1 2 3
4 5 6 7 8 9 10
11 12 13 14 15 16 17
18 19 20 21 22 23 24
25 26 27 28 29 30
ความว่าง - ความไม่มีอะไร
ผมได้เขียนเรื่องความว่างไว้ที่ //www.bloggang.com/viewdiary.php?id=namasikarn&month=05-2009&date=23&group=1&gblog=10 แต่อ่านแล้วยังมองภาพไม่ชัดพอ และ ยากจะเข้าใจ ผมจึงเขียนเพิ่มเติมอีกในบทความนี้ ก่อนมาเข้าใจเรื่องนี้ ผมอยากให้ท่านจำลองเหตุการณ์ก่อนว่า สมมุติว่ามีเครื่อง Notebook 1 เครื่อง ที่กำลังเปิดทำงานอยู่ 1...ว่างแบบที่ 1 คือ ความว่างที่อยู่รอบ ๆ เครื่อง Notebook นั้น ถ้าท่านไม่เข้าใจ ขอให้วางขวดน้ำ 2 ใบบนโต๊ะ ให้ขวดทั้ง 2 อยู่ห่างกัน 10 เซนติเมตร ทีนี้ขอให้ท่านดูขวดน้ำทั้ง 2 ท่านจะพบช่องว่างระหว่างขวดน้ำทั้งสองนี้ เพราะขวดทั้ง 2 วางห่างกันอยู่นั้นเอง ความว่างแบบนี้ จะเป็นความว่างของอากาศ ทีนี้ พอท่านเห็นความว่าง ระหว่างขวดน้ำได้ ทีนี้ ถ้าท่านมองไปข้างหน้าของท่าน ท่านก็จะพบความว่าง ของอากาศนี้ได้เช่นกัน ดูมันธรรมดาเหลือเกิน แต่ถ้าท่านไม่เคยสังเกตมัน ท่านก็ไม่เคยเห็นมันเหมือนกัน เมื่อผมปฏิบัติเจริญสัมมาสติ สัมมาสมาธิ ผมพบความว่างชนิดนี้ได้ก่อน เมื่อผมพบใหม่ ๆ ผมดีใจมาก คิดว่า นี่คือ จิตว่าง แต่มันไม่ใช่ครับ 2...ว่างแบบที่ 2 ทีนี้ขอให้ท่านนึกถึงเครื่อง Notebook ครับ ท่านเปิดเครื่องให้ทำงานแล้ว เครื่องกำลัง boot ครับ แต่มีปัญหาอะไรสักอย่าง หน้าจอไม่ขึ้นอะไรเลย นอกจากภาพขาว ๆ เต็มหน้าจอ ความว่างแบบที่ 2 นี้จะคล้าย ๆ อย่างหน้าจอขาว ๆ ของ notebook ที่ไม่มีอะไรเลยนอกจากความว่างขาว ๆ ที่หน้าจอ เมื่อผมพบความว่างแบบนี้ ผมพบโดยที่ผมเห็นการดับลงไปของความคิด หรือ อารมณ์จิต ซึ่งหมายความว่า ท่านต้องฝึกสัมมาสติ สัมมาสมาธิ จนจิตรู้มีกำลังและเห็นความคิด หรือ อารมณ์จิต มันเกิด-ดับได้แล้ว พอผมเห็นความคิด หรือ อารมณ์จิตมันดับลงไป ผมก็สังเกตเห็นเจ้าความว่างแบบที่ 2 นี้ได้ครับ พอผมเห็นมันได้แล้ว ทีนี้ มันจะปรากฏตัวให้เห็นอยู่เสมอ ๆ แต่ถ้าตอนที่กำลังจิตตกต่ำลงไป ก็จะไม่เห็นเหมือนกัน แต่ถ้าวันไหนกำลังจิตดี มันจะแสดงตัวให้เห็นตลอดวันทีเดียว ว่างแบบที่ 2 นี้ ยังมี 2 แบบครับ คือ ใหม่ ๆ จะเห็นเป็นดวง คล้าย ๆ ดวงจันทร์ แต่พอเห็นได้มาก ๆ เข้า ก็จะเห็นเป็นอีกแบบที่ไม่เป็นดวงแล้ว คือ มันจะแผ่กว้างออกไป เหมือน ดวงอาทิตย์ทรงกลด แต่จะไม่มีดวงอาทิตย์ให้เห็น (ขออภัยที่อธิบายอาจไม่รู้เรื่อง เพราะอธิบายยากจริง ๆ ) เมื่อความว่างนี้ปรากฏให้เห็นอยู่เมื่อใด ทุกข์ใจก็หดหายไปหมดสิ้น ช่างวิเศษจริง ๆ สำหรับใครที่พบความว่างแบบนี้ ความว่างแบบนี้ คือ อรูปฌาน ทีจิตไปสร้างขึ้นมา 3...