กาลามสูตร
ผมเข้าไปอ่านในกระทู้เรื่อง วิจิกิจฉา กับ กาลามสูตรไม่ขัดกันหรือคะ ที่ //www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y10483968/Y10483968.html ผมเห็นมีเรื่องกาลามสูตรอยู่ เป็นเรื่องที่น่าสนใจ ที่ผมอยากจะทิ้งมุมมองของผมในเรื่องพระสูตรนี้ให้ท่านพิจารณา ผมเชื่อว่า ท่านที่เป็นขาจร เมื่ออ่านบทนี้จบ จะมีหลายท่านที่อาจสบถออกมาก็ได้ว่า ช่างเป็นข้อเขียนที่ทำลายศาสนา สำหรับท่านที่มีปัญญา บทความนี้อาจช่วยให้ท่านถึงฝั่งก็อาจเป็นได้ ****************** ผมเชื่อว่า ไม่มีใครที่ชอบการถูกผู้อื่นหลอก ผู้ถูกหลอกนอกจากจะเสียรู้ให้แก่ผู้มาหลอกแล้ว ถ้าจะมองดี ๆ ก็จะได้ว่า ผู้ถูกหลอกช่างเป็นคนที่โง่เง่าเสียจริง ๆ จึงถูกหลอกได้สำเร็จ ในโลกนี้ ไม่มีใครรู้ทุกสิ่ง ดังนั้น เรื่องการถูกหลอกจึงมีอยู่โดยทั่ว ๆ ไป ในการหลอกนั้น คน ๆ หนึ่ง นอกจากจะถูกคนอื่นหลอกแล้ว ยังมีการหลอกอีกอย่างหนึ่ง ที่คนถูกหลอกมักไม่รู้ว่ากำลังถูกหลอกอยู่ และมีการถูกหลอกอยู่ทุกวัน วันละหลาย ๆ ครั้งเสียด้วย ใครนะช่างเก่งจริง ที่เที่ยวหลอกคนอื่นได้ทุกวัน วันละหลาย ๆ ครั้ง ไม่ใช่ใครที่ไหนครับ แต่มันคือ ความคิดของตัวเองที่หลอกตัวเองอยู่ร่ำไป เมื่อคนรับการรับรู้ผ่านทางระบบประสาทเข้ามา ก็จะมีขบวนการทำงานของ สัญญาขันธ์ และ สังขารขันธ์ ขึ้น กลายเป็นความคิดออกมา เมื่อความคิดออกมาแล้ว คนก็จะเชื่อทันทีว่า ความคิดนั้นมันเป็นของฉัน ฉันเป็นคนคิดมันเอง คนก็เลยเชื่อสนิทว่าความคิดนั้นมันเป็นเรื่องจริง เป็นอย่างนั้นจริง ๆ โดยไม่เอะใจเลยว่ากำลังถูกความคิดของตัวเองหลอกตัวเองอยู่ การถูกความคิดหลอกลวงนี้ นี่คือสิ่งที่พระพุทุธองค์ทรงค้นพบความจริงแล้วเรียกสิ่งนี้ว่า อวิชชา เมื่อคนหลงไปในอวิชชาแบบไม่เอะใจ ก็หลงเข้าไปในกองทุกข์ที่ความคิดมันสร้างขึ้นมาอยู่ตลอดเวลา พระพุทธองค์ได้ทรงประกาศอริยสัจจ์ 4 ซึ่งเมื่อใครได้ลงมือปฏิบัติตาม ก็จะพบกับความจริงของเรื่องการหลอกลวงเพราะความคิดของตนเองนี้ ซึ่งก็คือ วิชชา (สังเกต คำว่า .วิชชา. มี .ช-ช้าง. 2 ตัวสะกด) วิชชา ทำให้ผู้ที่ปฎิบัติตามได้เห็นขบวนการทำงานของ.สังขารขันธ์.และการเป็นไตรลักษณ์ของความคิด ที่มันปรุงออกมา และเข้าใจในขบวนการของความคิด ทีมี.สัญญาขันธ์.เป็นตัวเสริม ทำให้ผู้ปฏิบัติเข้าใจอาการหลอกลวงของความคิดนี้ได้ว่า อันว่าความคิดมันไม่ใช่ตัวเรา ไม่ใช่ของเรา มันมีเหตุให้เกิด มันก็เกิด ในทำนองเดียวกัน อวิชชา อันเนื่องด้วย สัญญาขันธ์ บวกกับการเรียนรู้และประสบการณ์ทางโลก ทำให้มีการแปลความหมายของความคิดออกมาเป็นเรื่องเป็นราว เป็นสัตว์ เป็นบุคคล เป็นตัวตน เป็นเราเป็นเขา วิชชา นี้ไม่อาจที่จะคิดออกมาได้เอง เพราะเมื่อลงมือ.คิด. ก็หลงเข้าไปในการหลอกลวงของอวิชชาทันที แต่ วิชชา นี้จะผุดออกมาจากการรู้ของ.