กรกฏาคม 2550

1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
17
18
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
31
 
 
All Blog
ดินแดน ในครอบครัว ดินแดน ของประเทศชาติ
16 ก.ค. 2550

ผู้เขียนเพิ่งจะเดินทางกลับมาจาก 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ไม่นานมานี้เอง พบว่า บรรยากาศในตัวเมืองปัตตานีในช่วงนี้ ดูค่อนข้างเงียบเหงา เพื่อนฝูงในท้องถิ่นบอกว่า รถราและผู้คนที่เคยพลุกพล่านช่วงก่อนหน้านี้ 2-3 ปี วันนี้รู้สึกว่าโล่งไปเยอะ บริเวณข้างถนนก่อนเข้าเมือง มีทหารยืนเฝ้าอยู่ทุก 500 เมตร มีรถฮัมวี่ ของทหารวิ่งไป-มาในตัวเมือง. โดยการเดินทางไปครั้งนี้ ผู้เขียนได้มีโอกาสเข้าพบพ่อเมืองปัตตานี เพื่อขอคำปรึกษาเรื่องงานตามความจำเป็นบังคับ.. ซึ่งในข้อสนทนานั้น มีประเด็นคาบเกี่ยวกับการขออนุญาตใช้ปืน ในท้องที่ด้วย
ในช่วงเช้าของทั้ง 2 วัน ที่ผู้เขียนปฏิบัติภารกิจอยู่นั้น ผู้เขียนจำต้องตื่นขึ้นมา ตรวจสอบที่ใต้ท้องรถว่า มีอะไรผิดปกติ หรือไม่ ในทุกๆเช้า ทั้งนี้ก็เพราะกลัวว่า จะมีใครแอบซุกระเบิดเอาไว้ นั่นเอง และนอกจากนั้นแล้ว การเดินทางไปไหน มาไหน ก็ต้องอยู่ในความระแวดระวัง กว่าทุกๆ ครั้ง จนเมื่อเดินทางกลับ รถวิ่งพ้นจากเขตพื้นที่ 3 จังหวัดเข้าสู่ เขตตัวอำเภอเมืองสงขลานั่นแหละ จึงค่อยรู้สึกโล่งอกขึ้น
อย่างไรก็ดี การเดินทางเข้าพื้นที่ จังหวัดปัตตานีในครั้งนี้ ทำให้ผู้เขียนรู้สึกเห็นใจและเข้าใจถึงความยากลำบาก ในการใช้ชีวิตและความหวาดกลัวของคนในพื้นที่มากขึ้น และเกิดสะท้อนคิดอะไรออกมาได้หลายอย่าง.. รวมทั้งได้สัมผัส ความรู้สึกของความกลัวนั้นด้วย ว่าเมื่อไปอยู่ในพื้นที่จริงๆแล้ว. เป็นอย่างไร นอกจากนั้น ก็ยังได้มีโอกาส ใช้เวลาระหว่างเดินทางนั้น ไต่ถามตัวเองอย่างจริงจังด้วยว่า ที่ตัวเราเองกลัวนั้น เรากลัวอะไร เราไปต่อว่า ด่าทอใคร จนทำให้เขาโกรธแค้นหมายเอาชีวิต เราทำอะไรผิด ทำไมเราต้องกลัว จึงได้คำตอบว่า ที่ตัวเราเองกลัวนั้น เรากลัว “คนที่ไม่รู้จัก” จะปองร้าย ซึ่งฟังดูก็แปลก และท้ายที่สุด ก็นำไปสู่ความคิดที่ว่าเราคงจะต้องหา ปืนสักกระบอก ไว้เพื่อป้องกันตัว ซึ่งก็น่าแปลกใจซ้ำเข้าไปอีกว่า การแก้ไขปัญหาความกลัวนี้ สุดท้ายก็มาลงที่อาวุธปืน-- ต้องหาปืนมาพก
ผู้เขียนถามตัวเองต่อไปว่า ทำไมเราจะต้องกลัวคนที่เรา ไม่รู้จัก และไม่เคยแม้แต่จะพูดคุยกัน เพราะถ้าได้พูดคุยกัน ก็จะมีโอกาสได้ ปรับความเข้าใจกันบ้าง ส่วนผลจะเป็นอย่างไรก็ค่อยว่ากันอีกเรื่องหนึ่ง มิใช่ว่าจะต้องตายไปโดยไม่มีแม้แต่โอกาสที่จะรู้ว่า ผู้ฆ่าเป็นใคร และแม้จะเจ็บแค้นใครสักคนก็ไม่สำเร็จ เพราะไม่รู้จักแม้แต่คนที่จะคิดแค้น ก็จำต้องเหมารวมๆ ไปว่าเป็นพวก โจรใต้ เป็นพวกขบวนการแบ่งแยกดินแดน--เท่านั้นเอง
