พัฒนาชีวิตด้วยปัญญา และความดี
Group Blog
ทักทายกันก่อน
Top of Living
มือใหม่เริ่มต้นเล่นหุ้น ที่นี่เลยครับ!
รีวิวหุ้น สไตล์นายแว่นธรรมดา
หลักการลงทุนอย่างปลอดภัย Safety Investment
การ์ตูนการเงิน
หนังสือน่าอ่าน
ประสบการณ์ทำธุรกิจ
วัดมูลค่าหุ้น ไม่ยาก
คิดให้รวย และมีความสุข
ธุรกิจเกษตร รวยได้ ไม่ยาก
ปลูกหุ้นให้รวย BE Rich with Stock
ประสบการณ์การลงทุนของผม
การเงินส่วนบุคคล
ร่ำรวยด้วย สติปัญญา
เปลี่ยนตัวเองใหม่ ไม่ยาก
ไอเดียแจ่มการตลาด กับ นายแว่นธรรมดา
การ์ตูน Salary Man แดนสวรรค์
3 เกลอ ทำธุรกิจ
How to นักลงทุนมืออาชีพ กับ นายแว่นธรรมดา
จิตวิทยาการลงทุน
นายแว่นธรรมดา Story
ลงทุนในกองทุนรวมให้รวย
ร้าน NAIWAENstore
ลงทุนหุุ้นจากข่าว
นายแว่นธรรมดา TV
นิทานการเงิน
จากหนึ่งถึงล้าน... ล้านแรกเริ่มต้นอย่างไร
ลงทุนอสังหาเปลี่ยนชีวิต
How to make Cashing Machine
หุ้นโตเร็วโตสิบเท่าในสิบปี #หุ้น10เด้ง
ตกแต่งบ้าน และสวน
รีวิวรถยนต์ "คู่ใจ"
<<
สิงหาคม 2557
>>
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
31
14 สิงหาคม 2557
"การตัดสินใจของนักลงทุนระยะยาว"
All Blogs
#สร้างพอร์ตเงินล้านด้วยหุ้นโตเร็ว สิ่งที่นักลงทุนหุ้นโตเร็ว (Growth Investing) ต้องสนใจมีอะไรบ้าง
เลี้ยงหุ้นทำเงิน ติดตามหุ้นเล็กที่รอวันเติบใหญ่
หาหุ้นโตเร็ว สไตล์วีไอ สัญญาณบอกว่าหุ้นโตเร็ว
ตามล่าหาหุ้นโตเร็ว
หาหุ้นโตเร็ว สิบเท่าในสิบปี : หุ้นโตสิบเท่ามาจากธุรกิจอะไรได้บ้าง
หาหุ้นโตเร็ว สิบเท่าในสิบปี
สำหรับ #หุ้นโตเร็ว สิ่งที่จะบอกว่าเราตัดสินใจถูกคืออะไร
หลักการเลือกหุ้นของ ปีเตอร์ ลินซ์ มีอะไรบ้าง
#หุ้นสัปทาน กับ ค่าเสื่อมราคา
#หุ้นพลิกฟื้น #หุ้นTurnAround
วอร์เรน บัฟเฟตต์ คนเล่นหุ้นที่รวยที่สุดในโลก
หุ้น 5 พารวย : ลงทุนหุ้นสินทรัพย์แฝง หรือหุ้น ขุมทรัพย์
กลยุทธ์ลงทุนหุ้น : ลงทุนอสังหาริมทรัพย์ ผ่านหุ้นอสังหาฯ
กลยุทธ์ลงทุนหุ้น : กลยุทธ์การลงทุนในปีนี้ควรทำอย่างไร?
กลยุทธ์ลงทุนหุ้น : ซื้อ ถือ ถัว เป็นพฤติกรรมการลงทุนที่ถูกต้องหรือไม่?
หุ้นสินทรัพย์แฝงมีอะไรน่าสนใจบ้าง (ASSET PLAY STOCK)
กลยุทธ์ลงทุนหุ้น : หุ้นวัฏจักรมีกี่แบบ
กลยุทธ์ลงทุนหุ้น : หุ้นวัฏจักรจะกลับจากขาลงไปขาขึ้นได้อย่างไร
หุ้นวัฏจักรลงทุนได้หรือไม่? อยากเล่นหุ้นวัฏจักรต้องทำอย่างไร?
หุ้นป่วย (ชั่วคราว) ลงทุนได้หรือไม่?
ฮือฮา! เศรษฐีดัง วอร์เร็น บัฟเฟตต์ ยอมเผยเคล็ดลับ การลงทุนที่ได้กำไรงดงามที่สุดในโลก
#GrowthINVESTOR
"เมกะเทรนด์คนเมือง"
** หุ้น "10 เด้ง" ใน "10 ปี"
ใครสนใจพลังงานลมต้องอ่านนะครับ...
"หมัดน๊อก 35 หมัดบนสังเวียนชีวิตที่ผมชกมา 29 ปี"
"เปิดกลยุทธ์ลงทุน 3 ขาใหญ่ ปี′58"
"วิธีการหุ้นลงทุน"
"รุมหลังงานกับดร.นิเวศน์"
"ความผิดปกติที่กลายเป็นเรื่องปกติในระบบการเงินโลก"
อีกด้านของเหรียญ / โดย คนขายของ
"เงิน 4 ก้อนเพื่อการลงทุนในภาวะวิกฤต"
"วิธีค้นหาหุ้นหลายเด้ง"
"เสี่ยยักษ์เตรียมซื้อหุ้น PP บจ.ใน SET-ซื้อกิจการ, เตือนระวังลงทุนปีหน้า"
"PE สูง หรือ ต่ำ ดีหรือไม่ อย่างไร?"