จิต.ที่ไปเห็นความจริงเข้าเท่านั้น ดังนั้น วิชชา จึงเป็นสิ่งที่ไม่อาจสอนให้เข้าใจได้เลย นอกจากสอนวิธีการปฏิบัติให้ลงมือปฏิบัติเอง ให้ผู้ปฏิบัติได้เห็นเอง เข้าใจได้เองด้วยตนเอง อันเป็นปัจจัตตัง วิชชา นี้พูดมากไม่ได้ เพราะพูดไป ก็จะมีแต่คนที่บอกว่า ไอ้พวกนอกคอก พวกทำลายศาสนา เพราะพูดไป ก็ไม่มีใครเชื่อ เพราะคนที่ยึดมั่นในคำสอนโดยไม่.โยนิโสมนสิการ. ก็คือพวกหลงเข้าไปในกับดักของ.อวิชชา.เสียแล้ว การหลุดพ้นจากความยึดมั่นถือมั่นใน.ความคิด. ก็เท่ากับการได้ทำลายเรือนแห่งอวิชชา แล้วผู้นั้น ก็จะหลุดออกจากการถูกอวิชชาหลอกลวง กลายเป็นผู้รู้แจ้งที่ไม่ทุกข์ในที่สุด บทความนี้ จะเข้าใจยากสักหน่อยสำหรับคนทั่ว ๆ ไป แต่ถ้าใครที่เห็นความคิดได้แล้ว ก็พอจะเข้าใจได้บ้าง แต่ผู้ที่เข้าใจได้อย่างดี ก็คือคนที่เข้าใจในการหลอกลวงของความคิดได้แล้ว ***** เรื่องท้ายบท 1...ในพระไตรปิฏก มีการกล่าวถึงเรื่องหนึ่ง ที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสเรื่องธรรมกับพระสารีบุตร แล้วพระพุทธองค์ทรงตรัสถามพระสารีบุตรว่า เชื่อหรือไม่ พระสารีบุตร ตรัสตอบว่า ท่านยังไม่เชื่อในทันทีจนกว่าจะได้พิสูจน์ให้เห็นจริงก่อน **** นี่เป็นเรื่องราวที่คนที่อ่านพระไตรปิฏกอาจงงว่า ทำไมพระสารีบุตรจึงไม่เชื่อในคำสอนของพระพุทธองค์ในทันที แล้วท่านละ เมื่ออ่านเรื่องในพระไตรปิฏก ท่านเชื่อโดยสนิทใจทันทีเลยหรือไม่ 2...กาลามสูตร การไม่เชื่อ 10 ประการ ทำไมในพระไตรปิฏก จึงมีเรื่องนี้ ไม่ให้เชื่อ 10 ประการ (ท่านหาอ่านเองใน google โดยค้นคำว่า "กาลามสูตร" ครับ ) เมื่อท่านอ่านบทนี้แล้ว ท่านคงได้คำตอบเอง 3...หลวงพ่อเทียน ท่านสอนให้ดูความคิด เพราะการดูความคิด จะทำให้เห็นการหลอกลวงของความคิดได้ ก็จะทำให้หลุดออกจากห่วงโซ่แห่งอวิชชาได้ เพราะการเห็นความจริงของการหลอกลวงนี้ เส้นทางแห่งมรรคที่ทำลาย.อวิชชา.... << อาตาปี สัมปชาโน สติมา >> 4...มีการเขียนไว้ถึงการบรรลุธรรมของพระอรหันต์ไว้หลายประเภท แต่แบ่งออกใหญ่ ๆ ได้ 2 ประเภทคือ เจโตวิมุตติ และ ปัญญาวิมุตติ ในความเห็นของผม ผู้ที่เข้าใจได้อย่างดีว่า .ความคิด. ว่าเป็นสิ่งหลอกลวง เป็นผลงานของอวิชชาด้วยปัญญา ผู้นั้นจะเป็นพระอรหันต์ประเภท ปัญญาวิมุตติ ส่วนพระอรหันต์ประเภท เจโตวิมุตติ จะเข้าใจการหลอกลวงของอวิชชานี้ โดยการเห็นการทำงานของขันธ์ 5 ในส่วนของ.สังขารขันธ์.แล้วจึงเข้าใจได้ และเกิดการตัดขาดแรงยึดติดระหว่างจิตและสังขารขันธ์ให้ขาดออกจากกันเมื่อเข้าใจแล้ว อันเป็นขบวนการทาง.เจโตสมาธิ. ดังเช่นที่หลวงพ่อเทียนได้บอกไว้ถึงอาการเชือกขาดนั้นเองครับ
Create Date : 26 เมษายน 2554
8 comments
Last Update : 29 มกราคม 2555 15:04:49 น.
