นิยาย ดราม่า ดี ฮา หื่น สนุก เลิฟซีนภาษาสวย
Group Blog
 
<<
สิงหาคม 2554
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28293031 
 
29 สิงหาคม 2554
 
All Blogs
 
ห้วงเสน่หา ปรารถนาแห่งหัวใจ 15

ตอนที่ 16 ญาติ
เอมจิตนำแฟ้มงาน มาวางไว้ให้เพื่อน วันนี้ดูสดชื่นต่างจากเมื่อวานโดยสิ้นเชิงยามกลางวันก็ได้เห็นชายรูปงามร่างใหญ่รับออกไปทานข้าว ลือกันให้แซดว่าเป็นคู่รักของป่านแก้ว
“พักร้อนไปไหนจ๊ะป่าน”เอมจิตถาม มีสายตาหยอกยั่ว ป่านแก้วอมยิ้มก่อนบอก
“ไปที่ชอบที่ชอบน่ะสิ”
“กล้าพูดนะ ชอบที่ไหนล่ะ หาดทราย สายลม สองคน”
“ไปต่างจังหวัดสองสามวันจ้ะเอม”
เอมจิตลดเสียงลง ก่อนถามจริงจัง
“เขาลือกันว่าป่านมีคู่รักแล้วคงจริงล่ะ คนรูปหล่อตัวสูงๆคนนั้นใช่มั้ย คนที่เป็นเจ้าของบริษัทโฆษณา”
ป่านแก้วใช้มือเท้าคางพยักหน้ารับหงึกๆ เอมจิตตีแขนเพื่อนสาวเบาๆ ก่อนเดินจากไป
ที่ต่างจังหวัดแถบชายทะเล
ทีมงานการถ่ายทำโฆษณาแยกย้ายกันเข้าห้องพักตามที่จัดไว้ แอนนี่นางแบบสาวสวยที่ผ่านการเทสต์ แอบมองเจ้าของบริษัทโฆษณาอย่างพึงใจ เขารูปงามและมีเสน่ห์อย่างร้ายกาจ เธออิจฉาสาวร่างบอบบางอรชรที่ขิม คลุกคลีหยอกล้อกันเหมือนลูกแมวแทบไม่ห่างสักนาที
เธออยากเข้ใกล้ชายหนุ่มเจ้าของบริษัทอย่างนั้นบ้าง เธอคงต้องหาโอกาสให้ได้! โมเดลลิ่งสาวผู้นำแอนนี่เข้าวงการ แตะแขนคนในสังกัด ท่าทางเข้าใจอีกฝ่ายเป็นอันดี จึงได้เตือนแอนนี่ว่า
“คุณขิมเป็นคนเจ้าชู้มาก อย่าคิดยุ่งให้เปลืองตัวเลย ลงข่าวเกือบทุกเดือนว่าควงคนนั้นคนนี้ นานหน่อยก็ลีน่า สุดท้ายอย่างที่เห็นคนนอกวงการคว้าไป”
“ผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร เหมือนเด็กๆ”
“ไม่เด็กแล้วมั้งคงรุ่นเดียวกัน ดูสายตาของคุณขิมแล้วคนนี้คงเป็นตัวจริง”
แอนนี่ไหวไหล่อย่างไม่ยอมเชื่อว่า ผู้หญิงตัวเล็กท่าทางร่าเริงสดใสคนนั้นจะจับขิมได้อยู่มือ เธออยากหาโอกาสเข้าใกล้เพื่อพิสูจน์ เสน่ห์ของตัวเอง!!!