ครั้นเมื่อมีเวลาว่าง นั่งดูข่าวคราวความเคลื่อนไหวทางกรุงเทพฯในโรงแรมที่หาดใหญ่ ทบทวนดูความวุ่นวายต่างๆ ในขอบเขตประเทศไทย ทั้งหมดแล้ว ก็พบว่า ความจริงอยู่อย่างหนึ่งว่า เรื่องราวของความขัดแย้งของมนุษย์ทั้งหลาย ในทุกระดับ ไม่ว่าจะเป็นระดับใหญ่ ๆ อย่างปัญหา ขบวนการแบ่งแยกดินแดนใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ หรือแม้แต่ปัญหาในครอบครัวเล็กๆ ผู้เขียนมองว่า ดูไปแล้วมันก็มีโครงสร้างของปัญหา ที่ไม่แตกต่างกันนัก นั่นก็คือ ส่วนใหญ่มักเกิดจาก การขาดความเข้าใจ ซึ่งกันและกัน ระหว่างคน หรือกลุ่มบุคคล ซึ่งทำให้เกิดการไม่เข้าถึง หรือมีช่องว่างของความเข้าใจและไม่พัฒนาสิ่งต่างๆ ไปในบริบท ที่จะก่อให้เกิดความเข้าอก เข้าใจ กัน จนเกิดความรักใคร่ ปรองดอง ขึ้นมาได้
ยกตัวอย่าง เมื่อเด็กมีปัญหา หรือมีความไม่เข้าใจกับพ่อ หรือแม่ ก็มักจะเก็บตัว ขังตัวเองอยู่แต่ในห้อง สร้างพื้นที่ของตัวเอง เท่ากับเป็นการแบ่งแยกดินแดนภายในครอบครัว ก็น่าจะเรียกอย่างนั้น ได้ บางคนสร้างโลกส่วนตัวขึ้น ดังนั้น หากพ่อแม่ ผู้ปกครองคนไหน สร้างปมปัญหาให้เกิดขึ้น แล้วไม่รู้สึกตัวว่าทำอะไรลงไป เอาแต่ต่อว่าต่อขาน ขาดความตระหนัก ว่าตัวเองก็เป็นส่วนหนึ่งของปัญหา ซ้ำยังทำตัวห่างเหินกับลูก ไม่เข้าไปใกล้ชิด ให้คำปรึกษา แนะนำ ปล่อยปะละเลย ก็อาจจะทำให้เด็ก กลายเป็นคนมีปัญหา เครียดเก็บกดได้ และ เมื่อหาทางออกไม่ได้ก็อาจจะ เลือกวิธีการต่างๆ เพื่อจะแก้ไขปัญหาด้วยตัวเอง เช่น อาจจะตัดสินใจหนีออกจากบ้าน หรือทำอะไรที่ประชด ชีวิต ไม่อินังขังขอบ เสียผู้เสียคน รวมทั้งอาจก่อเหตุรุนแรงอะไรขึ้นในภายหลังก็เป็นได้
ทำนองเดียวกัน เมื่อหันกลับมามองดูภาพใหญ่ สำหรับสังคมไทย ณ เวลานี้ ผู้เขียนก็รู้สึกว่ามีสัญญาณอะไรบางอย่าง ปรากฏออกมาว่าประเทศชาติของเรา กำลังมีปัญหาอย่างหนักหน่วง เป็นอันมาก สังเกตดู ตามเว็บบอร์ดต่างๆ การแสดงออกทางความคิดโต้ตอบ ที่ส่อแสดงให้เห็นถึงความแตกแยกทางความคิด ของกลุ่มคน โดยมีลักษณะเกาะเกี่ยวกันในเชิง “พื้นที่” ค่อนข้างสูง แม้ว่าจุดเริ่มต้นของปัญหาจะเกิดจากความไม่เข้าใจกัน ของคน 2 กลุ่ม เป็นหลัก ที่เรียกว่ากลุ่มที่เอาทักษิณ และกลุ่มที่ไม่เอาทักษิณ ก่อนจะมีพัฒนาการกลุ่ม ไม่เอาทักษิณและไม่เอาเผด็จการ ขึ้นมาอีกหนึ่งกลุ่ม โดยพัฒนาเรื่องราวจากเรื่องของบุคคล เพียงหนึ่งคน จนกลายเป็นเรื่องกระทบกระทั่งกันทางความคิดของคนหลายคน หลายหมู่เหล่า ขยายวง ขยายพื้นที่ของความขัดแย้ง ออกไปอย่างกว้างขวาง ซึ่งต่อมา ก็เป็นเหตุทำให้กลุ่มบุคคลคณะหนึ่ง มีข้ออ้างที่ต้องเข้ามา คลี่คลายสถานการณ์ สลายความขัดแย้งของประชาชน และ “คลี่คลาย”ถึงขนาดต้องทำลายระบอบกฎหมายของชาติที่เราเพียรสร้าง และรักษากันมานับสิบปี ให้พังพินาศลง อย่างน่าเสียดาย ภายใต้การเอาหูไปนา เอาตาไปไร่ ของสื่อสารมวลชน อันถือว่าเป็นฐานันดรที่สี่ ในระบอบประชาธิปไตย โดยอ้างความสมานฉันท์ และจริยธรรมค้ำฟ้า จึงเกิดเหตุการณ์เผาป่าทั้งป่า เพื่อไล่หนูนาน้อย ตัวเดียว กลายเป็นตรรกะบิดเบี้ยว ที่รับใช้ความเอาแต่ใจของตัวเองเป็นด้านหลัก
