หุ้น CPALL
สวัสดีครับ อยู่ดีๆ วันนี้ผมก็มานั่งเช็คดู ว่าหุ้น CPALL ตอนนี้ PE อยู่ที่เท่าไรแล้ว และการเติบโตของกำไรในช่วงที่ผ่านมา เป็นอย่างไร อย่างที่ทุกๆคนก็รู้ ว่าหุ้น CPALL นั้น เป็นหนึ่งในสุดยอดหุ้น เป็นหนึ่งใน Super Stock แต่สุดยอดหุ้น หรือ Super Stock ที่เรากำลังพูดถึงอยู่ ราคามันแพงไปหรือยัง ถ้าเราจะซื้อ เราจะซื้อราคาไหนดี จากที่ผมได้อ่านหนังสือ One Up On Wall Street ของ Peter Lynch อยู่เรื่อยๆ เบื่อๆไม่มีอะไรทำก็เอามาอ่าน ซึ่งสิ่งที่ทำให้ Peter Lynch มีชื่อเสียงมากๆ ก็คือการมองหุ้นที่ Growth สูงๆออก และถือไว้ได้นานจนกำไรมหาศาล ซึ่งหลักการของเค้า ก็ไม่ได้มีอะไรที่สลับซับซ้อนเลยแม้แต่นิดเดียว นั่นก็คือ ให้ดูว่า PE ของหุ้นโตเร็ว เท่าไร และมันสอดคล้องกับ % Growth Rate หรือไม่ ถ้า PE 25 เท่า ซึ่งดูเหมือนว่าจะค่อนข้างแพง แต่ถ้าหุ้นตัวนี้ ยังมี Growth Rate ของ กำไรที่ปีละ 30% ก็ยังไม่ถือว่าหุ้นตัวนี้แพงครับ เอาละ เรามาเข้าเรื่องที่ตัว CPALL กันดีกว่าครับ ในระยะหลังๆ การขยายสาขาของ CPALL น่าจะเติบโตไม่ได้สูงมากแล้ว เพราะว่ากระจายไปแทบจะทั่วประเทศแล้ว แต่ก็ยังคงเปิดสาขาได้เรื่อยๆ แต่มันเริ่มที่จะช้าแล้ว เมื่อเทียบกับในอดีต ซึ่งเค้าก็มีวิธีทำให้กำไรโตขึ้นได้ โดยการเริ่มที่จะลดสินค้าอุปโภคบริโภคลง และเพิ่มสินค้าพวกอาหารแทน ซึ่งมี Margin สูงกว่ามาก และยังมีรายได้จาก Counter Service อีก ซึ่งก็เป็นตัวที่ทำกำไรให้ CPALL อย่างมหาศาล แต่สิ่งเหล่านี้ มันจะโตไปได้อีกสักเท่าไรกัน ไม่ว่าอะไรก็ตาม มันก็ต้องมีจุด Peak ของมัน ไม่มีอะไรที่จะอยู่ค้ำฟ้าได้ เอาละ เรามาเริ่มกันที่การเติบโตของกำไรของหุ้น CPALL ในอดีตกันครับ ปี 2008 กำไรโตขึ้นกว่าปี 2007 126% (ก่อนหน้านั่น มีการตัดขาย Lotus ที่เมืองจีนไป ซึ่งทำให้กำไรของ CPALL ดูดีขึ้นมาก เพราะ Lotus ที่เมืองจีนในตอนนั้น ทำให้ CPALL ขาดทุนมาโดยตลอด) ปี 2009 กำไรโตขึ้นกว่าปี 2008 51% ปี 2010 กำไรโตขึ้นกว่าปี 2009 33% ปี 2011 ยังไม่เต็มปี แต่กำไรของ Q1 ออกมาแล้ว ว่าได้ 2083 ล้านบาท ผมขอสมมติว่าแต่ละ Q กำไรเท่ากันหมดไปแล้วกันนะครับ ก็จะทำให้ปี 2011 มีกำไร 8332 ล้านบาท มี EPS ที่ 1.85 บาท ซึ่งจะทำให้มีการเติบโตของกำไรที่ 25% และหุ้นอย่าง CPALL ก็มีปันผลด้วย 2 - 3%(ตีซะ 2.5% แล้วกันครับ) ดังนั้นแล้ว PE ที่เหมาะสมของ CPALL ในตอนนี้ ก็คือ (25%+ 2.5%) หรือ 27.5 เท่า (PE ที่คาดหวังในกำไรของอนาคต) นั่นเอง และราคาของหุ้น CPALL ขณะนี้ ก็คือ 43.75 บาท ที่ PE 27.48 เท่า (PE ที่อ้างอิงจากกำไรปีที่แล้ว) (หรือ 23.6 เท่าของ PE อนาคตซึ่งกำไรอาจจะมากกว่านี้ หรือน้อยกว่านี้ก็ได้ แต่ตัวเลขนี้ น่าจะ conservative พอครับ) อืมมม อะไรจะพอเหมาะพอเจาะขนาดนั้น จะสังเกตได้ว่า กำไรของ CPALL ยังเติบโตได้ดี แต่ก็เป็นการเติบโตที่เริ่มช้าลงแล้ว ดังนั้นแล้ว สิ่งที่ผมคิดว่า ถ้าผมสนใจในหุ้น CPALL หรือ มีหุ้นอยู่แล้ว ผมจะทำดังนี้ครับ 1. เมื่อราคาลงไปแถว 35 - 37 บาท (PE ประมาณ 20 เท่า) ผมก็จะซื้อครับ เพราะเป็นราคาที่ค่อนข้าง safe เมื่อเทียบกับการเติบโตของบริษัท 2. เมื่อราคาขึ้นไปแถวๆ 50 บาท หรือมากกว่านั้น ก็คงจะค่อยๆขายออกไปครับ และก็มาติดตามต่อว่า การเติบโตของกำไรเป็นอย่างไร จะฟื้นขึ้นมาได้อีกไหม หรือว่าโตในอัตราส่วนที่ช้าลงไปอีกครับ ตัวผมเอง เคยได้ยินเพื่อนๆหลายคนชอบมาบ่นให้ฟังว่า "เมื่อก่อนกูเล่น CPALL แถวๆ 5 บาทกว่าเอง เดี๋ยวนี้แม่งไป 40 กว่าบาทแล้ว โคตรแพงเลย" ผมก็ได้แต่ยิ้ม แล้วไม่ตอบอะไร เพราะสิ่งที่จะบอกว่าหุ้นมันแพงหรือถูก มันไม่ได้อยู่ที่ราคาตอนนี้เทียบกับราคาในอดีต แต่สิ่งที่จะวัดว่าหุ้นแพงหรือถูก คือมูลค่าของมันต่างหาก ถ้ามันยังโตได้เรื่อยๆ และเทรดกันที่ PE ที่ต่ำกว่าการเติบโตของกำไร มันก็ถือว่าเป็นหุ้นที่ถูก ไม่ใช่หุ้นที่แพง อย่างที่ผมได้พูดไปในตอนแรกแล้วว่า หุ้น ไม่ว่าจะดีอย่างไร จะโตได้มากขนาดไหน แต่มันก็คงไม่มีวันที่จะโต 30 - 40% ไปตลอดชีวิตในการทำธุรกิจของเค้า ผมเชื่อว่า อีกไม่นาน CPALL ก็คงจะมีอัตราเติบโตของกำไรที่ไม่ถึง 20% ต่อปี แต่ตอนนั้น EPS ก็อาจจะพุ่งไปถึง 2 - 3 บาทแล้วก็ได้ ซึ่งราคาแถว 40 บาท ก็ถือว่ายังโอเคอยู่ ดังนั้นแล้ว ถึงแม้เราจะลงทุนในหุ้นที่คิดว่าสุดยอดแล้วก็ตาม ยังไง ก็ต้องติดตามการเคลื่อนไหวของผลประกอบการเช่นเดียวก้น วิธีที่ผมใช้อยู่นี้ สามารถเอาไปใช้กับหุ้นโตเร็วอื่นๆได้เช่นเดียวกันครับ หุ้นดี ก็ต้องซื้อตอนราคาถูกๆหน่อย ก็จะทำให้มีผลตอบแทนที่ดี ในทางกลับกัน หุ้นที่ดีสุดยอด แต่ซื้อที่ราคาแพงเกิน ก็จะทำให้ขาดทุนได้เช่นเดียวกันครับ PJ
Create Date : 13 ตุลาคม 2557 |
Last Update : 13 ตุลาคม 2557 14:11:12 น. |
|
0 comments
|
Counter : 1343 Pageviews. |
|
|