นิสสัย 4 คืออะไร? นิสสัย 4 แปลว่าเครื่องอาศัยของบรรพชิตอันได้แก่ 1) ปิณฑิยาโลปโภชนะ คือโภชนาหารที่ได้มาด้วยกำลังปลีแข้ง 2) บังสุกุลจีวร คือผ้าที่เข้าทิ้งตามกองขยะหรือตามป่าช้า 3) รุกขมูลเสนาสนะ คือการอาศัยโคนไม้ 4) ปูติมุตตเภสัช คือยาจากน้ำมูตรเน่าหรือน้ำปัสสาวะนั่นเอง พระพุทธเจ้าทรงกำหนดให้พระภิกษุยังชีพโดยอาศัยสิ่งเหล่านี้ นั่นคือเป็นหลักสุขบัญญัติสี่ประการเพื่อสุขภาพดี วิเคราะห์ให้เข้าใจง่ายก็คือ ท่านทรงต้องการให้คนเราได้ออกกำลังกาย อยู่ใกล้ธรรมชาติ นุ่งห่มอย่างง่ายๆ ใช้ผ้าที่อากาศถ่ายเทได้สะดวก และใช้น้ำปัสสาวะเป็นยา ควบคู่กับนิสสัย 4 อันพึงปฏิบัติ คำบอกอนุศาสน์ก็ครอบคลุมไปถึงอกรณียกิจ 4 คือสิ่งอันไม่พึงปฏิบัติอันมี การเสพเมถุนธรรมเป็นอาทิอีกด้วย ไม่แต่เพียงในพุทธศาสนา การแพทย์ตะวันออกหลายชาติก็มีการระบุถึงการใช้น้ำปัสสาวะเป็นส่วนหนึ่งของการรักษาโรค การแพทย์แผนจีนถือว่า น้ำปัสสาวะของเด็กทารกเป็นยาบำรุงอย่างดีสำหรับคนผอมแห้งแรงน้อย เป็นตาลขโมย การแพทย์แผนไทยใช้น้ำปัสสาวะเป็นกระสายยา ดองเภสัชสมุนไพรหลายชนิด อินเดียเป็นอีกชาติหนึ่งที่นิยมการดื่มน้ำปัสสาวะทั้งส่งเสริมสุขภาพและรักษาโรคอย่างเป็นล่ำเป็นสัน วิชาโยคะมีกระบวนการสร้างเสริมสุขภาพกระบวนหนึ่งเรียกว่า "อมาโรลิ" ซึ่งมีขั้นตอนการปฏิบัติอันละเอียดรอบคอบ เพื่อล้างพิษ เป็นการรักษาโรคและเสริมสุขภาพได้อีกด้วย มักจะทำร่วมไปกับการอดเพื่อสุขภาพ ปัจจุบันการแพทย์เจริญขึ้นมียาเคมีเยอะแยะ เรื่องการดื่มน้ำปัสสาวะรักษาโรคก็ดูจะถูกลืมเลือนไป โดยเฉพาะในสังคมที่การแพทย์แบบแผนตะวันตกเป็นกระแสหลักโดยพัฒนาอย่างเต็มที่ในยุค modern การแพทย์แบบแผนภายใต้การหนุนหลังของอุตสาหกรรมยา ได้สร้างระบบและผู้คนของวงการแพทย์ที่ปฏิเสธภูมิปัญญาของชุมชนและศาสนธรรมอย่างสุดขั้ว ยารักษาโรคที่สังเคราะห์ขึ้นเป็นทางออกทางเดียวของมนุษยชาติในสายตาของพวกเขาเท่าๆ กับเทคโนโลยีที่นำพาผู้คนเข้าไปสู่ตึกสูง กินอาหารขยะ และใส่เสื้อผ้าใยสังเคราะห์ อย่างไรก็ดี เป็นที่รู้กันดีว่า โลกก้าวเข้าสู่ยุค post modern เมื่อเทคโนโลยี ตึกสูง และสิ่งอำนวยความสะดวกสมัยใหม่กลับกลายเป็นเครื่องหมายคำถามใหญ่ที่ผู้คนสงสัยกันว่า เป็นทางออกของมวลมนุษยชาติจริงหรือไม่ เหตุการณ์หัวเลี้ยวสำคัญเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม 1972 มีการระเบิดทำลายอาคาร Prutt-Iglo Housing Project ที่เซนต์หลุยส์ ตึกนี้มีเทคโนโลยีสูงแต่รูปทรงอุจาดนัยน์ตาที่สุด นี่เป็นหลักไมล์ว่าโลกก้าวสู่ยุค post modern เน้นการดำรงชีวิตแบบยั่งยืน อยู่อย่างธรรมชาติ ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม พึ่งพาตนเอง สร้างองค์เอกภาพทั้งทางกาย ทางจิต ทางสังคมและทางปัญญา ในทางการแพทย์ ประเทศไทยก็ก้าวเข้าสู่ยุค post modern เมื่อปี 2522 การแพทย์ของท้องถิ่นมาในมาดใหม่ของการแพทย์แผนไทย พร้อมกับความจำเป็นทางสังคมเศรษฐกิจที่ทุกฝ่ายรู้ดีว่า ลำพังการใช้ยาและเทคโนโลยีการแพทย์ตะวันตกที่แพงๆ นั้น ไม่ใช่ทางออกของประเทศไทย มีกฎบัตรกฎหมายไม่น้อยที่ยืนยันสถานการณ์การแพทย์ไทยว่าได้ก้าวสู่ยุค post modern แล้วดังนี้ : ในรัฐธรรมนูญปี 2540 ส่งเสริมการปฏิรูปสุขภาพว่า "สังคมที่พึงประสงค์ คือสังคมแห่งภูมิปัญญาและการเรียนรู้ที่สืบสานประเพณี วัฒนธรรม และภูมิปัญญาท้องถิ่น" ใน พ.ร.บ.คุ้มครองและส่งเสริมภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทยปี 2542 ได้ให้ "มีการคุ้มครองสิทธิชุมชนในการแพทย์พื้นบ้าน สมุนไพร และภูมิปัญญาท้องถิ่น" ในร่าง พ.ร.บ.สุขภาพแห่งชาติมีหลายมาตราระบุถึงการส่งเสริมความเข้มแข็งของระบบบริการสาธารณสุขให้มีทางเลือกที่หลายหลาย มีอิสระและมีศักดิ์ศรี ในการปฏิรูประบบราชการ ได้จัดตั้ง "กรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก" มีหน้าที่คุ้มครองและส่งเสริมภูมิปัญญา ศึกษา วิเคราะห์ วิจัย และพัฒนาองค์ความรู้การแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือกอื่นๆ ฯลฯ และการดื่มน้ำปัสสาวะ ก็น่าจะเป็นหนึ่งในการแพทย์ทางเลือกในขอบเขตทั่วโลกที่รอการค้นคว้า แต่แล้วอยู่มาวันหนึ่ง เมื่อ 27 มกราคม 2546 หนังสือพิมพ์ข่าวสดก็พาดหัวตัวโตว่า "ตำนาน "ฉี่" ยาโบราณ แพทย์เตือน-ถึงตาย" เนื้อข่าวมีว่า ชาวบ้านฉาง จ.ระยอง เผยแพร่การดื่มน้ำปัสสาวะผสมสมุนไพรรักษาโรคได้หลายชนิด ทำให้ผู้คนนิยมดื่มปัสสาวะกันมากขึ้น เป็นผลให้กระทรวงสาธารณสุขออกมาให้ข่าวในทางลบ จับความว่า : 1) ปัสสาวะคือของเสีย ไม่มีสารที่เป็นประโยชน์ รักษาโรคไม่ได้ ความเชื่อเรื่องนี้เป็นค่านิยมผิดๆ 2) ยุคที่การแพทย์ยังไม่เป็นวิทยาศาสตร์ ปัสสาวะอาจเป็นยา แต่ยุคนี้สังคมอุดมด้วยสารพิษ การดื่มปัสสาวะ ซึ่งขับสารพิษออก อาจเสี่ยงต่อสารพิษ ทำให้ไตวาย 3) ปัสสาวะที่ผสมสมุนไพรยิ่งเกิดอันตรายเพราะสารแต่ละชนิดอาจมีปฏิกิริยาต่อกัน 4) ถ้าดื่มปัสสาวะที่ติดเชื้อ อาจเกิดโรคได้ ข่าวนี้ไม่เพียงเป็นความห่วงใยของแพทย์เฉพาะบุคคล แต่ควรถือได้ว่าเป็นความเห็นของกระทรวงสาธารณสุขไปเสียแล้ว เรื่องคัดค้านการดื่มน้ำปัสสาวะ พอดีผมได้มีโอกาสพบ พระอาจารย์ ดร.สิงห์ทน นราสโภ ขอความเห็นจากท่าน ได้ข้อคิดดังนี้ "ถ้าความเห็นประการที่ 1 ถูก ก็แสดงว่าพระพุทธเจ้าสอนผิด ถ้าความเห็นประการที่ 2 ถูก ก็แสดงว่าคำสอนพระพุทธเจ้ามีถูกบางเวลา และมีผิดเป็นบางเวลา แท้ที่จริงปัญญาของพระองค์นั้นเป็นอกาลิโก ไม่ขึ้นกับกาลเวลา ในองค์ความรู้ว่าด้วยการดื่มน้ำปัสสาวะสารพิษที่เราดื่มกลับเข้าไป เป็นตัวไปกระตุ้นให้ร่างกายสร้างสารต้านพิษขึ้นมา เหมือนการฉีดวัคซีน หรือพิษต้านพิษ ซึ่งความรู้ทางโฮมีโอพาธีในยุโรปก็มีกล่าวไว้ ส่วนที่ว่าปัสสาวะผสมสมุนไพรยิ่งเกิดอันตรายนั้น ความรู้การแพทย์แผนไทยก็มีการใช้น้ำปัสสาวะดองยามานานแล้ว ถ้าใครจะปฏิบัติก็ขอให้เดินตามภูมิปัญญาไทยให้ดี อาตมาพบข้อดีมากมายจากคนที่ดื่มน้ำปัสสาวะรักษาโรค...เรื่องนี้กระทรวงสาธารณสุขควรทบทวนด้วย" ครับ การดื่มปัสสาวะนั้นเป็นการพึ่งตนเองของประชาชนอย่างหนึ่ง ไม่เสียสตางค์ แถมไม่มีใครจะค้ากำไรหรือทำ direct sale ได้จากวิธีนี้ จึงไม่มีผู้บริโภคคนใดที่เสียเปรียบ เรื่องดื่มน้ำปัสสาวะนี้วงการแพทย์เมืองนอกมีการศึกษาวิจัยกันมากมายแล้ว กระทั่งมี World Conference on Urine Therapy ไปแล้ว 2 ครั้ง ล่าสุดจัดเมื่อ 1999 นี้ (ดังภาพ) มีวิจัยไปถึงสารประกอบในปัสสาวะทั้งฮอร์โมน เอนไซม์ และแร่ธาตุที่อาจเป็นตัวออกฤทธิ์บำบัดโรค ครั้งต่อไปจะมีการประชุมระดับโลกอีกครั้งในวันที่ 1-4 พฤษภาคม 2003 นี้ที่ประเทศบราซิล เรื่องแบบนี้ ถ้ากระทรวงสาธารณสุขไทยไม่เปิดหูเปิดตาเร่งศึกษา เลือกรับปรับใช้ให้เหมาะสม บอกประชาชนให้มีข้อพึงระวังอะไรบ้าง แต่จะยืนยันความเห็นข้างเดียวเอาแต่ความรู้การแพทย์แบบแผนมาเป็นตัวตั้ง ก็ควรบอกกล่าวต่อไปยังมหาเถรสมาคม ขอให้เลิกคำบอกอนุศาสน์ในพิธีอุปสมบทด้วย บอกท่านเหล่านั้นไปว่า "พระท่านกำลังสอนกันผิดๆ พระใหม่อาจถึงตายเพราะดื่มน้ำปัสสาวะ" โดย : หนังสือพิมพ์มติชน สร้างเมื่อ 25 - ส.ค.- 48 |