lozocat
ใส่ข้อความที่ต้องการให้เลื่อนๆๆที่นี่
Group Blog
 
<<
กรกฏาคม 2554
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
31 
 
31 กรกฏาคม 2554
 
All Blogs
 
โรม...ปีนี้ ไม่มีเหงา ตอน อาถรรพ์อิตาลี : ค่ำคืนแรกในกรุงโรม

หากใครได้ติดตาม “หนีแม่เที่ยวไปเปรี้ยวอิตาลี” คงจะได้ทราบถึงการเดินทางอย่างทุลักทุเลในการมาอิตาลีคนเดียว และในครั้งนี้ก็เช่นกัน...

ครั้นเครื่องลงจอดที่สนามบินฟูมิชิโน (Fiumicino) เราต่างพากันเดินตามคนข้างหน้า ซึ่งดูท่าจะรู้เส้นทาง แต่เราก็แอบปลีกตัวมาดูที่บอร์ด ว่าต้องไปรับกระเป๋าที่ไหน ....ดูเท่าไหร่ ก็ยังงง เลยเดินไปถามพนักงานซึ่งคงมีเอาไว้เพื่อการนี้ เพราะตั้งเป็นเคาน์เตอร์ ตรงกลางห้องโถงรับกระเป๋าขนาดใหญ่ พอไปถึงเคาน์เตอร์ก็ถามว่ากระเป๋าจากซูริค ไปที่ไหน เค้าก็บอกมาว่า ที่ช่องเก้า เราก็เดินจูงมือกันไป พอไปถึง มองไปบนจอมอนิเตอร์ มีสิบสายการบินที่ต้องรับกระเป๋าที่นี่! แม่เจ้า... แล้วไฟล์ตเราเป็นไฟล์ตที่ห้าที่ต้องรอรับกระเป๋า เพราะฉะนั้น กระเป๋าที่วิ่งอยู่บนสายพานนี้มันเป็นของไฟล์ตที่มาถึงก่อนหน้านี้หนึ่งชั่วโมง ก๊อด....

หนึ่งชั่วโมงกว่า ในการยืน..รอ..กระเป๋า สองทุ่มครึ่งแล้ว เราวางแผนว่าจะซื้อโรมาพาสที่สนามบินนี้ แต่ก็หาไม่เจอ เลยหาทางเข้าเมืองด้วยการเดินทางไปขอคำปรึกษาที่พนักงานประชาสัมพันธ์ ที่หน้าตาไม่พร้อมจะให้คำปรึกษา เพราะคงเหนื่อยและอยากกลับบ้านเต็มทน เราเลยถามสั้นๆ ง่ายๆ ว่า “ เข้าเมืองยังไง” ฝ่ายพนักงานก็ตอบกลับมาเหมือนตั้งโปรแกรมไว้ว่า “ทางรถหรือรถไฟ” เราก็ตอบว่า รถไฟ พนักงานก็บอกว่า ให้เดินตรงไปเรื่อยๆ จะเห็นป้ายบอกทางให้ลงบันไดเลื่อนทางซ้ายมือ จากนั้นก็ตามลูกศรโลด...





