู้ตัวไหม ว่าคุณสวยมาก”
“ถ้าคุณแพทได้ยิน แฟนชมผู้หญิงอื่น คงอยากฉีกอกดิฉันแน่ ๆ” หล่อนว่าก่อนจะหลบตาเขา ผู้ชายอะไรตาพูดได้
“คนเก่งอย่างคุณอายเป็นเหมือนกันหรือ”
“ใครว่าฉันอาย”
“ไม่อายแล้วหลบตาทำไม ผมชอบมองตาคุณ ตาคุณสวย” แล้วใครจะกล้ามองเล่า
“ฉันไม่ได้อาย”
“งั้นก็มองตาผม”
“ฉันยังอยากดูวิวอยู่”
“ตามใจ” เขาทิ้งตัวลงนอนเหมือนเดิม แต่อ้อมแขนแข็งแรงกลับตวัดรอบเอวดึงหล่อนเสียหลักหงายท้องลงบนเบาะเคียงข้างชายหนุ่ม ก่อนจะยันกายขึ้นก้มมองหล่อนยิ้ม ๆ
“คุณจะทำอะไรน่ะ”
“เปล่า ก็บอกแล้วว่าผมอยากมองตาคุณ” แขนเขายังพาดอยู่ที่เอว หญิงสาวพยายามจะลุกขึ้น เมื่อไม่สำเร็จหล่อนจึงยกมือยันอกเขาไว้
“อย่าทำอะไรบ้า ๆ นะ ไม่งั้นจะร้องให้คนช่วยจริง ๆ” หล่อนรัวกำปั้นไปที่อกเขา
“ร้องสิ ร้องเลย ถ้าไม่อยากถูกจูบกลางป่านี่”
“ช่วยด้วย ใครก็ได้ช่วยที” หล่อนตะโกนสุดเสียง ไม่ทันจะสุดคำดี กำปั้นของหล่อนถูกรวบติดกันแน่น ริมฝีปากอุ่นปิดปากหล่อนเสียสนิท หล่อนดิ้นสุดแรงพยายามต่อต้านทั้งเขาและความรู้สึกของตนเอง ไม่ใช่ไม่เคยถูกจูบ แต่ไม่เคยมีใครไม่ให้หล่อนตั้งตัวอย่างนี้มาก่อน จูบที่ดุดันในตอนแรกกลับแผ่วเบาลง ตามแรงขัดขืนที่ลดลง ก่อนจะเปลี่ยนเป็นเรียกร้องอ่อนหวาน ฝ่ามือเขาลูบไล้อยู่รอบแผ่นหลัง พอเขาถอนปากออกหล่อนเสียอีกกลับเป็นฝ่ายผวาตาม ลมหายใจหอบกระชั้นถี่ขึ้น คราวนี้อีกอึดใจใหญ่กว่าที่ทั้งสองจะแยกออกจากกัน อ้อมแขนของชายหนุ่มยังคงรัดแน่น หญิงสาวพยายามรวบรวมสติดันอกเขาออกห่าง คราวนี้เขายอมแต่โดยดี แต่ยังไม่วายมีรอยยิ้มวิบวับในดวงตาคมนั่น
“กลับกันเถอะค่ะ สว่างมากแล้ว” หล่อนชวนเขาเสียงเบาราวกระซิบ
“ก็ได้ แต่ผมมีเรื่องให้คุณช่วยเรื่องนึง คุณต้องรับปากผมก่อน” เขารวบมือหล่อนเอาไว้อีก
“ต้องรู้ก่อนว่าเรื่องอะไร”
“ทำให้คุณแพทเลิกเกาะผมแจซะที” กล้าตะวันคิดเรื่องนี้มาทั้งคืนว่าจะหาทางสลัดสาว ๆ ให้หลุดออกไปได้อย่างไร เพิ่งนึกออกก็ตอนได้จูบพักตร์พิลาสนี่แหละ
“คุณนี่มันยังไงนะ เรื่องแบบนี้คุณต้องจัดการเอง ชั้นไม่รับปาก” หล่อนสะบัดเสียงใส่อย่างหมั่นไส้
“ผมพยายามแล้ว คุณก็เห็น เกาะผมแน่นยิ่งกว่าตุ๊กแกอีก”
“คุณไม่เป็นสุภาพบุรุษ ได้เค้าพอเบื่อก็จะทิ้งละสิ”
“คุณจะลองดูบ้างไหม...ตกลงจะช่วยหรือเปล่า”
“ลองอะไร...ชั้นไม่ช่วยคุณ”
“ก็ลองว่าผมเป็นสุภาพบุรุษหรือเปล่าไง”