"วิธีการหุ้นลงทุน"
"หุ้นเล็กวิ่งแรง-หุ้นใหญ่นิ่งสนิท"
(ข่าวหุ้น) Warren Buffett ซื้อกิจการถ่านไฟฉาย Duracell ด้วยการแลกหุ้นมูลค่า 4.7 พันล้านดอลลาร์
จดหมายถึงลุงขวด
ลงทุนในหุ้น โดย โจ ลูกอิสาน
โอกาสของนักลงทุน Growth Investing
ลักษณะที่ดี 9 ประการของ หุ้นพื้นฐานดี ?
อย่ากลัวตกรถไฟ?
"การตัดสินใจของนักลงทุนระยะยาว"
เทคนิคการลงทุน 3 แบบ เพื่อการลงทุนที่ประสบความสำเร็จ
บทเรียน 16 ข้อจาก Anthony Bolton สุดยอด VI ของอังกฤษ
"เลือกหุ้นอย่างไรพอร์ตเติบโตอย่างยั่งยืน"
"100 เด้งแล้วค่อยขาย! ปู่รอได้ 40 ปี"
"คำสอนของ วอเรนต์ บัฟเฟตต์"
ประสบการณ์การลงทุนของผม ตอนที่ 2 ประสบการณ์ซื้อหุ้นครั้งแรก
นักลงทุนหมอประมุข "ชนะหุ้นด้วย 7 กลยุทธ์"
"Investor กับ Trader"
"ซื้อหุ้นเหมือนซื้อบ้าน"
"ข้อคิดการลงทุน จากพิชัย จาวลา"
"คำสอนของบัฟเฟตต์"
สามฐานของความมั่งคั่ง
นักลงทุนหกเหล่า
หุ้น เติบโต หรือ ติดดิน
ตลาดหุ้นไทย ภายใต้วิกฤติทางการเมือง
"ความมั่งคั่งของเราขึ้นอยู่กับผลประกอบการในระยะยาวของบริษัท
เซียนหุ้นประเภท วีไอ
"ลงทุนอย่างไรให้ปลอดภัย"
"เพราะชีวิตไม่ได้มีแต่การลงทุน"
ประสบการณ์การลงทุน
"การเก็งกำไรในตลาดหุ้น"
"อย่าเอาจิตใจของนักลงทุนมืออาชีพ กับ พนักงานกินเงินเดือนมารวมกัน"
ศิลปะของนักลงทุนคืออะไร?
คำแนะนำธรรมดาๆ เพื่อกำไรที่ไม่ธรรมดา
"แนวทางการลงทุนให้ประสบความสำเร็จ"
การปรับกลยุทธ์เพื่อขยายพอร์ตการลงทุน
"การลงทุนทุกวันนี้ทำอะไรดี"
"การลงทุนแบบ passive Vs การลงทุนแบบ Active"
"จุดวัดใจ"
"ปัจจัยในการลงทุน"
"ออกเดินทาง...ค้นหาชีวิต"
"ความรู้ 30% พลังใจ 70%"
"ในสภาวะที่ไม่แน่นอน"
"หุ้นขึ้นๆ ลงๆ ทำใจแกว่ง?"
"วางกลยุทธ์การลงทุน"
"เตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการลงทุนระยะยาว"
"สภาวะที่ตลาดไม่มีการเติบโต"
"ลงทุนอย่างไรไม่ให้เครียด"
จดไว้กันลืม... "เกษตรสวนผสม"
ลงทุนอย่าง "กลมกล่อม"
"ลงทุนอย่างไรให้รวย"
"ปั่นหุ้น" เขาทำกันอย่างไร (นี้สำคัญมากครับ)
"ผู้ชนะในเกมธุรกิจ"
นักลงทุน ช้าแต่ชัวร์ Vs เร็วแต่แรง
การติดตามบริษัทจากงบกระแสเงินสด
จัดทัพลงทุนอย่างไรให้ปลอดภัย และประสบความสำเร็จ
"กระแสการเมือง กับ การลงทุน (ต่อ)"
ความสำเร็จไม่มีขาย อยากได้ต้องลงมือทำ
คนฉลาดแกล้งโง่
แต่งงานกับหุ้น
"ความกลัวในตลาดหุ้น"
"อาชีพที่สนุกที่สุดในโลก"
คิดใหญ่ ไม่คิดเล็ก
การลงทุนคืออะไร?
มองความผันผวนเป็นเพื่อน
ก้าวแรกของการออมเงินกับกองทุนรวม
มองภาพใหญ่
หุ้นตกแต่ไม่กล้าซื้อ
มีได้... ก็มีเสีย...
การตกปลา กับ การลงทุน
คิดตรงข้าม
คำนวณมูลค่าที่แท้จริงออกมาให้ได้
อย่าลืม... พักสมองในวันสบายๆ
ลงทุนในสิ่งที่เอาชนะเงินเฟ้อ
ลงทุนอย่างไรให้รวย
ลงทุนอย่างสบายใจ
ต้นแบบนักลงทุนระดับโลก ...