เวลาต่อมาทีมงานได้เริ่มงาน ป่านแก้วอยู่ข้างกายขิม
“ลองเข้าฉากดูมั้ยค่ะคุณป่าน” น้ำหวานเอ่ยชวน ป่านแก้วรีบปฏิเสธเป็นพัลวัน
” ถ้าอยากให้งานลุล่วงไปด้วยดีล่ะก็อย่าได้ให้ฉันเข้าไปยุ่งเชีย” ขิมยิ้มพรายประตายตาระยิบระยับขณะมองมาที่ป่านแก้ว
ผมถักเป็นยาวยกสูงทำให้ใบหน้างามดูอ่อนละมุนความเป็นคนร่างเล็กจึงดูเด็กกว่าอายุจริง
หญิงร่างสูงไหล่ผึ่งผ่ายสวยเฉกเช่นลูกครึ่งขยับแว่นตาดำใหญ่ปิดบังเกือบครึ่งหน้ามาทางกลุ่มคนทีงานคุ้นเคยดี ไกลออกไปคือชายร่างสูงใหญ่ผู้ที่ทำให้ลีน่าผู้นี้ไม่มีวันลืมเดินเคียงข้างกับหญิงสาวร่างอรชรคลับคล้ายเคยเห็นมาก่อน
ป่านแก้วหันมาโดยสัญชาตญาณเหมือนถูกจ้องมอง ลีน่าแสดงความเป็นศัตรูชัดโดยการถอดแว่น ยิ้มเหยียดหยันส่งมาให้ป่านแก้วแลเลยไม่สนใจ หันไปคลอเคลียชี้ชวนขิมให้ดูการทำงานของน้ำหวานเป็นการยั่ว หากลีน่าเป็นระเบิดก็หมายความว่าป่านแก้วเป็นผู้จุดชนวนเข้าให้แล้ว เธอก้าวปราดๆเข้าไปหา หญิงร่างบางยืดกายตรงไม่หวาดหวั่นเช่นกัน ขิมหันมาเห็นพอดี สีหน้าร่าเริงเปลี่ยนไปแทบจะทันที ก็ลีน่าไม่ใช่หรือไปอาละวาดทำลายข้าวของในห้องพักของเขาจนต้องย้ายไปเช่าคอนโดอยู่
“ไฮ คิม” เธอทักเป็นภาษาต่างชาติ น้ำหวานและเพื่อนร่วมทีมต่างมีทีท่าคล้ายถูกผีหลอก บางคนถึงกับกระซิบแก่กัน
“เจอตัวซวยแต่เช้าเลยวันนี้”
“นั่นสิมีเรื่องแหงเลยคุณขิมเดินควงมากะคุณป่านด้วย”
ขิมทักทายอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงปกติ แม้อีกฝ่ายจะสร้างความเสียหายกับทรัพย์สินจนเขาต้องชดใช้ไปก็ตามที
“สวัสดีลีน่ามาคนเดียวหรือ”
“ใช่ค่ะยังหาห้องพักไม่ได้เลยพักห้องเดียวกับคุณนะ” เธอประจานตัวเองได้ไม่อายใคร“หรือว่ามีคู่ขามาก่อนแล้ว”
คำท้ายหาเรื่องคนร่างเล็กกว่า หากว่าเลือดทหารเต็มหัวใจ ป่านแก้วจึงไม่ยอมสยบให้โดยง่าย
“ถ้าที่นี่เขาไม่ให้ห้องแก่คุณก็เชิญไปห้องพักของฉันได้ค่ะ อยู่คนล่ะห้องกับขิม เอแต่ท่าทางคุณคงอยากจะวิ่งเข้าห้องของขิมมากกว่าห้องฉันกระมัง”
“คุณหาเรื่องฉันหรือ” ลีน่าสบช่องอาละวาดใส่ป่านแก้วคล้ายกับอยากมีเรื่องด้วยความริษยาอยู่ก่อนแล้ว ป่านแก้วก้าวถลันเผชิญหน้าหากแต่ร่างใหญ่ดึงไว้ข้างหลังเท่านั้นร่างป่านแก้วถูกบังเกือบมิด
“ลีน่าพอเถอะน่าอายเขาบ้างสิ” เขากล่าวให้สติ
“อายทำไมกัน ใครๆ ก็รู้ว่าลีน่าเป็นอะไรกับคุณแต่ นังคนนี้มาแย่งคุณไปจากลีน่า”