นอกจากจะทำลายระบบลงในชั่วพริบตาแล้ว ก็ยังมุ่งเปิดสงคราม ทำลายล้างกันทางการเมือง ตั้งแต่หัวขบวน จรดหางขบวน ถึงขั้นระดับบีบบังคับให้ประชาชนกลุ่มใหญ่กลุ่มหนึ่ง จะต้องมีแนวคิดตามแนวทางหนึ่ง ทางเดียว โดยกลุ่มบุคคลคัดสรร ที่มีมันสมอง และความดีระดับเทพ..ทั้งหลาย ได้กำหนดแนวคิดนั้นไว้แล้ว ว่าดีเลิศ และเต็มเปี่ยมไปด้วยความถูกต้องและดีงาม จนไม่สามารถจะปฏิเสธ และเห็นเป็นอย่างอื่นไปได้ ซึ่งหากไม่คิดตามแนวนั้นแล้ว ก็เท่ากับว่า เป็นพวกไม่รักชาติ ขาดจริยธรรม เป็นพวกระบอบทักษิณ เป็น ลูกน้องทักษิณ เป็นพวกกินหญ้า และเป็นคนที่ไม่มีความดี ความงามอยู่ในหัวใจ และเมื่อเรียกให้คนกลุ่มนี้มาอยู่ข้างตัวเองไม่ได้ก็โกรธ และจากความโกรธก็พัฒนาเป็นความเกลียดชัง ซึ่งนั่นเท่ากับเป็นการสร้าง “ฟาก”พื้นที่ของตัวเองขึ้นมา แล้วก็ผลักคนอื่นออกไปอยู่อีกฟากหนึ่ง ซึ่งก็เลยกลายเป็นการยืนอยู่คนละฟากโดยอัตโนมัติ พฤติกรรมคนกลุ่มนี้จึงเป็นเหมือนคน ที่เป็นโรคขี้(ความ)ดีขึ้นสมอง คือมองคนอื่นที่เห็นต่างเป็นคนเลว และโง่ ไปหมดสิ้น การเป็นคนดีอย่างนี้จึงเป็นได้อย่างง่ายๆ โดยไม่ต้องออกแรงอะไรมาก กระแสของการเลือกข้าง และเลือกเป็นคนที่มีจริยธรรมนั้นมีระดับรุนแรงมาก คิดกันเล่นๆ ว่า ในเวลานั้น แม้แต่ คนในคุกที่ฆ่าคนตาย หากใครสักคนในนั้นแกล้งเอ่ยปากบอก ส่งข่าวไปยังสื่อมวลชนว่า เขาก็ไม่ชอบระบอบทักษิณ คนคุก คนนั้น ก็อาจจะได้รับการยอมรับว่าจากคนกลุ่มนี้ว่าเป็นคนดี โดยง่าย
ถัดมาจะว่าเป็นโชคดี หรือโชคร้ายก็ไม่ทราบได้ ที่กลุ่มคนดีทั้งหลายที่กล่าวมาข้างต้น ส่วนหนึ่งได้กลายมาหัวหน้าประเทศ เป็นผู้ปกครอง กำหนดชะตากรรมของประเทศซะเอง แม้เคราะห์ดี ที่ยังถือว่าประชาชนในกลุ่มหนึ่งที่รักชอบทักษิณ ยังคงเป็นคนไทย ร่วมชาติอยู่ โดยมองว่าเป็นประชาชนที่ยังขัดเกลาได้ จึงจำต้องออกแรงสร้างวาทะกรรม ผ่านสื่อต่างๆ มากมาย เพื่อสร้างกระบวนวิธีคิดใหม่ กรอกข้อมูลรายวัน จัดหาพื้นที่ใหม่ๆ ให้ คนกลุ่มสนับสนุนทักษิณและต่อต้านเผด็จการ โดยไม่เคารพ ไม่ศรัทธา ไม่ใส่ใจและไม่เข้าถึงวิธีคิดของประชาชนกลุ่มนี้ ว่า แท้จริงแล้วเขาคิดอย่างไร เขาติดขัด คับข้องใจตรงไหน จะได้หาทางแก้ไข ปรับปรุง เพื่อจะได้เกิดความเข้าใจ อันจะนำไปสู่ความรักและความสามัคคี ปรองดอง กันในชาติ