แล้วเขาก็จูบหล่อนอีก คราวนี้หนักยิ่งกว่าเก่า มือของเขาเริ่มอยู่ไม่สุข กระดุมเสื้อเชิ้ตของหล่อนถูกปลดออกตลอดทุกเม็ด ฝ่ามืออุ่นกอบกุมทรวงอกอิ่มไล่ไล้ตามสายตา ก่อนที่ริมฝีปากร้อน ๆ จะทาบตาม
“คุณกล้าตะวัน ได้โปรด หยุดเถอะค่ะ”
“รับปากว่าจะช่วยผมก่อน” เขายังคงไม่เงยหน้าขึ้น มือข้างที่โอบอยู่รอบแผ่นหลังเลื่อนไปแตะตะขอบราตัวจิ๋ว กล้าตะวันครางเสียงสั่น
“พอเถอะค่ะ อย่าทำแบบนี้เลย” เสียงหล่อนก็สั่นไม่แพ้กัน
“รับปากช่วยผมก่อนแล้วผมจะปล่อย” เขาจูบหล่อนที่ซอกคอ ไล่ลงไปยังเนินอกอวบและหยุดวนอยู่ตรงนั้น ราวกับจะดูดกินความหอมหวานให้ชื่นใจ
“ค่ะ ค่ะ ฉันจะช่วยคุณ ปล่อยได้แล้ว” หล่อนดันเขาออกสุดแรง
ชายหนุ่มปล่อยหล่อนอย่างเสียดาย ฉุดหล่อนให้ลุกขึ้นนั่ง สายตายังคงจับอยู่ที่ทรวงอกอิ่ม มีรอยแดงเป็นจ้ำ ๆ จากฝีมือเขา หญิงสาวก้มมองตามก่อนหันหลังให้เขา มือสั่นเทาของหล่อนพยายามจะติดตะขอชั้นในแต่ไม่สำเร็จ
“มาผมช่วย” เขาสอดมือเข้าไปใต้เสื้อช่วยหล่อนติดตะขอ กว่าหล่อนจะติดกระดุมเสื้อหมดก็ใช้เวลานานพอสมควร หล่อนหันกลับมาแต่ก็ยังไม่กล้าสบตาเขา
“กลับกันได้หรือยัง” หล่อนถาม
“ไปสิ คุณลงไปก่อน” เขายอมง่าย ๆ
หล่อนถึงพื้นอย่างปลอดภัย แต่ขาแข้งยังสั่น ไม่ใช่เพราะการปีนลงมา แต่เป็นเพราะรสสัมผัสของเขาที่ยังหวานติดปลายลิ้น และร้อนผ่าวไปทั่วบริเวณที่ถูกสัมผัส
ตลอดทางบนหลังม้าต่างคนต่างเงียบ ไม่มีใครพูดอะไรกันสักคำ จนเขาส่งหล่อนที่หน้าบ้านนั่นแหละ หล่อนจึงพึมพัมขอบคุณ “อย่าลืมสัญญา” กล้าตะวันย้ำ ก่อนจะกระตุกม้าพากลับไปยังคอก

ยังไม่มีใครตื่นเลยสักคนตอนพักตร์พิลาสกลับขึ้นเข้ามา หญิงสาวพยายามดึงสติให้กลับมาอยู่กับตัวเองให้มากที่สุด ภาพในบ้านต้นไม้ยังแจ่มชัด ยังรู้สึกได้ถึงเสียงหัวใจเต้นและริมฝีปากอุ่นระอุ หล่อนตัดสินใจลงไปรอต้องตาจะขอให้พาชมไร่อีกสักวัน หญิงสาวชะงักเล็กน้อย เมื่อเห็นกล้าตะวันที่โต๊ะอาหาร เขายิ้มกว้างให้หล่อนตาคม ๆ นั่นทำหล่อนร้อน ๆ หนาว ๆ ชอบกล อยากขว้างค้อนให้เขานักถ้าไม่ติดว่ายังมีผู้ร่วมโต๊ะอีกสามคน คือคุณตรัย ประภัสสร แล้วก็วรรณรดา
“ไง หลับสบายดีไหมหนูพักตร์” คุณตรัยทัก “เห็นกล้าว่าไปดูพระอาทิตย์ขึ้นกันมา สวยละสิ มา มา มาทานข้าวเช้ากันดีกว่า ไม่ต้องรอคนอื่นหรอก ได้ยินว่าพึ่งนอนกันเมื่อเช้ามืด อีกนานละกว่าจะตื่น”
“หลับสบาย อากาศดีมาก ๆ เลยค่ะ ถึงนอนน้อยก็ยังสดชื่น” หล่อนว่า
“ทานอะไรดี มีข้าวต้มทะเล หรือจะทานอเมริกันเบรกฟัสท์ เดี๋ยวให้เขาทำให้” กล้าตะวันถาม
“ขอข้าวต้มดีกว่าค่ะ” หล่อนหันไปบอกสาวใช้ที่รอคำสั่งอยู่
“แย่จังค่ะ พี่เลี้ยงหนูวรรณไม่ยอมปลุก ไม่งั้นได้ไปด้วยแล้ว” วรรณรดาบ่นเสียดาย
“ไว้พรุ่งนี้สิคะ ให้คุณกล้าตะวันพาไป”
“พรุ่งนี้แพทไปด้วยนะ คุณกล้าอย่าลืมปลุกแพทด้วยละคะ” ประภัสสรเขย่าแขนชายหนุ่มอย่างประจบ
“คุณล่ะ ไม่ไปอีกเหรอ” เขาถามอย่างมีความหมาย
“ไม่ละค่ะ ดิฉันเห็นแล้ว พาหนูวรรณกับคุณแพทไปเถอะ”
ไม่ช้าต้องตาก็ตามมาสบทบ คุณตรัยชวนหล่อนทานอาหารเช้าด้วย ไม่สนใจท่าทีของประภัสสรที่ทำเหงือนไม่อยากร่วมโต๊ะกับคนที่หล่อนคิดว่าต่ำกว่าด้วย
“วันนี้อยากไปไหนกันคะ” ต้องตาเหมือนถามพักตร์พิลาสกับวรรณรดามากกว่า “ไปทะเลดีไหม”
“ทะเลไว้ไปตอนบ่าย ผมจะไปด้วย อีกอย่างพวกขาไพ่ทั้งหลายก็ยังไม่ตื่น” กล้าตะวันขัด
“งั้นตอนเช้าทำอะไรดีล่ะคะ” วรรณรดากล้าพูดกล้าคุยมากขึ้นแล้ว หลังจากที่ได้ทำความรู้จักกับทุกคนมากขึ้นเมื่อคืน
“เข้าสวนไหมคะ ไปดูเขาเก็บส้ม หรือไม่ก็หัดขี่ม้า” ต้องตาเสนอ
“แพทอยากไปกับคุณกล้า”
“ยังไงผมก็ต้องไปดูเขาเก็บส้มอยู่แล้ว”
“หนูวรรณอยากเห็นไร่ส้มด้วยค่ะ”
“แต่พักตร์อยากหัดขี่ม้า” หล่อนไม่อยากไปที่ ๆ เขาไป
“ไปดูไร่ส้มก่อน แล้วค่อยหัดขี่ม้า เดี๋ยวจะสอนให้” กล้าตะวันไม่สนใจหยิบวิทยุสื่อสารสำหรับใช้ในสวนมากรอกเสียงเรียกให้คนงานนำรถมาเทียบหน้าบ้านใหญ่ พาสาว ๆ เข้าไปไร่ส้ม ส่วนตัวเขาล่วงหน้าไปก่อนกับคุณตรัย

สวนส้มกว้างใหญ่ไพศาล เห็นเป็นสีเขียวสลับสีทองของผลส้มอร่ามสุดลูกหูลูกตา กล้าตะวันกับคุณตรัยยืนเด่นอยู่ท่ามกลางคนงาน ดูการลำเลียงส้มไปยังโรงคัดแยกขนาดก่อนบรรจุลงกล่องส่งออกขาย
ประภัสสรถลาไปหาชายหนุ่มทันทีที่มองเห็น หมวกปีกกว้างสีสดกับเสื้อผ้ารุ่มร่ามของหล่อนตัดกับสิ่งแวดล้อมโดยสิ้นเชิง
“เหมือนปีศาจผีเสื้อ คุณแพทนี่เป็นนางแบบทุกลมหายใจเลยหรือไง เป็นยังงี้เหมือนกันหมดหรือเปล่าก็ไม่รู้” ต้องตาอดไม่ได้
“ดูอย่างคุณพักตร์กับเพื่อน ๆ ไม่เห็นเป็นดาราตลอดเวลาเลยนี่คะ หนูวรรณว่าเป็นที่ตัวคนมากกว่า” วรรณรดาแย้งซื่อ ๆ
“คุณต้องพาเราไปดูเขาเก็บส้มใกล้ ๆ ได้ไหมคะ พักตร์อยากลองดูบ้าง”
“ไปสิคะ ตามมาทางนี้เลยค่ะลูกทัวร์” หล่อนโบกหมวกแก๊บในมือ ทำเป็นผู้นำคณะพาแยกไปอีกทาง

สามสาวเพลินกับการช่วยคนงานเก็บส้ม ปากก็พูดคุยกันอย่างสนุกสนาน