ว่างแบบที่ 3 อันนี้ขอให้นึกถึงอาการที่ Notebook ไม่เปิดเครื่องครับ หน้าจอไม่มีอะไรเลย ไม่มีแสงออกมา หรือ ถ้าจะคิดว่า ไม่มีเครื่อง Notebook อยู่ก็ได้เช่นกัน ความว่างแบบนี้ ดูจะธรรมดามาก ๆ เพราะมันมองไม่เห็นอะไรครับ แต่รู้ว่ามันไม่มีอะไรโดยที่ไม่ต้องจงใจไปรู้ในความว่างแบบนี้ ซึ่งถ้าเทียบกับคนทั่ว ๆ ไป เขารู้ว่าไม่มีอะไร ก็ต่อเมื่อ่เขาจงใจที่จะนึกถึงมัน การรู้ความว่าง หรือ ความไม่มีอะไรในจิตใจแบบนี้ คือ เราจะรู้ว่า ตอนนี้ จิตใจมันไม่มีอะไรอยู่ในนั้นครับ โดยที่เราจะรู้ว่ามันไม่มีอะไรอยู่ตลอดเวลา แต่ถ้าจิตใจมีการสั่นไหวเมื่อไร ก็จะรู้เช่นกันว่า มีการสั่นไหวของจิตใจแล้ว ซึ่งถ้าผมยกตัวอย่างการรู้แบบนี้ก็คล้าย ๆกับว่า ถ้าท่านนั่งทำงานอยู่ แล้วไม่มีแผ่นดินไหว แผ่นดินมันนิ่งอยู่ท่านก็รู้อยู่ว่าไม่มีแผ่นดินไหว แต่ถ้ามีแผ่นดินไหวเมื่อไร ท่านก็รู้ได้ว่า มีแผ่นดินไหวแล้ว พอแผ่นดินหยุดไหว ท่านก็รู้อีกว่า แผ่นดินหยุดไหวแล้ว ความว่างแบบที่ 3 นี่ดูธรรมดามาก ซึ่งจะคล้าย ๆ กับแบบที่ 2 ตอนที่กำลังจิตตกต่ำลงไป แต่มันต่างกันตรงที่ว่า ถ้าแบบที่ 2 กำลังจิตตกต่ำลงไป ท่านจะไม่เห็นความว่างแบบที่ 2 คือ มันหายไปเลยที่คล้ายแบบที่ 3 แต่ต่างกันที่ว่า ท่านต้องตั้งใจรู้ถึงความว่าง จึงจะเห็นความว่างแบบที่ 3 ได้ แต่ถ้าท่านปฏิบัติตนเห็นความว่างแบบที่ 3 ได้แล้ว ท่านไม่ต้องจงใจทีจะเห็นมัน มันก็เห็นได้เองอยู่ตลอดเวลาครับ ความว่างแบบที่ 3 นี้ให้ความสุขสงบแห่งจิตที่มั่นคงปราณีตมากกว่าแบบที่ 2 ครับ ความว่างแบบนี้ คือ ความว่างของตัวจิตเอง เป็นอาการทีจิตไม่มีการปรุงแต่งใดๆ อยู่ ซึ่งต่างจากแบบที 2 ทีเป็นอรูปฌานทีจิตไปสร้างขึ้นมา *** ผมไม่รู้ว่า จะยังมีความว่างแบบอื่นอีกหรือไม่ ผมหวังว่า ท่านที่สงสัยเรื่องความว่าง คงพอได้แนวทางจากบทความนี้ว่า สิ่งที่ท่านพบว่ามันว่าง มันเป็นแบบ 1 / 2 / 3 หรือ อาจมีแบบอื่นอีกก็ได้ครับ ต้องขออภัย ถ้าท่านอ่านแล้วไม่รู้เรื่อง เพราะเรื่องนี้ เขียนอธิบายเป็นภาษาได้ยากจริง ๆ ครับ
Create Date : 04 เมษายน 2553
1 comments
Last Update : 20 กรกฎาคม 2560 18:46:44 น.
Counter : 1732 Pageviews.
โดย: นมสิการ 29 มกราคม 2555 18:17:12 น.
Location :
[ดู Profile ทั้งหมด]
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 142 คน [? ]
หลักปฏิบัติ ...รู้สึกตัว ผ่อนคลาย เฉย ๆ สบาย ๆ มากกว่า 20 ปีที่ไปหลงทำสมถภาวนาแบบสมาธิแบบฤาษีโดยที่ไม่รู้จักกับคำว่า อะไรคือสัมมาสติ สัมมาสมาธิ ผลที่ได้คือความสงบขณะกำลังนั่งสมาธิจนตัวนิ่งแข็งเป็นก้อนหิน แต่ผลข้างเคียงตามมาก็คือการเป็นคนเจ้าโทสะอย่างรุนแรงขณะเวลาไม่ได้นั่งสมาธิ และ ที่อยู่ในชีวิตประจำวัน.... จนได้พบกัลยณมิตรแดนไกล ที่ได้ชักนำให้มารู้จักวิธีปฏิบัติแบบหลวงพ่อเทียน จนได้พบกับพระอาจารย์ในสายหลวงพ่อเทียน ที่ผมได้เรียนการปฏิบัติจากท่าน จนเข้าใจว่า สัมมาสติ สัมมาสมาธิ คืออะไร แล้วลงมือฝึกฝน การปฏิบัติก็รุดหน้าและได้ลิ้มรสสิ่งบริสุทธิในจิตใจอันเป็นผลจากการปฏิบัติด้วยเวลาเพียง 5 ปี ธรรมปฏิบัติจากฆราวาสเขียนเป็นสิ่งที่ยอมรับได้ยากในสังคมไทย ผมรู้ได้จากที่เขียนใน blog ผมได้พบกับการก่อกวนใน blog การเขียนเหน็บแนม กระแหนะกระแหน ตำหนิการการปฏิบัติที่ผมเขียนใน blog ว่าผิดทาง เขียนแบบคาดเดาเอา ไม่รู้จริง ให้ผมหยุดเขียนแนวนี้ได้แล้ว และไปโมทนาสาธุแนะนำการปฏิบัติสมาธิแบบฤาษีให้กับผมอีกว่านี่คือทางที่ถูกต้อง ... บทความใน blog จึงเกิดขึ้นมา เพื่อแบ่งปันประสบการณ์ในการภาวนา แก่ผู้อื่นที่กำลังเดินทางในสายแห่งอริยมรรคนี้ เมื่อท่านได้เข้ามาอ่านข้อเขียนใน blog กรุณาอย่าได้เชื่อผมจนกว่า ท่านได้ทดลองปฏิบัติแล้วและพิสูจน์ด้วยตัวท่านเอง **กรุณา .อย่า.ได้บริจาคเงินให้ blog ผมทาง e-wallet ครับ ** ****** บทความต่าง ๆ ใน blog นี้ ขอสงวนสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 ห้ามนำไปดัดแปลง ลอกเลียน หรือนำส่วนหนึ่งส่วนใดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ****
ที่อาจมีสิ่งผิดกฏหมายใส่เข้ามาใน blog
ท่านที่จะสนทนา หรือ ถามคำถาม ขอให้ส่ง email ถึงผมได้ที่
asknamasikarn@gmail.com
หรือสำหรับสมาชิก pantip จะส่งมาทางหลังไมค์ก็ได้เช่นกัน