ความไม่เข้าใจ ที่เกิดจากการยกตนเอง ขึ้นสูงกว่าคนอื่นนั้น กลายเป็นอุปสรรคทำให้ ขาดความเคารพต่อคนอื่น มองคนอื่นอย่างดูแคลน และอดที่จะแสดงความยโส โอหัง ออกมาไม่ได้ในบางครั้ง และที่ว่าไม่เข้าใจนั้น ส่วนหนึ่งก็คือ การไม่พยายามที่จะเข้าใจ การไม่พยายามที่จะเข้าใจ ก็เพราะขาดความพร้อมที่จะเข้าใจ การขาดความพร้อมที่จะเข้าใจ ก็เพราะมีอคติ เกิดอวิชชา มีมิจฉาทิฐิ จึงมองสภาวการณ์หนึ่งๆ แต่ด้านเดียว จึงมองเห็นแต่ภาพเลวๆ มองเห็นคนในสังคม มีแต่คนเลว ดังนั้น กฎกติกาต่างๆ ที่กำลังจะออกมา เพื่อให้ผ่านประชามติ จึงเอาความเลวของคน และความกลัวของตัวเอง เป็นตัวตั้ง เป็นแรงขับเคลื่อนของประเทศ ไปเสีย ขาดความไว้วางใจต่อประชาชน ดึงกลับอำนาจจากประชาชน ให้ไปอยู่ภายใต้ระบอบขุนนาง อำมาตย์ และข้าราชการ
เท่านั้นยังไม่พอ ล่าสุดยังมีการดึงดัน ที่จะออกพระราชบัญญัติความมั่นคงภายในฯ ซึ่งมีเนื้อหาที่ส่อแสดงให้เห็นว่า อาจจะเป็นการสร้างเครื่องมือทางกฎหมาย เพื่อให้มีการสืบทอดอำนาจของทหาร ผ่าน พรบ.ฉบับนี้
ดังที่ได้กล่าวนำไปแล้วว่า ในครอบครัวหนึ่ง เมื่อผัวเมียไม่เข้าใจกัน ขาดศรัทธาต่อกันก็อาจจะมีปัญหาทะเลาะตบตี หย่าร้างกันได้ ลูกที่พ่อแม่ ขาดความเข้าใจ เอาใจใส่ก็อาจจะประท้วงโดยการเก็บตัวขังตัวเองอยู่แต่ในห้อง สร้างพื้นที่ของตัวเองขึ้นมา หรือไม่ก็หนีออกจากบ้าน ประเทศชาติก็เฉกเช่นเดียวกัน มีโอกาสที่จะแตกแยกได้ง่ายมาก หากคนไทยเราขาดความเข้าใจต่อ กัน
แต่อย่างไรก็ตาม บทความนี้ไม่ส่งเสริมให้มีการแบ่งแยกดินแดนใดๆ แต่ทว่าปัญหาของประเทศชาติเป็นเรื่องใหญ่ ต้องแก้ไขให้ถูกเรื่อง ถูกวิธี ดินแดนในประเทศนี้ก็กว้างใหญ่ แบ่งออกเป็นหลายภาค หลายชาติพันธุ์ หลายความแตกต่าง และหลากหลายความต้องการ ผู้ที่เข้ามาปกครองประเทศ ก็เปรียบเหมือนพ่อและแม่ จึงต้องใจกว้าง เคารพความเห็นที่แตกต่าง แม้ว่าในมุมมองของประชาธิปไตยในเวลานี้ จะเป็นได้เพียงแค่พ่อเลี้ยง หรือแม่เลี้ยง ไม่ใช่พ่อที่แท้จริง แต่ถึงอย่างไรก็มีหน้าที่ต้องพยามยาม ทำความเข้าใจกับลูก รับฟังความเห็น ดูว่าลูกมีปัญหาอะไร จะได้หาทางปรับปรุงแก้ไข ทำความเข้าใจกัน ถ้าลูกมีปัญหากันเอง ก็ต้องดำรงตัวอยู่ในความเป็นกลาง หาทางแก้ไข ปัญหา ไม่เข้าข้างลูกคนใด คนหนึ่ง หรือท่องคาถา ต่อว่าด่าทอ พล่อยๆ ว่า พวกนี้เป็นลูกที่ไม่เชื่อฟัง เป็นลูกไม่รักดี เป็นลูกน้องทักษิณ ไม่รักประเทศชาติอยู่ร่ำไป เพราะไม่เช่นนั้นแล้ว ภารกิจที่ท่านกล่าวอ้างในการรัฐประหาร ว่า ท่านต้องเข้ามา เพื่อคลี่คลายสถานการณ์ ความขัดแย้งของประชาชน นั้น ก็จะกลายเป็นว่า ท่านเองนั่นแหละ ได้สร้างให้ภารกิจนั้น กลายเป็นสิ่งผลักดันส่งเสริมและสร้างความขัดแย้ง แตกแยกให้เกิดขึ้นแก่สังคมประเทศชาติ เสียเอง โดยที่ท่านไม่สามารถปฏิเสธความรับผิดชอบได้อีกต่อไป

หมายเหตุ :ต้องขอภัยสำหรับท่านเพื่อนนักอ่าน ทุกท่านที่มาช้า และรักษาสัญญาที่บอกว่าจะมาพบกันทุกอาทิตย์ ไว้ไม่ได้ ขออภัยอีกครั้งครับ




Create Date : 16 กรกฎาคม 2550
Last Update : 21 สิงหาคม 2550 2:52:37 น.
Counter : 598 Pageviews.

2 comments
  
จุดยืนของตัวกูนี่น่ากลัวนะครับ ดูๆแล้วแบ่งๆฝ่ายไปตามการรักษาประโยชน์ของตน

เราจะต้องไปสู่ทางตันที่ไม่มีทางออกก่อนี่มันจะระเบิดเพื่อให้ไปมีทางไป หรือจะมีโอกาสคลี่คลายหาางออกที่ลงตัวได้

เชื่อว่าหลายคนคงจับตาด้วยอาการใจหายอยู่ครับ
โดย: granun วันที่: 19 กรกฎาคม 2550 เวลา:20:50:34 น.
  

เด็ดดอกไม่สะเทือนถึงดวงดาวครับ คุณ graun ปัญาหาใหญ่ของผลรวมของปัญหาเล็กๆ ปัจเจกชน รวมกันจึงเป็นหมู่ชน ทุกอย่างเคลื่อนไปตามกฎของอิทัปปัจยตา มีพลวัต... สรุปว่า ดีก็คือธรรม ชั่วก็คือธรรม.. โลกไหลเวียนไปเพราะสิ่งนี้เอง
การเมือง ไม่ใช่การมาต่อว่า ใครดีและใครไม่ดี แต่ต้องช่วยกันประคับประคอง และให้กำลังใจ "ไม่มีใคร มีดี โดยส่วนเดียว.".. ครับ
ขอบคุณครับที่มาเยี่ยม
โดย: เนื่อง มาจากเหตุ วันที่: 21 กรกฎาคม 2550 เวลา:16:40:20 น.
ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
 *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

เนื่อง มาจากเหตุ
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]