“เขาใส่หมวกกันหมด ทำไมคุณไม่ใส่ แดดร้อนเดี๋ยวก็เป็นลมไปหรอก” เสียงห้าวของกล้าตะวันแทรกกลางเสียงหัวเราะของสาว ๆ ก่อนจะรู้ว่าเขาพูดกับใครหมวกคาวบอยปีกกว้างจากศีรษะเขาก็ลอยตามมือมาลงที่ศีรษะพักตร์พิลาส
“ยังไม่ร้อนเท่าไรนี่คะ” หล่อนเถียง
“ตอนนี้น่ะไม่ แต่เดี๋ยวสักพักก็รู้สึก”
“คุณแพทไปไหนแล้วละคะ” วรรณรดาถามถึงปีศาจผีเสื้อ
“เห็นโอดครวญว่ารองเท้าคู่ละครึ่งแสนพังหมดแล้ว คงไม่กล้าเดินไปไหน อยู่ที่รถแล้วละมั้ง” เขาว่าเหมือนปลง แต่ต้องตากับพักตร์พิลาสหัวเราะคิก
“คุณผิดสัญญา ไหนว่าจะช่วยผม” เขากระซิบพอให้ได้ยินกันสองคน
หล่อนยักไหล่ทำท่าจะเดินหนี เขาฉุดแขนหล่อนไว้
“ผมขอตัวคุณพักตร์สักเดี๋ยว มีธุระสำคัญต้องคุยกันหน่อย” เขาหันไปบอกสองสาวก่อนที่จะกึ่งจูงกึ่งลากหล่อนออกมาให้พ้นสายตาคนอื่น
“คิดจะเบี้ยวผมหรือไง” เขาถอดหมวกที่เพิ่งใส่ให้หล่อนเมื่อครู่ออก เพื่อจะได้เห็นหน้าสวย ๆ นั่นชัด ๆ
“คุณจะทำอะไรฉัน” หล่อนเชิดหน้าท้าเขา
“ทำแบบนี้” เขาจูบหล่อนอีกแล้ว นานจนอ่อนไปทั้งตัว กว่าเขาจะถอนริมฝีปากออก ขาแข้งแทบไม่มีแรงที่จะทรงตัว น้ำหนักแทบทั้งหมดทิ้งอยู่ในอ้อมอกเขา “ยอมช่วยผมหรือยัง”
“ยอมแล้ว ยอม” เสียงหล่อนเหมือนละเมอ
“คราวหน้าถ้าคุณเบี้ยวผมอีก ผมจะทำแบบนี้ต่อหน้าทุกคน”
“คุณไม่กล้า”
“หรือจะลอง ได้นะ ผมพร้อมเสมอ” อ้อมแขนเขากระชับขึ้น ก่อนจะโน้มหน้าลงต่ำลงมาอีกครา
“ปล่อยเถอะค่ะ ดิฉันรับปากแล้ว” หล่อนพยายามบิดตัวออกจากเขา ไม่สำเร็จ ยิ่งดิ้นยิ่งรัดแน่น
“หยุดดิ้นก่อน แล้วจะปล่อย” ชายหนุ่มต่อรอง หล่อนหยุดกึก “ว่าง่าย ๆ อย่างนี้ผมชอบ” เขาคลายอ้อมแขน แต่ไม่วายโขมยหอมแก้มนวลนั้นอีกฟอด ก้มลงเก็บหมวกมาใส่ให้หล่อนอีกครั้ง ก่อนจะเดินตัวปลิวลับหายไป



Create Date : 17 กุมภาพันธ์ 2552
Last Update : 23 มีนาคม 2555 0:35:14 น. 0 comments
Counter : 330 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ลูกไก่พองลม
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




งานเขียนทุกชิ้นใน blog นี้เป็นลิขสิทธิ์ของผู้เขียนโดยถูกต้องตามกฎหมาย ห้ามทำซ้ำหรือเเผยแพร่ โดยไม่ได้รับอนุญาต
Friends' blogs
[Add ลูกไก่พองลม's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friend

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.