เราทั้งคู่ เดินตามลูกศรที่มีบอกไว้ตลอดทาง ไปจนกระทั่งเจอสถานีรถไฟ ซึ่งมีรถไฟจอดอยู่หนึ่งขบวน ก่อนจะเข้าไปชานชลานั้น มีนักท่องเที่ยวยืนต่อแถวซื้อตั๋วรถไฟกันเป็นแถวยาว เราก็ไปยืนต่อคิว แล้วสายตาก็เหลือบไปเห็นป้ายขายโรมาพาส ก็เลยถามซื้อ แต่พนักงานบอกว่าหมด ก็เลยได้แต่ตั๋วรถไฟ คนละสิบสี่ยูโร ซึ่งก่อนขึ้นรถต้องนำไปลงทะเบียนที่เครื่องตอกบัตรเสียก่อน บัตรใบแรกผ่านไปได้ด้วยดี แต่ใบที่สองนี่สิ...มีปัญหา...ตอกเท่าไหร่ก็ไม่ติด หลายคนที่เป็นปัญหาเดียวกัน บางคนถึงขนาดไม่ยอมตอก วิ่งขึ้นรถไปเฉยเลย เนื่องจากรถไฟกำลังจะออก ยิ่งทำให้ลนลานขึ้นไปใหญ่ ทั้งๆที่กระบวนการตอกบัตรใบที่สองเหมือนกับบัตรใบแรกไม่มีผิด แต่ทำไมไม่ตี๊ด ไม่ต๊าด เปลี่ยนเครื่องตอกบัตรหลายเครื่อง ทุกเครื่องที่มีอยู่ ก็ไม่ได้ผล เฮ้อ...ท้อใจ มือที่ถือบัตรเลยเลื่อนบัตรไปทางซ้ายสุด แล้วแช่บัตรไว้ จู่ๆ เครื่องก็ส่งเสียงสวรรค์ให้ตกอกตกใจเล่น แม่เจ้า...วิ่งอีกแล้วครับท่าน พอขึ้นรถไฟ ก็แถบจะหาที่นั่งไม่ได้ เพราะคนแน่นเหลือเกิน ไม่มีคนมาตรวจตั๋ว อาจเป็นเพราะคนเยอะ ไม่สามารถฝ่าเข้ามาได้ หรือไม่ก็ ขี้เกียจตรวจ จากการศึกษาข้อมูลมาว่า รถไฟจากแอร์พอร์ตเข้าเมืองนี้เป็นรถด่วน ไม่จอดที่ไหนเลย ใช้เวลาเดินทางเกือบครึ่งชั่วโมงเท่านั้น แต่...สี่สิบนาทีแล้ว ยังหวานเย็นอยู่เลย สงสัยวิ่งมาทั้งวัน เลยเหนื่อย....





เกือบสี่ทุ่ม..ที่เรามาถึงสถานีแตร์มินี เราเดินตามป้ายไปเรื่อยๆ เรื่อยๆ เรื่อยๆ ประมาณเกือบสิบนาทีเดินเร็ว ก็แวะเข้าข้างทางเพื่อมองหาเคาน์เตอร์ขาย โรมาพาส แล้วก็เจอ เรายิ้มอย่างยินดีให้กับพนักงานชายหญิงที่สนทนากันอยู่ โดยหวังว่าเขาทั้งคู่ จะหันมามองเห็นยิ้มของเราบ้าง...แต่...ยังไม่ทันได้เอื้อนเอ่ยลั่นวาจาถามไถ่ ก็ได้รับเสียงทักทายว่า...ปิดแล้ว! พร้อมกับยกป้ายที่มันวางอยู่ส่วนไหนของเคาน์เตอร์ไม่รู้ขึ้นมาวางต่อหน้าต่อตา พวกเขาจะรู้บ้างไหมว่า คำสั้นๆ คำนี้ มันทำให้เราทั้งคู่ปวดใจแค่ไหน อุตส่าห์ ดั้นด้นตามหาโรมาพาส มาตั้งนาน แต่กลับมาได้ยินแค่คำว่า ปิดแล้ว!

เราเดินเศร้ากันออกมาจากเคาน์เตอร์ แต่แล้วก็ต่างปลอบใจกัน ไม่เป็นไร พรุ่งนี้ค่อยไปซื้อที่มิวเซียมก็ได้ จากนั้นเราก็เดินตามป้ายบอกทาง จนกระทั่งไปถึงเมโทร ....เท่าที่ได้อ่านข้อมูลมา มีแต่คนบอกว่าการเดินทางจากสนามบินมาสถานีแตรมินี่ แล้วขึ้นเมโทรนั้น สะดวก และง่าย .....โกหกคะ ไม่จริง หากไม่ได้สัมผัสเองจะไม่ทราบเลยว่า กว่าจะเดินจากชานชลาที่จอดรถไฟ มาถึงตัวเมโทร ใช้เวลาประมาณยี่สิบกว่านาที(ในกรณีเดินเร็วมาก) ซึ่งเป็นระยะทางที่ไกลพอสมควร มันไม่ได้สะดวก อย่างที่ใครๆ คิดนะคะ เหนื่อยค่ะ เหนื่อย มองเห็นนักท่องเที่ยวคนอื่นที่มีกระเป๋าใบใหญ่ๆ หรือ แบ๊กแพ็คใบใหญ่ ก็นึกสงสาร แต่ตอนนี้ต้องสงสารตัวเองและคุณชายที่พ่วงมาด้วยนี้ก่อน เพราะเราต้องไปเช็คอินโรงแรม

