รีวิว Nissan Teana 200XL Sports Series Navi เสริมความสปอร์ต อัดแน่นอุปกรณ์อำนวยความสะดวก
       นิสสัน เทียน่า เก๋งขนาดกลางกึ่งใหญ่จากค่ายนิสสัน รุ่น Sports Series มีทั้งเครื่องยนต์ 4 สูบ 2,000 ซีซี และ 6สูบ V6 2,500 ซีซี สำหรับวันนี้เราจะมารีวิวรุ่นท๊อปของเครื่องยนต์ 2,000 ซีซี 200XL Sports Series Navi ลองมาดูกันว่าเทียน่ารุ่นใหม่นี้ มีอะไรที่แตกต่างจากรุ่นเดิมบ้าง รวมทั้งสมรรถนะในการขับขี่และการทรงตัวจะเยี่ยมแค่ไหน

Exterior

       เทียน่ารุ่นใหม่นี้เน้นความสปอร์ตให้ชัดเจนขึ้นด้วยการเปลี่ยนกันชนหน้าใหม่ทั้งชิ้น ช่องดักลมด้านล่างลายรังผึ้งช่วยให้ดูสปอร์ตยิ่งขึ้น ประกบด้วยสปอทไลท์ทรงกลมและช่องสีดำคาดด้วยคิ้วโครเมียม

       กระจังหน้าโครเมียมขนาดใหญ่ตามสไตล์รถหรู เปลี่ยนใหม่เป็นแบบซี่ตรง จากของเดิมที่โค้งนิดๆ และเพิ่มขอบโครเมียมด้านข้าง ทำให้รถดูเตี้ยลงเล็กน้อย ประกบด้วยโคมไฟหน้าทรงพริ้วขนาดใหญ่ที่ได้แรงบันดาลใจในการออกแบบมาจากเพชร หรูหราเหนือระดับ สีภายนอกของรุ่น Sports Series มีให้เลือกสองสีคือ สีขาว White Pearl และสีดำ Black Star

       เปลี่ยนล้อแม็คลายใหม่ขนาด 16 นิ้ว (รุ่น 250XV ให้ล้อแม็ค 17 นิ้ว) ลาย 5 ก้านใหญ่และมีก้านเล็กแซมด้านข้าง ยางขนาด 205/65 R16 พร้อมสเกิร์ตข้างที่มีเส้นสายที่ดูสปอร์ตมากขึ้น

       ไฟท้ายทรงเดิมแต่เปลี่ยนรายละเอียดภายในใหม่ โดยเปลี่ยนสีโคมไฟเบรคจากเดิมสีแดงเป็นสีขาวและใช้หลอดไฟสีแดง มีสปอยเลอร์ชิ้นเล็กบนฝากระโปรงท้ายดูสปอร์ตขึ้น กันชนหลังเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง ก้มลงไปดูเห็นท่อไอเสียคู่ซ้าย-ขวาแล้วน่าเสียดายที่หลบอยู่ใต้กันชน ถ้าออกแบบให้โชว์ปลายท่อสักหน่อยก็น่าจะเพิ่มความสปอร์ตได้อีกพอสมควร

Interior

       ในรถนิสสัน เทียน่าทุกรุ่นมีระบบ Keyless Entry ที่นิสสันเรียกว่า Intelligent Key ไม่ต้องไขกุญแจหรือกดรีโมทให้เสียเวลา แค่พกกุญแจไว้แล้วกดปุ่มตรงที่เปิดประตูเพื่อปลดล็อคก็เข้าไปนั่งในรถได้แล้ว โดยปุ่มล็อคหรือปลดล็อคนี้ ติดตั้งบนที่เปิดประตูทั้งฝั่งคนขับและฝั่งคนนั่งหน้า จึงให้ความสะดวกสบายแบบสุดๆ