อย่าลืมบริหาร สภาพคล่อง ส่วนบุคคล...
หลักห้าประการสู่การเป็นนักลงทุนมืออาชีพ
คำสอนของอาจารย์ วอเร็นต์ บัฟเฟตต์
ลงทุนระยะยาว VS ลงทุนระยะสั้น
"การตัดสินใจของนักลงทุนระยะยาว"
การตัดสินใจของนักลงทุนระยะยาวจะต้องเป็น "ยุทธศาสตร์"
การตัดสินใจที่เป็นยุทธศาสตร์จะหมายถึง...
การลงทุนในหุ้นที่เราแน่ใจ และมั่นใจ...
เราต้องมั่นใจว่าหุ้นที่เราลงทุนเป็นหุ้นที่ดี
เราต้องมั่นใจว่าหุ้นที่เราลงทุนเป็นหุ้นที่เติบโต
เราต้องมั่นใจว่าหุ้นที่เราลงทุนจะยังคงอยู่
และมีอนาคตในอีกหลายปีข้างหน้า
การกำหนดยุทธ์ศาสตร์ในการลงทุน
กำหนดหุ้นที่เราเลือกมาเป็นอย่างดีแล้ว
กำหนดเม็ดเงินที่คิดจะลงทุน
กำหนดระยะเวลาในการลงทุน
เมื่อนักลงทุนได้วางยุทธศาสตร์ไว้อย่างดีแล้ว
สิ่งที่ทำต่อจากนี้ก็คือการ "รอ"
รอทิศทางลมที่เป็นใจกับแนวทางการลงทุนของเรา
หากทิศทางลมถูกต้องเราก็จะมีชัยในยุทธศาสตร์ที่วางไว้ได้ไม่ยากครับ
ถ้านักลงทุนทำให้การลงทุนแต่ละครั้งมี "คุณภาพ"
เป็นการลงทุนที่จะเปลี่ยนแปลงชีวิตในระยะยาว
หากเรามาถูกทาง...
เราจะเห็นความเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นเรื่อยๆ อย่างแน่นอนครับ
(นายแว่นธรรมดา)
www.naiwaen.com
เว็บบล็อกนายแว่นธรรมดา เพื่อชีวิต และการลงทุนที่ดีกว่า
www.naiwaen.com
เว็บนายแว่นธรรมดา เพราะชีวิตไม่ได้มีแต่การลงทุน...
Create Date : 14 สิงหาคม 2557
Last Update : 14 สิงหาคม 2557 8:51:58 น.
1 comments
Counter : 1262 Pageviews.
Share
Tweet
วิธีการเรียบง่ายที่ผมใช้ทำมาหากินแทบทุกครั้ง จะเป็นอย่างนี้ครับ..
1. หา P/E ที่เหมาะสมของแต่ละบริษัท บริษัทไหนที่คาดการง่ายหน่อย กำไรโตเรื่อยๆ ปันผลดี พวกนี้จะ P/E สูงเหมือนพวกค้าปลีก โรงพยาบาล เป็นต้น ส่วนพวกที่ด้อยกว่า เช่น พวกรับเหมา ก็ให้ P/E ต่ำๆ
2. หา P/E ในอนาคต(อันใกล้)ของบริษัทที่เราสนใจ นี่หมายความว่าเราต้องประมาณกำไรของกิจการได้ เราจะทำได้ต้องหาข้อมูลเพื่อประเมินกำไรให้ผิดพลาดน้อยที่สุด
3. หาส่วนต่างของ P/E ที่เหมาะสม และ P/E ที่จะเกิดขึ้นจริง เช่น เราประเมินว่าบริษัทนี้ควรมี P/E 15 เท่า แต่เราประเมินแล้วราคาตลาดวันนี้หรือในอนาคตใกล้ๆนี้ P/E แค่ 7 เท่า นั่นแสดงว่า ราคาตลาดต่ำกว่าที่ควรจะเป็นถึง 50% (มี margin of safety 50%) อย่างนี้น่าสนใจครับ ปกติต่ำกว่าราคาที่ควรจะเป็นซัก 30% ผมก็สนใจแล้ว
ผมมีความเชื่ออย่างนี้นะ..
ระยะยาว หุ้นเป็นสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนที่ดีที่สุดเสมอ
ตลาดเหมือนฤดูกาลที่มีทั้งรุ่งเรืองตกต่ำ หน้าหนาว-หน้าร้อน ขอให้เราเข้าใจและหาประโยชน์จากความจริงข้อนี้
นักลงทุนเอกของโลกทุกคน เคยผ่านวิกฤติมาแล้วหลายครั้ง หนักหนากว่านี้ก็มี ถ้าหยุดลงทุนก็คงไม่มีวันนี้ แม้แต่ ดร.นิเวศน์ ท่านเริ่มลงทุน 10 ปีที่แล้ว ตอนที่ดัชนีประมาณ 800 จุด ท่านได้ผลตอบแทน 30 เท่า ทั้งที่วันนี้ดัชนีตลาดต่ำกว่า 10 ปีที่แล้ว
ผมพูดเสมอๆว่า ตรรกะของการทำกำไรจากหุ้นคือ ซื้อถูกขายแพง คำถามต่อไป แล้วเราจะขายได้แพงตอนตลาดเป็นแบบไหน และหากเราจะซื้อของให้ได้ราคาถูก เราจะซื้อได้ตอนที่ตลาดเป็นอย่างไร
การขายหุ้นและเลิกลงทุนตอนตลาดตกต่ำ เป็นการละเมิดศีลที่สำคัญที่สุดของนักลงทุน vi เพราะนั่นหมายความว่า เราจะไม่มีโอกาสได้กำไรกลับคืนตอนตลาดกลับไปรุ่งเรืองเลย
มองไปวันพรุ่งนี้ สัปดาห์หน้า เดือนหน้า ปีหน้า 5 ปี 10 ปีข้างหน้า แล้วทุกอย่างในวันนี้มันจะผ่านไป
อย่าให้อารมณ์ของตลาด มาหยุดความมุ่งมั่นในการลงทุนของเรา อย่าทำให้เราหมดกำลังใจที่จะทำการบ้าน ศึกษาหาความรู้
เราลงทุนวันนี้ ไม่ใช่เพื่อให้รวยพรุ่งนี้หรือมะรืนนี้ แต่เพื่อ 10 ปี 20 ปีข้างหน้า
เราจะรู้ว่าใครแก้ผ้า ก็ตอนน้ำลด
ผมแนะนำครับ..
1. หามูลค่าที่เหมาะสมเสียก่อน พิจารณาจากปัจจัยต่างๆ
2. ดูราคาในตลาด ว่าสูงหรือต่ำกว่ามูลค่าที่เราคำนวณได้
3. ตัดสินใจ ซื้อหรือขาย
ผมมองว่าที่หลักการลงทุน vi เติบโตเด่นได้รับความนิยมขึ้นมา ไม่ใช่เพียงเพราะมีตัวอย่างคนที่ประสบความสำเร็จเท่านั้น แต่เป็นเพราะความเป็นเหตุเป็นผลของมัน คือหุ้นจะขึ้นจะลงเพราะมีเหตุผลทางธุรกิจ ไม่ใช่หุ้นจะขึ้นเพราะหลายคนบอกว่าจะขึ้น และมันจะลงเพราะหลายคนบอกว่ามันจะลง
คงไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะพิจารณาด้วยเหตุด้วยผลอย่างเดียว เพราะเป็นคนก็ต้องมีอารมณ์เข้ามาเกี่ยวข้อง ผมก็ยังเป็น แต่ถ้าเราจะเป็น vi ที่ประสบความสำเร็จ เราต้องพิจาณาด้วยเหตุผลธุรกิจเป็นหลักครับ
ส่วนเรื่องการ ซื้อเพิ่ม, cut loss ผมไม่กล้าแนะนำ แต่ผมจำที่ใครคนหนึ่งเคยพูดทำนองว่า ลืมต้นทุนที่ซื้อมา คิดเสียว่าพอร์ตตอนนี้เป็นเท่าไหร่ หุ้นในตลาดตัวไหนน่าซื้อที่สุด ขายไปซื้อตัวนั้น ถ้าเป็นตัวเดิมก็ไม่ต้องทำอะไร
ผมเชื่อว่า มี 2 แรงที่ผลักดันราคาหุ้น
1. กำไร >> เราเรียกรวมว่า พื้นฐาน
2. ปัจจัยด้านจิตวิทยา อารมณ์ของตลาด
ประเด็นแรก เป็นสิ่งที่นักลงทุนแนว vi ต้องวิเคราะห์อยู่แล้ว แต่ถ้าเข้าใจ
ประเด็นที่สองด้วย ก็จะเพิ่มผลตอบแทนได้อีกครับ ผมตอบไม่ได้ชัดเจนว่า เราจะดูอารมณ์จิตวิทยาของตลาดได้อย่างไร(ยังไม่รู้จริง) แต่ประมาณว่า ถ้าเราเข้าใจอารมณ์ตลาด เรามักจะได้ซื้อหุ้นที่ดี ที่ราคาไม่แพง
เหมือนที่ Graham เปรียบเปรยเป็นนิทาน Mr. Market ครับ นอกจากนั้น เราอาจพิจารณาจิตวิทยาของนักลงทุนในตลาดว่า เค้านิยมหุ้นพิมพ์แบบไหน ในอุตสาหกรรมใดที่กำลังจะฮอต หุ้นตัวเล็กหรือตัวใหญ่ ราคาต่ำหรือราคาสูง เหล่านี้เป็นเกร็ดเล็กๆน้อยๆที่ช่วยเพิ่มผลตอบแทนได้ครับ เราลงทุนแนว vi แต่พิจารณาไว้บ้างก็ไม่เสียอะไร
ผมปรับพอร์ตบ่อยๆครับ เหตุผลมักเป็นอย่างนี้
1. เจอหุ้นตัวที่ดีกว่า แต่ไม่มีเงินก็ต้องขายตัวที่ด้อยที่สุดไป
2. ตัวที่ถือพื้นฐานเปลี่ยน อันนี้แน่นอนก็ต้องขายออก
3. หุ้นขึ้นจนราคาสมเหตุสมผล ผมก็อาจจะขายไปเพิ่มตัวที่ยังต่ำกว่ามูลค่า
4. หุ้นลงผมก็ปรับพอร์ต ขายตัวที่ลงน้อยไปซื้อตัวที่มีอัพไซด์มาก
ผมก็ปรับไปเรื่อยครับ ตามข้อมูลที่ได้รับมา ไม่มีเกณฑ์ตายตัวว่าบ่อยแค่ไหน หรือกี่เปอร์เซนต์ของพอร์ต ตั้งแต่ซื้อหุ้นมายังถือไม่เกิน 3 ปีเลยครับ เฉลี่ยเกือบๆปีประมาณนั้น แต่เห็นด้วยครับว่า ตลาดผันผวน เราสามารถใช้การปรับพอร์ตหาประโยชน์จากความผันผวนนั้นได้
ผมยกตัวอย่างง่ายๆ เช่น เราลงทุนในกองทุนตราสารหนี้ และหุ้น ถ้าตลาดซบเซาหนักๆเราก็ควรย้ายเงินจากกองทุนมาลงหุ้นให้มากขึ้น หรือเปลี่ยนไปถือหุ้นตัวทีมีอัพไซด์สูงกว่า หากตลาดเป็นขาขึ้น หาหุ้นลงทุนได้ยาก อาจจะต้องเปลี่ยนไปถือตัวที่ defensive มีปันผลเยอะหน่อยๆ ประมาณนี้ครับ
ระยะเวลาที่ถือหุ้น สั้นที่สุดนี่จำได้ว่าประมาณ 1 อาทิตย์ครับ ซื้อแล้วขึ้นไปประมาณ 30% ผมก็ขายซิครับ เพราะผมหวังผลตอบแทนแค่นั้น ส่วนยาวนี่ไม่แน่ใจครับ ประมาณ 2 ปี ที่จริง ประเด็นเรื่องเวลาการถือครองหุ้นไม่น่าจะเป็นประเด็นสำคัญ คำถามที่สำคัญกว่าคือ ราคาเหมาะสมกับพื้นฐานหรือยัง และการถือหุ้นนานๆก็มีผลเสียนะครับ เช่น เราจะเฉื่อยชา ผูกผัน เกิด
ความลำเอียง รักหุ้นตัวเอง
และถ้ามองในแง่ผลตอบแทน ดูตัวเลขนี้ครับ
*หุ้นตัวแรก เราซื้อผ่านไป 1 ปี ขายที่ราคาเป้าหมายได้กำไร 60% ทั้งปีได้กำไร 60%
*หุ้นตัวที่ 2 เราซื้อผ่านไป 6 เดือนได้กำไร 40% ตามเป้าหมาย ขายออกไปซื้อหุ้นตัวที่ 3 ผ่านไป 6 เดือนได้กำไร 40% ตามเป้าหมายอีก รวมทั้งปีได้ผลตอบแทน 96%
หุ้นตัวแรกให้ผลตอบแทนมากที่สุด แต่ถ้าให้เลือกผมขอซื้อหุ้นตัวที่ 2-3 ดีกว่า นี่คงคล้ายกับ turnover rate ในงบดุลครับ ยิ่งหมุนมากกำไรก็ยิ่งมาก(เรายังไม่พูดถึงความเสี่ยงนะ)
ผมติดตามพื้นฐานของหุ้นที่อยู่ใน watch list เสมอๆ
ผมมีหุ้นที่ติดตามผลกำไรทุกไตรมาส ประมาณ 80 ตัว และหุ้นที่ติดตามแบบห่างๆอีกประมาณ 120 ตัว รวมๆก็ครึ่งนึงของตลาดพอดี
ผมเชื่อว่า ยิ่งติดตามมาก เราก็ยิ่งรู้พื้นฐานมากขึ้น ขอบข่ายความรู้มากขึ้น ยิ่งติดตามมาก โอกาสที่จะเจอช้างเผือกก็สูง เวลามีข่าวสารเข้ามาเราก็รู้ทันทีว่า เป็นข่าวดีหรือไม่ดี ซื้อหรือไม่ซื้อ ไม่ต้องเสียเวลาไปหาข้อมูลอีก
ผมอ่านหนังสือพิมพ์หุ้นเกือบทุกฉบับ ทั้งรายวัน รายสัปดาห์ อ่านงานวิจัยของโบรคเกอร์ อีไฟแนนซ์ ข่าวตลาด และ tvi ประมาณนี้ครับ อ่านแบบสแกน ถ้าเจอหุ้นที่น่าสนใจจะอ่านแบบละเอียด ไม่อย่างนั้นต้องใช้เวลาเยอะ
คือถ้าเราติดตามข่าวสารบ่อยๆเราจะรู้ว่าแหล่งข่าวไหนที่เราควรจะอ่านครับ
ที่จริงใช้เวลาวันละ 2 ชม. ก็น่าจะเพียงพอสำหรับการลงทุนแบบมุ่งเน้น(ผลตอบแทน) หรือวันละ 1 ชม. สำหรับนักลงทุนที่ลงทุนหุ้นแบบการออม
ผมเคยทำงานประจำมาก่อน ยอมรับว่ามีข้อจำกัดเยอะกว่าคนที่ลงทุนเต็มเวลา และไม่สนับสนุนให้ทุกคนลาออกเพียงเพื่อจะได้มีเวลาหาข้อมูล แต่เราก็ควรให้เวลากับการลงทุนตามสมควร
เพราะการใช้เวลาวันละเล็กละน้อยหลังเลิกงาน หาข้อมูล อาจจะเปลี่ยนสถานะภาพทางด้านการเงิน เปลี่ยนชีวิตคนๆนึงได้เลย ในขณะที่ถ้าทำงานประจำอย่างเดียวมีโอกาสน้อยกว่ามาก
ผมยังจำได้ดร.นิเวศน์เคยเขียนบทความทำนองว่า เราใช้เวลาส่วนใหญ่วันๆไปกับเรื่องที่ไม่สำคัญ และให้เวลาน้อยเกินไปกับเรื่องทีสำคัญที่สุด
โดย:
ตี๋2555
วันที่: 15 สิงหาคม 2557 เวลา:9:03:57 น.
ชื่อ :
Comment :
*ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
ตี๋2555
Location :
กรุงเทพฯ Thailand
[ดู Profile ทั้งหมด]
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 165 คน [
?
]
สวัสดีครับผม "นายแว่นธรรมดา" ผู้เขียนหนังสือขายดี "รวยหุ้นแบบ VI ไม่เสี่ยง" หนังสือ "หุ้น 5 พารวย" และเป็นผู้ก่อตั้ง http://www.naiwaen.com เว็บไซค์การลงทุนในหุ้น กองทุนรวม และ Money Market อีกมากมาย
และ http://www.topofliving.com เว็บไซค์เกี่ยวกับการเลือกซื้อบ้านหลังแรก การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ โดยนิยามส่วนตัวก็คือ ทำให้ความมั่งคั่ง กลายเป็นเรื่อง "สนุก"
หากต้องการข้อมูลข่าวสารการลงทุนอย่างรวดเร็ว และเชื่อถือได้ แวะไปกด LIKE ที่นี่นะครับ https://www.facebook.com/NaiwaenTammada
ผมยินดีที่ได้รู้จักเพื่อนๆ นักลงทุนทุกท่าน ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะครับ
New Comments
Friends' blogs
Webmaster - BlogGang
[Add ตี๋2555's blog to your web]
Links
นายแว่นธรรมดา ดอดคอม
Top of Living (มีบ้านหลังแรก ไม่ยาก)
เว็บบอร์ด "คุยเรื่องหุ้นคุณค่า"
บอกเล่าประสบการณ์ทำธุรกิจ
Fisher Book
กระเป๋าผ้า เล่าเรื่อง
Investment
เปลี่ยนตัวเองใหม่ ไม่ยาก (CHANGE)
thai vi
hong value
semenar investment
หุ้นรายตัว
finance analysis
คัดกรองหุ้น กลต
จิตวิทยา และแนวคิดการลงทุน
Bloggang.com
Pantip.com
|
PantipMarket.com
|
Pantown.com
| © 2004
BlogGang.com
allrights reserved.
1. หา P/E ที่เหมาะสมของแต่ละบริษัท บริษัทไหนที่คาดการง่ายหน่อย กำไรโตเรื่อยๆ ปันผลดี พวกนี้จะ P/E สูงเหมือนพวกค้าปลีก โรงพยาบาล เป็นต้น ส่วนพวกที่ด้อยกว่า เช่น พวกรับเหมา ก็ให้ P/E ต่ำๆ
2. หา P/E ในอนาคต(อันใกล้)ของบริษัทที่เราสนใจ นี่หมายความว่าเราต้องประมาณกำไรของกิจการได้ เราจะทำได้ต้องหาข้อมูลเพื่อประเมินกำไรให้ผิดพลาดน้อยที่สุด
3. หาส่วนต่างของ P/E ที่เหมาะสม และ P/E ที่จะเกิดขึ้นจริง เช่น เราประเมินว่าบริษัทนี้ควรมี P/E 15 เท่า แต่เราประเมินแล้วราคาตลาดวันนี้หรือในอนาคตใกล้ๆนี้ P/E แค่ 7 เท่า นั่นแสดงว่า ราคาตลาดต่ำกว่าที่ควรจะเป็นถึง 50% (มี margin of safety 50%) อย่างนี้น่าสนใจครับ ปกติต่ำกว่าราคาที่ควรจะเป็นซัก 30% ผมก็สนใจแล้ว
ผมมีความเชื่ออย่างนี้นะ..
ระยะยาว หุ้นเป็นสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนที่ดีที่สุดเสมอ
ตลาดเหมือนฤดูกาลที่มีทั้งรุ่งเรืองตกต่ำ หน้าหนาว-หน้าร้อน ขอให้เราเข้าใจและหาประโยชน์จากความจริงข้อนี้
นักลงทุนเอกของโลกทุกคน เคยผ่านวิกฤติมาแล้วหลายครั้ง หนักหนากว่านี้ก็มี ถ้าหยุดลงทุนก็คงไม่มีวันนี้ แม้แต่ ดร.นิเวศน์ ท่านเริ่มลงทุน 10 ปีที่แล้ว ตอนที่ดัชนีประมาณ 800 จุด ท่านได้ผลตอบแทน 30 เท่า ทั้งที่วันนี้ดัชนีตลาดต่ำกว่า 10 ปีที่แล้ว
ผมพูดเสมอๆว่า ตรรกะของการทำกำไรจากหุ้นคือ ซื้อถูกขายแพง คำถามต่อไป แล้วเราจะขายได้แพงตอนตลาดเป็นแบบไหน และหากเราจะซื้อของให้ได้ราคาถูก เราจะซื้อได้ตอนที่ตลาดเป็นอย่างไร
การขายหุ้นและเลิกลงทุนตอนตลาดตกต่ำ เป็นการละเมิดศีลที่สำคัญที่สุดของนักลงทุน vi เพราะนั่นหมายความว่า เราจะไม่มีโอกาสได้กำไรกลับคืนตอนตลาดกลับไปรุ่งเรืองเลย
มองไปวันพรุ่งนี้ สัปดาห์หน้า เดือนหน้า ปีหน้า 5 ปี 10 ปีข้างหน้า แล้วทุกอย่างในวันนี้มันจะผ่านไป
อย่าให้อารมณ์ของตลาด มาหยุดความมุ่งมั่นในการลงทุนของเรา อย่าทำให้เราหมดกำลังใจที่จะทำการบ้าน ศึกษาหาความรู้
เราลงทุนวันนี้ ไม่ใช่เพื่อให้รวยพรุ่งนี้หรือมะรืนนี้ แต่เพื่อ 10 ปี 20 ปีข้างหน้า
เราจะรู้ว่าใครแก้ผ้า ก็ตอนน้ำลด
ผมแนะนำครับ..