ขิมก้าวเท้าเข้าไปชิดพูดลอดไรฟันให้ได้ยินเพียงสองคน
“หากปากพล่อยอีกผมเอาเรื่องคุณแน่ลีน่า”
เขาไม่ได้ล้อเล่นแววตาคมดุเอาเรื่องชัดลีน่าสะบัดหน้าเดินหนีไปอีกทางหากทิ้งสายตามาทางป่านแก้ว
น้ำหวานถอนใจดังๆ ให้ทุกคนได้ยินว่าโล่งหัวอกเป็นที่สุด เร่งให้มีการเตรียมงานต่อขิมชวนป่านแก้วไปดูโลเกชั่นรอบๆรีสอร์ตแห่งนี้ ซึ่งงดงามหลายมุม
“ใช้ต่างมุมก็แทบจะถ่ายได้จบเรื่อง ช่วงที่ต้องใช้รถขับเราใช้ถนนบนเนินเขานั้นได้เลยแล้วไปตัดต่อในสตูดิโออีกครั้ง”
“สะพานทางนั้นสวยนะคะขิม หากจะให้นางเอกกับพระเอกสวีตกันมีเรือของโรงแรมเป็นฉากก็ดูน่ารักเพราะพระเอกแต่งชุดขาวอยู่แล้วเราว่าดูดีนะ”
ขิมเรียกน้ำหวานเข้ามาหาเสนอความคิดเห็นให้อีกฝ่าย น้ำหวานพยักหน้ารับหงึกๆ
“คิดได้ไงเนี่ย แจ๋วไปเลยค่ะเจ้านาย”
“คุณป่านต่างหาก” ขิมบอกพร้อมโอบบ่าคนร่างบางโยกไปมาภาคภูมิใจ
“แหมคุณป่านขอซูฮกจริงๆค่ะถ้าเป็นสายตาของคุณป่านล่ะก็น้ำหวานเชื่อเลย”
ยืนพูดคุยสักครู่น้ำหวานจึงกลับไปแจกแจงงานกับผู้ร่วมทีม ทำตามข้อเสนอของป่านแก้ว
“ตัวเล็กแต่สมองโต” มงคลชื่นชมคู่รักของเจ้านาย
“ต่างจากคนตัวโตสมองเล็ก” แต๋มสาวประเภทสองแดกดันไปถึงลีน่า
มงคลจดเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยลงในสมุดเล่มเล็ก คืนนั้นแทนที่จะได้เที่ยวพักผ่อน แต่ทั้งทีมงานหกคนประชุมวางแผนงานเพื่อเสนอในวันรุ่งขึ้น จะได้เริ่มถ่ายทำ
ขิม ถือกล่องกระดาษเปิดประตูห้องพักของป่านแก้วอย่างถือวิสาสะ ในขณะที่เบื้องนอก ลีน่ามองอย่างเครียดแค้นชิงชัง เธอบิดลูกบิดประตูห้องของขิมปรกกฎว่าเขาล็อกไว้ กระทืบเท้าขัดใจหวังจะเข้าไปฉีกข้าวของระบายแค้นออกเสียบ้าง

“ชุดนี้สวยดีป่านเราซื้อมาให้” ขิมส่งกล่องใส่ผ้าให้ป่านแก้วซึ่งใส่เสื้อคลุมออกมาจากห้องน้ำ ปล่อยผ้าคลุมผมออกปล่อยรุ่ยร่ายดูน่ารักมากกว่ารุงรัง ป่านแก้วเปิดออกดู เป็นชุดยาวผ้ามันเลื่อมสีขาว มีสายเล็กๆ สองเส้นเป็นแทบเสื้อ ป่านแก้วรับไปลองใส่
“ตายล่ะอีตาขิม ยังกับแก้ผ้าเลย” เธอร้องลั่นเมื่อใส่แล้วผ้าบางพลิ้วโชว์รูปบางกว่าที่เห็นตอนยังไม่ได้ใส่ ขิมโผเเราไปรวบร่างกายบางระดมจูบไม่เลือกที่”
“ชุดนอนเซ็กซี่ดี” วงแขนแข็งแรงช้อนร่างบางมาวางไว้บนเตียงป่านแก้วซ่อนรอยยิ้มเจ้าเล่ห์กว่า จนขิมต้องถาม
“ยิ้มอะไรของเธอ”
“ไฟจราจรดวงที่รถติดสีอะไรจ๊ะขิม”
