ดองบล๊อกมาพอสมควร ไหนๆ ก็เปิด Group Blog "Live in Kuwait" ก็ขอโม้เรื่องที่พักอาศัยในคูเวตซะหน่อย พอดีเพื่อนๆ น้องๆ หลายคนอยากรู้ว่าที่นี่อยู่กันยังไง ก็เลยถือโอกาสแปะรูปให้ดูไปเลยทีเดียวก่อนจะไปเรื่องอพาทเมนท์ มาทำความรู้จักประเทศที่น้ำมันตอนนี้เติมกันที่ลิตรละ 7 บาท แต่น้ำดื่มลิตรละ 8.50 บาทกันซะหน่อย พอดีนั่งฟังเจ้านายคุยกับลูกค้าก็เลยจับๆ ประโยคที่เขาคุยกันมาโม้ต่อ....น้ำมันลิตรละ 7 บาท VS น้ำดื่มลิตรละ 8.50 บาท ให้คนที่เติมน้ำมันที่มีแนวโน้มว่าจะทะลุ 40 บาท กับ ที่จะทะลุไปแกลลอนละ US$4 ตาโตเล่น คูเวตมีพื้นที่เกือบ 18,000 ตารางกิโลเมตร (ประเทศไทยมีอยู่ประมาณ 500,000 ตารางกิโลเมตร) อยู่ติดทะเล แต่ไม่มีแหล่งน้ำจืดในประเทศเลย (ถึงว่าที่นี่น้ำดื่มจึงแพงกว่าน้ำมัน) ชายแดนครึ่งนึงติดกับอ่าวเปอร์เซีย อีกครึ่งติดประเทศซาอุดิอาราเบียและประเทศอิรัค และแน่นอนว่าพื้นที่่ส่วนใหญ่เป็นทะเลทราย ประชากรในประเทศคูเวตมีอยู่ประมาณ 3 ล้านกว่าคน คนที่ถือสัญชาติคูเวตมีอยู่ไม่ถึง 1 ใน 3 ของประชากรทั้งหมด และคนคูเวตเองก็มีแบ่งเป็นประชากรชั้น1 ชั้น2 ชั้น3 อีกด้วย ประเทศคูเวตที่ว่าร่ำรวยนั้น ที่จริงแล้ว คนที่รวยจริงและก็รวยสุดๆ ก็คือคนคูเวตที่ส่วนใหญ่เป็นประชากรชั้น1 ซึ่งมีอยู่ไม่ถึง 10% ของประเทศ และ 50% ของประชากรทั้งประเทศ มีฐานะยากจน นั่งรถผ่านทุกวันเป็นดงเลยทีเดียว เราเรียกว่าสลัมคูเวต ครั้งนี้เราไม่ได้มาแบบ expat ของบริษัทใหญ่ ไม่เหมือนตอนไปทำงานที่ปักกิ่ง ครั้งนั้นบริษัทเค้าจัดการอย่างมีระบบ ทุกอย่างเลยค่อนข้างสะดวกสบาย แต่ที่นี่เจ้าของบริษัทจะเป็นคนดูแลทุกอย่างให้เอง ก็เลยขลุกขลักพอควรเพราะความที่แกมีธุรกิจอยู่หลายประเทศ เดี๋ยวบินไปโน่นบินไปนี่ ไม่ค่อยได้อยู่คูเวตเท่าไร พอวีซ่าเรียบร้อย ต้องนั่งๆ นอนๆ รอเป็นเดือนว่าจะให้มาเมื่อไร (แต่ก็ชอบเพราะมีธุระต้องสะสางอยู่แยะ) ด้วยเหตุผลที่ว่ายังหาอพาทเมนท์ให้ไม่ได้ แกเห็นว่าเป็นผู้หญิงมาอยู่คนเดียว ก็เลยค่อนข้างเลือกอพาทเมนท์ พยายามหาอพาทเมนท์ที่อยู่กันเป็นครอบครัว ซึ่งน่าจะปลอดภัยมากกว่าอพาทเมนท์ที่คนโสดอยู่กัน รอจนวีซ่าใกล้จะหมดอายุ เลยเป็นอันว่าเจ้านายให้เรามาพักที่โรงแรมไปก่อน ....คนที่นี่ส่วนใหญ่จะอยู่อพาทเมนท์กัน จะเป็นห้องเล็กห้องใหญ่ก็ตามฐานะตามกำลังของแต่ละคน ที่เป็นบ้านเดี่ยว ก็พอเห็นบ้างแต่จะค่อนข้างน้อย(ก็ล่ะนะ...คนรวยจริงๆ ทั้งประเทศมีไม่ถึง 10% เอง) ตึกสร้างใหม่มีขึ้นมากมาย แต่ที่เจ้านายเราหาที่พักให้เรายากเย็นเหลือเกินเป็นเพราะว่าที่นี่จะไม่อนุญาตให้คนโสดพักอยู่คนเดียว อย่างน้อยต้องมีเพื่อนร่วมห้องที่เป็นเพศเดียวกัน อพาทเมนท์ที่เห็นได้ทั่วไปในคูเวตพอเรามาถึง มีคนที่เจ้านายรู้จักเป็นคนอินเีดีย มารับเราไปดูห้องพัก (เจ้านายจะมีฝากบอกคนรู้จักไปทั่วแหละ) เขาคุยว่าเขาทำธุรกิจกับเจ้านายเรา เห็นเจ้านายเราถามถึงที่พักก็เลยอาสาช่วยหาให้ (เราดูแล้วว่าตานี่ต้องได้นายหน้าแน่นอน) นายคนนี้ชื่อนายอะไรบาบาอะไรสักอย่างเนี่ยแหละ ที่แรกที่นายบาพาไป แกคุยกับเราว่าเป็นอพาทเมนท์อย่างดีมีห้องครัวในตัว เพิ่งทำเสร็จใหม่อยู่ชั้นล่าง พอไปถึงมันเป็นห้องที่ต่อเติมตรงล๊อบบี้ชั้นล่างของอพาทเมนท์แห่งหนึ่ง เป็นห้องประมาณ 3x3 เมตร มีห้องน้ำเล็กๆ และข้างห้องน้ำก็ยกพื้นและมี Sink ล้างจานกับก๊อกน้ำอยู่ตัว เนี่ยแหละครัวที่นายบาเขาคุยไว้ คนดูแลตึกก็เปิดให้เราดู 2 ห้อง เราก็ชักไม่ค่อยชอบใจแล้ว และสภาพแวดล้อมแถวนั้นก็น่ากลัว คนขึ้นลิฟท์ขึ้นๆ ลงๆ ก็มีแต่พวกแขกวัยรุ่นสูบบุหรี่ควันโขมง หน้าตาดูไม่ค่อยไว้ใจ ที่พักอาศัยที่นี่จะไม่ค่อยมีรั้วมีบริเวณ จอดรถก็อาศัยจอดหน้าตึกกัน แม้แต่ที่เป็นบ้านเดี่ยวก็จะทำหลังคาจอดรถไว้นอกรั้วบ้านแบบนี้เหมือนกันที่ี่ถัดไปนายบาบอกเราว่าถ้าเราจะหาห้องพักที่พักคนเดียวค่อนข้างจะหายาก เป็นอันว่าให้เราลองไปแชร์ห้องกับคนอื่นอยู่ก่อนแล้วกัน เราก็เลยขอดูห้องก่อน นายบาก็พาเราไปอีกตึกหนึ่งนายบาคุยอีกแล้วว่าสะอาดปลอดภัย เป็นห้องของสาวฟิลิปปินส์ (ที่นี่คนฟิลิปปินส์มาทำงานมากที่สุด) ตึกที่ว่านี่คนอยู่กันแยะมากๆ ทั้งที่ตึกสูงแค่ประมาณ 8 ชั้น ชั้นนึงมีอยู่แค่ 4 ห้องเท่านั้น ระหว่างที่ขึ้นลิฟท์ไป ...เจออีกแล้วแขกผู้ชายวัยรุ่นสูบบุหรี่ควันโขมง แต่งตัวแบบเซอร์ๆ เหมือนผมเผ้าหน้าตา เราเองชักไม่ค่อยชอบใจเท่าไรแล้ว พอขึ้นไปห้องที่จะไปแชร์พักด้วย หน้าห้องก็มีราวตากผ้าวางอยู่ระเกะระกะ ห้องอีกด้านนึงก็มีโซฟาเก่าๆ ที่จะทิ้งแล้วตั้งเอาไว้ มีผู้หญิงฟิลิปินส์นั่งอยู่หน้าห้องคุยตะโกนโหวกเหวกกับห้องที่อยู่ตรงข้าม แล้วก็มีผู้ชายหน้าตาเซอร์ๆ แบบที่เราเจอข้างล่างเดินออกมาจากอีกห้องหนึ่ง นายบาพาเข้าไปดูห้องที่ว่า เท่าที่เราดูห้องนี้ดูแล้วเดิมเป็นอพาทเมนท์ 2 