โรงแรมที่เราเลือก อยู่ในโซนของวาติกัน เดินไปประมาณสิบห้านาทีก็ถึงวาติกันมิวเซียม ที่สำคัญ ใกล้เมโทร หลังจากได้นั่งบนเมโทร ต่างคนก็ต่างจมอยู่ในห้วงความคิด เราคิดถึงโรงแรมหรูราคาประหยัด ห้องน่ารัก อ่างอาบน้ำอุ่นที่พอเช็คอินแล้วจะนอนแช่ให้สบายตัว แล้วถ้าว่างก็จะแวะขึ้นไปดูดาวบนดาดฟ้าของโรงแรม....

จากเมโทร ใช้เวลาหลงในการเดินหาโรงแรมประมาณครึ่งชั่วโมง ก็ไม่มีใครให้ถาม เพราะมันสี่ทุ่มกว่าแล้ว เลยเดินเข้าโรงแรมแห่งหนึ่ง แล้วถามพนักงานว่า ที่นี่ที่ไหน แล้วเราอยู่ไหน กำลังจะไปไหน .... พนักงานก็น่ารัก บอกทางให้อย่างดี ไม่มีอิดออดว่า ไม่ใช่ลูกค้าก็ไม่บริการ นี่ละคนทำงานเซอร์วิสอย่างแท้จริง เราสองเดินย่ำต๊อกกันกลางดึก ณ กรุงโรม เพื่อหาโรงแรม (คุ้นๆ ไหม เหมือนใครบางคนเคยเดินหาโรงแรมคนเดียวกลางกรุงโรม) และแล้วเราก็เจอค่ะ...เจอแล้วค่า...รีบเปิดประตูเข้าไป แล้วบอกว่ามาเช็คอิน พร้อมยื่นเอกสารให้เสร็จสรรพ พนักงานชายสูงวัยชาวเอเชีย รับกระดาษไปดู พร้อมหยิบแว่นขึ้นมาสวม แล้วบอกพวกเราว่า

“ห้องพวกคุณถูกยกเลิก ไม่ทราบหรือ”
“!!!???!!!????????” ไม่มีคำพูดออกจากปาก “เรา” นอกจากอาการอึ้ง ตกใจ และก็ช๊อค กลางดึก ณ กรุงโรม
“แต่เราจองมาตั้งหลายเดือนแล้ว” ฉันยังคงมีหวังอยู่นิดๆ เผื่อมันจะช่วยอะไรได้บ้าง
“ใช่...แต่เราก็ได้ส่งอีเมล์ยกเลิกไปก่อนแล้วสองวัน เนื่องจากบัตรเครดิตคุณมีปัญหา คุณไม่ได้รับอีเมล์แจ้งหรอกหรือ”
“สองวัน!” แม่เจ้า...ใครจะไปหาโรงแรมใหม่ได้ทันฟระ อีกอย่าง อีมงอีแมง อะไร ไม่ได้รับสักอย่าง
“เราเห็นคุณไม่ได้ติดต่อกลับมา จึงไม่ได้จองห้องไว้ คิดว่าไม่มีปัญหา”
ปัญหา... มีสิ ปัญหาใหญ่เสียด้วย ....ว่าแต่คืนนี้ พวกกรูจะไปนอนที่ไหนกันฟระ!
ปกติ ที่จองห้องไว้ ไม่เคยโทรมาคอนเฟริมเลยสักครั้ง นอกจากจะเช็คอินเลทถึงจะโทรบอก หรือมีปัญหายกเลิกห้องพัก ถึงจะติดต่อไปทางโรงแรม แต่คราวนี้พลาด..พลาดจริงๆ ว่าแต่...ทำไมถึงบอกว่าบัตรเครดิตมีปัญหา ทั้งๆ ที่วันจองโรงแรม เป็นวันเดียวกันกับที่ซื้อตั๋วเครื่องบิน แล้วตั๋วเครื่องบินไม่เห็นมีปัญหา ไม่เห็นต้องโทรตาม ไม่เห็นต้อง....