“โธ่...ติดไฟแดงด้วย” เขากดร่างใหญ่ทับร่างเล็กหมั่นเขี้ยวเต็มที่ ป่านแก้วทำหน้ายู่ก่อนหัวเราะชอบใจที่ตนเป็นฝ่ายแกล้งเขาได้ เขาปล่อยร่างบางลุกขึ้นนั่งขอบเตียง
“แดงเดือดจริงหรือเปล่า” ถามไม่แน่ใจเสียดายครามครัน
“ไม่จริงหรอกป่านแก้ว ส่ายหน้าจนผมยาวรุ่ยร่าย ขิมยีผมหญิงสาวเล่น ป่านแก้วโผขึ้นนั่งตักซบบ่ากว้างเกลี่ยนิ้วไร่เคราครึ้ม
“ไปฟังเพลงกันเถอะขิม”
“เดี๋ยวค่อยไปก็ได้มีเรื่องอยากบอกป่าน”
“เรื่องสำคัญหรือเปล่า” ถามเกือบเป็นกระซิบ ขิมพูดริมหูอีกฝ่าย กำปั้นเล็กๆทุบอกเขาเมื่อขิมถอดเสื้อผ้าออกจากกาย
เห็นเรือนกายงามของคนรัก ทำให้ ป่านแก้วก็เกิดอาการร้อนวูบในท้องน้อย อารมณ์กระสันสวาทค่อยๆ ลุกลามแผ่กระจายจากหว่างกลางกายไล่เรื่อยขึ้นมาจนถึงทรวงอกทั้งสองที่เริ่มเต่งตั้ง ปลายหัวนมบีบรัดตัวเอง และต้องการสัมผัสจับต้องจากคนรัก ฝ่ามือของขิมลูบคลำไปทั่วแก้มก้นสล้างงามงอน
ขิมคุกเข่ากลางระหว่างขาของป่านแก้ว ต้นขาเขาดันเรียวขาของเธอให้แยกกว้างออก ชายผ้าที่ผ่าด้านข้างขั้นมาเล็กน้อยเพื่อให้ก้าวเดินสะดวกถอยร่นลงมาแถว ต้นขาอ่อน ขิมสอดฝ่ามือใหญ่เข้าไปใต้บั้นท้ายของป่านแก้วแล้วดึงชายกระโปรงให้ถลกเลื่อนเลยโค้งสะโพกนั้นท้ายขึ้นไปอีก จนเลิกสูง เปิดเปลือย ป่านแก้วสวยสุดใจ
มือทั้งคู่เคลื่อนไหวเคล้นคลึงเบาๆ ถนอมรักแด่เธอ นิ้วของเขาล่วงล้ำผ่านเลยเข้าไป ป่านแก้วยกสะโพกขึ้นรับ แล้วเมื่อเขาคลึงนวดไปทั่งเนื้ออวบอูมและปากทาง เสียงครางเมื่อกี้ก็เปลี่ยนเป็นสะอื้นคราง ความชุ่มฉ่ำเพิ่มมากขึ้น สร้างความกระหายตื่นเต้นเองกับรอยแยกของเธอ กดลงไปบนตุ่มติ่งเล็กๆ เรียกเสียงครางกระเส่าสั่นพร่าจากปากของป่านแก้วที่หลับตาพริ้ม
ชายหนุ่มถอดชุดบางโปร่งใสราวกับแก้วเลิกขึ้นก่อนถอดมันอออกจนร่างสาวเปลือยเปล่า ทรวงอกที่เห็นรำไรใต้ร่มผ้าผลิพุ่งออกมาเพื่อเจอกับริมฝีปากผ่าวร้อนของขิม
เขางึมงำชิดอกฝังหน้าอยู่กับพู่มทรวงนุ่มและร้อนระอุ ไล้เรื่อยเปลี่ยนสลับไปมาด้วยลิ้นอุ่นชื้น กระตุ้นอารมณ์
……………………………
แววตาไร้ความยินดีหรือตื่นเต้นใดๆของสัจจะมองร่าง กุลธิดาซึ่งเปลื้องผ้าด้วยท่าทีเย้ายวน สัจจะนั่งเก้าอี้หมุดก็สเกตภาพไม่หวั่นไหวราวกับว่าความรู้สึกของเขานั้นตายด้ายเสียแล้วสำหรับเรื่องนี้
“ขอโทษคะ” กุลธิดาเป็นฝ่ายทนไม่ไหวเสียเอง
“คุณปกติหรือเปล่าคะ”
สัจจะหยุดดินสอ ดุนางแบบเบาๆ “คุณอย่าเคลื่อนไหวสิผมกำลังสเกตภาพอยู่”
“ก็คุณทำเหมือนกับมองหมาแมวสักตัวอย่างนั้น รู้มั้ยว่าสายตาของคุณทำให้ธิดาหมดความมั่นใจในตัวเองนะ
เธอนั่งกอดเข่าเสียเฉยๆ สัจจะวางดินสอกับของภาพ ต่อว่าอีกฝ่าย
“ คุณอยากแก้ผ้าบ่อยๆหรือ” เขาพูดจริงจังสีหน้าเรียบเฉย
“อะไรนะ” กุลธิดาทำเสียงสูงไม่พอใจ
“คุณไม่อยู่เฉยเลยเดี๋ยวนั่งเดี๋ยวคลาน ตกลงคุณถนัดท่าไหนและจะอยู่นิ่งได้สักชั่วโมง” เขาพูดเสียงดุดันบอกความไม่สบอารมณ์นัก
อยากจะวาดก็แต่ภาพเท่านั้นเอง กุลธิดาเดินไปหยิบเสื้อคลุมที่แขวนไว้ใกล้ๆมาใส่ สัจจะมองนางแบบผู้เอาแต่ใจ
“ธิดาหมดอารมณ์เลยนะฟังคุณพูดแบบนี้”
“คุณไม่ใช่คนวาดไม่ต้องใช้อารมณ์หรอก” เขายอกย้อน
เธอเดินมาใกล้ สัจจะนั่งบนเก้าอี้หมุนนิ่งที่เดิม แขนกลมกลึงโอบรอบคอของจิตรกร ยื่นหน้าเข้าใกล้จนริมฝีปากชิด
“อย่าบอกนะคะว่าคุณยังบริสุทธิ์” ประกายตาท้าทายความเป็นชายของเขา เขาปิดปากได้สนิทไม่หวั่นไหวกับสิ่งที่เธอหยิบยื่นให้
“คุณทำให้ธิดาคลั่งรู้มั้ย” เสียงเธอลั่นพร่าด้วยความรู้สึกหากแต่สัจจะปลดมือทั้งสองของเธอออกจากการโอบรอบคอของเขา
“ผมขอโทษผมไม่กอดผู้หญิงที่ผมไม่รัก” กุลธิดาหัวเราะในลำคอเอ่ยเหมือนหยันตัวเอง
“ธิดาเอ๋ยธิดา ถูกแฟนหักอกมาหยกๆ มายื่นไมตรีให้หนุ่มโสดเขายังไม่เอาเลย โธ่เอ๋ยสงสารตัวเองชะมัด”
“ถ้าคุณไม่พร้อมจะเป็นแบบในวันนี้ผมจะไม่ทำงานอื่นของผม”สัจจะตัดบท
“แหมช่างขยันเสียจริง”
“ผมหาเลี้ยงปากท้องโดยการวาดภาพนะคุณ ไม่ใช่ตักตวงจากสมบัติพ่อแม่” ว่าพลางลุกขึ้นจัดเก็บอุปกรณ์โดยดึงผ้าขาวมาคลุมภาพร่างไว้
“คุณปากจัด” เธอว่า
“ผมขอโทษถ้าไปกระทบคุณ แต่มันเป็นความจริงของชีวิตผมวันนี้ผมคงต้องกลับแล้ววันนี้”
“เดี๋ยวสิคะ” เธอรีบคว้าแขนร่างสูงไว้ทันที “ธิดาจะให้คุณมาเสียเวลากับธิดาไม่ได้หรอกค่ะเอาล่ะจะไม่ซนอีกนะคะเชิญค่ะ” เธอดึงเขากลับไปจัดแจงให้นั่งบนเก้าอี้หมุนตัวเดิม เธอเปิดผ้าขาวออกดู อุทานอย่างไม่เชื่อสายตา
“ตายจริง ขนาดนั่งไม่นิ่งคุณยังวาดได้สวย มองดูรู้เลยนะคะว่าเป็นธิดาแล้วไหนต้นไม้ทุ่งหญ้าอย่างที่ธิดาต้องการ”
“ภาพนั้นเป็นองค์ประกอบผมจะวาดทีหลัง ถ้าคุณพร้อมก็นั่งเป็นแบบนิ่งๆ”
กุลธิดายอมรับชายหนุ่ม มีอำนาจสั่งเธอได้ และเธอยอมเพราะอยากอยู่ใกล้ชายผู้นี้ สัจจะเริ่มร่างภาพอีกครั้งหนึ่งด้วยสมาธิแน่วแน่ ปล่อยอารมณ์ไปกับดินสอ และปลายพู่กัน เส้นสายของเขาดูมีชีวิตชีวา ราวกับว่า สิ่งที่เขากำลังทำนั้นคือการเสกชีวิตอีกชีวิตหนึ่งให้ขึ้นมาจากผ้าใบได้!!