       นอกจากการล็อคและปลดล็อครถแล้ว หากพกกุญแจรีโมทไว้ก็สามารถเปิดฝากระโปรงหลังด้วยการสัมผัสเบาๆ ที่สวิทช์ไฟฟ้าซึ่งซ่อนอยู่ใต้คิ้วโครเมี่ยมเหนือป้ายทะเบียน แถมการเปิดก็ยังเบาแรงเพราะมีโช้กอัพช่วยผ่อนแรงอีกด้วย เปิดฝากระโปรงท้ายแล้วจะตื่นเต้นกับพื้นที่เก็บของที่ทั้งกว้างและลึก โดยนิสสันระบุว่ามีความจุถึง 506 ลิตรเลยทีเดียว

       กลับมาเรื่องภายในของรถรุ่นนี้กันต่อ ในรุ่นปกติภายในจะเป็นสีเบจที่ดูหรูหรา ส่วนใน Sports Series จะเน้นความสปอร์ตเข้มขรึมด้วยเบาะหนังสีดำ แอบหรูด้วยลายไม้สีเข้มที่ดูดีและเข้ากับการตกแต่งโดยรวม แซมด้วยสีเมทัลลิคตามจุดต่างๆ ช่วยให้ห้องโดยสารดูไม่มืดจนเกินไปนัก และเนื่องจากห้องโดยสารที่กว้างขวางอยู่แล้ว การตกแต่งด้วยโทนสีดำจึงไม่ทำให้รู้สึกอึดอัดแต่อย่างใด

       ส่วนที่ต้องสัมผัสกับร่างกายบ่อยๆ อย่างพวงมาลัยและด้านหน้าของเบาะนั่ง หุ้มด้วยหนังแท้เนื้อละเอียดจับแล้วนุ่มมือ โชว์ตะเข็บด้วยด้ายสีออกฟ้าๆ พวงมาลัยทรงเดิมหุ้มหนังแท้สีดำปรับระดับสูง-ต่ำได้ มี ครูสคอนโทรลเป็นอุปกรณ์มาตรฐานในทุกรุ่น โดยปุ่มอยู่ฝั่งขวา และปุ่มควบคุมเครื่องเสียงอยู่ฝั่งซ้าย แผงประตูทั้ง 4 บานมีที่เท้าแขนบุนวมอ่อนนุ่มไม่เจ็บข้อศอก ช่องเก็บของที่ประตูหน้าแคบไปหน่อย วางขวดหรือแก้วน้ำไม่ได้ ใส่ได้แค่เอกสารหรือของกระจุกกระจิกเท่านั้น

       มาตรวัดเรืองแสง Fine Vision ขับกลางวันก็สว่างชัดเจน ขับกลางคืนก็มีปุ่มหรี่ความสว่างให้พอเหมาะ ด้านล่างของมาตรวัดความเร็วมีจออเนกประสงค์ MID แสดงข้อมูลได้หลายอย่าง ควบคุมโดยปุ่มสี่เหลี่ยม 2 ปุ่มที่อยู่ข้างขวาของชุดมาตรวัด

       นั่งในตำแหน่งคนขับแล้วมองเยื้องลงมาด้านล่างขวาของคอนโซล จะเห็นช่องสำหรับเสียบกุญแจ ถัดลงมาเป็นที่ชุมนุมของปุ่มควบคุมระบบต่างๆ 6 ปุ่ม ไล่จากซ้ายไปขวาประกอบด้วย ปุ่มเปิดฝาที่เติมน้ำมัน, เปิดฝากระโปรงท้าย, เปิด-ปิดม่านไฟฟ้าที่กระจกหลัง, เว้นวรรคไปหนึ่งปุ่ม, ปุ่มปรับระดับความสูง-ต่ำของไฟหน้าซึ่งมีโหมดเปิด-ปิดอัตโนมัติตามสภาพแสง และปุ่มเปิด-ปิดการทำงานของระบบเนวิเกเตอร์

       ย้ายมาดูที่คอนโซลกลางกันบ้าง รถรุ่นนี้มีการติดตั้งจอแสดงการทำงานของระบบต่างๆ พร้อมปุ่มควบคุมคล้ายรุ่นเดิม โดยปุ่มที่อยู่ใต้จอใช้ควบคุมระบบหลักๆ เช่น ข้อมูลของตัวรถ สถานะของตัวรถในปัจจุบัน เช่น ระบบแอร์หรือเครื่องเสียง มีปุ่มปรับความสว่างหรือปิดจอก็ได้