1. หามูลค่าที่เหมาะสมเสียก่อน พิจารณาจากปัจจัยต่างๆ
2. ดูราคาในตลาด ว่าสูงหรือต่ำกว่ามูลค่าที่เราคำนวณได้
3. ตัดสินใจ ซื้อหรือขาย
ผมมองว่าที่หลักการลงทุน vi เติบโตเด่นได้รับความนิยมขึ้นมา ไม่ใช่เพียงเพราะมีตัวอย่างคนที่ประสบความสำเร็จเท่านั้น แต่เป็นเพราะความเป็นเหตุเป็นผลของมัน คือหุ้นจะขึ้นจะลงเพราะมีเหตุผลทางธุรกิจ ไม่ใช่หุ้นจะขึ้นเพราะหลายคนบอกว่าจะขึ้น และมันจะลงเพราะหลายคนบอกว่ามันจะลง
คงไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะพิจารณาด้วยเหตุด้วยผลอย่างเดียว เพราะเป็นคนก็ต้องมีอารมณ์เข้ามาเกี่ยวข้อง ผมก็ยังเป็น แต่ถ้าเราจะเป็น vi ที่ประสบความสำเร็จ เราต้องพิจาณาด้วยเหตุผลธุรกิจเป็นหลักครับ
ส่วนเรื่องการ ซื้อเพิ่ม, cut loss ผมไม่กล้าแนะนำ แต่ผมจำที่ใครคนหนึ่งเคยพูดทำนองว่า ลืมต้นทุนที่ซื้อมา คิดเสียว่าพอร์ตตอนนี้เป็นเท่าไหร่ หุ้นในตลาดตัวไหนน่าซื้อที่สุด ขายไปซื้อตัวนั้น ถ้าเป็นตัวเดิมก็ไม่ต้องทำอะไร
ผมเชื่อว่า มี 2 แรงที่ผลักดันราคาหุ้น
1. กำไร >> เราเรียกรวมว่า พื้นฐาน
2. ปัจจัยด้านจิตวิทยา อารมณ์ของตลาด
ประเด็นแรก เป็นสิ่งที่นักลงทุนแนว vi ต้องวิเคราะห์อยู่แล้ว แต่ถ้าเข้าใจ
ประเด็นที่สองด้วย ก็จะเพิ่มผลตอบแทนได้อีกครับ ผมตอบไม่ได้ชัดเจนว่า เราจะดูอารมณ์จิตวิทยาของตลาดได้อย่างไร(ยังไม่รู้จริง) แต่ประมาณว่า ถ้าเราเข้าใจอารมณ์ตลาด เรามักจะได้ซื้อหุ้นที่ดี ที่ราคาไม่แพง
เหมือนที่ Graham เปรียบเปรยเป็นนิทาน Mr. Market ครับ นอกจากนั้น เราอาจพิจารณาจิตวิทยาของนักลงทุนในตลาดว่า เค้านิยมหุ้นพิมพ์แบบไหน ในอุตสาหกรรมใดที่กำลังจะฮอต หุ้นตัวเล็กหรือตัวใหญ่ ราคาต่ำหรือราคาสูง เหล่านี้เป็นเกร็ดเล็กๆน้อยๆที่ช่วยเพิ่มผลตอบแทนได้ครับ เราลงทุนแนว vi แต่พิจารณาไว้บ้างก็ไม่เสียอะไร
ผมปรับพอร์ตบ่อยๆครับ เหตุผลมักเป็นอย่างนี้
1. เจอหุ้นตัวที่ดีกว่า แต่ไม่มีเงินก็ต้องขายตัวที่ด้อยที่สุดไป
2. ตัวที่ถือพื้นฐานเปลี่ยน อันนี้แน่นอนก็ต้องขายออก
3. หุ้นขึ้นจนราคาสมเหตุสมผล ผมก็อาจจะขายไปเพิ่มตัวที่ยังต่ำกว่ามูลค่า
4. หุ้นลงผมก็ปรับพอร์ต ขายตัวที่ลงน้อยไปซื้อตัวที่มีอัพไซด์มาก
ผมก็ปรับไปเรื่อยครับ ตามข้อมูลที่ได้รับมา ไม่มีเกณฑ์ตายตัวว่าบ่อยแค่ไหน หรือกี่เปอร์เซนต์ของพอร์ต ตั้งแต่ซื้อหุ้นมายังถือไม่เกิน 3 ปีเลยครับ เฉลี่ยเกือบๆปีประมาณนั้น แต่เห็นด้วยครับว่า ตลาดผันผวน เราสามารถใช้การปรับพอร์ตหาประโยชน์จากความผันผวนนั้นได้
ผมยกตัวอย่างง่ายๆ เช่น เราลงทุนในกองทุนตราสารหนี้ และหุ้น ถ้าตลาดซบเซาหนักๆเราก็ควรย้ายเงินจากกองทุนมาลงหุ้นให้มากขึ้น หรือเปลี่ยนไปถือหุ้นตัวทีมีอัพไซด์สูงกว่า หากตลาดเป็นขาขึ้น หาหุ้นลงทุนได้ยาก อาจจะต้องเปลี่ยนไปถือตัวที่ defensive มีปันผลเยอะหน่อยๆ ประมาณนี้ครับ
ระยะเวลาที่ถือหุ้น สั้นที่สุดนี่จำได้ว่าประมาณ 1 อาทิตย์ครับ ซื้อแล้วขึ้นไปประมาณ 30% ผมก็ขายซิครับ เพราะผมหวังผลตอบแทนแค่นั้น ส่วนยาวนี่ไม่แน่ใจครับ ประมาณ 2 ปี ที่จริง ประเด็นเรื่องเวลาการถือครองหุ้นไม่น่าจะเป็นประเด็นสำคัญ คำถามที่สำคัญกว่าคือ ราคาเหมาะสมกับพื้นฐานหรือยัง และการถือหุ้นนานๆก็มีผลเสียนะครับ เช่น เราจะเฉื่อยชา ผูกผัน เกิด
ความลำเอียง รักหุ้นตัวเอง
และถ้ามองในแง่ผลตอบแทน ดูตัวเลขนี้ครับ
*หุ้นตัวแรก เราซื้อผ่านไป 1 ปี ขายที่ราคาเป้าหมายได้กำไร 60% ทั้งปีได้กำไร 60%
*หุ้นตัวที่ 2 เราซื้อผ่านไป 6 เดือนได้กำไร 40% ตามเป้าหมาย ขายออกไปซื้อหุ้นตัวที่ 3 ผ่านไป 6 เดือนได้กำไร 40% ตามเป้าหมายอีก รวมทั้งปีได้ผลตอบแทน 96%
หุ้นตัวแรกให้ผลตอบแทนมากที่สุด แต่ถ้าให้เลือกผมขอซื้อหุ้นตัวที่ 2-3 ดีกว่า นี่คงคล้ายกับ turnover rate ในงบดุลครับ ยิ่งหมุนมากกำไรก็ยิ่งมาก(เรายังไม่พูดถึงความเสี่ยงนะ)
ผมติดตามพื้นฐานของหุ้นที่อยู่ใน watch list เสมอๆ
ผมมีหุ้นที่ติดตามผลกำไรทุกไตรมาส ประมาณ 80 ตัว และหุ้นที่ติดตามแบบห่างๆอีกประมาณ 120 ตัว รวมๆก็ครึ่งนึงของตลาดพอดี
ผมเชื่อว่า ยิ่งติดตามมาก เราก็ยิ่งรู้พื้นฐานมากขึ้น ขอบข่ายความรู้มากขึ้น ยิ่งติดตามมาก โอกาสที่จะเจอช้างเผือกก็สูง เวลามีข่าวสารเข้ามาเราก็รู้ทันทีว่า เป็นข่าวดีหรือไม่ดี ซื้อหรือไม่ซื้อ ไม่ต้องเสียเวลาไปหาข้อมูลอีก
ผมอ่านหนังสือพิมพ์หุ้นเกือบทุกฉบับ ทั้งรายวัน รายสัปดาห์ อ่านงานวิจัยของโบรคเกอร์ อีไฟแนนซ์ ข่าวตลาด และ tvi ประมาณนี้ครับ อ่านแบบสแกน ถ้าเจอหุ้นที่น่าสนใจจะอ่านแบบละเอียด ไม่อย่างนั้นต้องใช้เวลาเยอะ
คือถ้าเราติดตามข่าวสารบ่อยๆเราจะรู้ว่าแหล่งข่าวไหนที่เราควรจะอ่านครับ
ที่จริงใช้เวลาวันละ 2 ชม. ก็น่าจะเพียงพอสำหรับการลงทุนแบบมุ่งเน้น(ผลตอบแทน) หรือวันละ 1 ชม. สำหรับนักลงทุนที่ลงทุนหุ้นแบบการออม
ผมเคยทำงานประจำมาก่อน ยอมรับว่ามีข้อจำกัดเยอะกว่าคนที่ลงทุนเต็มเวลา และไม่สนับสนุนให้ทุกคนลาออกเพียงเพื่อจะได้มีเวลาหาข้อมูล แต่เราก็ควรให้เวลากับการลงทุนตามสมควร
เพราะการใช้เวลาวันละเล็กละน้อยหลังเลิกงาน หาข้อมูล อาจจะเปลี่ยนสถานะภาพทางด้านการเงิน เปลี่ยนชีวิตคนๆนึงได้เลย ในขณะที่ถ้าทำงานประจำอย่างเดียวมีโอกาสน้อยกว่ามาก
ผมยังจำได้ดร.นิเวศน์เคยเขียนบทความทำนองว่า เราใช้เวลาส่วนใหญ่วันๆไปกับเรื่องที่ไม่สำคัญ และให้เวลาน้อยเกินไปกับเรื่องทีสำคัญที่สุด