ไผ่หลิว ภรรยาของอมรโยกกระเป๋าถือโครมบนโต๊ะ บิดาและมารดาซึ่งมีเชื้อสายจีน ตกอกตกใจอารมณ์ฉุนของธิดาคนเล็ก
“เป็นอะไรไผ่หลิวเอะอะแบบนี้เตี่ยกับม้าจะช็อกตาย”
“ถามดูซิม้าว่า อาเจ้เบิกเงินบริษัทออกไปทำอะไรเจ็ดแสน”
“ไอ๊หยา+เตี่ยร่างเตี้ย ตาค้างอย่างตกใจ “ พึ่งเบิกไปกับเตี่ยสี่แสน”เตี่ยยิ่งตกใจมากกว่า
“อะไรนะเตี่ย” ไผ่หลิวรู้ความจริงจากปากเตี่ยโดยบังเอิญ เตี่ยกุมขมับยอมพูดความจริงออกมา
“อีบอกว่าผัวถูกใส่ร้ายเรื่องของหนีภาษีต้องเอาเงินไปวิ่งเต้น อีกำลังท้อ เตี่ยสงสาร”
“ใส่ร้ายอะไรได้ข่าวมีมูลทั้งนั้น แล้วมาเบิกเงินบริษัทไปได้ไงเจ็ดแสน เตี่ยไปเรียกเจ๊มาคุยกันให้รู้เรื่องเดี๋ยวนี้ เฮียตั้วเอาตายแน่” เธอหมายถึงพี่ชายคนโต
ผู้บังเกิดเกล้า เรียกพี่น้องมาประชุมกันเครียด สาลี่เป็นลูกคนที่ห้าเป็นพี่สาวไผ่หลิวซึ่งเป็นน้องคนเล็ก พี่ชายคนโตด่าสาดเสียเทเสียจนสาลี่เถียงไม่ออก
“ลื้อมันโง่สาลี่ แต่งงานกับมันสามปีมันผลาญลื้อจนหมดตัว มันดีแต่มาเอาเงินลื้อ ไม่เห็นกงสีของมันสักบาท”
“พี่ป้อเป็นผัวอั๊วจะให้อีติดคุกได้ยังไง”
“ไอ้ปรนัย มันคุยนักหนาว่าพ่อแม่ร่ำรวย พวกอีไม่ช่วยลูกก็ช่างหัวกบาลมันสิ”
“เฮียพูดได้สิเพราะเฮียไม่เดือดร้อน”
“ลื้อเห็นแก่ตัวอาสาลี่ มาเอาเงินพี่น้องทั้งหมดไปด้วยเรื่องของตัวเองคนเดียวได้ยังไง แต่อั๊วอายัดเช็คไปแล้ว”
“เฮีย”
“พ่อแม่มันงก ลูกมันทั้งคนมันไม่ช่วย เพราะเห็นว่าลื้อเอาเงินไปประเคน ลื้อใจแข็งปล่อยมันซิ มันจะทำยังไง”
สาลี่ร้องไห้ฟูมฟายว่าพี่น้องไม่รักไม่ช่วยเหลือ แต่ว่าเมื่อแบกหน้าไปหาพ่อผัวแม่ผัวพวกเขาก็ลุกเดินหนีเสียเฉยๆ สาลี่ทนไม่ได้จึงท้วงติง
“พี่ป้อเป็นลูกคุณพ่อคุณแม่ทำไมไม่ช่วยกันบ้าง”
“ใครใช้มันค้าของเถื่อน” ประณตว่า
“เงินเป็นล้านใครจะกล้าไปประกัน ขืนมันหนีประกันเงินก็สูญนะสิ” สุขฤทัยสำทับ ปกปิดเรื่องนำเงินไปเล่นหุ้นแล้วขาดทุนแทบจะฉิบหายขายตัว
สาลี่ร้องไห้โฮ กลับไปหาสามีที่ถูกคุมตัวอยู่ในโรงพัก ปรนัยรีบเกาะลูกกรงเรียกหาสาลี่
“สาลี่มาประกันพี่ใช่มั้ย”
“ฉันเหลือแต่ตัวแล้วนนะพี่”
“สาลี่”
“พ่อแม่พี่ยืมเงินไปหมุนไม่เคยคืน พี่เดือดร้อนครั้งนี้ฉันไม่มีหลักทรัพย์อะไรจะมาค้ำอีกแล้ว”
“ก็บ้านเราไง”
“บ้านเราพี่เอาไปจำนองมาลงทุน” สาลี่รื้อความจำสามี ปรนัยขบกรามจนเป็นสันนูน สาลี่จับมือสามีแน่น
“ฉันจะลองพูดกับเตี่ยอีกครั้งนะ แต่ว่าเงินมากเหลือเกินฉันไม่รู้ว่าเตี่ยจะยอมมั้ย” น้ำเสียงสะอื้นขาดหายไปในคอ
