กุมภาพันธ์ 2551
 
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
242526272829 
 
18 กุมภาพันธ์ 2551
 

+++ประสบการณ์ระทึกขวัญในสนามบิน LHR Part2+++

ต่อจากคราวก่อนนะครับ

ก่อนที่จะไปผมก็ไม่ลืมถามพนักงานของ BA เรื่องกระเป๋าของผมว่ามันจะเป็นยังไงถ้าผมตกเครื่อง

เพราะอย่างที่หลายๆ คนคงทราบ คราวก่อนที่ผมตกเครื่องกระเป๋าผมหายไป 2 วัน

พนักงานบอกว่าถ้าผมตกเครื่องผมสามารถขอกระเป๋าไปโรงแรมด้วยได้

แต่ถ้าผมอยากให้กระเป๋าของผมเลือกปลายทางเป็นที่ London เค้าก็สามารถทำให้ได้

แต่ผมบอกพนักงานว่าผมขอเลือกให้ปลายทางเป็นกรุงเทพดีกว่า


เพราะเหตุผลหลักที่ผมตัดสินใจเลือทางนี้เพราะผมต้องการวัดดวง ว่าเครื่อง QF2 จะ Delay




หลังจากนั้นผมก็รู้สึกสบายใจขึ้นพอสมควร เลยตัดสินใจไปเดิน Shoping ในส่วน Duty Free เลยได้ Whisky มา 2 ขวด

ซึ่งเค้าก็ซิลในถุงพลาสติดใสเป็นอย่างดีให้ผม เพื่อจะได้ถือขึ้นเครื่องได้ \^0^/



ซักพักเครื่องบินผม ก็พร้อมออกเดินทาง ซึ่งจริงๆ แล้ว เครื่องออกช้ากว่ากำหนดเวลาเดิม 1 ชั่วโมงครึ่ง ไม่ใช่ 45 นาที ตามที่ประกาศไว้

และเมื่อเครื่องเดินทางไปถึง London Heathrow กัปตันก็ประกาศว่า

"ขออภัยผู้โดยสารทุกท่าน เนื่องจากตอนนี้สนามบิน LHR ค่อนข้างยุ่งมากๆ จึงไม่สามารถจัดช่องทางสำหรับผู้โดยสารลงให้เครื่องบินลำนี้ได้

ขอให้ผู้โดยสารทุกท่านนั่งรอบนเครื่องซักครู่"

ซึ่งผมว่าตัวกัปตันเองก็คงเซ็งเหมือนกัน เพราะเค้าคงไม่รู้ว่า "ซักครู่" ของ LHR มันจะคือ "1 ชม"

"1 ชม" ที่ต้องนั่งรอเฉยๆ บนเครื่องบินที่จอดอยู่ที่สนามบิน LHR แล้ว"

และอีก "3 ชม" ที่ต้องใช้กับการต่อแถวเพื่อติดต่อเรื่องต่อเครื่อง

(ชิ ตอนแรกอุตสาห์ย่ามใจว่าเราเดินเรื่องไว้ก่อนไม่น่าจะต้องมาต่อแถวอีก แต่ดันลืมไปว่าต้องให้ทาง LHR ออกบัตรฟรีให้อยู่ดี T_T)


เมื่อถึงคิวของผม ผมก็ได้่พบกับพนักงานสาวสวยของ BA ซึ่งผมก็ติดต่อขอตั๋วฟรีเรียบร้อย และก็ทราบว่าได้นอนพักที่โรงแรม Premier Inn

แต่เนื่องจากขณะนั้นเป็นเวลาตี 1 แล้ว จึงไม่มีรถบัสรับส่่ง เค้าจึงขอให้ผมนั่ง Taxi ไปเองแล้วเก็บบิลมาเบิกทีหลังได้

ซึ่งผมก็โอเคกับเรื่องนี้



สิื่งที่ผมต้องการอีกสิ่งก็คือกระเป๋าที่ผมโหลดไปใต้ท้องเครื่อง

เพราะใน Carry On ของผมมีแต่ของฝากกับของที่แตกหักง่าย

ซึ่งพนักงานปฏิเสธที่จะให้ผมเอากระเป๋าออกเพราะว่าวันนี้มีคนตกเครื่องเยอะมาก

ซึ่งผมก็โอเคกับเรื่องนี้นะ เพราะถ้าให้ได้คนนึง คนอื่นก็ต้องให้ได้




แต่ผมก็ไม่ลืมที่จะถามพนักงานว่าถ้างั้น Whisky ตรูที่ซื้อมาจาก Duty Free จะเอาขึ้นเครื่องพรุ่งนี้ยังไงดี