       ถ้าจะเข้าโหมดเนวิเกเตอร์ต้องกดปุ่ม NAVI ก่อน แล้วใช้รีโมทในการควบคุมเพราะจอรุ่นนี้ไม่ใช่จอสัมผัส ซึ่งตรงนี้ทำให้ใช้งานยากไปนิด แต่ถ้ามองในด้านความปลอดภัย คนขับก็ไม่ควรเอื้อมมือไปกดปุ่มขณะขับอยู่แล้ว

       เมื่อเข้าเกียร์ถอยหลัง จอที่คอนโซลกลางจะแสดงภาพจากกล้องมองหลังมุมกว้าง ซึ่งติดซ่อนไว้ใต้คิ้วเหนือป้ายทะเบียน มีเส้นกะระยะในจอภาพและเสียงสัญญาณเตือนเมื่อเข้าใกล้วัตถุด้านหลัง Back Sensor 4 จุด ลองดูแล้วพบว่ามีความแม่นยำพอสมควร เมื่อถอยหลังถึงโซนสีแดงแล้วยังเหลือช่องว่างอีกประมาณ 30 ซม.

       ถัดลงมาเป็นปุ่มควบคุมเครื่องเสียง MP3 ซีดีเชนเจอร์ 6 แผ่น และล่างสุดเป็นปุ่มสำหรับระบบแอร์ดิจิตอลแยกซ้าย-ขวา คอนโซลเกียร์ออกแบบเรียบๆ แต่หรูหรา โชว์ลายไม้สีเข้มที่ดูเหมือนเฟอร์นิเจอร์ชั้นดี ด้านบนคันเกียร์มีที่เขี่ยบุหรี่และที่จุดบุหรี่ซึ่งเป็นปลั๊กไฟ 12 โวลท์ ด้านล่างคันเกียร์มีที่วางแก้วพร้อมฝาปิดดูเรียบร้อย

       คอนโซลกลางต่อเนื่องคอนโซลเกียร์ออกแบบได้เรียบหรูดูดี เพราะไม่มีเบรคมือมาเกะกะ โดยเบรคมือ (ซึ่งจริงๆ เรียกว่า Parking Brake) ย้ายไปไว้ด้านซ้ายมือของแป้นเบรค เมื่อจะใช้งานก็ใช้เท้าซ้ายเหยียบ จะปลดออกก็เหยียบอีกครั้ง

       อีกหนึ่งความสะดวกสบายที่รถรุ่นนี้ให้มา คือ เบาะคู่หน้าปรับไฟฟ้า ฝั่งคนขับปรับได้ 8 ทิศทาง กระดกหน้า-หลังได้ และมีที่ดันหลังแบบกลไก ส่วนเบาะคนนั่งหน้าปรับไฟฟ้าได้ 4 ทิศทาง หมอนรองศีรษะและเข็มขัดนิรภัยปรับสูง-ต่ำได้

       คราวนี้ลองย้ายไปนั่งบนเบาะหลังพบว่ากว้างขวางนั่งสบาย มุมเอนของพนักพิงกำลังพอดีไม่ตั้งชันจนเกินไป และแม้จะยังไม่ได้ติดฟิล์มก็ไม่ร้อน เพราะมีช่องแอร์สำหรับคนนั่งหลังและม่านไฟฟ้าที่กระจกหลังมาให้พร้อม ที่เท้าแขนตรงกลางมีที่วางแก้วน้ำพร้อมฝาปิด พนักพิงเบาะหลังพับไม่ได้ แต่ตรงที่เก็บที่เท้าแขนมีช่องทะลุไปที่เก็บของด้านหลังได้ ด้านหลังเบาะคู่หน้ามีช่องไว้ให้ใส่เอกสารด้วย

Engine & Transmission

       สำรวจรอบคันทั้งภายนอกและภายในแล้วก็ถึงเวลาออกไปลองขับ การสตาร์ทเครื่องยนต์ไม่มีอะไรยุ่งยาก แค่เหยียบเบรคแล้วกดปุ่มสตาร์ท Push Start Button เครื่องยนต์ก็ติดพร้อมสำหรับการขับเคลื่อน เมื่อปิดกระจกเปิดแอร์แล้ว เสียงเครื่องยนต์เงียบมากๆ รวมทั้งการสั่นสะเทือนก็แทบไม่มีให้รู้สึก เมื่อความเร็วถึงประมาณ 24 กม./ชม. ประตูทุกบานก็จะล็อคให้โดยอัตโนมัติ เหมาะกับคนขี้ลืมมาก

       รถรุ่นนี้ใช้เครื่องยนต์รหัส MR20DE เบนซิน 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว มีระบบแปรผันวาล์ว CVTC ความจุกระบอกสูบ 1,997 ซีซี กระบอกสูบ 84.0 มม. ช่วงชัก 90.1 มม. อัตราส่วนกำลังอัด 10.0:1 มีกำลังสูงสุด 136 แรงม้า ที่ 5,600 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 19.4 กก.-ม. ที่ 4,400 รอบ/นาที

       เท้าขวาเหยียบเบรค มือซ้ายบีบปุ่มบนหัวเกียร์แล้วดึงลงมาที่ตำแหน่ง D คลายเท้าขวาออกจากแป้นเบรคมาค่อยๆ กดคันเร่ง รถเคลื่อนตัวออกไปอย่างนุ่มนวลตามแรงในการกดคันเร่ง และลื่นไหลไร้อาการสะดุดเนื่องจากนิสสัน เทียน่าทุกรุ่นใช้เกียร์อัตโนมัติ XTRONIC CVT ซึ่งทางนิสสันระบุว่าสามารถปรับเปลี่ยนเกียร์ได้กว่า 700 รูปแบบ ตามลักษณะการใช้งานของผู้ขับขี่

       ด้านข้างหัวเกียร์มีปุ่ม Sport ลองใช้ดูแล้วพบว่าเกียร์จะเปลี่ยนขึ้นเกียร์สูงช้าลง แม้ผ่อนคันเร่งแล้วเกียร์ก็ยังไม่เปลี่ยนขึ้นเกียร์สูง ทำให้ลากรอบสูงได้ต่อเนื่อง สร้างความกระฉับกระเฉงได้มาก เรียกได้ว่าเปลี่ยนบุคลิกของรถไปเลย โดยในรอบสูงๆ จะมีเสียงเครื่องยนต์กระหึ่มเข้ามาบ้าง สร้างความเร้าใจได้อีกแบบ

       ลองกดคันเร่งแบบสุดๆ จับเวลาคร่าวๆ 0-100 กม./ชม. ใช้เวลาประมาณ 11-12 วินาที เมื่อกดคันเร่งสุดตอนออกตัว รอบเครื่องยนต์จะขึ้นไปหยุดนิ่งแถวๆ 6,250 รอบต่อนาที ส่วนเข็มวัดความเร็วจะกวาดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ความเร็วปลายดูจาก GPS ประมาณ 180 กม./ชม. ถือว่าน่าพอใจกับรถคันใหญ่และเครื่องยนต์ไซส์กลาง ซึ่งแม้ไม่ได้แรงจัดจ้าน แต่ก็ถือว่าเพียงพอต่อการใช้งาน ยิ่งได้เกียร์อัตโนมัติ XTRONIC CVT มาช่วยเสริม เปลี่ยนเกียร์โดยรอบไม่ตก ทำให้อัตราเร่งมีความต่อเนื่อง

       ต่อไปลองวัดอัตราสิ้นเปลืองแบบขับทางไกล ใช้ทางด่วนต่อเนื่องมอเตอร์เวย์ขับยาวๆ ไปถึงพัทยา ใช้ความเร็วประมาณ 110 กม./ชม. รอบเครื่องยนต์อยู่แถวๆ 2,250 รอบ/นาที ขับสบายๆ ไม่ต้องเกร็งเท้าขวาเพราะมีครูสคอนโทรลมาให้ใช้งานด้วย กดปุ่มเปิดระบบก่อน จากนั้นเร่งให้ได้ความเร็วที่ต้องการแล้วกดปุ่ม SET ห้องโดยสารเงียบกริบ แทบไม่มีเสียงภายนอกเข้ามารบกวน เพิ่งมารู้ทีหลังว่าเป็นเพราะนิสสันติดตั้งฉนวนกันเสียงรบกวนไว้รอบคันนั่นเอง

       กดปุ่มเลือกให้แสดงอัตราสิ้นเปลืองแบบ Real Time พบว่าป้วนเปี้ยนแถว 14-15 กม./ลิตร และเมื่อถึงจุดหมายได้อัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ย 13.3 กม./ลิตร อยู่ในระดับที่ยอมรับได้เพราะรถคันใหญ่ และใช้แก๊สโซฮอล์ E20 ได้ด้วย ก็จะช่วยประหยัดได้อีกพอสมควร ถ้าคำนวณจากราคา E20 ลิตรละ 33.68 บาท ก็จะเสียค่าน้ำมันกิโลเมตรละ 2.53 บาท

       ปิดท้ายด้วยเรื่องของระบบช่วงล่างและเบรครวมทั้งพวงมาลัย เห็นรถคันใหญ่แบบนี้ แต่การบังคับควบคุมก็คล่องแคล่วด้วยพวงมาลัยเพาเวอร์ที่ปรับน้ำหนักตามความเร็ว ควบคุมการทำงานด้วยคอมพิวเตอร์ ที่ความเร็วต่ำพวงมาลัยเบาหมุนเลี้ยวได้รวดเร็ว และเมื่อใช้ความเร็วสูงพวงมาลัยจะหนัก ช่วยให้การเปลี่ยนเลนมั่นคงไม่วูบวาบ รวมทั้งตอนใช้ความเร็วสูงๆ ก็ให้ความมั่นคงสูง

       ระบบช่วงล่างอิสระทั้ง 4 ล้อ ด้านหน้าแม็คเฟอร์สันสตรัท ด้านหลังมัลติลิงค์ เท่าที่ได้ลองขับบนถนนสภาพต่างๆ พบว่าให้ความนุ่มนวล การดูดซับแรงกระแทกทำได้ดี น่าจะเป็นเพราะแก้มยางที่ค่อนข้างสูงด้วยส่วนหนึ่ง และที่ความเร็วสูงก็ค่อนข้างนิ่ง ไม่มีอาการวอกแวกให้รู้สึก ระบบเบรคแบบดิสก์ทั้ง 4 ล้อมีประสิทธิภาพการเบรคที่น่าพอใจ หยุดได้ดีแม้เบรคที่ความเร็วสูง

       นิสสัน เทียน่า 200XL Sports Series Navi ภายนอกและภายในใส่ความสปอร์ตและอุปกรณ์มาตรฐานอำนวยความสะดวกที่มากกว่ารถรุ่นอื่นๆในระดับเดียวกัน ห้องโดยสารกว้างขวางให้ความผ่อนคลาย สบายทั้งด้านหน้าและด้านหลัง เครื่องยนต์อยู่ในระดับกลางๆ รองรับ E20 ที่ราคาถูกลงมาอีกนิด เสริมประสิทธิภาพด้วยเกียร์อัตโนมัติ XTRONIC CVT ช่วยให้อัตราเร่งต่อเนื่องและนุ่มนวล กับราคาที่ตั้งไว้สูสีรถคอมแพ็กต์รุ่นท๊อป 1.363 ล้านบาท ถือว่าคุ้มค่าครับ

       สำหรับใครที่อยากดู สเปกอย่างละเอียดของ นิสสัน เทียน่า หรือดาวน์โหลด e-brochure ดูรายละอียดเพิ่มเติมได้ที่ www2.nissan.co.th/teana

(พื้นที่ประชาสัมพันธ์)


ที่มา  
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์25 มิถุนายน 2555



Create Date : 25 มิถุนายน 2555
Last Update : 25 มิถุนายน 2555 17:15:39 น.
Counter : 2360 Pageviews.

0 comments
ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
 *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

nanogang
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



มิถุนายน 2555

 
 
 
 
 
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
30
 
All Blog