“สาลี่” ปรนัยนึกอะไรได้บางอย่าง เขายังมีลุงเป็นนายทหารชั้นผู้ใหญ่ แม้ไม่ได้ติดต่อกันหลายปี แต่ก็ได้รับทราบข่าวอยู่เสมอนามสกุลเดียวกัน เมื่อพ่อแม่ของเขาไม่ยอมช่วยเหลือจริงๆ ก็ต้องวิ่งไปทางนั้น
“ถ้าไม่มีทางจริงๆ ลองไปหาลุงพี่ พลตรีประนาท”
“ฉันไม่เข้าใจพ่อแม่ของพี่เลยนะ หัวใจเขามีแต่เงินทองเท่านั้นใช่มั้ย” สาลี่ถามแววตาละห้อยน้อยใจ ปรนัยกำลูกกรงเหล็กแน่น เรื่องเงินคือพระเจ้าสำหรับพ่อแม่ของเขา แม้จะนำมาใช้ทางการเรียนก็เถอะใบเสร็จทุกใบตรวจแล้วตรวจอีก แม่เขาพร่ำสอน โอ๋สาลี่ยามได้เป็นสะใภ้ใหม่ๆ ขอทุกอย่างที่ลูกสะใภ้มี
“หาเมียต้องหาที่มันรวยๆแกจะได้เอาท้องไปใส่ข้าว”
“ผมจะนำเข้าเครื่องเสียงอยากจะขอทุนสักก้อนครับคุณแม่”
“เงินทองอะไร แม่ไม่มีหรอก เมียแกรวยก็ให้เขาออกไปก่อนสิ” สุขฤทัยว่า
“คุณแม่เอาของสาลี่มาสองล้าน”
“แกจะมาทวงเงินหรือนายป้อ ฉันพูดเรื่องเงิน เมียแกก็เอามาให้ ฉันขอหยิบขอยืมเมื่อไหร่กัน บ้านเมียแกก็เอาไปจำนองเองสิ”
แม่เขาก็อย่างนี้ไม่เคยเปลี่ยนของคนอื่นจะเอา แต่ของตัวเองไม่ยอมให้ ปรนัยปรึกษากับสาลี่นำบ้านไปจำนอง ความดีของเมียเขารับรู้ดี อยากหาเงินมาคืนให้เพราะละอายใจในการกระทำของแม่ตัวเอง หากว่าเดินผิดเพียงก้าวเดียวเขาต้องมานั่งอยู่ในคุก เขานึกถึงอดีตเมื่อเป็นเด็ก เคยรื้อดันตามประสาเด็กซนสายสร้อย คอ กำไลมือ-เท้า เส้นเขื่องถูกพบมารดารีบเเรามาเก็บไป
“ของป้อ คุณย่าให้” เด็กชายนำกล่องมาซุกไว้ข้างหลัง
“ของฉันต่างหาก ถ้าแกไม่ใช่ลูกฉันแกจะได้ของนี่หรือ เป็นเด็กเป็นเล็กอย่ามายุ่งดีกว่า”
ของหมั้นของสาลี่ใส่หลังแต่งได้อาทิตย์เดียว มารดาก็ไปขอลืม คือยืมแล้วลืมคืนจนทุกวันนี้ สาลี่ไม่ปริปากสักคำ ปรนัยเกาะลูกกรงแน่นด้วยความรู้สึกเจ็บช้ำน้ำใจเป็นที่สุด
วันนี้เขาเข้าห้องขัง และถ้าไม่มีเงินประกัน เขาต้องอยู่ในคุก ผู้ให้กำเนิดทั้งสองยังไม่เคยเฉียดกรายมาเยี่ยมสักครั้ง เขาแทบอยากผูกคอตายด้วยความเจ็บใจ แต่สงสารเมีย ที่วิ่งขึ้นวิ่งลงเพื่อมาหาสามีวันละหลายครั้ง
เขานึกถึงที่พึ่งสุดท้าย...ลุงผู้มีสี ที่มีหน้าที่อาจจะค้ำประกันเขาได้ ลุงที่เขาไม่เคยเห็นหัวหรือเคยนับถือมาก่อนเลย ตามคำสั่งสอนของพ่อแม่ ว่า เขาไม่มีญาติ แต่วันที่ทุกข์เหลือทุกข์เขาจึงนึกได้ว่ามีญาติซึ่งอาจจะมีหัวใจมากกว่าผู้ให้กำเนิดของเขา
ที่บริษัท คิวปิค คอสเมติก