พอผมถามปุ๊บผู้โดยสารคนอื่นที่อยู่ในแถวก็ฮาครืนเลยพร้อมกับช่วยหนับหนุน อีกแรงว่า

"เรื่อง Whisky มันเป็นเรื่องใหญ่นะนั่น"

พนักงานเค้าก็แอบอมยิ้มให้แล้วบอกว่าไม่น่าจะเอาขึ้นได้นะ คุณคงต้องกินให้หมดในคืนนี้ O_o;

ผมก็บอกว่าไม่มีใครกิน Whisky หมด 2 ขวด ตอนตี 2 ด้วยตัวคนเดียวได้หรอก ผมขอฝากคุณไว้ได้มั๊ยอะ Please please Please

พนักงานก็พยักหน้าหงึกๆ เป็นเชิงเห็นด้วย แล้วก็บอกว่า

"งั้นเดี๋ยวดิฉันจะลองหาวิธีช่วยคุณดูนะ"

หลังจากหายไปพักนึงเค้าก็กลับมาบอกข่าวร้ายกับผมว่า

"ส่ิงที่ดีที่สุดที่เราทำได้คือเราสามารถให้คุณนำ Bill มา Claim กับ BA ได้ และภาวนาให้คุณได้เพิ่อนร่วมดื่มที่น่ารัก :)"

ท่าทางพนักงานสาวสวยคนนี้จะเป็นคอเหล้าเหมือนกันนะ

คุณลุงฝรั่งคนที่ช่วยหนับหนุนผมเมื่อกี้ก็ยกนิ้วโป้งให้ผม พร้อมทั้งบอกว่า

"หวังว่าเราคงได้อยู่โรงแรมเดียวกันนะ ^_^b"




จากนั้นผมก็ออกมาตากอากาศหนาวรอ Taxi ตอนตี 1 ฝ่าๆ พร้อมกับได้เพื่อนใหม่ที่ร่วมเดินทางไปด้วย 3 คน

เป็นหญิงสาวชาว Hongkong 2 คน

ส่วนอีกคนเป็นหนุ่มชาวไทย \^_^/

ไม่อยากบอกว่าผมดีใจแค่ไหนที่ผมได้เจอคนไทยที่นั่น ในสถานการณ์แบบนั้น



ระหว่างที่รอ Taxi ในคิวอันแสนยาวผมก็เหลือบไปเห็นลุงฝรั่งกับชาวคณะคุณลงคุณป้าเดินออกมา

ผมก็เลยเดินไปหาคุณลุงเพื่อสอบถามว่าแกพักที่ไหน ซึ่งก็ต้องผิดหวังที่แกพักคนละที่กับผม

และแกกับชาวคณะต้องติดอยู่ที่นี่อีกประมาณ 3 วัน

ผมเลยตัดสินใจยกเหล้าผมให้แก 1 ขวดฟรีๆ เพื่อเป็นของขวัญโทษฐานที่รู้จักกัน อิอิ


จากนั้นผมก็นั่งรถ Taxi London สุดหรูของลอนดอนเป็นครั้งแรก รู้สึกสบายดีเหมือนกัน

แต่ผมได้นั่งแค่ 5 นาทีเท่านั้นเพราะที่พักผมไม่ไกลจากสนามบินเท่าไร

แวบแรกผมเสียดายน่าจะได้นั่งนานๆ เพราะว่าเบิกได้

แต่พอเห็นบิลผมก็ต้องเปลี่ยนใจ

5 นาทีประมาณ 20 ปอนด์ (1,400 บาท)



จึสสสส จะแพงอะไรขนาดนั้น!!!



โรงแรมที่ผมพักเป็นโรงแรมประมาณ 3-4 ดาว มีอ่างอาบน้ำ พร้อมอาหารเช้าให้แต่หมด 10.30น

แต่เหลือห้องว่างเพียงแค่ 2 ห้อง โชคดีมากที่คณะของเราเป็นชาย 2 หญิง 2

เพราะห้องที่ว่างทั้ง 2 ห้องเป็นห้องเตียง Double!!!





อีกเรื่องที่ผมไม่ลืมทีจะถามคือผมต้องเช็คเอาท์ก่อนกี่โมง เพราะในความเป็นจริงผมเป็นไข้หนักจนแทบจะเดินไม่ไหวมา 2 วันแล้ว

พนักงานก็บอกว่าแค่ก่อนเที่ยงก็โอเคแล้ว

ดังนั้นผมเลยวางผมว่าคืนนี้จะดื่มนิดหน่อยพอไม่ให้เสียดายของ (ป่วยแล้วยังซ่า)

จากนั้นก็ตื่นซัก 9 โมงไปทานข้าว แล้วกลับมานอนต่อ

แล้วค่อยออกจากที่นี่ซักเที่ยงไปสนามบินก่อน

จากนั้นนั่งรถใต้ดินกลับเข้าไปในเมืองไปดูละครรอบบ่าย 2 แล้วค่อยกลับมา นั่งรอที่สนามบิน