ห้องนอน มีห้องครัวและห้องนั่งเล่น แต่เจ้าของห้องที่เป็นฟิลิปปินส์เธอสามารถมาก เธอเอาไม้มากั้นในส่วนของห้องนั่งเล่นแบ่งได้เป็น 2 ห้องนอน รวมเป็น 4 ห้องนอน เธออยู่เอง 1 ห้อง อีก 3 ห้องก็แบ่งให้คนเช่า ห้องที่ว่างจะให้เช่าอยู่ด้านใน เราต้องเดินเข้าไปตามซอกเล็กๆ ผ่านห้องที่เปิดเพลงเสียงดัง กับห้องน้ำที่มีผ้าตากไว้เต็มไปหมดนายบาถามว่าเราพอใจไหม ถ้าพอใจจะได้ตกลงกับเจ้าของห้อง เราเลยบอกว่าห้องเล็กเกินไป เราอยากได้ห้องที่ใหญ่กว่านี้ นายบาก็เลยบอกว่าจะพาเราไปอีกที่หนึ่ง โชคดีที่เราบอกนายบาว่าเรามีนัดกับคนที่บริษัทจะไปเซอร์เวย์ตลาด เราต้องกลับไปรอที่โรงแรมให้ทันเวลานัด เลยเป็นอันว่าอีกที่ที่จะไปคงไม่ทัน (ซึ่งเราคิดว่าสภาพคงไม่ต่างกัน) กลับมาไปบ่นให้เจ้านายฟังยกใหญ่ว่าพาเราไปดูอพาทเมนท์แบบนี้เหมือนดูถูกกันเลย ครั้งต่อไปเราไม่ไปดูอพาทเมนท์กับนายบานายบ้านี่อีกแล้วนะ เจ้านายเราหัวเราะใหญ่บอกว่า....ไอว่าแล้วให้อินเดียหาก็เป็นแบบนี้ อ้าว...รู้แล้วยังจะปล่อยให้เราไปอีก อ่ะน่ะ....ยังดีที่นายบาไม่พาเราไปแชร์ห้องอยู่บนตึกนี้ บ้านเดี่ยวส่วนใหญ่ก็หน้าตาคล้ายๆ แบบนี้ หลังจะค่อนข้างใหญ่ เพราะอยู่รวมกันเป็นครอบครัวใหญ่ ข้างในจะเหมือนอพาทเมนท์กลายๆ มีลูกมีหลานก็อยู่กันไปครอบครัวละห้อง เหมือนประมาณกินกงสีแบบครอบครัวจีนใหญ่ๆ ที่บ้านเราในสมัยก่อน ส่วนบ้านหลังนี้เป็นบ้านเดี่ยวเหมือนกัน แต่เป็นบ้านที่ปล่อยร้างไว้ตั้งแต่สงครามอิรัคบุกคูเวต ตรงแทงค์น้ำสีส้มบนดาดฟ้า ยังมีรอยกระสุนปืนยิงพรุนอยู่หลายสิบนัด ใกล้กับบ้านหลังนี้เราเห็นบ้านเดี่ยวมีรั้วรอบขอบชิดอีก 5-6 หลังที่ปล่อยร้างในลักษณะเดียวกัน มองไกลๆ ยังเห็นรอยกระสุนตามประตูหน้าต่าง นี่ถ้าเป็นบ้านเราคงมีรายการพวกมิติลี้ลับตามไปพิสูจน์แล้ว เพราะเราได้ยินมาว่าบ้านพวกนี้บางหลังถูกทหารอิรักฆ่าตายทั้งบ้านก็มีขอจบตอนแรกด้วย ซาลาเปาสูตรโขมยมาจากเจ๊หลีแบบไม่เต็มสูตร (ปั้นได้น่าเกลียดจัง) ขนาดไม่มีผงฟูยังอร่อยเลย(ไม่มีใครชม ชิมเองชมเองแล้วกัน) ทำใส่ตู้เย็นไว้เอามานึ่งเป็นอาหารเช้า แป้งยังนิ่มเหมือนตอนเสร็จใหม่ๆ นี่ไปซื้อผงฟูมาแล้วจะทำเต็มสูตรดูอีกที แล้วจะส่งการบ้านเจ๊หลีนะคะ
ว่าแต่..ค่าน้ำที่ใช้ในแต่ละเดือนแพงมั้ยคะ..อยู่ที่นี่น้ำฟรีค่ะ..แต่น้ำมันก็แพงหูฉี่เลย
ปล. ซาลาเปาน่าหม่ำมากค๊า..เห็นแล้วก็อยากหม่ำขึ้นมาอีกแย้ว