“ป่านรู้จักผู้ชายคนนี้มั้ย นามสกุลเดียวกับป่านเลย” เอมจิตนำหนังสือพิมพ์มาให้เพื่อนอ่านข่าว ป่านแก้วอ่านรายละเอียดแล้วพยักหน้า
“รู้จัก เป็นลูกชายของอา แต่ว่าไม่ได้พบกันหลายสิบปีแล้วสิ”
“ข่าวว่าพ่อแม่ไม่ไปเยี่ยมไม่ประกันเสียด้วย งานนี้ติดคุกหัวโตแหงๆ”
ป่านแก้วหวนนึกไปถึงญาติวัยเดียวกัน เขาเย่อหยิ่งรังเกียจที่จะเล่นกับป่านแก้วและเพื่อนๆ จำได้จนติดตากับสายตาที่ไม่เคยมองปลายเท้าตัวเอง
ในยามบ่ายป่านแก้วได้รับโทรศัพท์จากคุณประนาท บอกเล่าเรื่องสาลี่มาขอความช่วยเหลือให้ประกันตัวปรนัยป่านแก้วแปลกใจจนอดพูดไม่ได้”
“เขารู้จักเราหรือคะคุณพ่อ”
“เมียมันมาเล่าเรื่องครอบครัวนั้นให้ฟัง พ่อเชื่อทุกอย่างเพราะพวกมันใจดำ แม่ตายมันยังไม่ไปเผาเลย ไอ้นรกนั่น”
“แต่นี่ลูกนะคะคุณพ่อ เขาจะเสียดายเงินมากกว่าหรือ”
“ได้ข่าวว่าออกจากราชการจะเข้าหุ้นกับผู้ใหญ่”
“นั้นแน่ แอบไปเล่นด้วยล่ะสิ”ป่านแก้ว แอบสะกิด
“แต่พ่อไม่หมูอย่างมันหรอก” ประนาทพูดกับลูกเพียงแค่นั้นเขารับรู้แต่ ว่า ประณตถูกโกง ส่วนสุขฤทัยเล่นแชร์ลูกโซ่ ซึ่งแม้จะมีคนบอก หรือรัฐออกโฆษณามากต่อมาก แต่ไม่อาจสกัดกั้นความโลภของคนได้ จึงมีคนโดนโกงอยู่ให้เห็นสมอ แชร์มาทุกรูปแบบ ทั้งจากธุรกิจขายตรง หรือคอลเซ็นเตอร์ หรือแม้แต่การก่อตั้งบริษัท ซึ่งมีทุนจดทะเบียนไม่เท่าไหร่ แต่คนเห็นว่าเป็นบริษัทมีการจดทะเบียนถูกต้องแล้ว ก็ไปลงทุนกัน เพื่อหวังผลประโยชน์ ซึ่งหากย้อนคิดกันสักนิดว่า
...ไม่มีอะไรได้มาโดยไม่เสียอะไรไป
หรือการลงทุนที่ได้มหาศาลอย่างที่โฆษณากันนั้น หากได้จริง มีหรือภาครัฐจะไม่กระโดดลงมาจัดการเสียเองให้ถูกกฎหมาย
หากย้อนคิดให้เป็น จะไม่มีทางหมดตัว!!
“แล้วคุณพ่อว่ายังไงคะ”
“ป่านออกหน้าก็แล้วกัน เอาเงินพ่อไปเดี๋ยวให้วิชัยไปจัดการเรื่องคดี ไปพร้อมป่าน”
“ไหนว่าตัดขาด”
“ตัดจากพ่อมันคนเดียว ลูกหลานไม่เกี่ยว โทรไปที่เมียป้อก็แล้วกันยังไงก็เป็นน้องนะป่าน”
“ค่ะ” เธอรับคำ
แอบคิดว่า งานนี้คุณนายเรไม่ทราบแหงๆ ไม่งั้นมีหรือจะยอมง่ายๆ!



Create Date : 29 สิงหาคม 2554
Last Update : 29 สิงหาคม 2554 12:12:21 น. 0 comments
Counter : 394 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

นางแก้ว ดาราพร
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 11 คน [?]




New Comments
Friends' blogs
[Add นางแก้ว ดาราพร's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.