Counter : 6624 Pageviews.
โดย: ธัมมทีโป IP: 101.108.165.46 27 เมษายน 2554 0:47:15 น.
โดย: billy IP: 1.47.45.187 27 เมษายน 2554 7:39:15 น.
โดย: LoveOnly 27 เมษายน 2554 14:17:46 น.
โดย: โอม37 28 เมษายน 2554 7:51:43 น.
โดย: คนไม่ธรรมดา IP: 49.48.162.212 28 เมษายน 2554 11:06:59 น.
โดย: นมสิการ 29 มกราคม 2555 15:14:25 น.
Location :
[ดู Profile ทั้งหมด]
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 142 คน [? ]
หลักปฏิบัติ ...รู้สึกตัว ผ่อนคลาย เฉย ๆ สบาย ๆ มากกว่า 20 ปีที่ไปหลงทำสมถภาวนาแบบสมาธิแบบฤาษีโดยที่ไม่รู้จักกับคำว่า อะไรคือสัมมาสติ สัมมาสมาธิ ผลที่ได้คือความสงบขณะกำลังนั่งสมาธิจนตัวนิ่งแข็งเป็นก้อนหิน แต่ผลข้างเคียงตามมาก็คือการเป็นคนเจ้าโทสะอย่างรุนแรงขณะเวลาไม่ได้นั่งสมาธิ และ ที่อยู่ในชีวิตประจำวัน.... จนได้พบกัลยณมิตรแดนไกล ที่ได้ชักนำให้มารู้จักวิธีปฏิบัติแบบหลวงพ่อเทียน จนได้พบกับพระอาจารย์ในสายหลวงพ่อเทียน ที่ผมได้เรียนการปฏิบัติจากท่าน จนเข้าใจว่า สัมมาสติ สัมมาสมาธิ คืออะไร แล้วลงมือฝึกฝน การปฏิบัติก็รุดหน้าและได้ลิ้มรสสิ่งบริสุทธิในจิตใจอันเป็นผลจากการปฏิบัติด้วยเวลาเพียง 5 ปี ธรรมปฏิบัติจากฆราวาสเขียนเป็นสิ่งที่ยอมรับได้ยากในสังคมไทย ผมรู้ได้จากที่เขียนใน blog ผมได้พบกับการก่อกวนใน blog การเขียนเหน็บแนม กระแหนะกระแหน ตำหนิการการปฏิบัติที่ผมเขียนใน blog ว่าผิดทาง เขียนแบบคาดเดาเอา ไม่รู้จริง ให้ผมหยุดเขียนแนวนี้ได้แล้ว และไปโมทนาสาธุแนะนำการปฏิบัติสมาธิแบบฤาษีให้กับผมอีกว่านี่คือทางที่ถูกต้อง ... บทความใน blog จึงเกิดขึ้นมา เพื่อแบ่งปันประสบการณ์ในการภาวนา แก่ผู้อื่นที่กำลังเดินทางในสายแห่งอริยมรรคนี้ เมื่อท่านได้เข้ามาอ่านข้อเขียนใน blog กรุณาอย่าได้เชื่อผมจนกว่า ท่านได้ทดลองปฏิบัติแล้วและพิสูจน์ด้วยตัวท่านเอง **กรุณา .อย่า.ได้บริจาคเงินให้ blog ผมทาง e-wallet ครับ ** ****** บทความต่าง ๆ ใน blog นี้ ขอสงวนสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 ห้ามนำไปดัดแปลง ลอกเลียน หรือนำส่วนหนึ่งส่วนใดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ****