ตุลาคม 2551

 
 
 
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
28
29
31
 
 
All Blog
ความลับของเมือง ความลับของชนบท (1)....โทษของอุดมคติทางการเมือง
การที่พระพุทธเจ้า ตรัสรู้ หลังจากกลับมาฉันอาหารนั้น นั่นย่อมแสดงให้เห็นว่า เรื่องปากท้อง เรื่องความอยู่รอด เป็นเรื่องสำคัญ ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ ไม่ใช่เรื่องจิตนิยมงมงาย หรือ อุดมคติ ที่ต้องการบรรลุให้ได้ สถานเดียว โดยไม่ได้คำนึงถึงปัจจัยอื่นเลย ก็หาไม่ นี่คือตัวอย่างที่แสดงให้เห็นว่า เรื่องเศรษฐกิจ การบริโภค สำคัญไม่แพ้การเมือง การที่พระพุทธองค์อดอาหาร ก็ทำให้เพียงแต่ร่างกาย ผ่ายผอม มองไม่เห็นหนทางสงบ ทางพ้นทุกข์ ซึ่งนี่คือเรื่องมาตรการทางเศรษฐกิจที่พระองค์ใช้กับตัวเอง การตั้งเป้าหมายจะบรรลุโดยการงดอาหาร ก็คือการเล่นการเมืองภายใน ของพระองค์ ซึ่งหากดื้อด้านกับตัวเอง ต่อไป พระองค์ก็คงต้องอดข้าวจนสิ้นพระชนม์ แล้วอะไรคือทางสายกลาง ถ้าไม่ใช่การหาความพอดีระหว่างอุดมคติ หรือเป้าหมาย (หรือสิ่งที่เราคิดว่า"ดี" นั่นแหละ เป็นคำว่า "ดี" ซึ่งมีความหมายผันแปรได้มาก แต่สังคมไทย ได้นำเอาคำนี้ไปใช้ เป็นอุดมคติกันเยอะ แต่น่าตกใจว่า คำว่า"ดี"ถูกกล่าวถึงในพุทธธรรม น้อยมาก) กับเรื่องปากท้อง ความอยู่รอด หรือเศรษฐกิจ นั่นแสดงว่าพระองค์มองแล้วว่า การตั้งอุดมคติต้องคำนึงเรื่ององค์รวมระหว่าง "กาย"และ"จิต" ไม่สุดโต่งไปด้านใด ด้านหนึ่ง

ทีนี้จะต้องขอ วก ไปที่ การเมือง เรื่อง ของ ส.ส.บ้าง

มีคำถามว่า ส.ส.ทำไมถึงคอรัปชั่น คำตอบมีอยู่ว่า ส่วนหนึ่งเป็นเพราะ ส.ส.ขาดอุดมคติ และส่วนหนึ่ง เป็นเพราะขาดเงิน เพราะมีคนกำหนดให้ใช้อุดมคติ มากกว่าเรื่อง ปากท้อง ความเป็นอยู่ แต่นั่นเป็นเรื่อง "ดัดจริต"ของสังคมไทย โดยแท้ (ไม่แน่ใจว่า มีเรื่องอิจฉา ริษยาด้วยหรือไม่) เพราะว่า ส.ส.ไทย เจอซองผ้าป่า ค่างานบวช โกนจุก งานแต่ง งานศพ งานกฐิน กินเจ สารพัดงานบุญ ทั้งจังหวัด เงินเดือน 200,000 บาท ก็หมดแล้ว แล้วจะดำรงเกียรติ ใช้ชีวิตอยู่ในสังคม โดยไม่แปดเปื้อนได้อย่างไร (อย่าบอกนะ ว่า ส.ส.ก็ต้องงดเลี้ยงโอเลี้ยงเพื่อน บ้าง) นี่คือความโง่ประการหนึ่งของสังคมไทย ซึ่งซ่อนตัวอยู่ในความ"ถือดี" -ยึดมั่นใน"ดี" จนเสียสมดุล กลายเป็น สังคมดัด จริต และไม่ซื่อตรงต่อตัวเอง
ส่วนหนึ่ง ที่สังคมการเมืองไทย เป็นอย่างนี้ เพราะเกิดโทษจากอุดมคติแบบนี้ เวลานักการเมืองไม่ดี อันที่จริง เราจะไปโทษนักการเมืองฝ่ายเดียว ไม่ได้ เพราะแสดงว่า สังคมไทยเราเลี้ยงนักการเมือง ไม่ดีด้วย ถึงเป็นอย่างนี้ เราอย่าไปคาดหวังจากนักการเมืองมากเกินไป เราต้องมองว่านักการเมืองก็คือคน ไม่ได้วิเศษ วิโส มาจากไหน อย่าไปให้เกียรติมากจนเกินความพอ และเลิกเสียที กับคำว่า "สภาอันทรงเกียรติ" คำๆ นี้ ทำให้คนเสียคน เพราะสุดท้าย คนเราก็ต้องรับประทานกันทุกคน นั่นแหละ ที่ถูกเราต้องใช้งานเขา ให้เป็น ต้องตอบแทนเขาให้พอ สอดคล้องกับค่านิยมของสังคม กำหนดเงินเดือน ไปเลยเดือนละ 500,000 -1,000,000 บาท แล้วกำหนดโทษให้หนัก หากมีการคอรัปชั่น เกิดขึ้น โปรดอย่าเอาอัตราเงินเดือน ส.ส.ประเทศอื่น มากำหนด เพราะ ไม่มีประเทศไหนในโลก ที่จะมีประเพณีมากมาย ผูกผันกัน ร้อยรัดกันในสังคม ที่แน่นแฟ้น เป็นญาติกันได้ เท่ากับสังคมไทย ซึ่งนี่คือเรื่องที่มีทั้งข้อดี และข้อเสีย
การควบคุมนักการเมือง โดยใช้การตรวจสอบอย่างเดียว ถือเป็นเรื่องที่ ไม่ค่อยฉลาดนัก และถือว่าใช้งานนักการเมืองไม่เป็น บริหารไม่เป็น เราต้องบริหาร นักการเมืองให้เป็น การบริหารต้องใช้ทั้งพระเดช และพระคุณ ต้องมีศิลปะ ต้องสร้างระบบ อย่าเรียกร้องศักยภาพจากนักการเมือง จนเกินขอบเขต นักการเมืองไทยส่วนหนึ่ง ที่หามุ้งอยู่ ก็เพราะเหตุนี้ เพราะจะได้รับการอุปถัมน์จากนักธุรกิจ การเมือง ที่มีกำลังทรัพย์ พึ่งพิง ถ้าทำให้เขาพึ่งตัวเองได้ เขาจะมีอิสระในการตัดสินใจ การเมืองจะพัฒนาขึ้น

บริหารวิธีการเข้าสู่การเมือง ด้วยราคาต่ำๆ ให้ได้ เพื่อชักจูงให้คนเข้าสู่การเมือง ง่ายๆ
บริหารค่าตอบแทน (Compensation) นักการเมือง ให้ดีเถิด แล้วการพัฒนาประชาธิปไตย จะเป็นไปได้..

บริหารผลตอบแทนแก่ประชาชนให้ดีเถิด แล้วประชาชนจะเลิกขายเสียงไปเอง..

อย่าเอาโทษแต่นักการเมือง และประชาชนที่ขายเสียงเลย..

ขอตบท้าย.. ด้วยการแสดงความเห็นต่อ คำพูดของคนที่มีชื่อเสียงหลายคน ที่มักชอบพูดว่า "ผมไม่เหมาะกับการเมือง" "ผมเล่นการเมืองไม่ได้" แล้วทำน้ำเสียง วางท่า เหยียดหยามนักการเมืองว่า เป็นไอ้ตัวทุเรศ เหยียดหยามประชาชนที่อ้างว่าถูกซื้อเสียงว่า โง่ แล้วก็ทำท่า เท่ห์ ภูมิใจ ว่าตัวเองสะอาด เป็นผู้ดี แต่ดำรงชีวิตอยู่ในสังคมที่เสื่อมทรามได้ หน้าตาเฉย แล้ว ก็ไม่ได้คิดจะทำอะไร ให้การเมืองมันดีขึ้น นั้น ผมขอประนามคนประเภทนี้ ที่เห็นแก่ตัว ไม่มีความเสียสละ เอาแต่ดูถุกเหยียดหยามคนอื่น โดยไม่ใช้ภูมิปัญญา ไตร่ตรอง วิเคราะห์หาเหตุผลอะไร..(คนแบบนี้แหละ ที่น่าตบบ้องหูจริงๆ.)



Create Date : 27 ตุลาคม 2551
Last Update : 27 ตุลาคม 2551 20:59:27 น.
Counter : 580 Pageviews.

6 comments
  
ขอบคุณครับ










โดย: ติ๊ก IP: 115.67.52.9 วันที่: 27 ตุลาคม 2551 เวลา:18:52:15 น.
  
ถูกต้อง

นักการเป็นผู้ที่กล้าชนกับปัญหา ไต่เต้าด้วยวิถีทางตามระบบประชาธิปไตย น่าจะนับถือน้ำใจ

นักการเมืองโกงๆๆๆๆ นักการเมืองเคยแก้ตัวอะไรไม่ เปล่าเลย แต่คนที่ว่านักการเมืองโกงๆๆๆๆ กล้าไม่ที่จะลงมาสู้ตามระบบประชาธิปไตยตามวิถีการเมือง เปล่าเลย

ข้าราชการคอรัปชั่นมากกว่านักการเมือง หรือป่าวใครจะไปกล้าว่าตัวเองข้าราชการเอย เซ็นตรวจงานไม่มีค่าน้ำหมึกหรือ ฝันไปหรือป่าว จัดซื้อจัดจ้างล่ะ น่าหัวเราะ
โดย: บ้าได้ถ้วย วันที่: 27 ตุลาคม 2551 เวลา:23:14:08 น.
  
สวัสดีเช้าวันอังคารค่ะ


ประชาชนโดนซื้อเสียง ... ได้ยินคำนี้แล้วลมออกหูฮะ

เคยฝันนะ ว่าคำนี้จะสูญพันธุ์ .... คงตายแล้วมาเกิดใหม่อีกครั้ง

... กะว่าวันนี้จะทำบุญตรงใจซะหน่อยค่ะ ทราบมาว่าเป็นวันพระ

ก็งดสักหนึ่ง พรุ่งนี้อยว่ากันใหม่ค่ะ
โดย: Opey วันที่: 28 ตุลาคม 2551 เวลา:7:34:01 น.
  
ขอบคุณคุณติ๊ก ที่แวะมาทักทายครับ
โดย: เนื่อง มาจากเหตุ วันที่: 28 ตุลาคม 2551 เวลา:20:58:52 น.
  
ขอบคุณ สำหรับความเห็นของคุณบ้าได้ถ้วยครับ

ปัญหาคอรัปชั่น ผมว่าต้องมองแบบองค์รวมครับ
เพราะสังคมทุกวันนี้ มันเกิดคอรัปชั่นแบบองค์รวม
ถ้าจะโฟกัสไปที่กลุ่มคน มันจะมีอยู่สามกลุ่มหลักๆ
คือ นักการเมือง สมคบกับนักธุรกิจ บวกกับข้าราชการ

นักการเมือง ถืออำนาจ
นักธุรกิจ ถือเงิน

ข้าราชการ ถือระเบียบหรือข้อกฎหมาย

แต่การจะแก้ปัญหา โดยการไล่ล่าคนในสามกลุ่มอาชีพนี้ ก็อาจจะถือว่า มองปัญหาตื้นเขินเกินไป
จริงแล้วๆ ต้องมองที่สภาพแวดล้อมหรือบริบทของสังคมที่กลุ่มคนเหล่านี้อาศัยอยู่ด้วย นั่นหมายถึงว่า ถ้าจะแก้ปัญหาจริงๆ ผมมองว่า ต้องแก้ทั้งภาพรวม และต้องค้นหาสาเหตุเชิงลึก ที่แท้จริงเสียก่อน

ผมเห็นอย่างนี้นะครับ..
โดย: เนื่อง มาจากเหตุ วันที่: 28 ตุลาคม 2551 เวลา:21:10:57 น.
  
สวัสดีตอนเย็น และขอบคุณ Opey ครับ
โดย: เนื่อง มาจากเหตุ วันที่: 28 ตุลาคม 2551 เวลา:21:15:08 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

เนื่อง มาจากเหตุ
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]