(ไหนๆ ก็ได้อยู่ลอนดอนอีกวัน เอาให้คุ้มหน่อย แล้วค่อยนอนบนเครื่องแทน อิอิ)



แต่จากการสอบถามชาวคณะของผม 4 คนได้กลับตอนเที่ยงหมดยกเว้นผม อ้าว O_o"

เพราะน้องคนไทยเค้าได้กลับ TG แทน เพราะเค้ามีสอบในวันที่ 4 รู้งี้ขอเปลี่ยนบ้างดีฝ่า T__T


ส่วน 2 สาว(น้อย) ชาวฮ่องกง ก็ท่าทางจะอายุไม่ถึงเกณฑ์ที่จะดื่มเหล้าได้

ผมก็เลยได้เปิดขวดจิบเหล้าพอเป็นพิธีไป 1 แก้ว ก่อนจะยกที่เหลือให้พนักงานของโรงแรมฟรีๆ ในวันรุ่งขึ้น

และผมก็เปลี่ยนแผนออกแต่เช้ามาเดินทางไปสนามบิน Heathrow กับน้องเค้าตอน 10 โมงด้วย เพราะตอนนั้นรู้สึกว่าอาการดีขึ้นหน่อยๆ แล้ว

(อย่างน้อยก็จะได้่มีเพื่อนคุยด้วยอีกพัก กับได้ไปฟัดแย่่งตั๋วราคาถูกก่อนใครเค้า)



หลังจากไปส่งๆ น้องๆ 3 คนที่ Terminal 3 ผมก็ลงไปซื้อตั๋วรถใต้ดินแบบ All Day Zone 1-6 ในราคา 6.7 ปอนด์ (เพราะผมขึ้นจากสนามบินที่ Zone 6 และจะไปเที่ยวที่ Zone 1)

โดยตอนแรกผมตั้งใจจะจับรถสาย Piccadilly ไปลงที่ Leicester Square เพื่อไปซื้อตั๋วละคร

แต่อยู่ๆ ผมก็วูบหลับไปไม่รู้ตัวไปเกือบ 30 นาที

ทำให้ผมรู้ว่าอาการผมน่าจะหนักกว่าที่คิด

ผมเลยตัดสินใจเปลี่ยนไปลงที่ South Kensington

เพื่อไปนอนใน Museum ที่ผมชอบมากที่สุด Victoria & Albert Museum

ไปถึงผมก็จัดแจงฝากกระเป๋า (ซึ่งผมเข้าใจว่าฝากฟรี) ที่จุดรับฝาก

แต่ไอ้มืดตัวใหญ่ที่มันรับกระเป๋าผมไปถือผมบอกว่ากระเป๋าผมโคตรหนักเลย ถ้าผมจะฝากผมต้องบริจาคให้ Museum ด้วยนะ (มีงี้ด้วยเหรอฟะ)O_o

และแล้วผมก็ได้เข้าไปหลับในห้องนอนที่เงียบ ใหญ่ และแสนสบาย ที่สุดของผม เป็นเวลาเกือบ 3 ชั่วโมง



เมื่อผมตื่นขึ้นมาก็ยังไม่รู้สึกดีขึ้นเท่าที่ควร ไม่รู้เพราะนอนกลางวันหรือว่าหิว

ผมเลยตัดสินใจนั่งรถไฟ 5 ป้าย ไปกินข้าวหน้าเป็ด Four Season ที่ Leicester Square

ซึ่งมีชาร้อนๆ ให้่กินฟรีไม่อั้น แถมเค้ายังแถมซุบให้ผมอีกถ้วยด้วยเนื่องจากตอนนั้นเป้นมื้อหลังเที่ยงแล้ว

แต่เนื่องจากผมคงไม่สบายหนักมากเกินไป ผมเลยทานได้ไม่ถึงครึ่งจาน เลยตัดสินใจเปลี่ยนแผนว่าจะกลับสนามบิน

ไปขอ Stand by Flight ที่กลับได้เร็วขึ้นแทนน่าจะดีกว่าอยุ่รอถึง 4 ทุ่ม



ซึ่งผมไม่รู้เลยว่านั่นจะไปจุดเริ่มต้นของฝันร้ายที่ผมจะจดจำไปชั่วชีวิต

(ยังมีต่อ)


Create Date : 18 กุมภาพันธ์ 2551
Last Update : 24 กุมภาพันธ์ 2551 18:22:19 น. 0 comments
Counter : 732 Pageviews.  
 
Name
Opinion
*ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก

น้ำค้างในยามเช้า
 
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




ยินดีที่ได้รู้จักครับ
[Add น้ำค้างในยามเช้า's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com