พนักงานปริ้นซ์เอกสารการยกเลิกมาให้เราเก็บไว้ดูต่างหน้า พลางกล่าวว่า ไม่ต้องกังวล เราจะช่วยคุณหาห้องพัก อย่างแน่นอน ...ใจดีจริงๆ แต่ก็ขอบคุณนะลุง

ลุงพาเดินไม่ถึงหนึ่งนาทีก็ถึงอีกโรงแรมหนึ่ง เป็นโรงแรมสามดาว ที่มีพนักงานชายสูงวัยชาวเอเชีย ประจำที่เคาน์เตอร์ คุณลุงพูดกับพนักงานคนนั้นอยู่สักครู่ก็ได้รับคำตอบว่า ที่นี่มีห้องพอให้พัก ในราคาที่สูงกว่าที่พวกเราจองคืนละหนึ่งยูโร ซึ่งราคานี้รวมอาหารเช้า แต่ต้องจ่ายค่าภาษีเมืองเพิ่มคืนละสองยูโรต่อคน (เป็นกฎหมายใหม่ของโรมค่ะ) คุณชายถามกลับไปว่าสรุปเป็นคืนละ เก้าสิบยูโร บวกภาษีอีกสิบหกยูโรใช่ไหม ทางพนักงานก็บอกว่าใช่ เราถามว่ามีอะไรให้ในห้องบ้าง เพราะในความคิดฟุ้งซ่านของเราขณะนั้น คิดว่าที่นี่มันเป็นโรงแรมแบบที่ผู้ชายเค้าพาผู้หญิงกลางคืนมาพัก ก็เลยอคติเอามากๆ แถมลุงเอเชียสองคนนี้มองเราแปลกๆ ด้วยแล้ว ยิ่งไม่น่าไว้ใจ เมื่อลุงที่ช่วยเหลือเรากลับไปทำงานต่อแล้ว คุณลุงหน้าเคาน์เตอร์คนนี้ก็ขอเอกสารจากคุณชาย นั่นคือพาสปอร์ต เพื่อกรอกรายละเอียดการเช็คอิน แล้วก็ถามเราว่า เป็นฟิลิปปินส์ใช่ไหม เราก็เลยถึงบางอ้อเลยว่า...ทำไมลุงจากโรงแรมโน้นถึงช่วยเหลือเราอย่างดี เมื่อห้องถูกยกเลิก แถมลุงคนนี้ก็ให้ราคาห้องพิเศษอีก เนื่องจากคิดว่าเราเป็นคนชาติเดียวกัน จึงช่วยเหลือกันนั่นเอง เฮ้อ...โล่งอก เมื่อเราบอกไปว่าไม่ใช่ญาติพี่น้องชาติเดียวกับลุง แกก็ทำหน้าไม่เชื่อ เราเลยเอาพาสปอร์ตให้ดู แกถึงเชื่อ...เฮ้อ ...เหนื่อยโว้ย.....ห้องน่ารัก อ่างอาบน้ำอุ่น.. ดาดฟ้าดูดาว...ไม่มีอะไรสักอย่าง.... แต่ยังดีที่มี...เธอ อยู่ข้างๆ คอยปลอบใจ



















Create Date : 31 กรกฎาคม 2554
Last Update : 31 กรกฎาคม 2554 16:57:33 น. 0 comments
Counter : 975 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

naririn
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




..ขอบคุณที่แวะมาทักทายกันนะคะ.....

lozocat

ข้อความและรูปภาพทั้งหมดในBlog นี้ขอสงวนลิขสิทธิ์นะคะ ไม่นำออกเผยแพร่ ก่อนได้รับอนุญาตนะคะตัวเอง

เพลง
MusicPlaylistView Profile
Create a playlist at MixPod.com
Friends' blogs
[Add naririn's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.